๏ ชั้นสิงหโสภาคยชั้น ฉานคลี
สิงหชำนันนนทรี เถ่อหน้า
พิศเพียรพ่างโกษี สุรโลก
สมสมภารล้นหน้า เลิศล้ำสากล ฯ
ธ ก็เสด็จยังปราสาท ให้หาราชศิลปี มีโองการบังคับ ให้สำหรับพระเมรุ เกณฑ์กำหนดทุกกรม
ให้แต่งพนมอัษฐทิศ พิพิธราชวัติฉัตร กลิ้งกลดธวัชบรรฎาก หลายหลากภาคบุษบก
กระหนกวิหคเหมหงส์ บรรจงภาพจำเนียม ลางพนมเทียมอัสดร ลางมกรเทียมยยับ
ประดับขับเข็นรถ อลงกฎคชสาร อลงการคชสีห์ สารถีสถิตชักรถ ชดกรกระลึงกุมแสง
รำจำแทงองอาจ เผ่นผงาดขับสารสีห์ เทียมนนทรีชำนรรสึงห์
ดึงไดฉบับจับกัน สรรพ์อสุราสุรครุฑ มนุษย์ภุชงค์คนธรรพ์ บรรเขบ็จภาพเรียงราย
• พระลานแลล้ำเภรี ชำนันนนทรี
ถงัลคือตนตื่นตา
ตัวอย่างจากโคลงนิราสนครสวรรค์ ผมมาคิดใคร่ครวญดู ต้องพิจารณาการแบ่งคำเวลาอ่านด้วย
เพราะการแบ่งคำมีผลต่อการตีความและแปลความหมายด้วย
ถ้าในแบ่งอ่านว่า สิงหชำนัน/นนทรี เถ่อหน้า
ตีความได้ว่า ที่ชั้นฉานคลีนั้น (คงหมายถึงพื้นยกเป็นลานกว้าง)
ประดับด้วยรูปสิงห์ยืน (ไม่ใช่สิงห์นั่ง) และรูปยักษ์นนทรี ตั้งเถ่อหน้า
(เถ่อหน้าแปลว่าอะไร แหงนหน้า? เชิดหน้า? ช่วยกันตีความต่อไป)
แต่ถ้าแบ่งอ่าน สิงหชำนันนนทรี/ เถ่อหน้า
ตีความได้ว่า ที่ชั้นฉานคลีนั้น ประดับด้วยรูปสิงห์เหยียบยักษ์นนทรี ยืนเถ่อหน้า
หรือว่า โคลงตรงนี้ ผู้แต่งต้องการใช้ในความหมายว่า ยักษ์นนทรียืนเหยียบสิงห์
เพียงแต่ลักษณะบังคับของโคลงทำให้ผู้แต่งต้องสลับที่คำเพื่อฉันทลักษณ์
ตรงนี้อาจจะมีผู้แย้งว่า ตำแหน่งคำที่ ๒ ในวรรคนี้ ไม่ใช่คำเอกหรือคำตาย
ถือว่าผิดฉันทลักษณ์โคลง ก็ขอไขความว่า โคลงโบราณนั้น ท่านถือเอาสระอำ
ในคำสองพยางค์ซึ่งส่วนมากเป็นคำแผลงจากคำภาษาเขมร ลงในตำแหน่งคำเอกได้
มีบ้างเหมือนกันที่คนสมัยหลังไม่ทราบ เอาไม้เอกไปใส่ให้ก็มี ด้วยหมายจะให้ถูกตำแหน่งเอก
การใช้คำสองพยางค์ที่มีสระอำที่พยางค์หน้าลงในตำแหน่งเอกในโคลง แม้ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ก็ยังเห็นมีใช้อยู่บ้าง เช่นในโคลงนิราศนรินทร์ บทที่ว่า
๑๒๙
๏ แว่วแว่วเสาวณิตน้อง นางทรง เสียงฤๅ
สรวลกระซิกโสตพะวง ว่าเจ้า
คล้ายคล้าย
ดำเนินหงส์ หาพี่ ฤๅแม่
อ้าใช่อรเรียมเศร้า ซบหน้ากันแสง ฯ
๑๓๐
๏ พวงจาวเจิดแจ่มแก้ว จักรพรรดิ พี่เอย
สมเสมอสมรรัตน์ แท่งแท้
จำเริญ
จำเราสวัสดิ์ สังวาส
เล็งเลียบดินฟ้าแพ้ ภพนี้ฤๅหา ฯ