เรือนไทย

General Category => หน้าต่างโลก => ข้อความที่เริ่มโดย: จ้อ ที่ 19 พ.ค. 01, 06:50



กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 19 พ.ค. 01, 06:50
เกิดความสงสัยถึงความแตกต่างระหว่างสองนิกายของศาสนาอิสลามคือ
นิกายสุหนี่  และ นิกายซีอะห์ ว่าแท้จริงแล้วแตกต่างกันอย่างไรครับ?
แล้วมีนิกายอื่นๆ อีกหรือเปล่า

บังเอิญผมมีเพื่อนชาวอีหร่านหลายคน แต่ยังไม่ได้คุยกันให้แน่ชัดว่าต่างกันอย่างไร
จากที่คุยกันบ้าง เพื่อนบอกว่า ซีอะห์นี้จะมีจำนวนน้อยกว่าสุหนี่
และตามความรู้สึกของเพื่อนผม ซีอะห์ จะเคร่งในกฎต่างๆ น้อยกว่าสุหนี่
คือผ่อนปรนกว่า ... อันนี้ไม่ยืนยันเพราะคนเล่าให้ฟังเป็นนิกายซีอะห์

เท่าที่ทราบกลุ่มที่นับถือนิกายซีอะห์ จะมีน้อยกว่า นิกายซุหนี่ คือมีแค่ใน
อีหร่าน และ บางส่วนของอีรัก มุสลิมในส่วนอื่นๆ ของโลกนั้นจะเป็นสุหนี่
พี่น้องมุสลิมชาวไทยก็นับถือนิกายสุหนี่เช่นกัน ( ไม่แน่ใจว่ามีนิกายชีอะห์หรือไม่ )

เมื่อตอนที่ผมเด็กๆ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ โคไมนี่ ยังมีชีวิตอยู่
อีหร่านมีปัญหากับอเมริกามาก ข่าวสารต่างๆ ที่เผยแพร่ออกมามักจะทำให้
มีความรู้สึกว่า พวกมุสลิมนิกายซีอะห์ค่อนข้างจะหัวรุนแรง
( ในเนื้อข่าวมักใช้คำว่า "กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงนิกายซีอะห์" เป็นต้น )
อีกทั้งภาพข่าวค่อนข้างจะออกมาน่ากลัว เมื่อก่อนผมเลยกลัวๆ เหมือนกัน
แต่หลังจากคุ้นเคยและมีเพื่อนเป็นชาวอีหร่านหลายๆ คนมากขึ้นก็เริ่มเปลี่ยนทัศนะคติ
รู้สึกว่าความคิด และ วัฒนธรรม หลายๆ อย่างของมุสลิมนิกายนี้ก็น่ารักดี
บางอย่างคล้ายๆ คนไทยเสียด้วยซ้ำ ไม่น่ากลัวเหมือนในข่าวที่เคยดู

พอดีวันนี้จะไปเยี่ยมเพื่อนชาวอีหร่าน ประกอบกับในคอลัมน์เปิดฟ้าส่องโลก
ในไทยรัฐพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับอีรัก อีหร่าน เลยคุยบ้างดีกว่า ... อิอิ
เดี๋ยววันนี้ถ้ามีโอกาสจะแอบถามเพื่อนเกี่ยวกับเรื่องทั่วๆ ไปของอีหร่าน
ถ้ามีอะไรน่าสนใจจะมาเล่าให้ฟังครับผม


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 07 พ.ค. 01, 22:17
ดูเหมือนจะมี ซูฟี อีกนิกาย เข้าใจว่าเป็นนิกายย่อยกว่า 2 นิกายแรก แต่รายละเอียดคงต้องเชิญท่านผู้เป็นมุสลิมะห์หรือมุสลิมีนตัวจริงมาอธิบายครับ

จำได้รางๆ ว่า แยกกันเป็นสองนิกายใหญ่ (ชีอะห์ กับ สุหนี่) หลังท่านศาสดานบีมุฮัมหมัดสิ้นไปได้ไม่นาน


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 07 พ.ค. 01, 23:34
ผมไปอ่านคุณนิติภูมิมาแล้วครับ
ถูกแขวะแล้วเรียบร้อย...

ท่านว่าท่านจะเล่าเรื่องอิรักอิหร่าน ผมก็ตั้งใจพนมมือรับฟัง ก็จะเล่าก็เล่ามาสิ แต่ก่อนจะขึ้นต้นได้ท่านต้องแขวะเอาเชิงเสียหน่อยว่า ไม่ทราบที่จะเล่านี้ จะตรงกับที่นักปราชญ์มหาวิทยาลัยตะวันตกทั้งหลายเรียนๆ สอนๆ กันอยู่หรือเปล่า...

ผมหมั่นไส้จนขัน หัวเราะเลยครับ นึกถึงเด็กเกๆ เฮี้ยวๆ คนหนึ่ง โถ... อายุคุณนิติภูมิก็ไม่น้อยแล้วนะเนี่ย สไตล์หรือมารยาทอย่างนี้หรือเปล่าก็ไม่ทราบที่ถ่ายทอดมายังเด็กรุ่นใหม่บางคนที่ชื่นชม ชื่นชอบอ่านของคุณนิติภูมิแก พอดีจะรักกันได้ก็เลยรักแกไม่ลง

กำลังรออ่านตอนต่อไปของแกอยู่ครับ

อ้อ คุณจ้อครับ อันนี้ผมกระซิบบอกคุณจ้อคนเดียว (อย่าไปบอกท่านผู้เขียนนะครับ ผมกลัว แฮ่ะๆ) ว่า พระเจ้าชาห์แห่งอิหร่าน Shah ที่ถูกโค่นไปแล้วน่ะ ถอดเป็นไทยคงต้องมี ห การันต์ครับ คนไทยเราหลายคนมักสับสนกับพระเจ้าซาร์ของรัสเซีย Tsar ถูกโค่นไปแล้วเหมือนกัน อันนี้ ร การันต์

ส่วนลูกผสมเป็น ชาร์ ของคุณนิติภูมินั้น แกคงเผลอน่ะ ก็คนเราก็เผลอกันได้นี่นา  (ถ้าผมนิสัยอย่างเดียวกับคุณนิติภูมิ ป่านนี้ผมหุยฮาโห่แกไปแล้ว ว่าเป็นลูกศิษย์รัสเซียจนหลงจับชาห์/ซาร์มาปนกันมั่ว...)


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 08 พ.ค. 01, 06:33
พึ่งกลับมาจากเยี่ยมเพื่อนชาวอีหร่านครับ บังเอิญว่าคุยเรื่องอื่นกันเลยลืมถาม
เรื่องนิกายซีอะห์กับสุหนี่ไปซะนี่

... แหมคุณ นกข.ก็ ผมไม่ได้รู้จักมักจี่กับคุณนิติภูมิแกซะกะหน่อยจะไปบอกแกได้อย่างไร
ผมว่าถ้าเปรียบคุณนิติภูมิเป็นสาวสวย ก็คงเป็นสาวเปรี้ยว สาวมั่น ทำนองนั้น
หนุ่มๆบางคนก็ชอบชอบสไตล์เปรี้ยว บางคนก็ชอบ สาวเรียบร้อยกุลสตรี อันนี้แล้วแต่ครับ
แต่ถ้าถามหนุ่มเจ้าชู้หลายใจอย่างผม เป็นแฟนนิติภูมิก็จริง แต่ก็ไม่ใช่หนึ่งเดียวในดวงใจ
ยังมีชอบคุณแสงชัย และอื่นๆ อีกหลายคน  ( หลายใจจริงๆ ผมนี่ )
ยังนึกๆอยู่ถ้าคุณนกข. เกิดไปเป็นคอลัมนิสต์ขึ้นมา ผมคงติดงอมแงมต้องอ่านทุกวันแหงๆเลย

กลับเข้าเรื่องอีหร่านดีกว่า แหะๆ ...

ถ้าจะว่าไปอีหร่านคงรวยสู่อีกหลายประเทศในตะวันออกกลางไม่ได้เช่นพวก ซาอุดิอาระเบีย
คูเวต ฯลฯ ซึ่งขายน้ำมันจนร่ำรวย เลยดูเหมือนว่าอีหร่านล้าหลังกว่า
แต่จริงๆนั้นอีหร่านมีพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่แข็งมากและได้รับการส่งเสริมอย่างดี
จากรัฐบาล ปัจจุบันมีนักฟิสิกส์อีกหร่านที่อยู่ในขั้นชั้นนำของโลกอยู่หลายคนด้วยกัน
ในความคิดผม ในภูมิภาคตะวันออกกลางนี่ เห็นจะมีแต่อิสราเอลที่แข็งกว่า
ในด้านของพื้นฐานวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์

ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือทำไม้...ทำไม ตอนที่อเมริกามีปัญหากับอีหร่าน
แต่กลับมีนักเรียนอีหร่านอยู่ในอเมริกากับอังกฤษเยอะแยะ
นักฟิสิกส์ที่สำคัญของอีหร่านในยุคนี้หลายคนก็จบจากอเมริกา
หรือเป็นแผนดึงหัวกระทิ ... อืมน่าคิด


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: little sun ที่ 08 พ.ค. 01, 19:30
พี่ขาแล้วอิรักับอิหร่านนี่มีความคล้ายคลึงกันเหมือนลาวกับไทยมั้ยคะ


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 09 พ.ค. 01, 05:36
คล้ายขนาดไทยลาวหรือเปล่านี่ผมไม่แน่ใจ ขึ้นอยู่กับมองแง่ไหน
แต่ก็มีต่างเยอะเหมือนกันนะครับผมว่า
ที่อีหร่านต่างกับชาติอื่นๆแถบนั้นอย่างหนึ่งก็คือภาษา
ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ในอีหร่านจะพูดภาษาเปอร์เซียมีบางส่วนที่พูดภาษาอาระบิค
( เพื่อนบอกมาอีกที ) ในขณะที่ชาติตะวันออกกลางอื่นๆพูดอาระบิคเป็นส่วนใหญ่
ผมคิดว่าคนอีรักก็พูดภาษาอาระบิคมากกว่า

คนอีหร่านเขาจะภูมิใจว่าสืบเชื้อสายมาจากอณาจักร์เปอร์เซียสมัยก่อนนู้นนนน


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: อำแดงริน ที่ 09 พ.ค. 01, 21:58
สงสัยเรื่องที่ไม่ค่อยเกี่ยวกะข้างบนค่ะ ^_____^
เอ่อ ทำไมมุสลิมถึงกำหนดให้มีภรรยาสี่คนคะ
เขาน่าจะมีเหตุผลอะไรบ้างนะ นอกจาก...แล้ว
อิ อิ


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: little sun ที่ 10 พ.ค. 01, 16:34
พี่คะเมื่อวานหนูอ่านเรื่องการทักทายของคนอิรัก ที่คุณนิติภูมิเขียนเค้าบอกว่าคนอิรักผู้ชายที่เป็นเพื่อนกันเวลาเจอกันจะหอมแก้มเป็นการทักทาย  หนูก็เลยเกิดสงสัยว่า แล้วคนอิหร่านล่ะคะเวลาที่คุณJorเจอเพื่อนคนอิหร่านทักทายกันอย่างไรคะ


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 10 พ.ค. 01, 18:07
ผมคิดว่าทางศาสนาบอกว่าสามารถมีภรรยาได้ 4 คน แต่ไม่ใช่ต้องมีให้ถึง 4 คนมั้นครับ
ผมยังไม่เห็นเพื่อนที่เป็นมุสลิมคนไหนมีภรรยามากกว่าหนึ่งคนเลย
เคยได้ยินว่าไม่ใช่มีง่ายๆ ต้องแน่ใจว่าสามารถเลี้ยงดูได้และให้ความรักได้เท่ากันทุกคน
ส่วนเหตุผลจริงๆ ที่กำหนดไว้เช่นนั้นผมไม่ทราบครับ
ถ้าให้เดา (เดาจริงๆ) อาจจะเป็นเพราะสมัยก่อนผู้ชายมีน้อยก็ได้
เพราะพวกอาหรับก็รบกันบ่อยๆ และผู้หญิงสมัยก่อนต้องการคนคุ้มครองปกป้อง
เลยอนุญาติให้ผู้ชายสามารถมีภรรยาได้ 4 คนตามข้อแม้ดังกล่าว
คงต้องไปแอบถามเพื่อนมาอีกที ... อิอิ

ส่วนเรื่องการทักทายนั้น เท่าที่ผมเห็นคนอีหร่านเจอกันจะทักกันว่าโดยพูดว่า
" ซาลาม " คล้ายๆ กับสวัสดีทำนองนั้น แต่ไม่มีเอาแก้มมาหอมกันนะ
ผมไม่แน่ใจว่า อาจจะเป็นเพราะอยู่ต่างแดนเลยไม่ทำ แต่ในประเทศเขาอาจจะทำก็ได้
อันนี้ผมไม่ทราบ เท่าที่สังเกตุพวกคนอีหร่าน อีรัก ที่ผมรู้จักจะค่อนข้างระวังมารยาท
เช่น การเข้าห้องน้ำ การแต่งตัว จะแต่งเรียบร้อย(ขนาดผู้ชายนะ) ให้ร้อนแค่ไหนรับรองได้
ว่าจะไม่เห็นพวกเขาใส่กางเกงขาสั้น แม้แต่ไปเล่นฟุตบอลก็ยังใส่กางเกงขายาว

ที่ดีอีกอย่างหนึ่งคือไม่ดื่มเหล้า อันนี้ผมชอบมาก เพราะไม่เปลืองเหล้าผม ฮ่าาาๆๆๆ
แต่เคยเจอเด็กรุ่นใหม่ของอีหร่านตอนไปสัมมนา นายคนนั้นดื่มไวน์ได้แฮะ?
ผมสงสัยเลยถามว่า อ้าว... นายดื่มได้หรือ ไม่ห้ามตามพระคำภีร์หรือ ?
พ่อหนุ่มตอบว่า... ดื่มเหล้าไม่ห้ามหรอก แต่ห้ามเมา ... อืม ความรู้ใหม่ของผมครับ
แต่ถ้าทางจะห้ามยากนะไอ้เมานี่

ความจริงแล้วพวกฝรั่งอังกฤษเจอกันเขาก็หอมกัน แต่ต้องสนิทกันมากๆ
เช่นเพื่อนผู้ชายกับเพื่อนผู้หญิง หรือ เพื่อนผู้หญิงกับผู้หญิงด้วยกัน
แต่ถ้าเห็นเพื่อนผู้ชายหอมกัน ... เอ่อ ... อันนี้อีกกรณีหนึ่ง


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: little sun ที่ 11 พ.ค. 01, 09:24
ขอบคุณเจ้าค่ะที่มาให้ความรู้   ผู้ชายทำไมนะชอบดื่มเหล้ากันจริง


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: อำแดงริน ที่ 11 พ.ค. 01, 19:34
อืมมมมม...
เป็นได้ค่ะ
^____^


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: เปี้ยว ที่ 14 พ.ค. 01, 19:58
ภรรยา 4 คน !! โอ.. ไปอยู่เมืองแขกกันดีกว่าจ้อ ฮะๆ

ทำไมอาบังไม่กินหมูนะครับ ? ผมคิดว่าผมเคยรู้แต่ลืมซะแล้วว.


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: little sun ที่ 15 พ.ค. 01, 09:15
เค้าว่าหมูไม่สะอาดและเป็นสัตว์สกปรกค่ะ


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: ชายใหญ่ ที่ 17 พ.ค. 01, 23:02
เคยทราบคร่าวๆเรื่องความแตกต่างระหว่างสุหนี่และชีอะห์มาบ้างครับ เลยขอเล่าให้ฟังหน่อย  จะผิดถูกประการใดขออภัยด้วยครับ

เดิมทีอิสลามมีนิกายเดียวคล้ายๆกับพุทธหรือคริสต์นั่นแหละ  แต่แล้วก็มาแยกภายหลังไม่นานนักหลังจากท่านนะบีมูฮัมหมัดได้ไปสู่อ้อมกอดของอัลลาห์ได้ไม่นานนัก  โดยทางฝ่ายชีอะห์มีผู้นำคือเจ้าชายฮุสเซนหรือตำแหน่งทางชีอะห์เรียกว่า "อิหม่ามฮุสเซน" อันเป็นที่มาของชื่อผู้นับถือนิกายชีอะห์ในเมืองไทยว่า "แขกเจ้าเซน" คือผู้ถือนิกายของเจ้าชายฮุสเซนนั่นเอง  เหล่าชีอะห์เหล่านี้มีบรรพบุรุษเป็นชาวเปอร์เซีย  ตั้งหลักแหล่งอยู่ที่เจริญภาสน์ฝั่งธนบุรี  ชาวชีอะห์ทั้งหลายจะมีพิธีกรรมบางอย่างแตกต่างกับสุหนี่อยู่บ้าง เช่นการทรมานร่างกาย  ตีอก  ชกหัว รอบกองไฟ เพื่อแสดงความระลึกถึงและแสดงความอาลัยรวมถึงซึมซับความเจ็บปวดทรมานของอิหม่ามฮุสเซนก่อนที่ท่านจะตาย  เพราะอิหม่ามฮุสเซนได้๔กฆ่าตายอย่างทรมาน  พิธีกรรมที่ต้องใช้กองไฟเป็นสักขีนั้น  ผมมีความคิดเห็นส่วนตัวว่าน่าจะมีเค้ามาจากพิธีกรรมของนิกายดั้งเดิมของชาวเปอร์เซียคือลัทธิโซโรอาสเตอร์  หรือลัทธิบูขาไฟนั่นเอง (หนังสือกำลังภายในของจีนจะเรียกพวกที่นับถือลัทธินี้ว่า "ม้อก้า" หรือลัทธิมาร หรือพรรคมารนั่นเอง  แต่พวกเขาจะเรียกตัวเองว่า "เม้งก้า" ความในเรื่องนี้จะหาอ่านได้ค่อนข้าละเอียดในเรื่อง "ดาบมังกรหยก"ของกิมย้ง พระเอกหรือเตียบ้ออ้วง  ได้เป็นประมุขลัทธินี้ในตงง้วน)

กลับมาถึงเรื่องสุหนี่แชอะห์ต่อ  ความแตกต่างที่เด่นชัดคือ สุหนี่จะไม่มีผู้นำสวด  ไม่มีนักบวช  ไม่มีพระ  ทุกคนสามารถสวดมนต์  ได้ใกล้ชิดกับอัลลาห์ได้ด้วยตัวเอง  แต่ทางชีอะห์จะมีผู้นำสวด  ซึ่งมองในมุมของเราท่านที่ไม่ใช่ชีอะห์ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรดีนอกจากนอกจากนักบวช  แต่คงไม่ถูกต้องนัก  ซึ่งเรียกในทางชีอะห์ว่า "มุลลาห์" หรือ "มุลเลาะห์" และมุลลาห์ก็สามารถถูกโปรโมทขึ้นเป็นผู้นำสวดชั้นสูงขึ้นคือ "อยาตอลลาห์" ทั้งสองตำแหน่งนี้จะดูได้ที่สีผ้าโพกศีรษะ  คือสีขาวและสีดำ  ส่วนใครจะโพกสีดำสีขาว  ผมขออภัยด้วยครับ  จำไม่ได้จริงๆ
ตำแหน่งสูงสุดในนิกายนี้คือ "อิหม่าม" เช่นอิหม่ามฮุสเซน และอีกหลายๆท่านในอดีต  ตอนอยาตอลลาห์ โคไมนี่เถลิงอำนาจในอิหร่านใหม่ๆ  พวกขี้ประจบทั้งหลายพยายามเรียกท่านว่า "อิหม่ามโคไมนี่" เหมือนกัน

คัมภีร์ที่สำคัญของชาวชีอะห์นอกจาก อัล กุลอ่านแล้วยังมีชาเลียด้วย

ส่วนตำแหน่งต่างๆของนิกายสุหนี่โดยเฉพาะในเมืองไทยน่าจะมีการคลาดเคลื่อนไปบ้าง เช่น "โต๊ะอิหม่าม" นั้น  ผมไม่ทราบประวัติความเป็นมาเลยครับ


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: ชายใหญ่ ที่ 18 พ.ค. 01, 00:15
ต่ออีกนิดครับ
ผู้นับถืออิสลามแถบตะวันออกกลางและอ่าวเปอร์เซีย (พวกอาหรับเรียกว่า "อ่าวอาหรับ") รวมถึงอาฟริกาเหนือแบ่งตามเชื้อชาติแล้วเป็น 3 เชื้อชาติใหญ่ๆ  คือ
1. อาหรับ  ได้แก่ อิรัก  ซาอุดิอารเบีย  คูเวต  อิยิปต์ ฯลฯ และอีกหลายๆประเทศ พวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นสุหนี่ครับ  มีชีอะห์บ้างเล็กน้อย อาหรับบางประเทศได้ตั้งอยู่บนอาณาจักรดั้งเดิมของชนชาติอื่นที่ไม่ใช่อาหรับและมุสลิม เช่นอิรักซึ่งเป็นอาหรับได้ตั้งอยู่บนดินแดนเก่าของอาณาจักรเมโสโปเตเมียซึ่งล่มสลายไปก่อนหน้านานแล้ว  ที่เห็นชัดคือประเทศอิยิปต์  ซึ่งไม่ได้เกี่ยวพันกับอาณาจักรไอยคุปต์เลยไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติและศาสนา
2. เปอร์เซีย  คืออิหร่านปัจจุบัน  เป็นชนเผ่าอารยันโบราณดั้งเดิม  ไม่ใช่อาหรับ และไม่ชอบให้ใครเข้าใจว่าเป็นอาหรับด้วย  พูดภาษาฟารซี หรือเปอร์เซียนั่นแหละ  ทรนงในความเป็นเชื้อสายอารยันเปอร์เซียมาก เพิ่งมาเปลี่ยนชื่อประเทศจากเปอร์เซียเป็นอิหร่านหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ชื่อประเทศ"อิหร่าน" ก็มาจาก "อารยัน" นั่นเอง พวกนี้เป็นชีอะห์เกือบทั้งหมด
3. เติร์ก  พวกนี้กระจัดกระจายมากมาย  ที่ใหญ่สุดก็คือเติร์กในประเทศตุรกี  เคยมีอาณาจักรอันยิ่งใหญ่เรียกว่าอาณาจักรออตโตมาน มีแว่นแคว้มอยู่ในครอบครองมากมายทั้งเติร์กและไม่เติร์ก  ซึ่งเติร์กเองก็มีหลายเติร์กอีก  ทั้งเติร์กหน้าฝรั่ง เติร์กหน้าแขก หรือแม้กระทั่งเติร์กหน้าตี๋ หลังจากรบแพ้ฝรั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เติร์กต่างๆก็เลยแยกเป็นรัฐเป็นเมืองขึ้นฝรั่งหมด  สาธารณรัฐอิสลามต่างๆที่แยกมาจากโซเวียตก็มีเชื้อเติร์กซะเยอะ  ถ้าใกล้พวกอาหรับหน่อยก็หน้าเป็นแขก  ใกล้จีนหน่อยก็หน้าตี๋ๆพิกลเพราะมีเชื้อมองโกลผสม  ประเทศตุรกีนี่ก็แย่งฝรั่งมันมา  เพราะเป็นที่ตั้งเดิมของอาณาจักรโรมันตะวันออก  มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงคอนสแตนนิโนเปิล  เติร์กยึดได้ก็เปลี่ยนเป็นอิสตันบุลตามประสาเติร์กซะ  พวกนี้ส่วนมากก็เป็นสุหนี่อีกนั่นแหละ

นอกจากนี้ยังมีพวกเคิร์ดป้วนเปี้ยนอยู่ตามชายแดนอิรักอิหร่านตุรกีอีก  เป็นชนเร่ร่อน ป่านนี้ยังไม่มีประเทศเลย


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: N.K.Kh. ที่ 18 พ.ค. 01, 01:29
Thank you Khun Chai for your contrubution.

The "khaek chao sen" as the ancient Thai called them, were from Persia.



There is an old Thai verse referring to this group (sorry I can't type in Thai now) that went:- "Khaek Chao Sen Puak ti dten dtob dtee ok" (Those Khaek chao sen who dance and beat themselves on the breast.)



Does Khun Chai know anything about Sufism?

Can you also explain to us about the Caliphs? I think it has something to do with Imam Hussain as well - but I can't remember. Shukaran.


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: N.K.Kh. ที่ 18 พ.ค. 01, 01:39
I understand that in Thailand there are three classes of prayer leaders - I may be wrong. Pls feel free to correct me. These prayer leaders are- imam, khoteb, bilan. I do not know the details. In any case, KhunChai is right to say they are not priests or monks as in Buddhism or Roman Catholicism. Maybe they can be compared to pastors in Protestant Christian Churches.
Most Muslims in Thailand are Sunnites, except those originated from Persia as Khun Chai said.


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: ชายใหญ่ ที่ 19 พ.ค. 01, 14:37
เท่าที่เคยได้ยินได้ฟังได้อ่านมา
ตำแหน่งกาหลิบก็คล้ายๆเจ้าผู้ครองนครและเป็นผู้นำทางศาสนาอิสลามด้วย  คงจะคล้ายๆกับดาไล ลามะทางธิเบตกระมังครับ

ในนิทานอาหรับเก่าๆ ทำไมกาหลิบส่วนมากจะค่อนข้างเจ้าเล่ห์หรือโหดร้ายนักก็ไม่รู้

กาหลิบที่เราท่านน่าจะณุ้จักกันบ้าง ก็คงเป็นกาหลิบในนิยาย "อาหรับราตรี" หรือ "พันหนึ่งทิวา" นั่นเอง

ส่วนนิกาย โซฟีย  เคยคุ้นๆหูอยู่บ้าง  ว่างๆจะลองค้นคว้าดูครับ

เกร็ดอีกนิดนึงครับ    ในคอลัมน์ของคุณนิติภูมิเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว  ที่เขียนเรื่องของอิรัค จะลงท้ายว่า "อินชา  อัลลาห์" เป็นคำพูดติดปากของชาวมุสลิม แปลว่า "(เป็นไป)ตามพระประสงค์ของอัลลาห์"


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 19 พ.ค. 01, 18:46
ในสมัยแรกเริ่ม กาหลิบเป็นศาสนทายาทสืบต่อจากท่านศาสดา รับภาระการนำชุมชนมุสลิมทั้งในทางโลกและทางธรรม ใช่ไหม? และที่ผมว่า ไปเกี่ยวๆ กับท่านอิหม่ามฮุสเซนอยู่หน่อย ก็คือคลับคล้ายคลับคลาว่า ที่ท่านถูกฆ่าก็ด้วยการขัดแย้งกันในเรื่องการสืบต่อตำแหน่งผู้นำนี้เอง ใช่ไหม? ผมอาจจะจำผิดครับ ยังไม่ได้ค้น

กาหลิบสมัยต่อมาดูเหมือนจะค่อนๆ ไปทางเป็นเจ้าแผ่นดินทางโลก มากกว่าเป็นผู้นำทางศาสนา
พระเจ้ากาหลิบพระทัยดี สนพระทัยทุกข์สุขราษฎร ในนิทานก็มีครับ กาหลิบฮารูน อัลราษจิต ในนิทราชาคริตไง


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 19 พ.ค. 01, 18:50
คลับคล้ายคลับคลา อีก ว่าที่คุณชายพูดถึงคัมภีร์ของชีอะห์อีกเล่มนั้น คือ ชาเรียห์ - กฏหมายอิสลาม ใช่ไหมครับ อันนั้นรู้สึกทางสายสุหนี่ก็จะมีเหมือนกันนะ
ชูกะรัน - ครับ


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 18 ก.ย. 07, 19:11
ดิฉันสนใจเรื่องมุสลิมค่ะ  เคยอ่านบ้างในมติชนสุดสัปดาห์  แต่เนื้อหา รายละเอียดเยอะ  พอไม่มีเวลาพอเลยไม่ได้อ่าน  ยังไม่ทันรู้เรื่องอะไรเลยค่ะ  มาเจอกระทู้ที่นี่่  สนใจนะคะ  ตอนนี้อยากรู้เรื่องบ้านของคนมุสลิมมากเลยค่ะ  เคยอ่านเจอใน นิยาย ฟ้าจรดทราย ว่า มีการแยกส่วนกันอยู่ระหว่างหญิง ชาย  ขนาดนั้นเลยหรือค่ะ  ใครพอทราบบ้าง  ช่วยตอบที


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 19 ก.ย. 07, 11:14
สนใจเรื่องพิธีแต่งงานของมุสลิมด้วยค่ะ  ใครรู้บ้างค่ะ  หรือไปตามหาความรู้ได้ที่ไหนอย่างไร  ค้นจากinternetก็พบน้อยมากค่ะ


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 19 ก.ย. 07, 14:27
เรื่องนี้เราคุยกันมานานมาก ตั้งแต่ตั้งเว็บใหม่ๆ หลายปีแล้ว
สมัยนั้นยังไม่มีระบบสมาชิกด้วยว้ำไป เพราะฉะนั้น นกข. นิลกังขา NKKh คนเดียวกันหมดแหละครับ เพราะไม่ต้องล็อกอินในชื่อเดียวอย่างเดี๋ยวนี้ ตัวป่วนยังไม่เป็นปัญหาในตอนโน้น
(แต่พอตั้งระบบสมาขิกแล้วก็ย้ายเซิฟเวอร์ อะไรกันสักอย่างเนี่ย ผมหายไปพักหนึ่ง กลับเข้ามาใหม่เลยกลายเป็นเหมือนสมาชิกใหม่ - ใหม่ในตอนนั้น - ตามที่เคื่องคอมพิวเตอร์มันนับครับ)

ย้อนไปคิดดูแล้ว เรื่องนี้เราได้พยายามคุยกัน หาความรู้กัน และทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของพี่น้องมุสลิมร่วมสังคมของเรา กันมาตั้งแต่ก่อนเกิดกรณีสามจังหวัดภาคใต้ปะทุรอบหลังนี่หลายปี

...
..
.

ว่าด้วยคำถามนะครับ ผมไม่ใช่มุสลิม ท่านผู้รู้ทางมุสลิมถ้าผ่านมา โปรดให้วิทยาทานด้วยเทอญ

การแต่งงานภาษาอาหรับ ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ในคัมภีร์อัลกุรอาน เรียกว่าการ นิกะห์ ศาสนาอิสลามบัญญัติไว้อย่างละเอียดชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องการนิกะห์นี้ ว่าจะต้องทำยังไงบ้าง ขั้นตอนเป็นไง สินสอดทองหมั้น ชายต้องให้หญิงเท่าไหร่ยังไง มีข้อบัญญัติบ่งไว้ละเอียด อันนั้นเป็นพื้นฐาน แต่ขนบธรรมเนียมประเพรีท้องถิ่นของชุมชนมุสลิมในที่ต่างๆ ทั่วโลก ก็มาผสมด้วย ทำให้รายละเอียดพิธีการตามประเพณีอาจมีความแตกต่างกันไปได้ในแต่ละท้องถิ่นครับ

บทบัญญัติทางศาสนาอิสลามในเรื่องนี้ที่เรารู้จักกันดี ก็คือที่ว่าผู้ชายมุสลิมมีเมียได้สี่คน แต่ที่จริงมีเงื่อนไขและข้อแม้ รวมทั้งข้อกำหนดความรับผิดชอบของฝ่ายชายและอื่นๆ อีกหลายอย่างครับ ไม่ใช่ว่าชายต้องมีภรรยาสี่เสมอไป มีหนึ่งก้ได้ ถ้าจะมีมากกว่าหนึ่ง ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าศาสนาจะบอกว่าต้องสามารถรับผิดชอบผู้หญิงที่จะมาเป็นภรรยาได้ หรือมีความพร้อมที่จะมี ไม่ใช่นึกจะมีก็มีโดยไม่รับผิดชอบ ผมไม่แน่ใจนักว่าจะต้องได้ความยินยอมของภริยาคนก่อนๆ ด้วยหรือเปล่าจึงมีภริยาเพิ่มได้ รายละเอียดจำไม่ได้แต่ว่ามีรายละเอียดข้อกำหนดไว้อยู่ครับ


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 19 ก.ย. 07, 16:13
ขอบคุณ และดีใจค่ะที่ความพยายามของดิฉันประสบความสำเร็จ  เพราะตั้งใจว่าจะพยายามให้กระทู้นี้กลับมาเป็นประโยชน์อีกครั้ง 

ดิฉันเคยมีครูเป็นคนอิสลาม  ท่านน่ารักมากเลยค่ะ  ท่านจะมีคำพูด คำสอนให้เราได้คิดอย่างมีเหตุผล  แตกต่างจากมุมมองที่เราได้เห็นกันอยู่ทั่ว ๆ ไป  เลยทำให้ดิฉันไม่เห็นด้วยกับที่ใคร ๆ มักจะพูดว่าคนอิสลามเคร่งครัด  เชื่อศาสดาเหมือนไม่มีเหตุมีผล  ส่วนอาจารย์อีกท่านหนึ่งท่านเป็นอิสลามที่ออกจะประชดประชัน  เช่น พอเราเห็นท่านกินหมู  ก็จะถามท่านว่า  อาจารย์เป็นอิสลามทำไมกินหมูล่ะคะ  ท่านบอกว่า  หมูตัวที่พระเจ้าห้ามตายไปแล้ว  จริง ๆ แล้วเข้าใจว่าท่านคงเข้าใจที่มาของคำสอน ข้อห้าม ของพระเจ้า  ดังนั้นท่านจึงต้องปรับบ้างเพื่อความสะดวกในการใช้ชีวิต

ดิฉันสนใจเรื่องอิสลามมานานแล้วค่ะ  แต่สภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวช่างหาความรู้ได้ยากจริง ๆ เคยรู้จักน้อง ๆ ที่เป็นอิสลามอยู่บ้าง  แต่ตัวเขาเองก็ช่างไม่รู้อะไรเท่าไหร่เลย  รู้แต่ว่าตัวเองกินหมูไม่ได้  ไม่ไหว้พระ  ถือศิลอดตามประเพณี  คนตายต้องทำพิธีให้เสร็จใน 1 วัน  ถามว่าเพราะอะไร  ทำไม  อย่างไร  ก็ไม่รู้  อย่างนี้ศาสนาอิสลามถ้าจะลำบากนะคะนี่

คงไม่ต้องเป็นผู้รู้ก็ได้นะคะ  แค่พอรู้มาเปิดประเด็นกันก็มีประโยชน์ยิ่งค่ะ


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 19 ก.ย. 07, 19:01
ลองให้น้องกู๊กค้นคำว่า นิกะห์ ดู ได้เว็บมาหลายเว็บ เชิญตามไปชมครับ

http://women.sanook.com/wedding/tips/wed_tips_05053.php (http://women.sanook.com/wedding/tips/wed_tips_05053.php)


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 19 ก.ย. 07, 19:32
ผมไม่ใช่มุสลิมหรือ มุอมิน (แปลว่าศรัทธาชน ในภาษาอาหรับ) เป็นพุทธ อย่างผมนี่คงจะเข้าข่ายกาเฟร คือคนนอกศาสนา (ของเขา) คงตรงกับคำว่า infidels แต่ผมก็มีเพื่อนมีฝูงมีคนรู้จัก มีกระทั่งญาติ เป็นมุสลิมแยะ บรรพชนผมเองสี่ร้อยปีที่แล้วก็เป็นมุสลิม ไม่มีความจำเป็นใดๆ จะต้องทะเลาะกันเพราะศาสนา คบกัน นับถือกันและกัน ทำงานร่วมกันได้

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เป็นคนนอกอยู่ดี จึงเกรงใจที่จะมาพูดหรือวิจารณ์ในเรื่องบางเรื่อง โดยที่ตัวเองไม่ใช่มุสลิม คงต้องผ่านคำถามบางคำถามให้ท่านผู้อยู่ในศาสนาอิสลามตัวจริงขี้แจงครับ

แลกเปลี่ยนเล่าสู่กันฟังได้แค่ว่า ตามที่ผมได้ยินอาจารยืผมคนหนึ่งซึ่งเป็นมุสลิมเองและเป็นผู้รู้ในศาสนาของท่านด้วย ท่านว่า หมูเป็นสัตว์ต้องห้ามตามศาสนาน่ะใครก็รู้ ทางศาสนาใช้ศัพท์อาหรับว่า หะรอม แต่ถ้าถึงคราวจำเป็น ต้องกินไม่ให้อดตาย ศาสนาผ่อนปรนยอมให้กินได้ครับ แต่สิ่งที่หะรอมหรือต้องห้ามเหมือนกันและห้ามเคร่งเครียดกว่ามาก คือเหล้า ถ้าว่ากันตามหลักจริงๆ ทางศาสนาไม่ยอมให้กินครับ (ความประพฤติส่วนบุคคลของศาสนิกชนแต่ละคนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง) คงจะเห็นว่า เหล้ามีแต่โทษ ไม่ต้องกินก็ไม่ตาย ไม่รู้จะกินเข้าไปทำไม แต่หมูเนี่ย ถ้าจำเป็นต้องกิน ยังพอสงเคราะห์ได้ว่าเป็นอาหาร ท่านว่าทั้งๆ ที่ อัล-กอฮอล์ นั้น นักเคมีอาหรับจากโลกมุสลิมเป็นคนค้นพบ (ชื่อยังเป็นภาษาอาหรับอยู่เลย อังกฤาได้คำว่า อัล-กอฮอล์ มาจากอาหรับครับ) แต่คนมุสลิมถูกห้ามครับ บริโภคไม่ได้

ฉะนั้นครูของคุณ pakun2k1d ถ้าทานหมู แต่ไม่ทานเหล้า น่าจะยังพอกล้อมแกล้มรับได้ (ในสายตาผู้ที่เคร่ง) มากกว่าทานเหล้าโดยไม่ทานหมู หน่อยหนึงมั้ง? แต่นั่นแหละเราทั้งคู่ก็ไม่ควรเสียมารยาททำตัวเป็นผู้ตัดสินเรื่องภายในของเขา เพราะเราคนนอก อย่างผมน่ะรับประทานหมูแหนมแกล้มเหล้าบ่อย แฮ่ะๆ..

สิ่งที่ศาสนาบัญญัติให้มุสลิมบริโภคได้ คำอาหรับเรียกว่า ฮาลาล Halal แปลว่า ซึ่งได้รับอนุญาต เป็นเรื่องน่าสนใจครับ อุตสากรรมอาหารฮาลาลเป็นธุรกิจใหญ่โตมหาศาลในตลาดโลก และเมืองไทยเรากำลังพยายามลองเจาะเข้าไปในตลาดนี้ เราอาจไม่ค่อยรู้กันมากนักว่า ห้องแล็บตรวจหาความเป็นฮาลาลหรือไม่ฮาลาล ปนเปื้อนหรือบริสุทธิ์ นั้นเช็คได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ และห้องแล็บฮาลาลที่นับได้ว่าดีที่สุดในเอเชียหรืออาจจะเป็นของโลก ไม่ได้อยุ่ที่ประเทศมุสลิมครับ อยู่เมืองไทยเรานี่เอง ที่จุฬาฯ (เพราะคนอื่นยังไม่ทันคิดจะทำกันมากนัก เราเป็นผู้บุกเบิก) มาเลเซียมองตามเป็นมันอยากมาร่วมมือกับแล็บไทย

อะไรหะรอมอะไรฮาลาลนั้นมีบัญญัติทางศาสนาไว้ละเอียดพอควร ที่เรารู้กันก้คือหมุและส่วนประกอบใดๆ ที่มาจากหมูอันนี้ปนไม่ได้ อัลกอฮอล์ก็ไม่ได้ แต่ยังมีอย่างอื่นอีก เลือดสัตว์ เพื่อนมุสลิมของเราก็ทานไม่ได้ครับ และมีอย่างอื่นๆ อีก เวลาเชือดสัตว์ที่ได้รับอนุญาตให้ทาน ก็ต้องมัวิธีเชือดเป็นพิเศษ ผมเข้าใจว่าต้องให้เลือดตกหมด หรือต้องใช้ความเร็วไม่ให้สัตว์ทรมาน หรือต้องมีการเอ่ยถ้อยคำทางศาสนาตอนเชือด - อะไรทำนองนั้นลืมรายละเอียดแล้ว ซากสัตวืตายเองก้ไม่เป็นที่อนุญาต เขาต้องเชือดทานเอา (อย่างถูกวิธี) เกิดเดินๆ ไปเจอะสัตว์ตายเอง จะเอามากินไม่ได้ ห้าม ซึ่งเขาก็มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์และอนามัยนะครับ เพราะเราไม่รู้ว่ามันตายเพราะอะไร ป่วยตายรึเปล่า เอามากินเดี๋ยวจะป่วยตาม สู้เชือดเองไม่ได้ รู้แน่ๆ ว่าสัตว์มาจากไหนและไม่ได้ป่วย ปลอดภัยกว่าในแง่นั้น

ที่จริงคำว่า หะรอม ที่เป็นคู่กับฮาลาล นั้น อาหรับแปลว่า ซึ่งเป็นที่หวงห้าม ซึ่งไม่ได้รับอนุญาต ฟังดูอาจจะไม่คุ้นหู แต่ผมเชื่อว่าสมาชิกชายในเว็บคงรู้จักคำอีกคำหนึ่ง ที่มาจากคำนี้นะแหละ คือคำว่า ฮาเร็มครับ ใช่ครับส่วนหวงหน้ามหรือวังในที่มีแต่สาวๆ นางสนมสุลต่านนั่นแหละ รากเดียวกัน เป็นเขตหวงห้ามไงครับ     


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 21 ก.ย. 07, 06:40
ขอบคุณ คุณนิลกังขาค่ะ  รู้สึกว่า  ศาสนาอิสลามมีข้อกำหนดที่ลึกไปในรายละเอียดเยอะมาก ๆ นะคะ  อะไรที่ทำให้ศาสดาของอิสลามต้องกำหนดละเอียดขนาดนั้น  อย่างศาสนาพุทธ  โดยคำสอนจริง ๆ พระพุทธเจ้า ไม่ได้มีข้อกำหนดอะไรมากมายเลย  รายละเอียดพิธีกรรมทั้งหลาย  เป็นเรื่องที่เรามากำหนดกันเองทั้งนี้น  ศาสนาคริสต์ก็ไม่กำหนดไปในรายละเอียดเยอะนะคะ  พอไม่เยอะก็เลยตีความแตกเป็นนิกายต่าง ๆ มากมาย 

ดิฉันว่าถ้ารายละเอียดลึกซึ้งขนาดนี้เราคงหาคนมาแจมประเดินนี้ยากเอาการนะคะ  แต่ก็อยากนะคะ  อยากชวนคนที่พอรู้มาขยายวงนี้หน่อยค่ะ  เพราะแค่คุณนิลกังขาบอกมานี่  ดิฉันพอเข้าใจแล้วว่า  ทำไมคนมุสลิมถึงได้เคร่งครัดนัก  เพราะข้อกำหนดของศาสนาของเขาละเอียดลึกมาก ๆ  แล้วถ้าเป็นอย่างนี้  ลองคิดดูซิคะว่าถ้าคนมุสลิมที่เคร่งครัดไปเดินตลาดที่คนขายส่วนใหญ่เป็นพุทธที่ช่างจะไม่มีข้อกำหนดอะไรเลย  คนมุสลิมจะหาของกินได้ไหมค่ะ  คนมุสลิมก็จะกลายเป็นคนเรื่องมาก  ไอ้นั่นก็ไม่ได้  ไอ้นี่ก็ไม่ได้  คนขายก็หงุดหงิดว่าพวกนี้เรื่องมาก  คนซื้อก็หงุดหงิดที่หาของไม่ได้ซักที  มันก็จะปัญหาแหละค่ะ

ดิฉันมองดูว่า  ศาสนาพุทธ กับศาสนาอิสลาม ต่างมุ่งให้คนทำดี เป็นคนดี เหมือนกัน  แต่ต้องบอกว่าวิธีการต่างกันคนละขั้วเลย  เพราะพระพุทธเจ้าบอกเลยว่า  จงอย่าเชื่อมาแต่เรา(กาลามสูตร)ให้ไปพิจารณาเอง  เพราะฉนั้นคนพุทธก็ไม่เคร่งครัดอย่างที่เห็นและเป็นอยู่  แต่ศาสนาอิสลามสอนว่าอย่างไรไม่แน่ใจ  แต่เท่าที่รู้คงให้ยึดถือปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด  ดิฉันว่าต้องมีที่มาของความเคร่งครัดนี้  แล้วเราก็จะได้รู้ว่าความเคร่งครัดนี้มีข้อดีอย่างไร  ผู้รู้ช่วยออกมาบอกหน่อยนะคะ

เรื่องการแต่งงาน  ดิฉันได้เข้าไปอ่านแล้วนะคะ  แต่ยังไม่ค่อยเข้าใจ  อ่านแล้วยังงง ๆ อยู่  แต่ไม่เป็นไรค่ะ  จะลองค้นเพิ่มเติมดู  มีอะไรน่าสนใจจะมาบอกต่อ


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 23 ก.ย. 07, 16:01
ไปตามค้นและศึกษาเรื่องมุสลิมอยู่ค่ะ  เป็นศาสนาที่มีความละเอียด ลึกซึ้งในเรื่องข้อปฏิบัติต่าง ๆ มาก  มีคำศัพท์เฉพาะมากมายค่ะ  มิน่าทำไมต้องมีโรงเรียนปอเนาะ  ทำไมต้องอ่านพระคัมภีร์  ไปพบเว็ปไซด์ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับศาสนาอิสลามที่อ่านง่าย  ช่วยให้คนนอกศาสนาอย่างเราเข้าใจได้ง่ายค่ะ  ใครสนใจตามไปอ่านได้นะคะ 

http://www.halalthailand.com/olips/index.php


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: kindness ที่ 06 มี.ค. 08, 17:29
สนใจเรื่องพิธีแต่งงานของมุสลิมด้วยค่ะ  ใครรู้บ้างค่ะ  หรือไปตามหาความรู้ได้ที่ไหนอย่างไร  ค้นจากinternetก็พบน้อยมากค่ะ

^
^
^
 ;D


ขออนุญาตขุดกระทู้ มาอธิบายเรื่องอิสลามนะคะ ^^

พิธีแต่งงานในอิสลามนั้นมีพิธีการเช่นไร?

ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่าน


เงื่อนไขการแต่งงานในอิสลามมี 5 ประการ ดังนี้

1. หญิงและชายต้องเป็นมุสลิมทั้งคู่ หลังแต่งงานไปแล้ว หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตกศาสนา
ความเป็นสามีภรรยาก็ถือเป็นอันสิ้นสุดไปด้วย การอยู่ร่วมกันหลังจากนั้นถือเป็นการผิดประเวณี
อ่านเรื่องทำไมเมื่อแต่งงานกับมุสลิมต้องเปลี่ยนศาสนาได้ ที่นี่  (http://www.annisaa.com/forum/index.php?topic=5.0)

2. ผู้ชายต้องจัดหามะฮัรฺ (ของขวัญแต่งงาน) ให้แก่ผู้หญิงตามที่ผู้หญิงร้องขอ เมื่อทำพิธีแต่งงานทางศาสนาเสร็จ
มะฮัรฺนี้จะเป็นของผู้หญิงครึ่งหนึ่งก่อน จนกว่าจะได้อยู่ด้วยกันโดยพฤตินัยแล้ว มะฮัรฺก็จะเป็นของผู้หญิงทั้งหมด
หากหลังพิธีแต่งงานแล้วคู่บ่าวสาวมิได้มีความสัมพันธ์ฉันสามีกันจริงๆ มะฮัรฺก็จะเป็นของผู้หญิงเพียงครึ่งเดียว

3. ต้องมีพยานเป็นชายมุสลิมที่มีคุณธรรมอย่างน้อย 2 คน

4. ต้องมีวะลี (ผู้ปกครอง)ของผู้หญิงให้อนุญาตแต่งงาน หากพ่อผู้หญิงมิใช่มุสลิม ไม่สามารถเป็นวะลีได้ ผู้หญิงจะต้องแต่งตั้งให้ใครเป็นวะลีทำหน้าที่ในพิธีแต่งงานให้ ทำพิธีเสร็จแล้ว ความเป็นวะลีโดยการแต่งตั้งก็เป็นอันจบไป

5. มีการเสนอแต่งงาน(อีญาบ)จากทางวะลีของฝ่ายหญิง และเจ้าบ่าวต้องกล่าวรับ(กอบูล)


พิธีกรรมแต่งงานก็ประกอบด้วยการคุฏบ๊ะฮฺนิก๊ะฮฺ เสร็จแล้วก็ทำพิธีนิก๊ะฮฺตามหลักศาสนา
โดยการกล่าวเสนอแต่งงานจากทางวะลีฝ่ายหญิง และฝ่ายชายตอบรับ เท่านั้นก็เป็นเสร็จพิธี

ส่วนงานเลี้ยงฉลองแต่งงานเราเรียกว่า "วะลีมะฮฺ" อิสลามส่งเสริมให้ทำเพื่อแสดงความยินดี
และรื่นเริงเพราะเป็นโอกาสสำคัญ แต่งานเลี้ยงต้องไม่ฟุ่มเฟือย



หลักการศาสนาอิสลามเป็นเช่นนี้ทุกที่ทั่วโลก หากนั้นนอกเหนือจากนั้นเป็นการเพิ่มเติมขึ้นมาเอง

อาบน้ำเจ้าสาว จุดเทียนตัดเค้ก การแห่ขันหมากไปมา เจ้าสาว เจ้าบ่าว มีอ้อย และอื่นๆนั้น
เป็นสิ่งอุตริที่ไม่มีอยู่ในอิสลาม มนุษย์สร้างขึ้นมาให้เล่นให้วุ่นวาย และนำมาเหมารวมว่า มันคือพิธีกรรมทางอิสลาม

อิสลามไม่สนับสนุนให้ทำ เพราะมันสร้างภาระ และสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ


และการเลี้ยงฉลองงานแต่งงานหากมีการเลี้ยงเกิน 3 วัน
ถือเป็นการฟุ่มเฟือยโอ้อวดและท่านนบีไม่สนับสนุนงานเช่นนี้ค่ะ อิสลามห้ามเรื่องการ โอ้อวดและฟุ่มเพื่อยโดยใช่เหตุ

ท่านนบีกล่าวไว้ว่า อาหารมื้อที่ดีที่สุด คืออาหารในงานนิก๊ะห์ และอาหารที่แย่ที่สุด คืออาหารในงานวลีมะห์ (อาหารงานฉลองงานแต่งงาน)
เนื่องจากเจ้าภาพ มักเชิญเฉพาะคนรวย คนที่มีฐานะทางสังคม ส่วนคนที่ยากไร้ต้องการอาหารประทังชีวิต กลับไม่ได้รับเชิญ

บางกลุ่มชนของอินโดนีเซียนั้นพิธีการมีการเลี้ยงฉลอง 7 วัน
และประเพณีแต่ละที่ก็แตกต่างกันไปตามพื้นที่


หากกลุ่มคนใดที่ปฏิบัติตามหลักการศาสนา ก็จะไม่มีสิ่งเสริมนอกเหนือเพิ่มเติมที่กล่าวมาค่ะ

ต้องแยกให้ออกระหว่าง ประเพณีที่ทำตามกันมา กับหลักศาสนา ค่ะ





ส่วนเรื่องสินสอดในอิสลามนั้น มีกล่าวไว้ดังนี้.....

ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า " สตรีที่ดีที่สุด คือสตรีที่เรียกมะฮัรฺ (จากฝ่ายชาย) น้อยที่สุด"

มะฮัรฺ หมายถึง ทรัพย์สิน,เงินทองที่ฝ่ายเจ้าบ่าวมอบให้แก่ฝ่ายเจ้าสาวเท่านั้น
ญาติของนางไม่มีสิทธิ์ เข้ามามีส่วนกำหนดทรัพย์สิน ว่าจะต้องได้เท่านั้นได้เท่านี้

ถือว่าผิดหลักคำสอนของศาสนา แม้ว่าญาติของนางจะอ้างสิทธิ์อันชอบธรรมอะไรก็ตาม
ศาสนาไม่อนุญาตให้ญาติมีส่วนมาตัดสินใจเกี่ยวกับการกำหนดมะฮัรฺ
แต่ปัจจุบันผู้คนหลงลืมไปว่า การเรียกเงินสูงๆ เป็นการให้เกียรติ และนับหน้าถือตาในสังคม และยกย่องกันแต่เรื่องฐานะ


ลืมหลักการศาสนา ที่อิสลามมีกล่าวไว้ตั้งแต่เกิดจนตายว่า เท่าเทียมกัน..

ผู้ที่ดีที่สุดคือผู้ที่ศรัทธาและอยู่ในหลักการศาสนา ซึ่งเป็นผู้ที่ปฏิบัติความดีงาม อ่อนโยนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อเพื่อนมนุษย์และไม่โอ้อวดฟุ่มเฟื่อย......ไม่หลงงมงายกับฐานะหน้าตาทางสังคม ที่สร้างกันขึ้นมาเอง

งานวะลีมะฮฺ หมายถึง เจ้าบ่าวเจ้าสาวเลี้ยงอาหารให้แก่แขกที่มาเป็นสักขีพยานในงานพิธีนิก๊ะห์
หรืองานฉลองการแต่งงานนั่นเอง ...ทั่วไปเรียกว่า งานมงคลสมรส...

งานวะลีมะฮฺจะจัดงานในวันเดียวกับงานพิธีนิก๊ะห์ก็ได้ หรือจะจัดงานภายหลังพิธีนิก๊ะห์ก็ได้

ซึ่งท่านนบีมุฮัมหมัด ซอลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมฮฺ กระทำไว้เป็นแบบอย่าง
โดยจัดงานวะลีมะฮฺระยะห่างจากจัดงานนิก๊ะห์ประมาณ1สัปดาห์


หากนิก๊ะห์เสร็จแล้ว อีก 1 หรือ 2 วันจะจัดงานวะลีมะฮฺนั้น สามารถกระทำได้ค่ะ
เพราะศาสนาอนุญาตให้กระทำได้

เช่น

การที่มุสลิมทำพิธีนิก๊ะหฺ์ที่มัสยิด/บ้าน ในตอนเช้า และมีงานฉลองอีกงานหนึ่งโรงแรม/สถานที่อื่น

หรือ

ทำพิธีนิก๊ะหฺ์ที่มัสยิด/บ้าน ในวันหนึ่ง และมีงานฉลองอีกงานหนึ่งที่โรงแรม/สถานที่อื่น ใน 2 วัน หรือ อีก 1 อาทิตย์ถัดมา


(http://www.bloggang.com/data/narok/picture/1163991340.jpg)


ด้วยความเคารพและจิตคารวะค่ะ



Ref: annisaa.com (http://www.annisaa.com/forum/index.php?topic=46.0)



กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: kindness ที่ 06 มี.ค. 08, 17:33
ขอเพิ่มเติม

พบเว็บนี้โดยบังเอิญ ดูๆแล้วชอบมากค่ะ ทั้งเนื้อหาทั้งสีสันสบายตา
ให้กำลังใจผู้จัดทำที่นำสิ่งดีๆมาค่ะ
 :D


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 07 มี.ค. 08, 01:56
เท่าที่ท่าน นกข. ว่ามาถือว่ามีความรู้เรื่องศาสนาอิสลามมิใช่น้อยแล้วล่ะครับ  อิอิ  แต่ต้องยอมรับว่าประเด็นเรื่องการมีภรรยาได้ถึง 4 คน  เป็นสิ่งที่เราสนใจโดยเฉพาะหนุ่มๆ อิอิ  แต่ถ้าจะว่ากันในเชิงวิเคราะห์  ทุกอย่างมีเหตุและผลครับ  แต่ความละเอียดอ่อนในเรื่องศาสนาจึงยากที่จะพูด  แต่ด้วยความเคารพในสิทธิของศาสนิกทุกท่านไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด  ผมเชื่อในหลักการที่คล้ายกัน  คือต้องการให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างมีระเบียบและมีความสันติสุข

การหอมแก้มเป็นวิธีหนึ่งในการทักทายกันครับ  ในไทยก็ใช้อย่างนี้ครับเหมือนกับชาวมุสลิมทั่วโลก  การทักทายมี 2 อย่างที่เห็นบ่อยที่สุด คือการสัมผัสมือแล้วแตะหน้าอกหรือหน้าผาก  อีกอย่างคือการกุจุ๊บ หรือที่เราเรียกการหอมแก้มเป็นการให้ความสนิทสนมหรือคุ้นเคยเป็นการทักทายที่ถือว่าเป็นปกติครับ...

เท่าที่เคยร่วมพิธีแต่งงานหลายครั้ง  เห็นทำที่บ้านทุกครั้งถ้าพ่อไม่มีก็จะใช้พี่ชายคนโตแทนครับ  วะลีพยานเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่ง  การกล่าวคำรับสตรีด้วยชื่อมาเป็นภรรยาเป็นพิธีการที่สำคัญเช่นกัน  ส่วนการเลี้ยงการแห่หรืออะไรต่างๆเป็นเพียงส่วนประกอบมีก็ได้  แต่ไม่ให้ฟุ่มเฟือยครับ  สตรีจะไม่ประทินเครื่องหอมไม่ใส่เครื่องทองหยองถือว่าผิดครับ  เป็นความเรียบง่ายที่เต็มไปด้วยศรัทธา น่าชื่นชมจริงๆครับ....... ;D


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 10 มี.ค. 08, 23:31
ดิฉันอ่านนวนิยายเรื่อง ฟ้าจรดทราย ได้บรรยายพิธีแต่งงาน มีกริยาที่เรียกว่า รัวลิ้น คืออะไรค่ะ  เพราะที่อ่านพิธีแต่งงานของอิสลามไม่เห็นมีพิธีกรรมนี้เลยค่ะ


กระทู้: คุยเรื่องมุสลิมกันบ้างดีกว่า
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 11 มี.ค. 08, 02:10
รัวลิ้นคงไม่เกี่ยวครับ  ไม่ใช่พิธีแน่นอน  และคำกล่าวในระหว่างพิธีก็ไม่มีคำไหนต้องรัวลิ้นด้วยครับ.... :D