ความเชื่อเก่าแก่อีกอย่างที่เดี๋ยวนี้ดูเหมือนจะไม่มีใครเชื่อแล้ว คือเวลาไม่สบาย ต้องถูกจำกัดให้กินอาหารบางอย่างเท่านั้น
เป็นความเชื่อเรื่อง "ของแสลง" คุณทิพย์วาณี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ใน หนังสือ เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก ดังนี้เมื่อสมัยคุณตาคุณยายยังเป็นเด็ก ๆ อยู่ ถ้าเกิดเจ็บป่วยเป็นอะไรไปนิดหน่อยก็ตาม คนนั้นจะต้องถูกจำกัดอาหาร ให้กินแต่อาหารอ่อน ๆ ที่ย่อยง่าย ห้ามกินอาหารที่คิดว่าแสลงต่าง ๆ จนกว่าจะหายเป็นปกติ
ถ้าใครท้องเสีย หรือเป็นบิด จะต้องกินข้าวต้มเปื่อย ๆ หรือข้าวเปียก กับปลาแห้งป่น หมูหยอง กุ้งแห้งป่น หรือปลาดุกย่างจิ้มน้ำปลา จะไปวิ่งเล่นหรือกระโดดโลดเต้นไม่ได้ เดี๋ยวจะหายยาก ถ้าเป็นไข้หวัด แล้วมีอาการไอก็จะห้ามอาหารทอดทุกชนิด ไข่เจียว ไข่ดาวก็ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนเป็นไข่ต้ม ไข่ตุ๋นหรือไข่เค็ม อาหารทุกอย่างต้องปิ้งและต้มห้ามทอดเป็นอันขาด เพราะจะทำให้ไอมากขึ้น เมื่อไข้สร่างก็จะห้ามกินแตงโม แตงไทยหรือผลไม้ที่เย็น
ผู้ที่เป็นไข้หวัดหรือไอ จะดื่มน้ำแข็งไม่ได้ เพราะจะทำให้เป็นมากขึ้น ต้องดื่มแต่น้ำร้อน ๆ ชาร้อน น้ำข้าวร้อน ๆ หรือบางทีก็น้ำมะตูมร้อน ๆ ที่เรียกว่า"น้ำชูบาน" ทำด้วยมะตูมสุก ๆ ต้มใส่น้ำตาลนิดหน่อย บางครั้งก็เอาเนื้อมะตูมไปราดน้ำผึ้งให้กินเป็นของหวาน แล้วเอาที่เหลือคือเปลือกและเม็ดและเนื้อที่ติดมาต้มทำน้ำชูบาน อีกอย่างหนึ่งก็คือนำมะตูมอ่อนที่หั่นเป็นแว่น ๆ ย่างไฟจนหอมแล้วชงน้ำร้อนให้ดื่ม หอม ๆ ดี แต่สู้น้ำชูบานไม่ได้
ถ้าใครเป็นแผลพุพอง แผลหกล้มถลอก หรืออุบัติเหตุอะไรก็ตาม จะถูกห้ามไม่ให้กินข้าวโพดข้าวเหนียว ขนมทุกชนิดที่ทำจากแป้งข้าวเหนียว กินได้แต่แป้งข้าวเจ้าและข้าวสาลีเท่านั้น เพราะจะทำให้แผลกลัดหนอง หายยาก แผลที่จวนหายแล้วกลับกลัดหนองขึ้นมาอีก แผลเล็กกลายเป็นแผลใหญ่ขึ้นมา คุณยายรู้สึกว่า ที่ผู้ใหญ่ห้ามนี้เป็นเรื่องจริง ๆ เพราะเคยพิสูจน์มาหลายครั้งแล้ว ครั้งหนึ่งคุณยายหกล้มหัวเข่าแตกเป็นแผลแห้งจวนจะหายดีแล้ว แต่ยังไม่หายสนิท คุณแม่ทำข้าวเหนียวมะม่วง อยากจะกินเหลือเกิน ก็บอกว่าแผลหายดีแล้ว จึงกินข้าวเหนียวมะม่วงมากไป พอรุ่งขึ้นเช้าก็ปวดและกลัดหนองขึ้นมาอีก ต้องกลับไปเดินขาเขยกอีก
อาหารอร่อย ๆ ดี ๆ ที่ชอบต้องอดไปเพราะเจ็บป่วยมีบ่อย ๆ กำลังเป็นแผลพุพอง ต้องอดข้าวต้มกุ้ง กุ้งทอดที่มีมันสีแดงเยิ้มคลุกข้าวอร่อย แม้แต่กุ้งเผาจิ้มน้ำปลาก็ไม่ได้ อาหารทะเล หอยนางรม ปลาทอดอร่อย ๆจิ้มน้ำปลามะนาวต้องอดหมด ต้องภาวนาขอให้หายเร็ว ๆ จะได้กินอาหารอร่อย ๆ อาหารพวกนี้ถูกหาว่าคาวจัด กินแล้วทำให้คันแล้วก็เป็นจริง ๆ ด้วย
หน้าลำไย ลิ้นจี่ หรือขนุน ก็ต้องจำกัดให้กิน เด็ก ๆ กินอะไรไม่รู้จักประมาณ กินจนไม่สบาย ลำไยกินมากไปก็ตาแฉะ เพราะร้อนเกินไป เด็ก ๆ ที่เป็นแผลพุพอง แผลจะเยิ้มมาก ลิ้นจี่ก็ย่อยยากถ้าธาตุไม่แข็งพอ เพราะมักทำให้ปวดท้อง ขนุนก็เหมือนกันย่อยยาก ทุเรียนนั้นร้อนมากห้ามกินตอนกลางคืน เพราะจะทำให้ร้อนจนนอนไม่หลับ
คุณตาเคยไม่เชื่อฟัง แอบกินขนุนเสียมากมาย ทั้งที่ท้องไม่ดีกินยาจวนจะหายอยู่แล้ว กลับเป็นมากขึ้นอีก เลยจับได้ว่าแอบไปกินขนุนมา จึงต้องกินยาอีกมากมายกว่าจะหายดี อาหารต่าง ๆ เหล่านี้แสลงจริง ๆ คุณตาและคุณยายลองมาแล้วแทบทั้งนั้น แต่แรกก็คิดว่าผู้ใหญ่นี้ใจร้ายใจดำ หวงไม่ให้กินอาหารอร่อย ๆ เมื่อเห็นฤทธิ์แล้วจึงรู้ว่าผู้ใหญ่นี้คิดถูก
หมอบอกว่า ถ้าไม่สบายให้กินอาหารอ่อน ๆ ย่อยง่าย ๆ ไว้เป็นดีที่สุด จะรักษาโรคให้หายได้เร็วกว่าให้กินอาหารได้ตามใจเด็ก ๆ แต่อันที่จริงคุณยายนั้นชอบข้าวเปียกกับปลาดุกย่าง บางครั้งถึงกับภาวนาไม่อยากให้หาย เพราะจะอดกินข้าวเปียกกับปลาดุกย่างจิ้มน้ำปลาอร่อย ๆ ต่อไป ต้องมากินข้าวสวย เด็ก ๆ และคนแก่ที่ฟันไม่ดีกินอาหารอ่อน ๆ ย่อยง่าย ๆ ดีเหมือนกัน