ผมอยากทราบจริงๆ มีใครตอบได้ไหมครับว่า ผู้มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายในเรื่องการศึกษาของชาตินี้ประเทศนี้น่ะ มีใครเคยให้ความสนใจในความวิบัติของภาษาไทย ที่เกิดขึ้นเช่นนี้หรือเปล่า
มีนักวิชาการคนใดได้ทำวิจัยไหมบ้างไหมว่า การที่คนไทยรุ่นหลังนี้มีความรู้ด้านภาษาและวัฒนธรรมของตนเองอ่อนด้อยดังที่เห็น มันเริ่มต้นจากอะไร ไปเปลี่ยนหลักสูตรไหนเข้า ตั้งแต่เมื่อไหร่
ยังไม่มีใครมาตอบคำถามของผมนี้ ผมก็ยังไม่ว่าอะไรละ
ว่าแล้วก็หลอกล่อคุณเธอผู้พลัดเข้ามาต่อไป ด้วยภาพที่ผมนำมาตกแต่งให้ใหม่ แม้จะฝีมือไม่เทียบเท่าคุณหนุ่มรัตนสยาม แต่ก็พอดูดีกว่าภาพที่ผมส่งมาก่อนหน้า ซึ่งผมเองยังไม่เคยเห็น (แต่ของคุณหมอเพ็ญเห็นหลายครั้งแล้ว)
ผมว่ามีหลากหลายสาเหตุประกอบกันนะครับขอตั้งข้อสังเกตตามที่ได้พบเห็นมาดังนี้
- ผลงานของกระทรวงฯ ที่ใช้นักเรียนไทยเป็นหนูทดลองทฤษฎีต่างๆที่ท่านไปเรียนมาจากต่างประเทศ ทำให้ทั้งคนสอนและคนเรียนสับสน อย่างเช่นการที่ไม่รู้ว่าเอาไงดีระหว่าสะกดคำตามเสียงหรือตามลำดับการเขียน(แบบภาษาอังกฤษ) ครูก็ไม่รู้จะสอนยังไง นักเรียนก็พลอยลังเลไปด้วย
- สังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปมากในช่วงเวลา 30 ปี อิทธิพลของการตูนมีผลมากต่อเยาวชน ลองสังเกตมั้ยครับว่าหนุ่มๆสาวๆสมัยนี้บางคนเวลาพูดจะใช้เสียงสูงๆต่ำๆในแบบคล้ายๆกับนักพากย์การ์ตูนญี่ปุ่นเลย ที่สำคัญหนุ่มสาวเหล่านี้เป็นผู้จัดรายการ ประกาศข่าวทางทีวีซะด้วยสิ
- คนไทยบริโภคสื่อทางทีวี อินเตอรเนตมากขึ้น รายการทีวีต่างๆ ส่วนใหญ่เน้นความบันเทิง การทำตลกเป็นความเชี่ยวชาญของคนไทยคำใหม่ๆแปลกๆถูกนิยามขึ้นมาปีละหลายสิบคำโดยผู้มีบทบาททางสื่อเหล่านี้ ยกตัวอย่างเช่น "หัวร้อน" "เล่นใหญ่" "โดนเท" ฯลฯ มีเยอะจนคนรุ่นผมก็ยังปวดหัวไปด้วย
- ที่สำคัญมากคือ 30 ปีที่ผ่านมานี้บ้านเรามี internet แล้วการคุยกันระหว่างบุคคลเปลี่ยนแปลงรูปแบบไป เมื่อก่อนเราสื่อสารกันได้แค่การพูดคุย หรือเขียนจดหมาย ดังนั้นเลยต้องมีภาษาพูดและภาษาเขียน ภาษาพูดไม่ต้องจริงจังพูดยังไงก็ได้เอาสะดวกเข้าว่า แต่เมื่อไหร่ที่ต้องเขียนคนยุคก่อนค่อนข้างตั้งใจ แต่ในยุคอินเทอร์เนต มีทางใหม่ของการสื่อสารคือการ Chat ผ่านทางต่างๆไม่ว่า MSN Skype จนถึงปัจจุบันก็เป็นพวก LINE ที่เน้นการพูดคุยโต้ตอบกันโดยการพิมพ์ ทีนี้ก็ยุ่งละสิ จะเถียงกันจะด่ากันโดยทาง chat หากมัวมาพิมพ์แบบภาษาเขียนก็คงไม่ทันฝ่ายตรงข้าม ความวิบัติเลยเกิดขึ้น ฮ่าๆๆๆ 55555 การย่นย่อคำ อะไรต่างๆก็คงเกิดขึ้นในคอนนี้แหละครับ ยิ่งยุคของ smartphone ก็แล้วกันไปใหญ่ ยุคคอมพิวเตอร์ยังใช้คีย์บอร์ดพิมพ์คุยกันแต่สมาร์ทโฟนนี่แป้นพิมพ์เล็กๆบังคับให้เด็กๆเขาต้องคิดหาวิธีที่จะสื่อสารให้ได้เร็วที่สุดโดยพิมพ์ให้สั้นที่สุด มันก็เลยออกมาอย่างที่เห็นแหละครับ