เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์ไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: sugar ที่ 08 ก.ย. 09, 14:53



กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: sugar ที่ 08 ก.ย. 09, 14:53
ดิฉันรู้สึกว่าความเป็นเจ้าหรือการได้เกี่ยวดองกับเจ้านั้นเป็นสิ่งที่คนในสมัยก่อนนิยมชมชอบกันมาก เหมือนกับว่าได้รับการยกย่องได้รับเกียรติมีคนนับหน้าถือตาเป็นชนชั้นสูง เป็นผู้ดีแปดสาแหรก มีภาษีดีกว่าพวกเศรษฐีซะอีก  รุ่นคุณแม่ดิฉันก็ชอบพูดเรื่องเจ้าอยู่บ่อยๆ ชอบอะไรๆเกี่ยวกับเจ้า และเลือกเจ้ามากกว่าเลือกเงิน แต่...อนิจจา เจ้ามากมายที่สืบเชื้อสายลงมานั้น ปัจจุบันบางคนก็จน ทำงานก็ไม่เป็น ติดความเป็นผู้ดีซะเคยตัว เจ้ายศเจ้าอย่าง ดูแลครอบครัววงค์ตระกูลก็ไม่อยู่ บางครั้งต้องขายทรัพย์สินเก่าๆเพื่อเลี้ยงชีพ อาจดูเหมือนดิฉันเขียนรุนแรงและไม่ให้เกียรติ แต่มิได้ค่ะ ดิฉันเพียงเสนอความจริงด้านหนึ่งเพื่อลดความกดดันของตัวเองและความสงสัยที่เกิดเมื่อโลกเปลี่ยนไป ชีวิตเปลี่ยนไป แต่ไม่อาจเปลี่ยนนิสัยและความเคยชิน ติดอยู่กับความเป็นเจ้าที่ยากจน ดิ้นรนไม่เป็นซะงั้น

นี่คือเรื่องราวจากประวัติศาสตร์สู่ยุคปัจจุบันกับการเปลี่ยนแปลงค่ะ ดิฉันยินดีรอรับคำวิจารณ์ค่ะ


กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: srisiam ที่ 08 ก.ย. 09, 15:29
ประเด็นน่าจะอยู่ที่ว่า..เราเชื่อหรือไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงที่กำลังรุกคืบคุกคามวิถีชีวิตและความคิดของพวกเราในทุกวันนี้..ให้เชื่อมั่นในการบูชาเงินเป็นพระเจ้า..ทำทุกอย่างเพื่อไต่เต้าที่จะเป็นเศรษฐี..เป็นสิ่งที่สร้างสุขแก่เราอย่าแท้จริงและเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่...หากไม่?  อะไรเล่าคือแก่นสารแห่งชีวิต...ส่วนประเด็นเรื่องเจ้านั้น...ทุกวันนี้ขบวนการล้มเจ้า..ต้องยอมรับว่ามีอยู่จริง...แต่ทำไมไม่หวนคิดและจำแนกแยกแยะ...ว่า"เจ้า" คือผู้มีพระคุณแห่งแผ่นดิน ...สืบเนื่องมาช้านาน..หากมีบาง"เจ้า"  ที่นอกลู่นอกทางก็น่าเป็นเรื่องเฉพาะตนของแต่ละ"เจ้า" หาควรไม่ที่จะมาเหมารวมด่วนสรุปจนลืมมองรากเหง้าของเราเผ่าไทย...ว่าล้วนเป็นหนี้บุญคุณของบรรพบุรุษซึ่งเป็น"เจ้า"ของเราอยู่..จนแทบจะกลายเป็นผู้อกตัญญูโดยไม่เจตนา..


กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: sugar ที่ 08 ก.ย. 09, 16:07
ดิฉันยังคงรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้เหนือเกล้าค่ะ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ไม่เกี่ยวกับการคิดล้มเจ้าล้มศักดินาใดๆ เพียงแต่รู้สึกว่าเมื่อกล่าวถึงประวัติศาสตร์มันคืออดีตที่ส่งผลเป็นปัจจุบันที่ห่อเหี่ยว เก่า โบราณ ขายต่อ รกร้าง  ไม่รักษา(รักษาไม่ได้) ไม่ศิวิไลสืบทอดสดสวยงดงามดังอดีตกาล  มีแต่ความเสื่อมถอยจนเป็นความน่าเสียดายไปเกือบหมด เพราะอะไรเจ้ารุ่นหลังถึงประสบปัญหาชะตากรรมเหล่านี้... หรือเพราะต้องทำอาชีพรับราชการซึ่งมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นที่เจ้าจะทำได้ และอาชีพนี้หรือที่จะเลี้ยงหม่อมทั้งหลายและลูกหลานอีกมากมายให้อิ่มหนำและสมบูรณ์ เมื่อหมดบุญท่านแล้วลูกเด็กเล็กแดงก็กระจัดกระจายไปรับใช้ตามวังเจ้านายต่างๆ พี่พลัดน้อง ไม่ได้ร่ำเรียนอะไรในวังนอกจากการเรือน อาหาร ตัดเย็บ โตก็ออกเรือนกับคนธรรมดาไป ไม่มีทรัพย์มีแต่ศักดิ์ แล้วคิดว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปคะ...(ที่ได้ดีก็มีนะคะ) แต่ที่ไม่ ก็คงมีมาก เพราะลูกหลานมากเหลือเกิน

นี่คือโศกนาฏกรรมหรือเปล่าคะ :-X


กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: pornpan Vaddhanayon ที่ 08 ก.ย. 09, 19:31
 :)ในความเห็นของดิฉัน ความเป็น "เจ้า" อยู่ในสายเลือดตั้งแต่กำเนิดเป็นฐานันดรศักดิ์ที่ติดตัวผู้สืบสกุลจากฝ่ายชายนามสกุลที่สืบสายมาจากบรรพบุรุทซึ่งท่านได้กระทำคุณงามความดี ให้แก่ประเทศชาติและแผ่นดินเกิดอย่างมากล้น ผู้ใดได้เกิดในราชสกุลเจ้านับว่าเป็นผู้ที่มีเกียรติยศ เป็นที่ยกย่องว่ามีเลือดเนื้อเชื้อไขจากราชสกุลทางพระมหากษัตริย์ หรือราชินีกุล สืบสายมาจากราชสกุลทางพระราชินี เจ้านายฝ่ายเหนือผู้ที่สืบสายจากเจ้าผู้ครองนครจะได้ใข้คำนำหน้าว่าเจ้าทั้งชายและหญิง เช่นเจ้าพงศ์แก้ว ณ ลำพูน ธิดาเจ้าพงศ์แก้ว คือคุณเจ้าดารารัตน์ ณ ลำพูน คุณหญิงเจ้ารวิพรรณ (ณเชียงใหม่) ธิดาเจ้าราชบุตร (วงษ์ตะวัน ณ เชียงใหม่) เมื่อแต่งงานกับสามัญชน ท่านก็ใช้นามสกุลสามีแต่ยังใช้คำนำหน้าว่าเจ้า เมื่อได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเหรียญตราได้รับอิสริยยศเป็นคุณหญิง ท่านก็ใช้  คุณหญิงเจ้ารวิพรรณ สุจริตกุล ส่วนตำแหน่งเจ้านายในสมัยรัตนโกสินทร์ พระโอรส พระธิดาพระเจ้าแผ่นดินที่ประสูติจากพระราชินี ถวายพระราชอิสริยยศตามลำดับ จาก เจ้าฟ้าชาย เจ้าฟ้าหญิง พระองค์เจ้าชาย พระองค์เจ้าหญิง หม่อมเจ้าชาย หม่อมเจ้าหญิง (ม.จ.) หม่อมราชวงศ์ชาย หม่อมราชวงศ์หญิง ( ม.ร.ว.)
หม่อมหลวง (ม.ล.)  บุตร ธิดาที่เกิดจากบิดาที่เป็นหม่อมหลวง ใช้คำนำหน้านามสามัญชนว่า นาย นางสาว ได้มีสิทธิใช้ ณ อยุทธยา ต่อท้ายนามสกุล เพื่อให้ทราบว่าสืบเชื้อสายมาจากราชสกุล แต่ต้องเป็นลูกที่เกิดจากบิดาที่เป็นหม่อมหลวง ภรรยาและลูกจึงจะใช้ ณ อยุทธยาต่อท้ายนามสกุล
ดังนั้นการเป็นผู้สืบเชื้อสายจากเจ้า เป็นราชสกุล มีนามสกุลพระราชทานบ่งบอกเกียรติยศว่ามาจากราชสกุลใดจึงเป็นความพากภูมิใจของผู้ที่มีสิทธิในราชสกุลอย่างยิ่งเพราะความเป็นเจ้าอยู่ในสายเลือด แม้สายเลือดทางมารดาเป็นเจ้า ลูกไม่มีสิทธิใช้นามสกุลมารดาก็ตามแต่ก็ภูมใจในชาติตระกูลเช่นกัน
พรพรรณ วัฑฒนายน


กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: natadol ที่ 08 ก.ย. 09, 20:20
ผมขอออกความเห็นหน่อยนะครับ..เราทุกๆคนถูกปลูกฝังกันมาตั้งแต่เด็กๆว่าให้เทิดทูนเจ้าอยู่หัวและราชวงศืทุกพระองค์ ทุกวันนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง     แม้ว่าข่าวจากไหนจะมาบั่นทอน ก็จะรับฟัง มาศึกษาหาความรู้จากหลายๆด้าน ว่าสิ่งที่มีคนกล่าวอ้างมานั้นจริงหรือไม่ สรุปแล้วไม่พบความเป็นจริงเลยแม้แต่ข่าวเดียวที่ได้ยินมา บ้างก็ว่าได้ฟังมาจากในวังบ้าง จากทหารในวังบ้าง แต่ปัญหาที่เกิดแต่ละปัญหาที่พบก็มาจากคนที่หวังพึ่งบารมีของเจ้านั่นแหละแสดงอำนาจว่าเป็นคนของเจ้า องค์โน้น องค์นี้ ไปเบ่งบารมีหากเป็นสมัยก่อนโดนเฆี่ยนกันหลังลายไปหลายคน   เศรษฐีหลายๆคนนี่แหละตัวดีถวายเงินบ้าง สิ่งของบ้าง แล้วถ่ายรูปมาเบ่งบารมีสร้างความเสื่อมเสียพระเกียรติ          เคยเห็นเชื้อพระวงศ์ที่ไม่ได้มีฐานะมั้ย มีใครอยากจะคบบ้าง ยิ่งคนรวยแทบไม่อยากจะไปสุงสิงด้วย      ผมเคยพบหม่อมเจ้าหญิงพระองค์หนึ่ง ประมาณปี 2524-25 อายุประมาณ 80ปีแล้ว ช่วงนั้นผมก็ยังเด็กอยู่ เคยจูงท่านมาไส่บาตรหน้าบ้านผม (บ้านของท่านอยู่หลังบ้านผม)  ท่านอยู่ของท่านคนเดียว ไม่มีใครไปสุงสิงด้วย ตอนน้ำท่วมใหญ่ บ้านของท่านอยู่ติดกับบ้าน ส.ส. มีกะสอบทรายมากั้นน้ำไว้ น้ำเลยไหลมาท่วมบ้านของท่าน มจ  ไม่มีใครสนใจท่านเลย  มีแต่ผมและเด็กๆแถวนั้นที่แอบไปขโมยมะม่วงบ้านท่านบ่อยๆ จนกระทั่งท่านเสียชีวิต ปี2528-29 จึงเห็นรถของสำนักราชวังมาอัญเชิญท่านไปวัด แถวๆสนามหลวง 


กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: sugar ที่ 09 ก.ย. 09, 10:17
ดิฉันต้องขออภัยที่ใช้คำรวมๆว่าเจ้าค่ะ เพราะเค้าพูดกัน ดิฉันคิดว่าเจ้ามีวรรณะคล้ายอินเดีย แต่อาจจะเป็นชั้นบนกับชั้นล่าง ชั้นบนก็คงมีเรื่องราวที่หาอ่านได้ตามแผงหนังสือหรือสามารถขุดหารายละเอียดไม่ยากนัก เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงตั้งแต่รุ่นสู่รุ่น เป็นที่โปรดของพระองค์เจ้านายชั้นสูง เป็นสายตรง ส่วนชั้นล่างคือเจ้าที่คนรู้จักน้อยจนถึงหายไปแบบไม่มีประวัติให้ค้นหากันเลย ถ้าเป็นลูกหญิงยิ่งน่าสงสารมาก โดดเดี่ยวส่วนมากจนสิ้น ถ้าวิถีชีวิตในอดีตไม่ถูกกำหนดโดยขนบธรรมเนียมจารีตราชประเพณีการใช้ชีวิตและความเป็นอยู่ของเจ้าในวังโดยเคร่งครัดนักก็คงจะดี ถ้าในอดีตเจ้าหญิงสามารถเลือกและแต่งกับสามัญชนได้ไม่ผิดขนบ ถ้าเจ้าชายจะมีหม่อมเพียงองค์เดียว(ข้อดีของการมีหม่อมมากก็คงมีเช่นการสืบเชื้อสายแตกหน่อออกไป )แต่สำหรับบางหน่อนั้นจะคงดำรงอยู่ด้วยยากลำบากด้วยความยึดถือสิ่งที่ปฏิบัติในวังสืบต่อกันมาจนสิ้น...

ดีใจที่ยุคใหม่มีการเปิดกว้างของสิทธิสตรี การมีผัวเดียวเมียเดียว(เมียคนต่อๆมาได้รับเกียรติว่าเมียน้อย) การแสดงความคิดเห็นใดๆที่ยอมรับกันได้ เรื่องของเจ้าสามารถนำมาเล่าสู่ ถกเถียง สืบค้น  ...


กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: sugar ที่ 10 ก.ย. 09, 14:16
ประเด็นนี้กลายเป็นอกตัญญูไปแล้วหรอคะนี่.... (ความรู้สึกช้าไปหน่อย ขออภัยค่ะ) :'(


กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ก.ย. 09, 13:59
เจ้ามากมายที่สืบเชื้อสายลงมานั้น ปัจจุบันบางคนก็จน ทำงานก็ไม่เป็น ติดความเป็นผู้ดีซะเคยตัว เจ้ายศเจ้าอย่าง ดูแลครอบครัววงค์ตระกูลก็ไม่อยู่ บางครั้งต้องขายทรัพย์สินเก่าๆเพื่อเลี้ยงชีพ  อาจดูเหมือนดิฉันเขียนรุนแรงและไม่ให้เกียรติ แต่มิได้ค่ะ ดิฉันเพียงเสนอความจริงด้านหนึ่งเพื่อลดความกดดันของตัวเอง
นี่คือเรื่องราวจากประวัติศาสตร์สู่ยุคปัจจุบันกับการเปลี่ยนแปลงค่ะ ดิฉันยินดีรอรับคำวิจารณ์ค่ะ

ดิฉันไม่ทราบว่าคุณ sugar กดดันเรื่องอะไรกับ "เจ้า" บางคนที่คุณประณาม     แต่คงเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของคุณ ที่คนอื่นเขาไม่รู้เรื่องด้วย
นอกจากนี้ ก็มีหลายตอนที่แสดงว่าน่าจะเข้าใจผิดอยู่มาก
จึงขอชี้แจงข้อเท็จจริงบางประการ ดังนี้

1   ปัจจุบันนี้ "เจ้า" ระดับพระอนุวงศ์ คือระดับหม่อมเจ้า  เหลืออยู่ในประเทศไม่กี่องค์แล้ว  ส่วนใหญ่ก็พระชนม์ 70 -80 ขึ้นไป    
ส่วนหม่อมราชวงศ์และหม่อมหลวง  เราไม่เรียกว่า "เจ้า" ท่านเหล่านี้เป็น "เชื้อพระวงศ์" ไม่ต้องใช้ราชาศัพท์    ไม่มีสิทธิพิเศษใดๆแตกต่างจากสามัญชน
เท่าที่เห็นมา ท่านเหล่านี้ก็ดำเนินชีวิตอย่างคนธรรมดา  ทำราชการก็มี ทำงานบริษัทก็มี   รวยหรือจนก็แล้วแต่ฐานะของแต่ละคน
ถ้าหากว่ามีท่านใดท่านหนึ่งจะขายทรัพย์สินดั้งเดิม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน   ก็ไม่เห็นจะเสียหาย  ใครๆในประเทศไทยก็ทำได้ทั้งนั้นถ้าอยู่ในฐานะเดียวกัน     จะเป็นเจ้าหรือสามัญชนก็ทำได้ตามสิทธิ์ของตัวเอง    

2
อ้างถึง
ถ้าในอดีตเจ้าหญิงสามารถเลือกและแต่งกับสามัญชนได้ไม่ผิดขนบ


ขอตอบว่า เจ้าหญิง(ในระดับหม่อมเจ้า) แต่งงานกับสามัญชนมาได้อย่างถูกต้อง ตามกฎหมายและประเพณี  มายาวนานกว่า 75 ปีแล้วค่ะ  


กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: sugar ที่ 12 ก.ย. 09, 11:42
ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาช่วยเหลือแสดงความกระจ่างและทำให้ความคิดส่วนที่ผิดๆของดิฉันได้เกิดความฉลาดขึ้นบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ...ดิฉันยินดีที่ได้รับฟังค่ะ

สำหรับดิฉันส่วนตัวแล้วยังเกิดความสงสัยในประวัติศาสตร์ส่วนที่ขาดหาย เหมือนเป็นความลับอันดำมืดที่ล้มหายตายจากไปกับคนรุ่นเก่าที่เก็บงำไว้ ให้เป็นหน้าที่ของคนรุ่นหลังทำการสืบค้นกันต่อไปผิดๆถูกๆเกิดความเสื่อมเสียต่อราชตระกูล ถ้าอะไรๆมันเป็นเพียงเรื่องธรรมดา ก็คงไม่รู้สึกเสียดายในก้อนอิฐก้อนปูนและก็คงไม่ได้รับความรู้สึกถึงความสุขและความทุกข์ในอิฐแต่ละก้อนนั้นนะคะ...

มันก็คงเป็นเรื่องธรรมดา เพราะมันคือวงล้อแห่งกาลเวลาที่จะพัดพาเอาสิ่งที่คงคุณค่าความงามความลับให้หายไป....

ถ้าวังกรมหลวงสรรพศาสตร์ศุภกิจ วังมหานาค วังพระนราธิปประพันธ์พงค์ ก็คงเป็นตัวอย่างของเรื่องธรรมดาๆ แล้วจะมาสืบหากันทำไม...

ถ้าเพียงท่านทั้งหลายฟื้นขึ้นมา ลูกๆๆๆๆๆๆๆๆๆหลานๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆท่านจะตอบอย่างไร

อ้อ!   อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา   คงใช้ได้.



ส่วนเรื่องเจ้าหญิง จะเจ้าฟ้าหญิง จะพระองค์เจ้าหญิง หรือหม่อมเจ้าหญิงนั้น ถ้าได้แต่งกับสามัญชนก็คงอิลักอิเหลื่อเต็มทน เพราะฐานันดรสูงกว่าฝ่ายชาย จะกราบไหว้พ่อแม่ฝ่ายชายทีคงรับไหว้ไม่ทัน และต้องนั่งพื้นรึเปล่า ใช้ราชาศัพท์กันรึเปล่า แล้วต้องถอดถอนฐานันดรด้วยรึเปล่า แค่ ม.จ.หญิงก็คงไม่เท่าไหร่ แต่อาจไม่ได้รับการเห็นด้วยจากฝ่ายพระญาติสักเท่าไหร่ เค้าถือองค์กันจะตายไป..ถ้าไม่ใช่เชื้อพระวงค์ด้วยกัน  จริงเท็จอย่างไรอยากได้รับความกระจ่างเหมือนกันค่ะ


กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 12 ก.ย. 09, 17:27
ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่น่าสนใจ  ข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ก็มีพิมพ์ออกมาหลายเล่ม
ขออนุญาต แนะนำ



มหามกุฎราชสันตติวงศ์  พระนามพระโอรสธิดา พระราชนัดดา
กรมหลวงนราธิวาสราชนัครินทร์  ทรงเรียบเรียง
พิมพ์ ๒๕๔๗  
เล่มสีส้มอ่อนค่ะ  ปกแข็ง
มีข้อมูลว่า เจ้านายฝ่ายหญิงสมรสกับท่านผู้ใดบ้าง  ชาวต่างประเทศก็มีค่ะ


อีกเล่มคือ พระอนุวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าในพระราชวงศ์จักรี
งานของ
พลตรี ม.ร.ว. ศุภวัฒย์  เกษมศรี กับ รัชนี ทรัพยวิจิตร
เห็นนักศึกษาหลายคนเริ่มใช้ข้อมูลด้วยตนเองก็ดีใจค่ะ  เพราะเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจที่โยงต่อไปได้



ประวัติที่ขาดหาย หรือเป็นความ"มิดเม้น" ก็คงมีบ้าง  เพราะเราไม่นิยมเก็บรักษาบันทึก
ถ้ายังไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้  ก็คงไม่สามารถนำมาพิมพ์ หรือ คุย  หรือ ให้ความกระจ่างได้
การเก็บงำคงแทบไม่มีอะไรเหลือเท่าไร

สมัยนี้การเข้าถึงข้อมูลทำได้ง่ายค่ะ

เราคุยกันเรื่องพระองค์เจ้าปฤษฎางค์     กรมหลวงราชบุรี     หม่อมไกรสร     กันได้อย่างเปิดเผย
ไม่เห็นว่าราชตระกูลจะเสียหายที่ตรงไหน



ไม่ได้ไปสืบหรือค้นหาที่ไหนมาหรอกค่ะ
ซื้อหนังสือมาอ่าน


เรื่องงมารยาทในครัวเรือน ก็เป็นที่ทราบกันทั่วไปนี่ค่ะ ว่า สมเด็จพระพันปีหลวง และ สมเด็จพระพันปี  ทรงกราบกันและกันในที่รโหฐาน

สกุลเจ้าพระยามหาศาลก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับหลานสาวที่เป็นเจ้าจอมมารดาเท่าไร

คงต้องใช้เวลาศึกษาด้วยตนเองอีกสักพักนะคะ




กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 12 ก.ย. 09, 17:39
เมื่อแรกที่เข้ามาเป็นสมาชิกใน เรือนไทย       คุณเทาชมพู และ คุณพิพัฒน์ ได้กรุณาแนะนำหนังสือที่ไม่เคยอ่านให้หลายเล่ม

ขอเรียนว่า  หาอ่านได้เกือบหมดแล้วค่ะ      Court ก็อ่านแล้ว

ถ้าหาอะไรที่แปลกและสนุกได้ จะนำมาลงเมื่อมีเวลาค่ะ


ขอบคุณคุณเทาชมพูที่มีความคิดเป็นวิทยาศาสตร์ที่สุด

ระลึกถึงคุณพิพัฒน์ ที่ เมตตา คุยและล้อ ดิฉัน บ่อย ๆ


กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ก.ย. 09, 21:30
มาทักทายคุณ Wandee และขอขอบคุณค่ะ

เข้ามาแก้ไขข้อความ คลิกท่าไหนไม่รู้  ข้อความเลยหายหมด   :'(

ขอตอบสั้นๆว่า   เจ้านายสตรีที่เสกสมรสกับสามัญชน  ต้องกราบถวายบังคมลาออกจากฐานันดรศักดิ์ค่ะ  ไม่ได้ถูกถอดถอน  เพราะสมรส ไม่ใช่ความผิดอะไร


กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 14 ก.ย. 09, 01:40
เข้ามากราบสวัสดี อาจารย์เทาชมพู และสมาชิกท่านอื่นๆ ครับ
ผมห่างจากเรือนไทยไปนานหลายเดือน (ร่วมปีเศษได้)
กว่าจะได้กลับเข้ามาก่อกวนให้เรือนวุ่นวายอีกก็หายหน้าหายตาไปนานพอดู
ยังระลึกถึงพื้นที่เล็กๆพื้นที่นี้เสมอครับผม



โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าจะเป็นเศรษฐี หรือเจ้า ก็ไม่เกี่ยวครับ
ทั้งหมดขึ้นกับการดำเนินชีวิตของแต่ละคน

แน่นอนว่าเจ้านายหลายพระองค์เมื่อดำรงพระชนมชีพอยู่
ทรงงานในระดับสูง ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยมาก
ก็ย่อมเป็นเศรษฐีไปด้วยโดยปริยาย
พอรุ่นลูก รุ่นหลานลงมา ครอบครัวก็ต้องการแบ่งปันทรัพย์สินชัดเจน
ยิ่งเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป การจะรับภาระดูแลครอบครัวก็ยากขึ้น
ทรัพย์สมบัติบางสิ่งเป็นของนอกกาย จะครอบครองไว้เท่าที่จำเป็น
ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของทายาทรุ่นถัดลงมานะครับ
ถ้าจะใช้วิธีคิดของคนรุ่นก่อน ในสังคมของคนรุ่นใหม่
ผมเชื่อว่าคงจะดำเนินไปได้อย่างไม่ราบรื่นนัก





ปล. สำหรับสังคมยุคโลกาภิวัฒน์ ผมว่ามีอีกเรื่องที่คนไทยน่าจะรับรู้ไว้
คือ ชนชั้นกลาง (เช่นผมเป็นต้น)
มักจะเห็นเจ้า "เป็นสถานภาพทางสังคมอย่างหนึ่ง"
ยิ่งเจ้าอยู่ในระดับสูงมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งกลายเป็น celeb มากขึ้นเท่านั้น

เพราะฉะนั้น เจ้านายในความเป็น "เจ้า" ของชนชั้นกลาง
(ที่หลายคนตะเกียกตะกายอย่างปากกัดตีนถีบจนได้สถานภาพนี้มาด้วยการศึกษา หรือการงาน)
จึงมักถูกพูดถึง อย่างเป็นเรื่องสนุกปากอย่างหนึ่งไม่ต่างจากคนดังอื่นๆในสังคม



แต่ผมไม่แน่ใจนักว่าชนชั้นกลางที่ประพฤติตัวในทำนองนั้นหลายคน
จะรู้สึกตัวมั้ยว่าสังคมไทยโดยรวม (โดยเฉพาะกับพวกระบบเช้าชามเย็นชามทั้งหลาย)
ต้องการ "เจ้า" มาเป็น "หัวขบวน" ในการเริ่มต้นชิ้นงานที่จะพัฒนาสังคมสักแค่ไหน
ลองมองดูประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายชาติที่เราก็เห็นตัวอย่างอยู่สิครับ
แล้วถามตัวเราเองว่าเราอยากเป็นอย่างนั้นมั้ย? ใครอยากเป็นยกมือขึ้นหน่อยครับ


กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ก.ย. 09, 10:08
มาทักทายคุณติบอ พร้อมกับขอต้อนรับกลับเรือนไทย
ถ้ามีเวลาว่าง   อย่าลืมแวะมาแบ่งปันความรู้  และข้อคิดเห็นด้วยนะคะ

เห็นด้วยกับคำตอบของคุณติบอค่ะ    ถ้ากระทู้นี้ยังยาวต่อไป ก็ช่วยแวะเข้ามาสื่อสารเพิ่มเติมด้วย

สำหรับเรื่องนี้
อ้างถึง
ส่วนเรื่องเจ้าหญิง จะเจ้าฟ้าหญิง จะพระองค์เจ้าหญิง หรือหม่อมเจ้าหญิงนั้น ถ้าได้แต่งกับสามัญชนก็คงอิลักอิเหลื่อเต็มทน เพราะฐานันดรสูงกว่าฝ่ายชาย จะกราบไหว้พ่อแม่ฝ่ายชายทีคงรับไหว้ไม่ทัน และต้องนั่งพื้นรึเปล่า ใช้ราชาศัพท์กันรึเปล่า แล้วต้องถอดถอนฐานันดรด้วยรึเปล่า แค่ ม.จ.หญิงก็คงไม่เท่าไหร่ แต่อาจไม่ได้รับการเห็นด้วยจากฝ่ายพระญาติสักเท่าไหร่ เค้าถือองค์กันจะตายไป..ถ้าไม่ใช่เชื้อพระวงค์ด้วยกัน  จริงเท็จอย่างไรอยากได้รับความกระจ่างเหมือนกันค่ะ

รายละเอียดที่คุณ sugar อยากรู้ เป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคล   ไม่ใช่ละครทีวีที่จะเล่าสู่กันฟังได้มันปาก 
ก็ขอตอบแต่เพียงว่า ในความเป็นจริงทางสังคม   ก่อนที่ใครจะแต่งงานกับใคร  ญาติพี่น้องของทั้งสองฝ่ายก็ต้องได้รับรู้และอนุญาตล่วงหน้าแล้ว    ก็ย่อมจะมีวิธีการจัดให้ลงตัวกันได้
คนไทยรุ่นก่อน เขาได้รับการฝึกฝนเรื่องมารยาท อย่างเข้มงวดมากกว่าปัจจุบัน   การให้เกียรติกันและกัน ย่อมมีวิธีทำได้อย่างเหมาะสม  ลงตัวกับชาติวุฒิ และวัยวุฒิของแต่ละฝ่ายค่ะ

ขอเพิ่มเติมข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์   ถ้าผิด คุณ wandee กรุณาแก้ไขให้ด้วย
๑  เจ้านายสตรีโดยกำเนิด ชั้นเจ้าฟ้าและพระองค์เจ้า(ที่เป็นพระราชธิดาในพระมหากษัตริย์) ตั้งแต่ยุครัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๘ ไม่มีการเสกสมรสกับสามัญชน
๒  เจ้านายสตรีชั้นพระองค์เจ้า  (ที่เป็นชั้นหลานเธอ)  ไม่มีการเสกสมรสกับสามัญชน
๓  เจ้านายสตรีชั้นหม่อมเจ้า   มีอยู่หลายองค์ สมรสกับสามัญชน ตั้งแต่รัชกาลที่ ๗  และก็มีจำนวนมากที่ดำรงชีวิตคู่ด้วยกันจนจากกันไปตามอายุขัย   ญาติพี่น้องทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้รู้สึกเป็นปัญหาอะไร


กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: sugar ที่ 14 ก.ย. 09, 10:34
ต้องขอขอบคุณทุกๆท่านเป็นครั้งๆไปแบบนี้ล่ะค่ะ....

อานุภาพของความรักมันรุนแรงยิ่งนัก ไม่มีอะไรจะยับยั้งได้........  จะให้นั่งกอดนอนกอดฐานันดรศักดิ์/ยศฐาบรรดาศักดิ์ไปทำไมถ้าหัวใจไร้รักที่สมรัก แม้ความตายจะมาพราก ถ้าคนเราไม่กลัวความตายซะอย่าง ก็ไม่มีอะไรจะต้องกลัวอีกต่อไป.....


ฮึ่ม! พอเข้าใจแล้วค่ะ  ว่าความรักทำให้ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงได้



....น่าสงสารเด็กบ้านนอกคอกนาตาดำๆ พวกไกลปืนเที่ยง ที่ยังไม่รู้ว่าข้าวมื้อต่อไปจะเป็นอะไร หรือจะได้กินหรือเปล่า คงไม่เสียเวลามานั่งพิจารณาว่าตัวเองเป็นตัวอะไรในสายตาของพวกที่ถือว่าศิวิไลซ์ บางทีมีค่าน้อยกว่าเจ้าชิสุที่บ้านท่านๆซะอีก บางทีเจ้าชิสุที่บ้านท่านก็ยังดูถูกเอา..

แล้วมันจะแปลกอะไรถ้าเราอยากไปให้ไกลจากจุดเดิม ทั้งถืบทั้งดัน ทั้งยอมให้คนอื่นถีบบ้างก็ไม่ว่ากันขอไปเสียให้พ้นจากวังวนความลำเค็ญ เป็นคนเหนือคนให้ได้แม้ว่าไม่ใช่คำสั่งสอนของพ่อแม่ที่ขอให้เป็นคนดี(อย่าใฝ่สูงให้เกินศักดิ์ จงใฝ่รักในศักดิ์สูง)..... ซึ่งเราคงไม่ขอเป็นคนดีเหนือคนอื่นหรอกเพราะคนดีมันไปไหนไม่ไกล ก็ให้มันรู้กันไปคนยุคนี้จะกราบความดีมีศักดิ์ศรีหรือกราบเงินของฉัน ฮึ...มารสุดๆและลิเกด้วย







กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 14 ก.ย. 09, 11:52
เข้ามากราบขอบพระคุณอาจารย์เทาชมพูครับ

สำหรับคุณ suger นะครับ
ผมคนนึงล่ะครับ ที่ปากกัดตีนถีบอยู่ตลอดเวลา
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่านอกจากการก้าวข้ามสถานะทางสังคม
การรักษาสถานะทางสังคมเอาไว้ก็ต้องใช้การปากกัดตีนถีบในรูปแบบหนึ่ง
ยิ่งสูงขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่ง "รักษา" ได้ยากขึ้นเท่านั้น

ส่วนเรื่องความรัก ผมว่ามันไม่เท่าสังคมนะครับ
เราไม่น่าจะเอาความคิดของผู้หญิงในสังคมที่ต่างกันมาเปรียบเทีนบกัน
ยิ่งถ้าสังคมยิ่งต่างกันมาก การคาดหวังให้คน 2 กลุ่มประพฤติตัวเหมือนกัน
ก็ยิ่งดูเป็นการฝันลมๆแล้งๆ หวังเลื่อนๆลอยๆ ไปนะครับ

ลองให้ผู้หญิงซักคน ที่เล่นบอร์ดนี้อยู่ก็ได้
จินตนาการดูว่าตัวเองเป็นหม่อมเจ้าหญิงซักพระองค์
มีพระชนมายุ 30 พรรษา ในปี พ.ศ. 2552
(ตั้งแต่ท่อนนี้ไปผมขอใช้ภาษาธรรมดานะครับ)
แล้วลองนึกต่อไปว่าคุณห้ามแต่งงานกับสามัญชน
ต้องแต่งงานกับผู้ชายที่มีฐานันดรสูงกว่าเท่านั้น
ไม่ควรไปไหนมาไหนกับผู้ชายให้เป็นที่ครหา
คุยกับเพื่อนผู้ชายก็ไม่ได้ เล่นหัวกับเพื่อนผู้ชายก็ไม่ได้
ออกจากบ้านก็ไม่ดี มีโทรศัพท์มือถือก็ไม่ควรเมมเบอร์เพื่อนผู้ชายไว้ด้วย
ผมอยากรู้ครับ ว่าใครรู้สึกอึดอัดบ้าง.... ยกมือขึ้นหน่อยครับ


กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: sugar ที่ 14 ก.ย. 09, 12:20
จินตนาการเอาตอนนี้มันไม่สายไปหน่อยหรือคะ.....อิอิ  แล้วถ้าจินตนาการอายุตั้ง 30 ก็เกินแกงนะคะ ขอแค่ 20-21 ก็พอ ยังอาจมีคนพอจะลองสมมติดูบ้างนะคะ ไหนๆ ก็สมมติแล้วน่ะค่ะ

แม้ว่าสมัยนี้กับสมัยก่อนจะไม่เหมือนกันในหลายๆอย่าง ทั้งความคิดและการปฏิบัติตัวก็ตาม แต่สาขากิ่งก้านมากมายของต้นไม้นั้นก็มาจากรากแก้วเพียงรากเดียว อย่างไรเสียผู้หญิงไทยก็ยังคงสำนึกคุณค่าแห่งหญิงไทยแม้บางคนจะต้องค้นกันอย่างหนักก็ตาม แต่เชื่อว่าน่าจะพบบ้างค่ะ....


กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: sugar ที่ 14 ก.ย. 09, 15:23
เผอิญแว๊บเข้ามาในสมอง เลยอยากรู้ซะเลย ช่วยสงเคราะห์หน่อยนะคะ

การแต่งงานกับชาวต่างชาตินั้นถือว่าไม่ผิดกฏหมาย  แต่ยังถือว่าผิดประเพณีอยู่จริงหรือเปล่าคะ.....  ::)




กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 ก.ย. 09, 14:10
สวัสดีครับ อ.เทาชมพู คุณติบอ และทุกท่าน
 
             เศรษฐีหรือจะสู้เจ้า - ผู้กล่าวประโยคนี้มองว่าถึงแม้เศรษฐีจะมีเงินมากมายพอจะซื้อ
ที่อยู่หรูหราราวกับวัง ซื้อสมบัติของเก่ามีค่า แต่เงินนั้นก็ไม่สามารถจะซื้อความเป็นเจ้า - ความเป็นผู้ดี
แปดสาแหรก(แปดสายแรก) ได้ 

             แต่ เจ้าซึ่งมีทั้งทรัพย์สิน(มากบ้าง น้อยบ้าง) เกียรติยศและความเป็นเจ้าที่สืบทอดกันมา
นั้นก็ต้องแบกรับผลกระทบจากคุณสมบัติข้อหลัง เป็นภาระต้องรักษาเกียรติยศฐานะนั้นไว้ ในขณะที่
เจ้าไม่สามารถเป็นพ่อค้า แม่ค้าได้อย่างออกนอกหน้าหรืออย่างเชี่ยวชาญทำกำไรเช่นเศรษฐีพ่อค้า
เมื่อประกอบกับเหตุปัจจัยอื่นด้านลบ มีผลทำให้ปรากฏสภาวะ "เจ้าตกยาก" หรือ "เจ้าไม่มีศาล"
ของบางท่านให้ได้รับรู้กันทั้งจากนิยายและเรื่องจริง

จากกระทู้เก่า - เจ้าชายนักประพันธ์ อ.เทาชมพูได้เล่าเรื่องชีวิตของท่านอากาศดำเกิงไว้ และประกอบ
ด้วยเรื่องของท่านแดง ดังนี้


กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 ก.ย. 09, 14:12
เจ้าชายนักประพันธ์: หม่อมเจ้าอากาศดำเกิง รพีพัฒน์

   "เจ้าไม่มีศาล" ที่ปรากฏอยู่หลายครั้งในตัวละคร หรือแนวคิดต่างๆ กระจายอยู่ในผลงานหลายเรื่อง
คำนี้ หมายถึงเจ้าที่ชาติกำเนิดสูง มียศศักดิ์  แต่ว่าไม่มีเงินทองพอจะพยุงเกียรตินั้นไว้ให้สูงสมฐานะ
ความเป็นเจ้าจึงกลายเป็นภาระหนักอึ้งบนบ่า   เป็นตัวประหลาดในสังคม  เข้ากับใครไม่ได้   
จะเข้าสมาคมเจ้านายด้วยกันก็ถูกปฏิเสธว่า "ต่ำเกินไป " จะอยู่กับสามัญชน  ก็กลมกลืนกันไม่สนิท 
เพราะมีฐานะสูงศักดิ์เป็นสิ่งกีดขวางเอาไว้  ผลคือความขมขื่นคับแค้นที่ไม่อาจลบล้างได้

         เจ้านายที่ยากจน ไม่อาจดำรงฐานะให้สูงส่งได้มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว  ไม่ใช่ว่าขึ้นชื่อว่าเป็นหม่อมเจ้า
พระองค์เจ้าแล้ว จะต้องมีวังหรูหราเหมือนท่านชายพจน์พระเอกของ"ปริศนา" เสมอไป  เจ้านายที่ร่ำรวยโก้หรู
อย่างนั้นอาจจะจำนวนน้อยกว่าเจ้าที่ไม่ร่ำรวยเสียอีก

ลองมาอ่านทัศนะของ ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล ทรงกล่าวถึงเจ้าที่ร่ำรวยและยากจนดูนะคะ
     "เป็นธรรมดา คนชอบดูแต่ความโอ่อ่าฟุ้งซ่าน และ bluffing (สิ่งที่หลอกให้ลวงตา)ยิ่งกว่า
การที่เป็นอยู่จริง ฉะนั้น มนุษย์ที่เรียกว่า เจ้า  จึงมักจะถูกหาว่ามั่งมีนัก   และถ้าเจ้ามีแล้วก็ต้องแปลว่า ทำนาบน
หลังคน ทำไมเรื่องเจ้าจนๆ จึงไม่มีใครเอามาปาฐกถากันบ้าง?

          ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่งที่น่าฟัง วันหนึ่งมีผู้หญิงกระเดียดกระจาดใส่ห่อหมกเข้าไปขายหม่อมเจ้าหญิงเม้า 
พระชายากรมหลวงสรรพสาตร์ฯ 
        ท่านเม้าเห็นเข้าก็ตกใจ  ร้องทักออกไปว่า "ตาย ท่านแดง ทำไมท่านมากระเดียดกระจาดขายของอย่างนี้?"
        หญิงคนนั้นโบกมือแล้วตอบว่า
   "ท่านแดงที่โกนจุกปีเดียวกับท่าน ตายนานแล้ว   คนนี้ชื่ออีแดง  ขายห่อหมก"
        ท่านเม้าจึงเรียกถามเบาๆว่าเรื่องเป็นอย่างไร
        ท่านแดง(nick name) ตอบว่า
   " พ่อก็ตาย แม่ก็ตาย พี่น้องก็ไม่มี จะทำอย่างไร ฉันก็ไปบอกกระทรวงวัง ถอนบัญชีเลยว่าท่านแดงนั้นตายแล้ว 
เพื่อจะมาหากินเลี้ยงชีวิตไม่ให้เสียเกียรติของเจ้า"
         ท่านเม้าก็เลยให้เงินช่วย ไปเลี้ยงตั้งตัว   แต่ท่านแดงก็เลยสาบสูญไป  ไม่มีใครพบปะอีก ป่านนี้ก็เห็นจะอยู่กับพ่อแม่
ของท่านแล้วดอกกระมัง


กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 ก.ย. 09, 14:15
        ในชีวิตได้มีโอกาสเฉียดใกล้บั้นปลายชีวิตของเจ้าท่านหนึ่ง เมื่ออาจารย์พาไปเยี่ยมท่านหญิงซึ่ง
ประชวรเรื้อรังด้วยโรคชราภาพ สมองเสื่อม ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แขนขางอแข็งเกร็งยืดไม่ออก
ประทับอยู่บนเตียงเหมือนรอวาระสุดท้าย  ภาพที่เห็นเป็นครูสอนสัจธรรมความเป็นไปของสรรพชีวิต
ไม่ว่าเจ้าหรือไพร่ไม่พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย

         นอกจากเจ้าแล้วชีวิตบริวารที่แวดล้อมท่านในยามบั้นปลายก็ยิ่งน่าเป็นห่วงมากกว่า เพราะยังมีชีวิต
ต้องสู้เพื่ออยู่ต่อไป
         เมื่อออกมาจากห้องของท่านแล้ว อาจารย์เล่าถึงหญิงมีอายุที่คอยดูแลท่านหญิงอย่างน่าสงสารว่า
อยู่ในวังกับท่านมาตลอดไม่ได้ออกไปไหน ตั้งแต่ยังเป็นเด็กสาวจนแก่ ตัวคนเดียวไม่มีใคร สิ้นท่านแล้ว
ก็ยังไม่แน่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน กับใครหรือทำอะไร

            พาให้นึกถึงเรื่องสี่แผ่นดิน ชีวิตของแม่ช้อยในแผ่นดินที่สี่เมื่อเวียงวังร้างร่วงโรย
 
           พลอยอดสงสารช้อยมิได้เลยในเรื่องวิถีทางแห่งชีวิตของช้อย ที่แตกต่างกับของตนเป็นหนักหนา
ช้อยต้องหาโอกาสทำมาหากินอยู่ทุกเมื่อไม่มีลดละ ใครเขาทำอะไรกัน นิยมอะไรกัน ช้อยก็ต้องโอนอ่อนไปตาม
เพื่อหาเลี้ยงชีพ เช่น การสวมหมวกคราวนี้เป็นต้น

            "ช้อยช่างไม่เลือกงานที่จะทำเสียบ้างเลยนะ" พลอยปรารภขึ้น

            "เลือกไม่ได้หรอกพลอย" ช้อยตอบ "แล้วก็ไม่เห็นมีอะไรจะต้องเลือก คนที่ยังเหลืออยู่ในวังเดี๋ยวนี้
ก็ดูเหมือนจะแบบเดียวกับฉันเป็นส่วนมาก ทางไหนที่พอจะทำได้ ไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ต้องทำทั้งนั้น
ฉันเองก็ชอบทำงานเพราะอยู่เฉยๆ ก็เหงา นั่งคิดนอนคิดไปก็จะตายเร็วเสียเปล่าๆ ถ้ามีอะไรทำแล้วก็ไม่ค่อยทุกข์
จะได้เงินมากเงินน้อยก็ไม่ว่า ขอให้ได้มีอะไรทำก็พอ
             ฉันดูไปแล้วก็สงสารคนในวังที่ยังเหลืออยู่บางคน แต่ก่อนที่เราเคยเห็นๆ กันมาก็ยังหรูหราอยู่
แต่เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่ที่เก่านั่นเอง เจ็บไปแก่ไปจนไป จะทำอะไรก็ไม่ไหวเพราะเคยเป็นผู้ดีมานาน ได้แต่นอนรอความตาย
ไปวันหนึ่งๆ ฉันอยู่ไม่ได้หรอกอย่างนั้น"


กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 ก.ย. 09, 14:20
เมื่อบ้านพลอยโดนลูกระเบิดเสียหาย พลอยเข้าวังไปค้างกับช้อยก่อนที่จะย้ายไปอยู่บ้านคลองบางหลวง

     "พลอยยังดีกว่าฉันมาก" ช้อยปรารภขึ้น "บ้านนี้พังก็มีบ้านโน้นไปอยู่ได้ อย่างฉันถ้าหากใคร
เขามาไล่ออกจากตำหนักนี้ก็ไม่มีที่จะไป" ....

     "ช้อยทนอยู่ในวังได้อย่างไร ฉันนึกไม่ออกเลย ถ้าเป็นฉันๆ คงกลุ้มใจตาย
      ...มีแต่อะไรผุพังทรุดโทรมไปรอบๆ ตัว น่าเศร้าใจออก ถ้าฉันต้องอยู่ในนี้เห็นจะต้องตายเร็วแน่"
     "... แต่ถ้าจะว่าไปจริงๆ ช้อยก็ดูจะมีภาษีกว่าฉันตรงที่ไม่มีห่วงใยอะไรมาก เพราะตัวคนเดียว"
ช้อยหัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า

        "อย่าเพิ่งพูดไปพลอย.....อย่าเพิ่งแน่ใจนัก ตัวคนเดียวนี่แหละยิ่งมีห่วงมากละ เพราะคนเรามัน
ต้องห่วงอะไรอย่างหนึ่ง ถ้าไม่มีใครคนอื่นจะต้องห่วงเลยก็ต้องห่วงตัวเอง .... อย่างฉันต้องนั่งทำมาหากิน
อยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะเรื่องเป็นห่วงตัวเองนั่นแหละ กลัวจะอดกลัวจะลำบาก"               
       "เงินทองเท่าที่มีมาแต่ก่อนมันก็ควรจะพอ"  "ถ้าหากว่าของมันไม่แพงขึ้น ....
        ...ฉันเคยคิดค้าคิดขายหาอัฐ แต่เดี๋ยวนี้ก็ต้องเลิกเพราะมันไม่คุ้ม ก็ได้แต่รับจ้างเขาทำดอกไม้บ้างอะไรบ้าง
มันได้น้อยก็จริง แต่เราก็ต้องใช้มันให้จนพอ"
     
      " ... ถึงให้ทุนรอนฉันมาค้าขายเท่าไรฉันก็มีแต่ขาดทุนจนหมด อบน้ำอบขายก็แล้ว
ทำหมวกก็แล้ว จนถึงทำห่อหมกจ้างเด็กออกไปเดินขายแถวท้ายวังไปจนถึงท่าเตียน แต่แล้วก็ต้องเลิกเพราะขาดทุน"
      "ที่เราเรียนมาแต่เด็กมันคนละอย่าง" ช้อยอธิบาย

        "ผู้ใหญ่ที่สอนให้เราทำอะไรเป็น ท่านสอนให้ทำเอาดี ไม่ได้สอนให้มาทำหาสตางค์มันก็เลยติดจนเป็นนิสัย
ทำอะไรก็จะทำเอาดีวิเศษไปเสียทุกอย่าง สตางค์ก็เปลือง เหนื่อยก็เหนื่อย
          อย่างฉันทำห่อหมกขายนั่นปะไร นั่งตัดใบตองเสียหลังขดหลังแข็ง เพราะจะเอาให้สวย ทำห่อหมกก็ต้องเลือกปลา
จะให้เขากินอร่อย เอาแต่เนื้อแต่พุง มีไข่ปลาวางหน้า กระดูกปลาก้างปลาโยนทิ้ง ใบยอใส่รองล่างก็ต้องเลือกใบอ่อน
ใส่แต่น้อยไม่ใส่เป็นกำๆ อย่างคนอื่นเขาทำ แล้วมันจะไปขายแข่งกับเขาอื่นได้อย่างไร ถ้าขายแพงกว่าเขาคนเขาก็ไม่ซื้อ
ขายราคาเท่าเขาเราก็ขาดทุนล่มจม จะทำอย่างเขาบ้างเราก็ทำไม่เป็น  เพราะเราไม่ได้เรียนมาหลอกคน ทำอะไรก็ได้แต่
ทำให้คนชมว่าดี ไม่ได้หลอกทำหลอกให้คนเชื่อ
         มันพ้นกาลพ้นสมัยไปหมดละพลอย อยู่เฉยๆ ดีกว่า มีน้อยเราก็กินน้อย หมดเมื่อไรเราก็เลิกกินเท่านั้นเอง
อย่าไปคิดถึงมันให้วุ่นวายหัวใจไปเลย"
         ............
       
         ปัจจุบันเจ้าเหลือน้อยเต็มที คำกล่าวตามกระทู้นี้ย่อมเลือนไป ทุกวันนี้ก็ไม่ได้ยินใครกล่าวเช่นนี้มานานแล้ว
จนกระทั่งมาพบที่นี่


กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: sugar ที่ 15 ก.ย. 09, 18:48
ขอบคุณทุกท่านนะคะที่ได้เข้ามาร่วมให้ข้อคิดดีๆมากมาย

สำหรับคุณSILA ดิฉันอ่านข้อความที่คุณยกมา แทบทุกประโยคที่อ่านให้ความรู้สึกมากมายจนน้ำตาซึม.... ดิฉันอาจจะไม่ใช่คนที่อ่านหนังสือมากมายนัก ทำให้รู้สึกพิศวงกับอมตะนิยายที่ได้หยิบยกมาให้อ่านให้คิดตามกันว่าตัวหนังสืออะไรกันนี่ช่างมีชีวิตจริงๆ.......

ขอขอบคุณ อ.เทาชมพู
ขอขอบคุณ คุณติบอ
ขอขอบคุณ Wandee
ขอขอบคุณ SILA
และขอขอบคุณ ผู้ที่ไม่ได้เอ่ยนามทุกท่านค่ะ


กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: นรีนันท์ มรรคดวงแก้ว ที่ 12 ธ.ค. 09, 00:42
 :-X


กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: นรีนันท์ มรรคดวงแก้ว ที่ 12 ธ.ค. 09, 00:53
เราว่า "เจ้า" หรือ "เศรษฐี"

ถ้าไม่มีคนไปจับยกจนลอยฟ้า มากนัก ก็มีชีวิตปกติเหมือนกันทุกคนนะ

เราควรภูมิใจในตัวเราเองดีกว่า

เกียรติและศักดิ์ศรีมีกันทุกคนแหละนะ แต่จะรักษาให้สูงขึ้น หรือตกต่ำลงก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล

จะร่ำรวยมีเงินจนเป็นเศรษฐีหรือไม่นั้น ถ้าหามาโดยสุจริต ก็คงมีความสุขนะ

ถ้าไม่อิจฉา หรือหมั่นไส้ใคร  ก็จะมีสายตาและหัวใจที่เปิดกว้าง

จะได้ดูเป็นบทเรียน รับแต่สิ่งดี ๆ อะไรที่ไม่ดีจะได้ไม่กระทำตาม



กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: sugar ที่ 13 ธ.ค. 09, 15:19
ดิฉันเห็นด้วยค่ะคุณนรีนันท์ :) ว่าเราควรภูมิใจในตัวเอง

จะเจ้าหรือเศรษฐีหรือใครๆก็สามารถทำดีได้ทั้งนั้น

เราควรเอาความดีเป็นตัวตั้ง แทนสถานภาพทางสังคมที่คนส่วนใหญ่จับยกให้.....แต่ก็ยากเย็นเหลือเกิน

สังคมนี้เห็นยศฐาบรรดาศักดิ์และเงินเป็นใหญ่กันเป็นส่วนมาก ....



ทำไมนะ.........??? เป็นไม่หาย ดิฉันเองบางครั้งก็เป็นด้วยความหน้าชื่นอกตรม ใครก็ไม่รู้ พ่อแม่รึก็ไม่ใช่ ถ้าน่ากราบก็จะเต็มใจ

ทว่า..ต้องพินอบพิเทาเดี๋ยวไร้มารยาทว่าไม่เคารพ(เงินตราห้อยบรรดาศักดิ์)!!!!




แต่ในสังคมนี้ก็ยังมองเห็นว่ามีคนแบบคุณนรีนันท์อีกคนที่ให้ความเป็นธรรมกับชีวิตคน

แม้ส่วนหนึ่งของสังคมจะดูแย่แต่คุณก็ยังมองเห็นความสงบ ความสว่างและความงามได้....นับถือค่ะ.







กระทู้: เศรษฐีหรือจะสู้เจ้าได้....
เริ่มกระทู้โดย: luanglek ที่ 14 ธ.ค. 09, 09:21
ขออนุญาตแทรกข้อมูลสักน้อยหนึ่ง

ในสมัยรัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้ตรากฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการเศกสมรศแห่งเจ้านายในพระราชวงศ์ (ประกาศเมื่อ วันที่ ๑๐ มิ.ย. ๒๔๖๑)ไว้ดังนี้ (เก็บใจความมากล่าวโดยสังเขป)

มีพระบรมราชโองการในรัชกาลที่ ๖ ว่า การเศกสมรศแห่งเจ้านายในพระราชวงศ์ตามธรรมดาได้ทรงทราบและได้พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์โดยสมควรแก่พระเกียรติยศ  แต่ก็มีบางรายที่มิได้กราบบังคมทูลให้ทรงทราบก่อน  โดยเกรงว่าจะเปนการรบกวนเบื้องพระยุคลบาทบ้าง  โดยเหตุอื่นบ้าง  บางรายได้ทรงทราบว่าการได้เปนไปโดยไม่สมควรแก่พระเกียรติยศ  มีพระราชประสงค์จะอุปถัมภืบำรุงพระบรมราชตระกูลไว้ให้สูงศักดิ์  กับืจะสำแดงให้พระราชวงศ์ทรงทราบว่า  มีพระราชหฤทัยประสงคืจะพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์แก่พระราชวงศ์ให้ทั่วถึงกัน  จึงมีมีพระราชดำรัสสั่งแก่เสนาบดีกระทรวงวังให้ประกาศเป็นกฎมณเฑียรบาลว่า

๑.ต่อแต่นี้ไป  เจ้านายในพระราชวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปจะทำการเศกสมรศกับผู้ใด  ให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตก่อน  เมื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว  จึงจะกระทำการพิธีนั้นได้
๒.ที่ที่จะทำการพิธีเศกสมรศต้องเปนที่สมควรที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะพระราชทานน้ำสังข์ได้  จะได้ทรงกำหนดตามที่ทรงพระราชดำริห์เห็นสมควร
๓.ถ้าผู้ใดทำฝ่าฝืนไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัตินี้ ให้ถือว่าได้ทำผิดฐานละเมิดต่อพระองค์ผู้ทรงเปนกุลเชฐในพระราชวงศ์


ต่อมา  ในสมัยรัชกาลที่ ๗  ภายหลังคณะราษฎร์ได้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว  ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสมรสพระราชวงศ์  และรัชกาลที่ ๗ ได้โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศเป็นกฎหมายดังนี้

กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสมรสพระราชวงศ์แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๔๗๕  (เก็บความโดยสังเขป)

มีพระบรมราชโองการสั่งว่า  กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสมรสพระราชวงศ์ (ซึ่งออกเมื่อรัชกาลที่ ๖ ๒๔๖๑) ได้มีพระราชดำริมาก่อนมีพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้วว่า ควรจะเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมแก่กาลสมัย  สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเห็นชอบด้วยพระราชดำริ  จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตรากฎมณเฑียรบาลขึ้น(ประกาศวันที่ ๘ ส.ค. ๒๔๗๕)ไว้ดังนี้

... มาตรา ๓ พระราชวงศ์ตั้งแต่หม่อมเจ้าขึ้นไป  ถ้าจะทำการสมรสกับผู้ใด ท่านว่าต้องนำความกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเสียก่อน
มาตรา ๔ เจ้าหยญิงองค์ใด  ถ้าจะทำการสมรสกับผู้อื่น ซึ่งมิใช่เจ้าในพระราชวงศ์  อันเป็นการไม่ต้องด้วยพระราชประเพณีนิยมดั่งนั้นไซร้  ท่านว่าต้องกราบถวายบังคมลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์เสียก่อน
มาตรา ๕ ถ้าพระราชวงศ์องค์ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๓ และมาตรา ๔ ไซร้ ท่านว่าให้ถอดเสียจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ ...