เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์โลก => ข้อความที่เริ่มโดย: WI WANDA ที่ 19 ก.พ. 06, 18:37



กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: WI WANDA ที่ 19 ก.พ. 06, 18:37
เทาชมพู แถลงค่ะ

หลายคนที่เคยเข้าห้องสมุดของ pantip คงจำชื่อคุณ WIWANDA ได้ แต่หลายคนที่ไม่ได้เข้าก็พลาดเรื่องสนุกๆที่เธอมาเล่าให้ฟัง
คือเรื่องนี้ละค่ะ

ดิฉันสมัครสมาชิกให้คุณวิวันดาได้ แบบชื่อไม่ค่อยสมบูรณ์นัก ดันมี space ตรงกลาง เพราะผิดพลาดตอนสมัครครั้งแรก ระบบเลยไม่ยอมให้ใช้ชื่อเดิมเมื่อกลับไปแก้ไข
กลายเป็น  WI WANDA
คือต้องหลอกระบบด้วยการเคาะเว้นว่างตรงกลาง    ขอความกรุณาคุณอ๊อฟช่วยลบ space ตรงกลางด้วยได้ไหมคะ

เรื่องที่คุณวิวันดาเล่าให้ฟังนี้  ดิฉันมาถ่ายทอดให้ฟังในเรือนไทยสักพักหนึ่งก่อน  ต่อไปคุณวิวันดาปลีกเวลามาได้คงมาเล่าให้ฟังเอง

เนื้อเรื่อง เริ่มความตั้งแต่รัชสมัยพระราชินีนาถวิคตอเรียเป็นต้นมา คือเริ่มศตวรรษที่ ๒๐

ขอเชิญติดตามสำนวนเปรี้ยวหวานมันเค็มเผ็ด รสชาติแซ่บเหลือหลายของคุณวิวันดาได้แล้วค่ะ


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ก.พ. 06, 19:40
 ดิฉันหาแผนผัง Family tree ของพระราชินีนาถวิคตอเรียไม่ได้ แต่เจอเว็บนี้
 http://www.btinternet.com/~sbishop100/
ก็เลยลอกบางส่วนมาให้อ่านกัน

พระราชินีนาถกับเจ้าชายอัลเบิร๋ตพระสวามีทรงมีพระราชโอรสธิดา ๙ พระองค์
เจ้าฟ้าทั้งเก้าล้วนแล้วแต่เสกสมรสไปกับเจ้านายในราชวงศ์ต่างๆทั่วยุโรป ดังนี้ค่ะ

These children were, in order of birth:

1)Victoria (Vicky), Princess Royal, b.1840, d. 1901 as dowager Empress of Germany (married Frederick (Fritz) of Prussia, 1858)

2) Albert Edward (Bertie), Prince of Wales, b. 1841, d.1910 as King Edward VII (married Princess Alexandra of Denmark, 1863)

3)Alice, b. 1843, d. 1878 as Grand Duchess of Hesse-Darmstadt (married Prince Louis of Hesse-Darmstadt, 1862)

4)Alfred (Affie), b. 1844, d.1900 as Duke of Edinburgh and Saxe-Coburg-Gotha (married Princess Marie of Russia, 1874)

5)Helena (Lenchen), b.1846, d.1923 as Princess Helena of Schleswig-Holstein (married Prince Christian of Schleswig-Holstein)

6)Louise, b.1848, d.1939 as Dowager Duchess of Argyll (married Marquess of Lorne 1871)

7)Arthur, b.1850, d.1942 as Duke of Connaught (married Princess Louise of Prussia)

8)Leopold, b.1853, d.1884 as Duke of Albany (married Princess helena of Waldeck-Pyrmont)

9)Beatrice, b. 1856, d. 1944 as Princess Beatrice of Battenberg (married Prince Henry of Battenberg)
.
.


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 19 ก.พ. 06, 20:13
 สวัสดีค่ะ คุณ WIWANDA... อาจารย์เทาชมพู hinted ไว้ที่กระทู้นู้น ดิฉันก็ทราบทันทีว่าใครจะมาเล่าเรื่องสนุกๆ
ให้ชาวเรือนไทยฟัง

อ่านเรื่องของคุณ WI มานาน สุ้มเสียงสดใสวัยจ๊าบ ใยจึงยอมให้คนขนานนามว่าป้า WI มาที่เรือนไทยเด็กๆ
เขาคงจะขอเรียกพี่ WI และสำหรับหลวงนิลและคุณถาว์ ขออนุญาตให้เธอทั้งสองเรียกน้อง WI จะขัดข้องหมายค้าาาา?


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: pharmaceutical scientist ที่ 19 ก.พ. 06, 22:17

หารูป pedigree ของ Queen Victoria มาให้ครับ ไม่ค่อยชัดนักนะครับ เพราะต้นฉบับก็ไม่ค่อยชัดเหมือนกัน
ในทางการแพทย์ สายราชวงศ์ที่สืบเชื้อสายจากพระราชินีวิคตอเรียลงมา มีชื่อเสียงในเรื่องของการถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรมที่เรียกว่า hemophilia หรือโรคเลือดไหลไม่หยุด นั่นเอง โรคนี้ได้คุกคามชีวิตของผู้คนในราชวงศ์ยุโรป เนื่องจากมีการแต่งงานระหว่างเชื้อพระวงศ์ด้วยกันเอง ใครที่เรียนวิชาพันธุศาสตร์ต้องได้เรียนเรื่องนี้อย่างแน่นอน เพราะมีบรรจุอยู่ในตำราพันธุศาสตร์ และตำราการแพทย์ทุกเล่ม

ถ้าอยากเห็นรายละเอียดชัดๆ มีลิ้งค์ให้ไปดูเพิ่มเติมครับ
http://129.128.91.75/de/genetics/70gen-hemophil.html
http://sun.menloschool.org/~dspence/biology/chapter12/chapt12_12.html
http://fig.cox.miami.edu/~cmallery/150ss97/pedhemophilia.gif  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ก.พ. 06, 08:18
 เคยพูดเรื่องโรคฮีโมฟีเลียไว้ในกระทู้เก่าแห่งใดแห่งหนึ่ง    สงสัยว่าพระราชินีนาถวิคตอเรียทรงได้โรคนี้มาจากพระญาติองค์ใดกัน
มีตำราบอกไว้ไหมคะ
*******************
นำเรื่องที่คุณวิวันดาเล่าไว้มาลงต่อค่ะ
คุณวิฯ เธอยังไม่เข้ามาในเรือนไทย    ดิฉันส่งชื่อล็อคอินและทำลิ้งค์กระทู้ไปให้แล้ว
เธอว่างจากงานประจำอันรัดตัวมากๆ เมื่อไรคงแวะเข้ามาตามคำเรียกร้องของแฟนๆ
**************************
การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในครั้งนั้นได้กระทำอย่างเร่งด่วน
     เพื่อความจงรักภักดีต่ออังกฤษ
     เจ้าชายจึงต้องจำใจยอมลาออกจากตำแหน่งแม่ทัพเรือ และ
     คืนฐานันดรแห่งความเป็นเจ้า..เหลือไว้เพียงชื่อที่ต้องเปลี่ยนใหม่ตามคำขอร้องของพระเจ้ายอร์จ
     จาก แบทเตนเบอร์ค มาเป็น Mountbatten ...คือว่าไม่ต้องคิดหาคำกันให้ยาก
     แปลกันมาตรงๆนี่แหละ จากภาษาเยอรมัน มาเป็นภาษาอังกฤษแบบตรงตัว
     เพราะไม่ว่าทั้ง berg หรือ mount ก็คือ ภูเขา เหมือนกัน..
     ซึ่งแม้จะไม่ชอบพระทัยนัก แต่เจ้าชายพระอนุชาก็ต้องจำทน
     เพื่อคงไว้ด้วยสร้อยพระนาม (Marquess of Milford Haven) ต่อไป
     เพื่อฐานันดรของลูกเต้าจะได้ไม่หลุดโผไปจากการมีเชื้อสาย

พระองค์ทรงทำพระทัยให้ยอมรับกับพระนามใหม่แบบขำๆ
     ดังจากข้อความในจดหมายเหตุถึงพระโอรสว่า ...
     "9 มิถุนายน เกิดมาเป็นเจ้าฟ้า..จู่ๆก็เหลือแค่บรรดาศักดิ์ขุนกระจอกๆ"
     ซึ่งตรงนี้ที่โอรสองค์เล็กสุด คือ Louis (พระนามเดียวกับพระบิดา)       ทำพระทัยไม่ได้กับการผันแปรในชะตาชีวิต
     (ในภายหลังพระองค์คือ ท่านลอร์ดหลุยส์ เมาท์แบตแทน
     ผู้ที่มีบทบาทอย่างมากมายกับพระราชวงค์)
     ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อไม่นาน(ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์)ถึงความหลังครั้งนั้นว่า..
     "ทุเรศจริงๆ พ่อของฉันได้ออกรบทัพจับศึก
     นำกองทัพเรือออกทำสงครามอย่างเต็มความสามารถถึงสี่สิบกว่าปี
     เพราะเราคือเลือดเนื้ออังกฤษที่ต้องตอบแทนให้กับแผ่นดิน..ถ้าจะใช้หัวคิดจริงๆแล้ว.แน่นอนว่าเราทั้งหมดย่อมต้องมีสายเลือดเยอรมันอันเก่าแก่ตั้งแต่โบราณกาล
     และมันเป็นความผิดของเราตรงไหนล่ะ..ท่านพ่อทรงก้าวมาถึงการเป็นแม่ทัพเรือได้
     เพราะทรงใช้พระปรีชาสามารถด้วยพระองค์เอง และผลที่ได้รับคือความอับอาย หยามเหยียด เพราะไอ้ความคิดโง่ๆของใครบางคนนี่แหละ"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ก.พ. 06, 08:26
 ซึ่งไม่ใช่แต่ตระกูล Battenberg เท่านั้นที่มีการเปลี่ยนแปลง
     เพราะพระเจ้ายอร์จที่ห้าได้ทรงการกระทำแบบ"ล้างบางเยอรมัน"กับพระประยูรญาติอื่นๆด้วย
     เช่น
     พี่เขย(เพราะพระราชินีของพระองค์ ก็คือ พระนาง Mary of Teck) คือ
     Duke of Teck มาเป็น Marquess of Cambridge
     และ Prince Alexander of Teck มาเป็น Earl of Athlone
     ส่วนสายของ Mecklenberg-Strelitz, Hesse, Wittins
     เจ้านายสายเยอรมันที่อยู่เด่นชัดในสาแหรกก็เปลี่ยนมาเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งสิ้น
     สรุปง่ายๆว่า..เชื้อสายเจ้าดั้งเดิมที่สืบเนื่องมาแต่ครั้งอัศวินทูโทนิคที่ได้รวบรวมเยอรมันให้เป็นปึกแผ่นมาแต่ครั้งกระโน้น
     กลายมาเป็นแค่เสนาบดีในราชวงค์ใหม่ของพระเจ้ายอร์จที่ห้านี่เอง

และพระเจ้ายอร์จที่ห้าได้ทรงเล็งเห้นว่า
     สถาบันราชวงค์จะอยู่สูงสุดเอื้อมไปก็คงไม่ไหว
     เพราะเจ้านายสายเดียวกันได้ปลดประจำการจากพระยศไปก็มากต่อมาก
     เดี๋ยวจะหดสั้นกุนกู๋สิ้นเผ่าพันธ์ไปอย่างน่าเสียดาย
     พระองค์จึงทรงออกพระราชบัญญัติขึ้นมาใหม่..ว่าด้วยเรื่องการอภิเษกของเชื้อพระวงค์
ว่า..สามารถอภิเษกได้กับบุคคลธรรมดาที่มียศฐาบรรดาศักดิ์พอสมน้ำสมเนื้อ
     นี่คือ..ปรากฏการณ์ครั้งแรกแห่งประวัติศาสตร์ที่เจ้านายสามารถอภิเษกกับสามัญชนได้
     (และ นี่คือทางสะดวกของ เจ้าฟ้าชายอัลเบิร์ต หรือ "Bertie"
     อันเป็นพระนามที่ถูกเรียกขานในหมู่พระญาติใกล้ชิด
     คือพระโอรสองค์ที่สองของพระองค์ที่จะได้ขอใช้สิทธินี้เป็นพระองค์แรก
     โดยการที่จะขอแต่งงานกับสุดที่รักที่เป็น..สาวร่างป้อม หน้าหวาน
     ธิดาสาวของท่านเอิร์ล เวลช์ (Earl Welsh) นามว่า Elizabeth Bowes-Lyon

     (ต่อมา สาวที่ว่าคนนี้ ได้กลายมาเป็นควีนมัม..หรือ สมเด็จพระราชินี
     อลิซาเบธ พระมารดาของควีนองค์ปัจจุบัน....วิวันดา)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ก.พ. 06, 08:32
 ในช่วงนั้น
     คือช่วงที่พระเจ้ายอร์จต้องทรงงานเป็นอย่างหนักในเรื่องที่ต้องกลบเกลื่อนเปลี่ยนสายเลือดให้กับเหล่าพระประยูรญาติที่ใกล้พระองค์

     ยิ่งกลบมากเท่าไหร่... ตอก็ผุดตามขึ้นมามากเท่านั้น
     เพราะจากสถานะการณ์สงคราม ข่าวสารนั้นแทบจะควบคุมไม่ได้ เช่นว่า...
     พระญาติสนิท(สายเยอรมัน) พระองค์หนึ่งคือ Prince Albert of
     Schleswig-Holstein ที่มีตำแหน่งในด้านควบคุม
     ค่ายกักกันเชลยอังกฤษในกรุงเบอร์ลิน เป็นการทำงานให้กับนาซี  
     ที่พระเจ้ายอร์จต้องทรงออกมาให้การด้วยพระสุรเสียงที่แหบแห้งแก้เกี้ยวว่า
     "เจ้าชายอัลเบิร์ต แห่งชเลส์วิค พระองค์ท่านไม่ได้เป็นพวกเยอรมันเต็มตัวหรอก
     ตำแหน่งที่ได้ก็แค่หัวโขนที่ทางเยอรมันตั้งให้เท่านั้น"
     ว่าแล้วพระองค์ก็ต้องทรงมาเป็นกังวลในเรื่องเชื้อชาติดั้งเดิมของพระชายาอีกด้วย
     เพราะพระราชินี     คือ พระนาง แมรี่ แห่ง เทค ก็เป็นเยอรมันแต้ๆ
     หากแต่โชคดีที่พระนางตรัสภาษาอังกฤษได้เนี๊ยบ      ไม่มีหลุดเหน่อเยอรมันออกมาให้แสลงหู
     และเป็นที่ยอมรับว่า..พระนางทรงมีคุณสมบัติเหมาะสมกับบัลลังค์แห่งอังกฤษอย่างครบถ้วน


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: HotChoc ที่ 20 ก.พ. 06, 20:58
 ตอนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งคนอังกฤษเกลียดเยอรมันมาก แต่ทางเยอรมันก็เกลียดอังกฤษไม่แพ้กันนะครับ เพราะทางเยอรมันไม่เคยมองอังกฤษเป็นศัตรูเลย (ศัตรูตัวเอ้ของเยอรมันตอนนั้นคือฝรั่งเศส) เยอรมันพยายามเอาอังกฤษเป็นแบบอย่างด้วยซ้ำ ไม่ว่าเรื่องอาณานิคมหรือเรื่องกองทัพเรือ แต่พอเริ่มสงครามอังกฤษกลับไปอยู่ฝ่ายศัตรูซะนี่ (เผอิญเยอรมันเอาอย่างอังกฤษได้ดีไปหน่อยจนอังกฤษเริ่มกลัวขึ้นมา โดยเฉพาะเรื่องกองทัพเรือซึ่งอังกฤษถือว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายระดับสิ้นชาติเลย)

คำขวัญยอดฮิตของทางเยอรมันตอนนั้นคือ "Gott strafe England" (May God Punish England) ฮิตจนเป็นคำทักทายเลยครับ คนที่ถูกทักก็จะตอบว่า "Er strafe, es!" (May He Punish Her)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 20 ก.พ. 06, 22:44
 สวัสดีครับ คุณน้าวิวันดา
ยินดีต้อนรับกับเรือนใหม่นะครับ


ส่วนคุณพี่เภสัช วันพฤหัสหน้า กับอังคารนู้นผมต้องสอบเรื่องในแผนภูมิที่พี่ยกมาพอดีเลยครับ อิอิ
(แต่ยังจำอะไรไม่ได้เลย ไปอ่านหนังสือดีกว่า เอิ๊กๆ)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 21 ก.พ. 06, 08:41
 จ้าก...เผลอแว้บเดียว ติดจรวดไปไกล...อ่านไม่ทันเเย้วค่ะ


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: KC ที่ 21 ก.พ. 06, 19:30
 ไม่ได้มาสักพัก ไปไกลเลยครับ
family tree ของสมัยวิคตอเรีย ลองดูที่เวบนี้ได้ครับ
 http://en.wikipedia.org/wiki/British_monarchs%27_family_tree  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: pharmaceutical scientist ที่ 21 ก.พ. 06, 22:27
 เนื้อหาเยอะมาก ใช้เวลาอ่านเกือบชั่วโมงเลยครับ กว่าจะปะติดปะต่อเรื่องได้
---------------------------------------------------------------
ตอบ อ. เทาชมพู เรื่องว่าใครถ่ายทอดยีนโรค hemophilia ให้แก่ Queen Victoria
เรื่องนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้ เพราะที่ทราบว่า Queen Victoria น่าจะเป็นผู้ถ่ายทอดยีนนั้น เป็นการไล่ความสัมพันธ์ของการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากผู้่ที่ป่วยเป็นโรคขึ้นไปตามสายเครือญาติ ซึ่งองค์ความรู้นี้เกิดขึ้นในภายหลังจากที่โรคนี้คร่าชีวิตผู้คนในราชวงศ์ยุโรปไปแล้วกว่าครึ่งศตวรรษ โรค hemophilia เป็นโรคที่ถ่ายทอดผ่านยีนที่อยู่โครโมโซมเพศ และเป็นยีนด้อย การที่จะเกิดโรคได้นั้นจะต้องมียีนแสดงเป็น xx ในเพศหญิง (เพศหญิงที่มียีนเป็น Xx จะไม่แสดงโรค เพราะยีนเด่น X ข่มอยู่แต่จะเป็นพาหะนำโรคสู่ลูก) และ xY ในเพศชาย (ให้ x เป็นยีนด้อย X เป็นยีนเด่น) เนื่องจากเพศชาย โครโมโซม Y จะสั้นกว่า โครโมโซม X การแสดงออกของยีน hemophilia จึงไม่ถูกควบคุมโดยโครโมโซม Y เพราะฉะนั้น ถ้าโครโมโซม X ได้จากแม่ที่มียีนด้อยที่ทำให้เกิด hemophilia ลูกชายจะต้องเป็นโรคนี้อย่างแน่นอน(xY) ส่วนลูกสาวจะเป็นยีนแฝง โอกาสที่ลูกสาวจะเป็นโรคนั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพ่อเป็นโรค hemophilia (xY) และแม่มียีนแฝง(Xx) เท่านั้น ซึ่งโอกาสเป็นไปได้ยาก เพราะเด็กผู้ชายที่เป็นโรคมักจะตายตั้งแต่เด็ก แต่ในสายของ Queen Victoria กลับมีผู้ชายที่เป็นโรคและอยู่รอดจนถึงวัยเจริญพันธุ์ทำให้สามารถถ่ายทอดโรคให้ลูกสาวเป็น hemophilia ได้
การสืบประวัติขึ้นไปในลำดับก่อน Queen Victoria ยังไม่มีปรากฎผู้ที่เป็นโรคนี้ เป็นไปได้ว่ายังไม่มีความรู้เกี่ยวกับโรคดีพอจึงไม่ได้ทำการบันทึกหรือบันทึกเป็นโรคอื่นไป และการแต่งงานในหมู่เครือญาติใกล้ชิดยังไม่มากเท่าในยุคของ Queen Victoria โรคจึงยังไม่ปรากฎ (ยิ่งแต่งงานในหมู่เครือญาติที่ใกล้ชิดมากเท่าไหร่ โรคที่เป็นยีนด้อยจะมีโอกาสแสดงออกได้มากเท่านั้น)
ไม่รู้ว่าอธิบายแล้วเข้าใจกันมากน้อยแค่ไหน เอาเป็นว่าใครอยากอ่านประวัติของโรค hemophilia ก็ลองตามไปดูที่ลิ้งค์นี้แล้วกันนนะครับ
http://www.hemophilia.ca/en/2.1.2.php  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ก.พ. 06, 13:28
 ขอบคุณค่ะคุณ PS  เป็นอันว่าเรื่องนี้ก็ยังลึกลับดำมืดอยู่  
โรคนี้ต่อมามันก็หายไป   สมัยนี้ไม่ค่อยได้ยินว่าใครเป็นอีกเลยนี่คะ
***********************
มาช่วยคุณวิวันดาแปะเรื่องต่อค่ะ

เจ้าฟ้าหญิงทั้งสองพระองค์ต่างรักใคร่กันดี
ในพระราชวังได้มีการจัดสร้างโรงละครขนาดเล็กที่มีเวที เพื่อให้ทั้งสองได้มีโอกาสแสดงออก..เช่นเล่นละครหรือเต้นระบำถวาย
เพราะสมเด็จพระราชินีทรงโปรดเรื่องการแสดง
และการเต้นรำสากล
ส่วนพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดการเต้นคองก้าประเภทเกาะกันแถวเรียงเป็นงูกินหาง

ในโลกของครอบครัวนี้..พระเจ้ายอร์จที่หกมักใช้คำจำกัดความว่า "เราทั้งสี่" ทุกครั้งไม่ว่าจะทำอะไร ทั้งๆที่พระองค์มีข้าทาสบริวารมากมาย ไม่รวมสุนัขและม้าที่มีอยู่นับสิบนับร้อย และเหล่าพระสหาย (ที่มีแค่หยิบมือ)
ทั้งหมดโปรดปรานการเล่นเปียนโน ร้องเพลง อีกทั้งลุ่มหลงในเสียงเพลงของ บิง ครอสบี้
สมเด็จพระราชินีได้กำหนดหลักสูตรการเรียนให้กับเจ้าฟ้าหญิงทั้งสองด้วยพระองค์เอง
ซึ่ง..หนักไปในทางศิลปะนานาแขนง... มากกว่าวิชาคำนวน

ในปี 1939 ที่เยอรมันได้นำกำลังเข้ารุกรานโปแลนด์นั้น (ทั้งๆที่อังกฤษได้ห้ามแล้ว..ว่า อย่า..)
อังกฤษจึงต้องประกาศสงครามกับเยอรมัน ชาวลอนดอนที่มีที่ทางขยับขยาย..ต่างก็อพยพโยกย้ายออกจากเมืองหลวงพากันไปอยู่ตามบ้านที่ชนบท

แต่สำหรับพระเจ้ายอร์จและครอบครัว"เราทั้งสี่" ไม่เสด็จไหนทั้งสิ้น ประทับอยู่แต่ในพระราชวังวินด์เซอร์(ที่อยู่ห่างไปจากลอนดอนเพียง ยี่สิบไมล์)
เจ้าฟ้าหญิงทั้งสองจะเสด็จลอนดอนก็เมื่อคราวต้องไปหาทันตแพทย์เท่านั้น
และในปีเดียวกับที่ประกาศสงครามนั้น....
รัฐบาลได้ประกาศให้เจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบธเป็นมกุฏราชกุมารีอย่างเป็นทางการ
พระองค์ได้ยกเลิกการเรียนภาษาเยอรมัน และเพื่อเป็นการเอาอกเอาใจอเมริกามหามิตร พระองค์ได้เลือกเรียนวิชาประวัติศาสตร์ของอเมริกาแทน..
ส่วนเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต..ในฐานะที่เป็นเจ้าฟ้าองค์สำรอง จึงไม่ใคร่มีใครมาเข้มงวดในเรื่องเรียนนัก พระองค์ทรงมีพระประสงค์แบบเด็กๆคือ อยากจะเรียนประวัติศาสตร์ตามพระภคินี
เพราะพระอาจารย์ผู้สอนนั้นมาจากโรงเรียนอีตันที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ทรงได้รับคำตอบว่า
"อย่าเลย..เดี๋ยวจะไปเป็นการกวนพระทัย...."
เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตถึงกับโวยด้วยความกริ้วว่า..
"คงเป็นเพราะฉัน..เกิดช้าไปงั้นซิ?"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ก.พ. 06, 13:30
 แต่การบ่มเพาะมกุฏราชกุมารี เจ้าฟ้าหญิง อลิซาเบธ ตั้งแต่เล็กแต่น้อยมานั้น นับว่าไม่เสียเปล่า เพราะพระองค์ได้ตระหนักในความรับผิดชอบ เข้มงวด และรักษาขนบธรรมเนียมได้อย่างเคร่งครัด สมดังพระทัยของพระบิดา
เท่านั้นไม่พอ..พระองค์สมเป็นหน่อเนื้อกษัตริย์ในทุกกระเบียดนิ้ว เพราะไม่ว่า พระบิดาจะโปรดอะไร เช่น การทรงม้า ล่าสัตว์ได้ทุกชนิด ตั้งแต่ แกะรอยกวาง จนถึงไก่ป่า..เจ้าฟ้าหญิงสามารถดำเนินตามรอยพระบาทได้ในทุกเรื่อง
หรือ พระบิดาไม่โปรดอะไร เจ้าฟ้าหญิงก็จะไม่โปรดตามไปด้วย เช่น การไปทำพิธีสวดในโบสถ์ หรือ พิธีทางศาสนา
ครั้งหนึ่ง ท่านรัฐมนตรีแห่งสก็อตแลนด์ได้รับปากว่าจะมอบหนังสือดีๆให้..
พระองค์รีบขัดขึ้นว่า.."หวังว่าคงไม่ใช่หนังสือประเภทไบเบิ้ล หรือ เรื่องที่เกี่ยวกับพระเจ้านะ..เพราะเรื่องราวของพระองค์น่ะ ฉันรู้หมดแล้ว"

ยิ่งเรื่องพระอารมณ์ขันแล้ว..ถอดแบบมาจากพระบิดาเปี๊ยบ..ที่ชอบหัวเราะและเห็นขำกับพวกตัวตลกที่แสดงท่าทางแปลกๆ ขันๆ ทำหกคะเมนตีลังกา
ผิดกับเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต..รายนั้นเหมือนกับพระมารดาอย่างถอดแบบ ที่ชอบตลกแบบใช้คำพูดเสียดสีอย่างชนิดต้องกลับไปคิดสองสามตลบ

เจ้าฟ้าหญิงองค์เล็กพระองค์นี้ ชอบเอาแต่พระทัย และ มักอาละวาดยามที่ใครบังอาจขัด ใครต่อใครที่รู้ฤทธิ์ มักตั้งสมญาให้ลับหลังเสมอว่า.. "ตัวร้าย" บ้าง.."เหลือขอ" บ้าง
แต่สำหรับพระบิดาและพระมารดาแล้ว..ทั้งสองพระองค์กลับเห็นว่า..น่ารักดีออก..พูดจาตรงไปตรงมา
ไม่มีใครติดที่จะเปลี่ยนนิสัยหรือจับมาฝึกปรือใหม่ เพราะอย่างไรเสีย..เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตไม่ใช่พระราชินีต่อไปในอนาคต..
แม้แต่พระองค์ก็ยังตรัสเสมอว่า
"ฉันจะทำอะไรก็ได้ตามใจ ซนยังไงก็ได้ ไม่ใช่อย่างพี่ลิลิเบทนี่..จะได้ต้องมาระวังตัวแจ"


แม้ทั้งสองพระองค์จะสนิทสนมกันเช่นไร แต่..ฝ่ายพี่..ก็ยังเป็นพี่ที่ต้องทำหน้าที่สั่งสอนน้องอยู่ตลอดเวลา
แต่โดยวิธีของการช่างฟ้อง เช่น
"มาร์กาเร็ตลืมบอกขอบคุณอีกแล้ว..ครอว์ฟี่...ฉันเลยต้องแอบสะกิดให้ถึงจะได้พูดออกมา.."
หรือ..ยามที่เจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบธได้ทรงเป็นหัวหน้าหมู่ใน Girl Guide (คล้ายๆกับลูกเสือหญิง) พระองค์ได้ทรงทำหน้าที่อย่างเข้มงวด และวินัยจัด
ไม่เว้นแม้กระทั่งพระขนิษฐาที่คุยไม่หยุด..
พระองค์ได้ตรัสดุว่า
"นี่..ในเครื่องแบบนี่..ฉันไม่ใช่พี่สาวของเธอนะ จะมาทำเล่นๆไม่ได้"
เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต ทรงทำพระพักต์บูดเบี้ยว พร้อมกับทำท่าหยอกล้อไม่เลิก ไม่เกรงกรัวแม้แต่นิด แถมยังตรัสตอบอย่างไม่ลดละว่า
"พี่ก็ไปดูแลอาณาจักรของพี่เถอะ..สำหรับน้อง..น้องดูแลตัวเองได้"

และอย่าว่าแต่เกรง..การต่อปากต่อคำกับพระราชินีในอนาคต เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตก็ไม่ละลด..เช่น
"พี่ลิลิเบทกินขนมปังช็อคโกแลตไปตั้งสิบสี่อันแล้วนะ กินไม่หยุดเหมือนแม่เลย ไม่รู้จักคำว่าพอเสียมั่ง.."
พระราชินีเองก็หมดปัญญา..ไม่รู้ว่าจะทรงทำอย่างไรกับการพูดอย่างโผงผางอันเป็นนิสัยของพระธิดาพระองค์เล็ก นอกจากได้แต่ทำเป็นไม่สนใจ อย่างในเรื่องที่พระองค์เองก็โดน
เช่นในคืนหนึ่งที่เจ้าฟ้าหญิงเข้ามาช่วยจัดแต่งฉลองพระองค์..และได้ทรงถามขึ้นว่า
"แม่คะ..ทำไมต้องใช้ปิ่นอันนี้ด้วย น่าเกลียดจะตาย ใหญ่โตเบอะบะ..และไม่ได้เข้ากันกับทรงผมเลย"
พระราชินีได้แต่ยิ้มแหยๆ ทำไม่รู้ไม่ชี้..แค่ถามกลับไปเป็นพิธีว่า
"อย่างนั้นหรือจ๊ะ"

พระเจ้ายอร์จที่หก ก็ไม่อยากที่จะเคร่งครัดกับพระธิดาองค์นี้นัก เพราะว่าทรงเห็นพระทัยและสงสารที่เด็กๆทั้งสองต้องอุดอู้อยู่แต่ในวัง
(ถึงห้าปี ตลอดระยะของสงคราม)
จะไปเที่ยวเล่นเหมือนเด็กอื่นๆก็ไม่ได้
เมื่อนายโนเอล โควาร์ด พระสหายของสมเด็จพระราชินีได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง In Which We Serve ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสงครามทางน้ำ และเป็นเค้าโครงเรื่องวีรกรรมของวีรบุรุษนายเรือ ลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเทน (หรือที่เจ้าฟ้าหญิงทั้งสองต่างทรงเรียกว่า คุณลุงดิคกี้)ในขณะที่ กำลังรบกับข้าศึกด้วยเรือรบหลวง HMS Kelly
ระหว่างถ่ายทำได้ทูลเชิญให้ไปเยี่ยมชมในกองถ่าย
ทั้งสี่พระองค์ได้ตอบรับคำเชิญ
นี่คือ..โอกาสที่ครอบครัว"เราทั้งสี่" ได้เปิดหูเปิดตากับโลกภายนอก
และพระธิดาทั้งคู่..ได้ทำความรู้จักและสัมผัสกับ"โลกมายา" เป็นครั้งแรก


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ก.พ. 06, 13:32

มาถึงนี่ก้อเลยต้องเล่าเรื่องของ ท่านลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเทน หรือ คุณลุงดิคกี้ พระประยูรญาติที่ใกล้ชิดเสียก่อน เพราะบุคคลคนนี้ต่อไปจะกล่าวถึงมากมายเพราะเป็นกลไกสำคัญในความเป็นไปของครอบครัว
"เราทั้งสี่" นี่มากทีเดียว..

ท่านลอร์ดหลุยส์ คือพระโอรสของเจ้าชาย หลุยส์ แห่ง
แบตเทนเบอร์ค ที่ได้ทรงยอมทิ้งตำแหน่งเจ้าชาย(สายเยอรมัน) มาดำรงตำแหน่งขุนนางอังกฤษตามสถานะเปลี่ยนแปลงทางการเมือง (ติดตามอ่านได้จากกระทู้ที่แล้ว)
แต่ทางสายเลือดแล้ว..ท่านลอร์ดก็คือ ลูกพี่ลูกน้องกัน.. เนื่องจาก
ย่าของท่านลอร์ดเป็นพี่สาวแท้ๆของปู่ของพระเจ้ายอร์จที่หก
ท่านลอร์ด เป็นนายทหารเชื้อพระวงค์ที่มีความสง่างาม..คล่องสังคม และ ติดหรูหรา และไม่ค่อยถ่อมตัวเท่าไหร่
ความใกล้ชิดกับพระเจ้าอยู่หัวนั้นก็สนิทแนบแน่น เพราะไม่ว่าท่าน
ลอร์ดจะโอ่หรือโวอย่างไร พระองค์ก็ไม่ทรงถือสา..

ไม่ว่าพบกันคราใด ท่านลอร์ดมักชอบยกหีบเหรียญตราต่างๆมาอวดเป็นประจำ ดังเช่น..
"เอ..หม่อมฉันได้ให้พระองค์ทอดเนตรเหรียญอัศวิน"ดาราประดับแห่งเนปาล" {Star of Nepal} ที่ได้รับมาหมาดๆหรือยังพะยะค่ะ?"
ว่าแล้ว ท่านลอร์ดก็ให้ทหารเชิญกล่องเครื่องราชย์ขนาดใหญ่
ที่ประดับประดาแวววาววูบวาบ ส่วนข้างในนั้น มีทั้งเหรียญตรา เข็มกลัด เครื่องหมายพระยศ อีกมากมายที่วางเรียงอยู่เป็นตับ ซ้อนเป็นลิ้นชักที่ดึงออกมาได้หลายชั้น..
ที่เป็นเช่นนั้น เพราะ ท่านลอร์ดเคยได้รับความไว้วางพระทัยให้ไปครองเมืองอินเดีย ในตำแหน่งอุปราช
(ที่..ครั้งหนึ่งท่านลอร์ดเคยขอพระราชอาญาสิทธิในการที่จะแต่งตั้งใครต่อใครให้เป็นอัศวินตามความพอใจ แต่
สมเด็จพระราชินีได้ทรงคัดค้านหรือทรง"เบรค"แบบพระองค์โก่งทีเดียว ทรงตรัสว่า..ไม่มีใครมีสิทธิที่จะแต่งตั้งใครได้ทั้งนั้น นอกจากพระเจ้าแผ่นดิน)

ทีนี้ก็คงจะรู้แล้วว่า..สัมพันธภาพระหว่างท่านลอร์ดและพระราชินีนั้นไม่ค่อยจะราบเรียบเท่าไหร่นัก เหตุเป็นเพราะว่า..
ทางท่านลอร์ด กับ ศรีภริยา ท่านผู้หญิงเอดวินน่า กับคู่ของท่านดยุค ออฟ วินเซอร์ พร้อม หม่อมวอลลิส นั้น สนิทสนมกลมเกลียวกันเป็นอย่างดี
อีกทั้ง คุณหญิงเอดวินน่า นั้นเธอก็ฟู่ฟ่า ล้ำยุค ล้ำสมัย..เป็นไฮโซที่ร่ำรวยและทำตัวได้หรูหราในทุกโอกาส รสนิยมก็แสนจะปรู๊ดปร๊าด เช่นชอบฟังเพลงแจ๊ซ ขับรถยนตร์สปอร์ต ชอบจัดงานค๊อกเทลเฮฮา..
หรือ เปลือยกายเล่นน้ำท่ามกลางแสงจันทร์

ทุกอย่างนั้น...สมเด็จพระราชินีทรงเห็นว่าน่าเกลียดชัง..และส่อพื้นฐานของครอบครัวที่เป็นอภิมหาเศรษฐีก็จริง แต่ไม่ใช่ผู้ดี
พระองค์เคยสาวประวัติของสาวเปรี้ยวคนนี้ให้นางพระกำนัลฟังว่า..
"แม่ของเอดวินน่าน่ะ..เป็นลูกครึ่งยิวนะ เธอรู้ไหม ยัยนี่ถึงได้บ้าๆบอๆไม่เหมือนชาวบ้าน"

อย่างไรก็ตาม..ถึงจะไม่ทรงโปรดครอบครัวนี้สักเท่าไหร่ พระองค์ก็มิได้แสดงออกจนนอกพระพักต์ แต่ได้ทรงเก็บความขัดเคืองไว้ในพระหทัยทุกครั้งที่มีข่าวของ เอดวินน่า
ออกมาในหน้าสังคมแบบต่อเนื่อง ในฐานะหญิงผู้ที่มีรสนิยมการแต่งกายที่ดีที่สุดบ้าง..หรือ ไม่มีใครเหมาะสมในชุดของชาเนล..เท่ากับ
ท่านผู้หญิงเอดวินน่า บ้าง
นี่คือคำสรรเสริญเยินยอที่หาอ่านได้ในหน้าหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ..
ในขณะที่ สมเด็จพระราชินีมักแต่งฉลองพระองค์ด้วยชุดแสคเรียบๆ (ที่นักข่าวบางคนค่อนว่า เหมือนถุงครอบหัวเครื่องดับเพลิง)

แต่เมื่อถึงคราว"เอาคืน" ในสไตล์ของพระองค์ที่ทรงถือว่า..ความแค้นนั้น ไม่ว่ากี่ปีก็ยังไม่สาย..นั่นคือ เมื่อปี 1960 ที่ท่านผู้หญิงเอดวินน่าได้ถึงแก่กรรม..
ตอนนั้น พระองค์ (ที่ทรงพระยศ ควีนมัม แล้ว) ได้ไปในงานพิธีศพที่พระวิหารรอมซี่ย์ และได้เสด็จกลับไปยังพระตำหนักแคลแร้นซ์ที่ประทับเพื่อที่จะติดตามพิธีศพในขั้นตอนต่อไปทางการถ่ายทอดโทรทัศน์
ขั้นตอนต่อไปที่ว่านั้น..คือ การปล่อยศพลงทะเล พร้อมพิธีสลุต (ตามธรรมเนียมของทหารเรือที่ถือว่าเป็นเกียรติยศสูงสุด เพราะ ผู้ตายเป็นภริยาของท่านลอร์ดซึ่งเป็นเจ้านายฝ่ายกองทัพเรือ)
พระองค์ทรงทอดพระเนตรไป..ทรงตรัสแบบกึ่งสมเพชกึ่งสะพระทัยว่า..
"อนิจจา..แม่เอดวินน่าเอ๋ย..ก็หล่อนชอบล่อนจ้อนว่ายน้ำตูมๆนักมิใช่หรือ..เห็นม๊ะล่ะ..ตอนนี้.ก็คงได้แหวกว่ายอย่างสมใจหล่อนแล้วละนะ.."


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ก.พ. 06, 13:34

ในการที่เริ่มขึ้นครองราชย์แบบจำเป็นของพระเจ้ายอร์จที่หกนั้น
นับว่าฉุกละหุกพอควร เนื่องจากต้องมาเจอกับกระแสต่างๆและความเป็นจุดสนใจ
เพราะพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปดเพิ่งสละราชสมบัติไปด้วยเหตุผลดังที่ได้เล่ามาแล้ว..นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ช๊อคชาวโลกให้ตะลึงจังงัง

อีกทั้งกระแสความนิยมของประชาชนที่มีต่อนาย วินสตัน เชอชิลล์ ก็มาแรง ที่เขานับว่าเป็นนักการเมืองดาวสภาดวงเด่น กำลังฉายแสง ปากกล้าออกหน้าเสนอความเห็นในเรื่องทิศทางและสถานะการณ์ของประเทศอย่างไม่เห็นแก่หน้าใคร
(ตอนนั้น ทางสภาที่กำลังมีเสียงแตกแยกในเรื่องสงครามว่าจะสู้กับเยอรมัน หรือ ถอยดีกว่า..)
ที่ทำให้พระเจ้าแผ่นดิน และพระราชินี ที่ยังใหม่ต่อบัลลังค์ดู
"ด้อยราศรี"ไปอย่างถนัดใจ

จากบันทึกของ รัฐมนตรี นาย วิคเตอร์ ซากาเร็ท ฝ่ายจารีตนิยม ที่ได้เขียนไว้ว่า..ทั้งสองพระองค์ทรงอึดอัดที่นายเชอร์ชิลล์ออกโรงไปเสียทุกเรื่อง เห็นทีจะต้องปรามกันซะบ้าง..

แล้วไหนจะ คุณลุงดิคกี้ หรือ ท่านลอร์ด หลุยส์ เมาท์
แบตเทน และภริยาสุดหรู ที่เป็นที่นิยมชื่นชอบของนักข่าวอีกเล่า
เล่นเอาทั้งสองพระองค์ต้องทรงงานกันอย่างหนักที่จะจัดระเบียบให้เป็นไปตามจารีตประเพณีดั้งเดิม

เมื่อพูดถึงประเพณีดั้งเดิม..ก็ต้องมาถึงเรื่องการหาคู่ครองที่เหมาะสมให้กับเจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบธ..มกุฏราชกุมารีหรือพระราชินีพระองค์ต่อไป
เรื่องนี้ ท่านลอร์ดหลุยส์ได้มาคะยั้นคะยอขอความเห็นจากสมเด็จพระราชินีตั้งแต่เจ้าฟ้าหญิงเพิ่งมีพระชนมายุได้แค่สิบสาม
ซึ่งได้ทรงบอกปัดไปด้วยว่า ยังไม่ถึงเวลาที่จะคิด..

แต่..ในขณะเดียวกัน..ทางฝ่ายพระนางแมรี่ พระอัยยิกา ได้ทรงเขียนชื่อเจ้าชายในสายราชวงค์ต่างมาเปรียบเทียบเล็งดูแล้ว ว่าจะมีใครเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร..
ที่เห็นๆก็มี เจ้าชาย ชารลส์แห่งลักเซมเบอร์ค แต่เจ้าชายพระองค์นี้ ชันษาน้อยกว่าเจ้าฟ้าหญิง หรือ
เจ้าชายเกิร์ม แห่งเดนมาร์ค
แต่..ท่านลอร์ด..ได้เสนอและลุ้นหลานชายที่ตัวเองได้ให้ความอุปการะเลี้ยงดูมาประดุจบุตรบุญธรรม
นั่นคือ เจ้าชายฟิลิป แห่ง กรีซ อย่างสุดตัว
ตามประวัติ..คือ พระมารดา ของ เจ้าชาย ฟิลลิป นี้..คือ
เจ้าหญิง อลีซ แห่ง แบตเทนเบอร์ค น้องสาว แท้ๆของท่านลอร์ด ที่ได้ไปอภิเษกกับ เจ้าชาย แอนดรูว์ แห่ง กรีซ เท่ากับว่า
ท่านลอร์ดคือ ลุงแท้ๆของเจ้าชาย..อีกทั้งก็เปรียบเสมือนเป็นเครือญาติ ลูกพี่ลูกน้องกับเจ้าฟ้าหญิง อลิซาเบธ ที่นับได้ว่า ไม่ใช่ใครอื่นไกล..
ชันษาของสองพระองค์นี้ก็ไล่เลี่ย..แก่อ่อนห่างกัน ห้าปี เมื่อเจ้าฟ้าหญิงมีพระชนมายุได้ สิบสาม เจ้าชายฟิลลิป สิบแปด และเป็นหนุ่มรูปงามไม่แพ้ใครทีเดียว
ขั้นตอนแรก ที่ท่านลอร์ดได้แนะนำหลานชายนั่นคือ ให้ขยันเขียนจดหมายไปคุยด้วยฉันท์ญาติพี่น้องแบบสนุกๆเข้าไว้.
ตำแหน่งพระคู่หมายจะไปไหนเสีย..!!


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ก.พ. 06, 13:36

ขอเล่าไปถึงบันทึกของรองท่านแม่ทัพเรือ ฮาโรลด์ ทอม เบลลี่-โกรฮัมน์ ที่ได้ออกปฏบัติการในฐานะกัปตันเรือรบหลวง แรมมิลลี่ส์ ในแถบมหาสมุทรฝั่งเมดิเตอเรเนียนในช่วงฤดูร้อนของปี 1939
ท่านลอร์ด หลุยส์ ได้ขอร้องให้ท่านกัปตันช่วยสงเคราะห์พาหลานชาย
เจ้าชายฟิลิป แห่ง กรีซ ที่เพิ่งเป็นนักเรียนนายเรือหมาดๆ ออกไปร่วมสังเกตการณ์ในการปฏิบัติงานครั้งนี้ด้วย
และเนื่องจาก เจ้าชายฟิลิป ถึงแม้จะเป็นเจ้าก็จริง
แต่เป็นลูกผสมมากมาย เชื้อชาติและสัญชาติของพระองค์ คือ กรีก แต่อยู่ในสายราชวงค์ของ Scheleswig-Holstein-Sonderburg-Glucksburg ที่มีพระบิดาเป็น เยอรมัน-เดนนิช ส่วนสายแม่ก็คือ Battenberg/Mountbatten
ยังไงๆก็ไม่มีทางที่จะมา"รุ่ง" ในกองทัพเรือของอังกฤษได้อย่างแน่นอน
หรือถึงจะได้มีโอกาสมาทำงานให้กับกองทัพเรือ..แต่..ถ้าหากเกิดการปะทะกันขึ้น ใครเล่าจะกล้าเสี่ยง
ถ้าหากเจ้าชายแห่งกรีซเกิดเป็นอะไรขึ้นมา..เพราะตอนนั้น ฐานันดรทางราชบัลลังค์กรีซ ท่านอยู่ในอันดับที่หก
ซึ่ง นี่คือข้อความที่ท่านกัปตันได้บอกออกไปตรงๆกับเจ้าชาย..
แต่คำตอบที่ได้รับ...ท่านกัปตันถึงกับเป็นงง...เพราะเจ้าชายได้ตอบว่า
"ท่านลุง (หมายถึงท่านลอร์ดหลุยส์) ได้บอกว่า ต่อไปฉันจะได้อภิเษกกับเจ้าฟ้าหญิง อลิซาเบธ "
ท่านกัปตันจึงย้อนถามไปว่า.." ทรงรู้จักรักใคร่กันแล้วหรือ?"
"งั้นมั้ง..ก็เขียนจดหมายติดต่อกันทุกอาทิตย์แหละ"
ท่านรองแม่ทัพเรือ..รีบกลับเข้าห้องไปจดบันทึกข้อความนี้ไว้อย่างทันที ท่านว่า..กลัวลืม..เดี๋ยวข้อความในความทรงจำจะตกหล่น


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ก.พ. 06, 13:39
 ต่อมาในปี 1941 เจ้าชายฟิลิปได้มีพระชนมายุครบยี่สิบปี แต่ก็ยังส่งจดหมายถึงเจ้าฟ้าหญิงหวานใจวัยสิบห้าอย่างต่อเนื่อง..
จนพระญาติผู้น้อง เจ้าหญิงอเล็กซานดราแห่งกรีซ
เห็นพระองค์ขมักเขม้นทรงพระอักษร จึงถามว่า
"พี่เขียนจดหมายถึงใครกันคะ?"
"เจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบธ แห่ง อังกฤษ"
"อูยย..เธอยังเด็กอยู่นะคะ"
"นั่นแหละ..วันหนึ่งพี่จะแต่งงานกับเธอ"
ข้อความข้างบนนี้..เจ้าหญิงอเล็กซานดราทรงเล่าประทานมาเมื่อไม่กี่ปีมานี้ และทรงเล่าต่อด้วยว่า ตอนนั้น ท่านทรงผิดหวังและเสียใจหน่อยๆ เพราะท่านอยู่ในวัยแรกรุ่น และมีจิตเสน่หาต่อเจ้าชายฟิลิปไม่น้อย
อีกทั้งทางพระประยูรญาติต่างก็เห็นว่าคนทั้งสองเหมาะสมกันเป็นที่สุด

ซึ่งเบื้องหน้าเบื้องหลังแล้ว..เจ้าชายฟิลิปนั้นอยู่ในความอุปถัมภ์ของเหล่าพระญาติที่ต่างก็ช่วยๆกัน"ลงขัน" เพราะครอบครัวที่แตกแยกอย่างน่าสงสาร
พระมารดาคือ เจ้าหญิงอลีซ พระธิดาของ เจ้าชาย หลุยส์ แห่ง
แบตเทนเบอร์ค( เจ้าชายรัฐมนตรีแห่งกองทัพเรืออังกฤษ..)
พระบิดา คือ เจ้าชายแอนดรูว์ พระโอรสองค์ที่เจ็ดของพระเจ้า ยอร์จที่หนึ่ง แห่งราชวงค์ เฮลเลนเนส (ทรงเป็นเจ้านายทหารเรือกรีซ)
และเมื่อคราวสงครามที่ชาวเติร์คได้บุกรุกในประเทศกรีซ
ปี 1922 นั้น..
เจ้าชายแอนดรูว์ได้ถูกข้อหาว่าละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างการสู้รบ พระองค์ได้ถูกตัดสินด้วยโทษสูงสุด คือ การยิงเป้า..
แต่ด้วยเส้นสายของพระชายาฝั่งอังกฤษ เจ้าหญิงอลีซ จึงได้เข้าไปขอความช่วยเหลือจากพระเจ้ายอร์จที่ห้า..ให้ช่วยชีวิตของพระสวามีด้วย..
พระเจ้ายอร์จที่ห้า..เห็นทีว่าจะให้เหตุการณ์อย่างกรณีของซาร์
นิโคลาสเกิดขึ้นอีกไม่ได้ จึงมีพระบัญชาให้เรือรบหลวง คาลิปโซ่ มุ่งหน้าไปยังกรีซ และขอร้อง"แกมบังคับ"ให้ปลดปล่อยพระญาติ
ใครเล่าจะกล้าขัด...
สรุปว่า..ทั้งครอบครัวของเจ้าชายแอนดรูว์ ที่มีพระชายาคือเจ้าหญิงอลีซ (ที่ไม่สมประกอบ เนื่องจากเป็นคนหูหนวก) พากันลงเรืออพยพ พร้อมทั้งพระธิดาทั้งสี่.. และ หนึ่งพระโอรสน้อยวัยสิบแปดเดือนที่ต้องให้นอนมาในลังส้มอย่างทุลักทุเล

(เจ้าโอรสน้อยพระองค์นั้น นามว่า เจ้าชาย ฟิลิป ที่เชี่ยวชาญในภาษามือเพราะมีพระมารดาหูหนวกที่เกิดจากการติดหัดเยอรมันตั้งแต่อายุได้สี่ชันษา....วิวันดา)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ก.พ. 06, 13:40
 หลังจากที่ได้แล่นเรืออกมาจากกรีซแล้ว..ทั้งครอบครัวได้ไปอาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศสเก้าปี มีชีวิตแบบลุ่มๆดอนๆ ค่อนข้างอัตคัต เพราะไม่ใช่เจ้าเศรษฐี
และในฐานะ"ลี้ภัย" จึงเป็นที่ทราบกันดีว่าไม่มีสมบัติติดตัวมา..
บ้านที่อยู่ก็ได้รับอนุเคราะห์มา เสื้อผ้าที่ใช้นุ่งห่มก็เป็นของที่ได้รับบริจาคจากพระญาติ
เงินทองและค่าเล่าเรียนของเด็กๆก็มาจากความช่วยเหลือของใครต่อใครในสายสกุล
เจ้าชายฟิลิปได้สามารถใช้ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน และ อังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว..
หากแต่..ภาษากรีก พระองค์ไม่รู้สักคำ

ต่อมาในปี 1930 บรรดาเจ้าหญิงพี่สาวทั้งสี่ที่ต่างออกไปศึกษาต่อในเยอรมัน..ต่างออกเรือนกันแบบเรียงแถวจนหมดเถา ภายในเวลาเพียงเก้าเดือน
(คนหนึ่ง แต่งงานกับ พันเอกในกองทัพ SS ของนาซี อีกคนหนึ่ง...แต่งงานกับเจ้าชายก็จริง แต่อยู่ในสายของฮิตเล่อร์ อีกคนหนึ่ง ตั้งชื่อลูกว่า Karl Adolf เพื่อเป็นเกียรติกับท่านผู้นำฮิตเล่อร์)

หลังจากที่ลูกสาวออกเรือนกันไปหมด..เจ้าชายแอนดรูว์ก็ทรงออกลวดลายไปได้สาวใหญ่ไฮโซร่ำรวย ทิ้งครอบครัวไปนอนเล่นในเรือยอร์ชกับเจ้าหล่อนที่มอนตี คาโล..
ทิ้งลูกชาย เจ้าชายฟิลิป วัยสิบขวบ และ เจ้าหญิงอลีซผู้พิการให้อยู่กันตามลำพังอย่างไม่สนใจใยดี

เจ้าหญิงอลีซ..โดนมรสุมชีวิตกระทบกระทั่งจนต้านทานไม่ไหว พระองค์แทบทรงเสียพระสติ จนถึงขนาดต้องไปเข้าสถานบำบัดจิตที่สวิทเซอร์แลนด์ถึงสองปี
พอออกมาจากสถานบำบัด..เจ้าหญิงก็เปลี่ยนไป..กลายเป็นคนที่เคร่งศาสนา และ ปวารณาตัวเพื่ออุทิศต่อพระเจ้า ทรงกลับไปที่ประเทศกรีซและได้ทำอุทิศองค์ให้ประโยชน์ต่อคนเจ็บและผู้ยากไร้
(ในช่วงของสงคราม..เจ้าหญิงได้ช่วยเหลือให้ที่หลบซ่อนชาวยิวให้รอดตายจากเงื้อมมือของฮิตเล่อร์ จนได้รับเกียรติสูงสุดและการปลูกต้นมะกอกสดุดีในประเทศอิสราเอล...วิวันดา)
และจากนั้นมา..จนถึงวินาทีสุดท้ายแห่งชีวิต..เจ้าหญิงได้แต่งพระองค์แบบแม่ชี และถือศิลพรรมจรรย์ อย่างเคร่งครัด
(ยกเว้นอยู่วันเดียว..ที่แต่งพระองค์แบบไปรเวท วันไหนนั้นจะเล่าให้ฟังทีหลัง..เมื่อเนื้อเรื่องดำเนินไปถึง)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.พ. 06, 07:19
 เห็นตัวเลขคนอ่านพุ่งพรวดๆแค่ข้ามคืน   เลยรีบเข้ามาแปะต่อ ไม่รอช้า
*********************************
หลังจากที่เจ้าหญิงอลีซ พระมารดาต้องมาล้มป่วยไปอย่างนี้
เจ้าชายฟิลิปที่มีอายุแค่สิบชันษา จึงต้องไปอยู่อังกฤษกับพระมาตุลา
(พี่ชายคนโตของแม่)
คือ เจ้าชายยอร์จ แห่ง มิลฟอร์ด-เฮเวน ที่ค่อนข้างอื้อฉาว
ในเรื่องของการเป็นผู้นิยมสิ่งโป๊ๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังโป๊ หนังสือโป๊ รักวิตถาร รักร่วมเพศ เจ้าชายยอร์จเป็นอุดหนุนโลดดด..
ข่าวว่า พระองค์ได้ทรงใช้เงินจำนวนแสนๆปอนด์ กับสิ่งต่างๆเหล่านี้ และหลังจากที่สิ้นพระชนม์ในปี 1938 ด้วยโรคมะเร็งทั้งๆที่มีพระชนมายุเพียง สี่สิบหก
สมบัติโป๊ๆเหล่านั้นได้ถูกลำเลียงไปอยู่ในที่เก็บลับเฉพาะในบริติชมิวเซียม
หลานชาย..เจ้าชายฟิลิป แห่ง กรีซ เลยต้องหล่นมาอยู่ในความดูแลของน้องชายคนต่อมา คือ ท่าน ลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเทน ด้วยประการฉะนี้

เพียงอายุแค่สิบปี เจ้าชายฟิลิปก็ได้ผ่านมาถึงสี่โรงเรียน ในความอุปการะของเหล่าพระญาติตามที่ได้เล่ามา..
ขั้นต้น..ที่โรงเรียน Elms ใกล้กรุงปารีสที่ตั้งเฉพาะสำหรับลูกผู้ลากมากดี (จ่ายโดยพระญาติสายเยอรมัน)
ต่อมาขั้นประถม ที่โรงเรียน The Old Tabor ที่นับว่าเป็นโรงเรียนที่เก่าแก่และเคร่งการสอนที่อังกฤษ (จ่ายโดยพระญาติสายอังกฤษ)
จากนั้นก็ย้ายไปเรียนที่เยอรมัน โรงเรียน Schloss Salem ที่เมืองบาร์เดน เพราะพี่เขยคนหนึ่งคือผู้อำนวยการ (ตอนนั้นอายุได้สิบสองปี 1933)

และไม่ว่าจะย้ายไปที่ไหน โรงเรียนอะไร เจ้าชายฟิลิปก็ยังครองเกรดเอไว้ได้อย่างเหนียวแน่น..อาจารย์ที่เจ้าชายได้ทรงนับถือมาก นั่นคือ ด๊อกเตอร์ เคิร์ท ฮาห์น ผู้ซึ่งเป็นยิวที่ต้องออกจากประเทศเยอรมัน
ขอลี้ภัยไปยังสก๊อตแลนด์โดยด่วน เพราะ สถานะการณ์ของเยอรมันเริ่มคุกรุ่น
เมื่อมาถึงสก๊อตแลนด์ ด๊อกเตอร์ เคิร์ท ฮาห์น ได้มาเป็นอาจารย์ประจำที่โรงเรียน Gordonstoun ที่เป็นโรงเรียนประจำชาย ที่มีการฝึกคล้ายๆกับโรงเรียนทหาร อย่างเช่น
ต้องวิ่งขึ้นลงเขาก่อนรับประทานอาหารเช้า..กลับมาอาบน้ำเย็นวันละสองครั้ง
เจ้าชายฟิลิปจึงย้ายมาเรียนที่นี่ ตามอาจารย์ที่พระองค์เลื่อมใส และ เป็นนักเรียนดีเด่น รวมทั้งได้รับเลือกให้เป็นกัปตันทีมคริคเก็ต และฮอคกี้
ในบันทึกของด๊อกเตอร์ เคิร์ท ฮาห์น ได้กล่าวถึงศิษย์คนนี้ว่า..
"แข็งแรง ดันทุรัง ไม่ยอมใครง่ายๆ"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.พ. 06, 07:20
 ในห้าปีที่เจ้าชายฟิลิปได้ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนประจำนี้ ไม่เคยมีใครมาเยี่ยมแม้แต่ครั้งเดียว
และถึงแม้ว่าอยากจะกลับบ้าน เจ้าชายหนุ่มน้อยก็ไม่รู้ว่าจะกลับไปบ้านไหน
เพราะไม่มีที่อยู่เป็นของตัวเอง..
ระหว่างปิดเทอมระยะยาว ทางที่ดีที่สุดของพระองค์คือ..สลับไปเยี่ยมพระญาติคนโน้นคนนี้แล้วแต่สะดวก
คนที่จ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงค่าขนมให้ นั่นคือ พระปิตุลา..มกุฏราชกุมารเจ้าชายแห่งสวีเดน แต่มันก็ไม่มากพอที่จะให้อยู่ได้อย่างสดวกสบายหรูหราสมฐานะ
จะไปไหนที่เป็นงานเป็นการ..อย่างงานอภิเษกสมรสของพระญาติ เจ้าหญิงมารินา แห่ง เค้นท์ ที่เจ้าชายต้องขอหยิบขอยืมเสื้อผ้าของเพื่อนฝูงกันวุ่นวาย

หลังจากที่ได้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียน Gordonstoun เจ้าชาย
ฟิลิปอยากเข้าไปเป็นนักเรียนนายเรืออากาศ
แต่ท่านลอร์ด เมาท์แบตเทน..ที่เปรียบเสมือนพ่อบุญธรรมไม่เห็นด้วยอย่างแรง..เพราะท่านว่า..
"ทหารอากาศนั้น..ปล่อยให้ลูกชาวบ้านเขาเรียนกันไปเถอะ
กษัตริย์ที่ทรงแสนยานุภาพหลายพระองค์ต่างทรงเป็นทหารเรือกันทั้งนั้น และโรงเรียนนายเรือเป็นที่ฝึกหัดวินัยและจะสอนให้เธอเป็นเจ้านายที่ดี"

เพียงแค่นั้น..เจ้าชายฟิลิปก็เปลี่ยนเข็มจากทหารอากาศมาเข้าโรงเรียนนายเรือ ที่ ดาร์ทมัธ (The Royal Naval College at Dartmouth)ทันที

เมื่อเข้าไปเป็นนักเรียนนายเรือแล้ว..ทั้งๆที่เจ้าชาย
ฟิลิปทรงตั้งพระทัยไว้แล้วในเรื่องของการที่จะเป็นคู่หมายจนถึงขั้นอภิเษกกับมกุฏราชกุมารี เจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบธผู้ซึ่งจะเป็นพระราชินีของอังกฤษต่อไปในอนาคต..

แต่สามปีก่อนที่ความฝันจะเป็นจริงนั้น..เจ้าชายได้ตกหลุมรักกับดาราหนังอเมริกันที่สวยและเด่นดังสุดในยุคนั้น เธอคือ นางสาว โคบิน่า
ไรท์ (Cobina Wright)
ทั้งคู่ได้พบกันที่เวนีซ ขณะที่เจ้าชายได้กำลังจะเดินทางไปเยี่ยมพระญาติสนิทเจ้าหญิง แอสปาเชีย แห่ง กรีซ
และเธอ..โคบิน่า ได้เดินทางมากับเที่ยวกับมารดาที่มีนามเดียวกัน คือ นาง โคบิน่า ไรท์ ที่เป็นคอลัมนิสต์คนดังของหนังสือพิมพ์เฮอร์สต์
สังคมของเธอก็จัดเข้าขั้นชั้นเทียบกับเจ้านาย..
เนื่องจาก โคบิน่า มีบิดาที่เป็นอภิมหาเศรษฐีที่ถูกจัดขึ้นอันดับกลุ่มสารบัญเศรษฐี หรือในยุคนั้นเรียกว่า Social Register
หลังจากที่ทั้งพ่อและแม่ของเธอได้หย่าขาดจากกัน..
ชื่อฝ่ายหญิงผู้เป็นภรรยาก็ถูกลบออกไปจากสารบัญที่ว่านี่ ทำให้นางต้องใช้เส้นสายของการเป็นไฮโซรุ่นเก๋าหากินกับแวดวงสังคมระดับชั้นต่างๆ
ในฐานะนักเขียนคอลัมน์ซุบซิบเอ็กคลูซีฟ
โคบิน่าเคยบ่นให้ใครต่อใครฟังว่า..อายเขาจะแย่..ยามที่แม่รู้ว่าคนดัง หรือ เจ้านายอยู่ตรงไหน แกก็พยายามจะเข้าไปพบให้ได้

ส่วนแม่..หรือ มิสซิส ไรท์ หรือ ยอดคุณแม่นั้น..พยายามปั้นลูกสาวคนสวยให้เป็นดาวได้จนสำเร็จด้วยความสามารถ
ในปี 1938 โคบิน่าได้สมญาว่าเป็น "ที่สุด" ของทุกอย่าง..ถูกถ่ายรูปมากที่สุด สวยที่สุด ถูกสัมภาษณ์มากที่สุด มีข่าวบ่อยที่สุด ด้วยวัยเพียง สิบแปดปี

ตอนที่เธอและเจ้าชายฟิลิปได้พบกันนั้น เธอเพิ่งได้เซ็นสัญญากับ 20 Century - Fox ในฐานะดาราประจำมาหมาดๆ คืนนั้นเธอได้ไปเที่ยวที่ไนท์คลับและขึ้นไปร้องเพลง
พอดีกับเจ้าชายฟิลิปที่เพิ่งย่างพระบาทเข้ามา..
ทันทีที่ตาประสบ ศรรักก็ปะทะกันกลางอากาศ...เพราะเธอสวยหวานหยาดเยิ้ม..อรชรอ้อนแอ้น มีเสน่ห์จริตที่แสนจับใจ
เธอช่างผิดแผกแตกต่างๆจากสาวยูโรเปี้ยนร่างตันทั่วๆไป ที่พระองค์ได้เคยรู้จัก

เจ้าชายได้เข้าไปแนะนำพระองค์เองกับสาวน้อยหน้าหวานที่เคียงข้างอยู่กับมารดา ที่เผอิญ..รู้จักว่าชายคนนี้คือ เจ้าชายฟิลิป นางจึงรีบถอนสายบัวถวายบังคมอย่างอ่อนน้อม
โคบิน่าจึงต้องรีบย่อตัวทำตาม เจ้าชายรีบเข้าไปประคองที่แขน..และตรัสว่า
"ไม่ต้องหรอกนะจ๊ะ ฉันไม่ได้ถือยศถือศักดิ์อะไร ..และไม่ได้ใหญ่โตมาจากไหน ฉัน คือ ฟิลิป แห่ง กรีซ "
"แค่..ฟิลิป แห่ง กรีซ ไม่มีนามสกุลหรือเพคะ?" หญิงสาวถามอย่างงงๆ
"ใช่..แค่..ฟิลิป แห่ง กรีซ"
และในที่สุดพระองค์ได้พยายามอธิบายให้เธอเข้าใจว่า เจ้านายยูโรเปี้ยนนั้น ไม่จำเป็นต้องมีแซ่  ชาวประชาเขาก็รู้ดีกันว่า เป็นลูกใครหลานใคร เพราะ เจ้านายนั้นมีเพียงแค่หยิบมือเดียว
ส่วนประชาชนคนอื่นๆจำเป็นต้องมีนามสกุล เพราะมีมากมายหลายเหล่า


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.พ. 06, 07:21

เจ้าชายได้เล่าให้เรื่องราวต่างๆของพระองค์ให้สาวงาม
โคบิน่าฟังอย่างสนุกสนาน เช่นเรื่องการกรอกแบบฟอร์มต่างๆที่มักมีให้เลือก แค่ นาย นาง หรือ นางสาว ที่พระองค์ต้องขีดฆ่าออกหมด
แล้วใส่ไปแค่ ฟิลิป เจ้าชาย แห่ง กรีซ
และได้ห้ามเธอไม่ต้องใช้ราชาศัพท์ ขอให้ถือว่าเป็นเพื่อนกัน..
ซึ่งช่างประทับใจผู้ฟังหนักหนา
โถ..ช่างไม่ถือพระองค์เอาเสียเลย
เจ้าชายเพลิดเพลินกับแม่สาวน้อยอเมริกันจนยอมอยู่
เวนีซต่อไปอีกสามอาทิตย์ เพื่อที่จะได้มีโอกาสพาเธอและมารดาไปเที่ยวไหนต่อไหน

จากนั้น..ธุระเรื่องการเป็นกองหนุนก็ตกเป็นของ
มิสซิส ไรท์ ที่อยากได้ลูกเขยเจ้าชายจนตัวสั่น..ถึงแม้จะพอรู้ๆมาอยู่บ้างว่า พระองค์เป็นเจ้าก็จริง แต่เป็นเจ้าถังแตก
(ภาษาอังกฤษ เขาเรียกได้อย่างสะใจกว่า..ว่า..A Prince without principality ) เธอก็ไม่รังเกียจรังงอน แถมยังช่วยจัดพร้อพประกอบฉากให้อีก
เช่นการพาคนทั้งสองไปออกตามงานปาร์ตี้ของเพื่อนๆชาวไฮโซไม่เว้นแต่ละวัน
เท่านั้นไม่พอ..เธอได้ชวนให้เจ้าชายเสด็จตามไปยังลอนดอนด้วย เพราะเนื่องจาก โคบิน่า แม่ลูกได้รับเชิญจากดาราหญิงอังกฤษชื่อดัง คือ บี ลิลลี่ ให้ไปพักที่บ้านตากอากาศในท้องทุ่งชนบทที่ออกแนวหรูหรา
ซึ่งพระองค์มิได้ปฏิเสธ..อีกทั้งรับคำเชิญด้วยความเต็มพระทัย

จากสามอาทิตย์ที่อยู่ด้วยกันในเวนีซ และอีกหนึ่งอาทิตย์ในอังกฤษนั้น ทั้งคู่ใกล้ชิดกันตลอดเวลา ไม่ว่าจะไปรับประทานอาหาร เต้นรำ ดูหนัง หรือ เกี่ยวก้อยเดินเล่นกินลม
จนกระทั่งถึงวันที่ใกล้จาก..คืนหนึ่งก่อนที่สองแม่ลูกจะขึ้นเรือกลับอเมริกา..เจ้าชายได้ไปลาเธอที่โรงแรมคลาริดจ์ ที่พัก และมอบสร้อยข้อมือที่มีตุ้งติ้งเป็นคำว่า I Love You ห้อยติดคู่กับธงชาติกรีก
อีกทั้งมีการจุมพิตลาเคล้าน้ำตาของทั้งสองฝ่าย..
จากนั้นต่อมาสามปี พระองค์ได้เขียนจดหมายถึงเธอ อาทิตย์ละสองฉบับ พยายามที่จะขอเธอแต่งงาน..แต่..รักแท้แพ้รถ อย่างที่จิ๊กโก๋ไทยชอบพูดกันนัก
เพราะ โคบิน่าได้ตัดสินใจแต่งงานกับลูกชายมหาเศรษฐีโรงงานประกอบรถยนตร์ ในปี 1941 ซึ่งมารดาของเธอได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ..
แต่..ต่อให้ลูกสาวแต่งงานแต่งการไปแล้ว  ตัวแม่ก็ยังมีการติดต่อกับเจ้าชายอยู่อย่างต่อเนื่อง
เพราะความที่เคยเป็นญาติดีต่อกัน พระองค์ถึงขนาดเซ็นสลักหลังภาพถ่ายให้กับมิสซิส ไรท์ ในถ้อยคำที่ว่า..ให้คุณแม่ที่รัก จาก ฟิลิป
(คำว่า แม่ พระองค์ใช้เป็นภาษาสเปน ประโยคว่า... To my dear, Madre)

ในภาพ..ท่านลอร์ดหลุยส์ และท่านผู้หญิงเอดวินน่า ตอนที่ดำรงตำแหน่ง อุปราชแห่งอินเดีย


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.พ. 06, 07:24
 เส้นทางชีวิตของเจ้าชายก็ยังยึดอาชีพทหารเรือเช่นเดิม และกลับมาเขียนจดหมายถึงเจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบ็ธต่อไป
(แต่..ในชีวิตต่อๆมา ก็เข้าทำนองลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น..เพราะเจ้าชู้เหมือนพระบิดา)
ครอว์ฟี่..พระพี่เลี้ยงของเจ้าฟ้าหญิงเคยได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ไว้ว่า
"ในยุคนั้น พวกผู้หญิงต่างก็มีหวานใจอยุ่ชายแดนกันทั้งนั้น ใครต่อใครก็ถือเป็นแฟชั่นในการเขียนจดหมายให้กำลังใจ หรือมีการส่งของเล็กๆน้อยๆไปให้ปลอบขวัญ เจ้าฟ้าหญิงก็เหมือนกับเด็กสาวคนอื่นๆนั่นแหละที่ชอบทำอะไรตามอย่างกัน"

จนครั้งหนึ่ง ครอว์ฟี่ได้พบว่า มีกรอบรูปของเจ้าชายฟิลิปอยู่ข้างพระที่บรรทม เธอถึงกับโวย..
"จะไม่ฉลาดน้อยไปหน่อยหรือเพคะ ที่เอามาตั้งให้ใครต่อใครเห็น เดี๋ยวเขาก็เอาไปพูดกัน..ไม่งามเลยนะเพคะ"
"อา..จริงซิ ครอว์ฟี่ ฉันลืมคิดไป"
วันต่อมา..รูปนั้นก็หายไป..หากแต่มีภาพของชายที่ถูกระบายหนวดเคราให้ไว้จนเต็มหน้า..เจ้าฟ้าหญิงได้บอกกับเธอว่า
"นี่ไง..ตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้แล้วว่า เขาคือใคร.."
แต่มันได้สายไปเสียแล้ว เพราะข่าวลือได้กระพือไปถึงไหนต่อไหน แม้กระทั่งหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวถึงภาพชายในห้องพระบรรทม...และขยายความชัดเจนว่า คือ เจ้าชายฟิลลิป แห่ง กรีซ
ข่าวนั้น..ทำเอา ท่านลอร์ดถึงกับหัวเราะเอิ้กอ้ากด้วยความพอใจ..

จดหมายระหว่าง ลิลิเบทที่รัก และ ฟิลิปที่รัก ได้ส่งถึงกันอย่างต่อเนื่องไม่ว่าฝ่ายชายจะอยู่มุมไหนของโลก..เจ้าชายฟิลิปได้ตำแหน่งขึ้นมาเป็นเรือตรี ในปี 1942 และมีสิทธิได้กลับขึ้นฝั่งนานถึงสี่เดือน
ซึ่งในช่วงนี้ พระองค์ได้รับเชิญให้ไปร่วมในงานคริสมาสต์ที่พระราชวังวินเซอร์
(ที่มาทรงสารภาพทีหลังว่า..ที่รับเชิญนั้น เพราะไม่รู้จะไปไหน)

ที่นั่นเจ้าชายได้สร้างความบันเทิงให้กับทุกคน..เช่นเล่าเรื่องตลกให้พระนางแมรี่ฟัง..พระนางได้ให้ความเห็นว่า เจ้าชายเป็นคนฉลาด ไหวพริบดี
ส่วนพระเจ้าอยู่หัว..เจ้าชายมักเล่าเรื่องตื่นเต้นในการสู้รบของสงครามที่พระองค์ได้ผ่านมา เช่นการเครื่องบินข้าศึกส่งระเบิดมาเป็นของขวัญให้บ้าง หรือ การหลบทุ่นระเบิดอย่างหวุดหวิดบ้าง
ซึ่งล้วนแล้วแต่หวาดเสียว และ เข้มข้นจนเกินจริง..พระเจ้ายอร์จที่หกได้ทรงออกความเห็นว่า..
ปล่อยให้มันฟุ้งของมันไปตามเรื่อง..

นายจอห์น ดีน มหาดเล็กต้นห้องของท่าน ลอร์ด หลุยส์ ได้เล่าว่า..
เจ้าชายฟิลิปไม่ใคร่มีฉลองพระองค์พลเรือนมากนัก เท่าที่เห็นมีอยู่ก็เป็นแบบเดียวกับพวกที่ทำงานธนาคารเขาใส่กัน แต่ก็ต้องเข้าใจหรอกว่า เงินเดือนทหารไม่กี่สตางค์
ตอนเสด็จมาประทับที่ลอนดอน บางทีก็มีมาแค่ที่โกนหนวดติดตัวมาอันเดียว ไม่รู้ว่า..เพราะเป็นชินกับการเป็นทหาร...หรือว่า..อัตคัตในเรื่องฉลองพระองค์
ตอนกลางคืนเขาต้องนำไปซักรีดให้ใหม่ บางทีก็ต้องมานั่งซ่อมที่ชำรุดให้ด้วย


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.พ. 06, 07:25
 เมื่อถึงปี 1944 เจ้าชายแอนดรูว์พระบิดาได้สิ้นพระชนม์ในอ้อมอกของสาวไฮโซชู้รัก
หลังจากที่ตัดขาดไปจากเจ้าหญิง อลีซ พระชายาและเหล่าพระธิดาพระโอรสนานถึง ห้าปี อีกทั้งไม่ได้มีสมบัติอะไรที่จะทิ้งไว้ให้ดูต่างพระพักต์ นอกจาก กระเป๋าเสื้อผ้าสองสามใบ ที่ข้างในนั้นมีสูทเก่าๆที่มีรูมอดไชห้าหกชุด และ กล่องหนังที่มีรอยฉีกขาด
ข้างในบรรจุชุดสำหรับโกนหนวดด้ามเป็นงาช้าง
เจ้าชายฟิลิปไม่ได้ทรงใส่พระทัยไปรับ"มรดก" ที่ว่านั่น จนกระทั่งสองปีต่อมา..
เมื่อไปรับมาแล้ว ก็จัดแจงนำสูทเก่าๆนั่นส่งไปซ่อมแซม ปะชุนเสียใหม่
เพื่อที่จะได้ทรงดูดีขึ้นมาบ้าง ในฉลองพระองค์แบบพลเรือน

แต่..สำหรับพระเจ้ายอร์จที่หกที่เคร่งครัดในเรื่องนี้..ชนิดที่ว่า ถ้าชายคนใดไม่มีเครื่องแต่งกายที่เป็นสักหลาดอย่างดีสวมใส่แล้วละก้อ ทรงถือว่าเป็น"ไม่มีคลาส" เอาเลยทีเดียว
และยิ่งถ้าไม่มี.."บวกสี่" (plus four) สำหรับชุด
ลำลองด้วยแล้ว ถือว่า"หลังเขา" อีกต่างหาก

(บวกสี่..คือกางเกงขนาดสี่ส่วน ทรงออกพองตรงต้นขา และมารัดที่กลางน่อง คล้ายๆกับ นิ๊คเกอร์บ๊อคเกอรส์ หรือ กางเกงกอล์ฟ แต่ที่เรียกว่า บวกสี่ เพราะจะยาวว่ากางเกงกอล์ฟ สี่นิ้ว..วิวันดา)

ขณะที่เจ้าชายประทับอยู่เป็น"แขกเชิญ" ในพระราชวัง
วินเซอร์ยามนั้น(1943) ก็ต้องทรงเข้าร่วมในกิจกรรมของเจ้านาย..คือ การไปยิงไก่ป่า ซึ่งเจ้าฟ้าหญิงหวานใจทรงรบเร้าพระบิดาให้พาเจ้าชายออกไปด้วย แต่ พระองค์ทรงเกี่ยงงอนในเรื่องที่ว่า จะให้โดยเสด็จไปด้วยไม่ได้
เพราะเจ้าชาย ไม่มี"บวกสี่"ใส่แล้วจะออกไปล่าสัตว์กับกลุ่มได้อย่างไร อายเขาแย่

เจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบ็ธ ไม่ทรงยอมแพ้..ทรงว่า..งั้นก้อ..ให้ทรงของเสด็จพ่อก็ได้นี่คะ..

ในที่สุด พระบิดาพระทัยอ่อน ยอมให้ยื้ม"บวกสี่" เอาไปทรง..แต่กระนั้นก็ยังไม่วายค่อนขอดในเรื่องของการที่พระองค์ไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น ว่า..
เป็นเจ้าชายประสาอาร๊ายย..อนาถาซะจนไม่มีชุดนอน หรือ รองเท้าแตะนุ่มอย่างดี แถมรองเท้าที่สวมมาก็ถลอกปอกเปิกจนเห็นแล้ว..ทรงอายแทน.. !!


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.พ. 06, 07:26
 ราชเลขาธิการส่วนพระองค์ เซอร์ อลัน (ทอมมี่) ลาส์เซลเลส แทบไม่เคยนับว่า เจ้าชายฟิลิปพระองค์นี้ คือ เจ้านาย เขาประเมินค่าไว้ให้แค่เป็น "พวกนักเลง"เท่านั้น
เพราะจากกิริยามารยาทที่ออกแนว"ห่าม" และ "ไม่เรียบร้อย" แบบพวกเยอรมันทั้งหลาย ที่นึกจะหัวเราะก็ปล่อยออกมาลั่น..ไม่สำรวม ไม่น่าเลื่อมใส

ในขณะที่..เจ้าชายทรงเรียก พระเจ้ายอร์จ และ พระราชินี อย่างสนิทสนมว่า ท่านน้าเบอร์ตี้ ท่านน้าอลิซาเบ็ธ ก็ตาม แต่พระราชินียังอดตะขิดตะขวงพระทัยไม่ได้
เพราะ ทรงรู้สึกว่า เจ้าชายบังอาจตีซี้ และทำตัวสบายยังกับอยู่บ้านของตัวเอง..แถมยังเรียกใช้มหาดเล็กอย่างไม่เกรงใจพระองค์ด้วย
ซึ่งทั้งสองพระองค์ไม่เคยล่วงรู้หรือมีสังหรณ์เลยว่า..
เจ้าชายพระองค์นี้..คือผู้ที่เจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบ็ธได้ลุ่มหลง รักใคร่ และทรงหมายให้มาเป็นคู่ชีวิตอย่างไม่มีวันเปลี่ยนพระทัยแล้ว

คนภายในวัง ต่างก็เห็นถึงพระอาการของเจ้าฟ้ามกุฏราชกุมารี ที่มีการหยอกล้อ ยิ้มหัวอย่างสนิมสนม และ แม้แต่เวลาเสวยพระกระยาหาร ที่พระราชินีต้องทรงเอ็ดเอาบ่อยๆ
ว่า..นี่..เลิกเตะกันใต้โต๊ะซะที..ระวังมารยาทหน่อย
หรือแม้แต่เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต ที่ทรงเย้าพระภคินีบ่อยๆในเรื่องของเจ้าชายฟิลิป
หากแต่ พระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีมิได้สนพระทัยนัก

จนกระทั่งเมื่อปี 1944 ที่สองพระองค์ได้ทรงสังเกตุเห็นว่า
เจ้าฟ้าหญิงได้ทรงพระเจริญวัยขึ้นมากกว่าที่คิด ในงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำที่มีเต้นรำ ที่จัดขึ้นโดยดัชเชสแห่งเค้นท์ นั้น ภาพที่ลงหราฟ้องว่า เจ้าชายฟิลิปคือคู่เต้นรำของเจ้าฟ้าหญิงในทุกเพลงตลอดทั้งคืน..
แต่ก็ทรงคิดว่า..คงไม่มีอะไรเกินเลยไปมากกว่าเป็นเรื่องของเด็กๆ
จนกระทั่ง..วันเฉลิมพระชนม์ครบ สิบแปดชันษาของเจ้าฟ้าหญิง ที่..ท่านลอร์ดได้สู้อุตส่าห์ไปสะกิดให้พระเจ้ายอร์จ แห่ง กรีซ ให้ทรงเป็นผู้ใหญ่ไปทาบทามสู่ขอกับพระเจ้ายอรจ์ ที่หก
ซึ่งพระองค์ได้สบัดพระสุรเสียงกลับมาว่า..ไม่สมควรต่อเวลา..ยังเป็นเด็กกันเกินไป...
และพระองค์ได้ทรงจดหมายไปรายงานพระมารดา พระนางแมรี่ ถึงเรื่องนี้ว่า..
"ลูกเห็นว่า ยังไม่ถึงเวลาที่ลิลิเบทจะมีคู่ครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง..เธอยังไม่เคยพบปะเจอะเจอกับชายอื่นๆคนไหนเลย ลูกไม่ได้รังเกียจ
ฟิลิป เขาก็ท่าทางเป็นคนดี เฉลียวฉลาด
แต่ลูกเห็นทีต้องสำทับยอร์จอีกทีว่า..ให้ไปปรามฟิลิปให้ระงับความคิดในเรื่องนี้ไปก่อน.."


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.พ. 06, 07:28
 แต่ท่านลอร์ดไม่ได้เห็นว่านี่คือการขัดขวางความรักของคนทั้งสองจากในวัง..
เพียงแค่..โดยเนื้อความนั้น มันเป็นการขอเวลา"ดูใจ" ต่างหาก
เพราะฉะนั้น ท่านลอร์ดจึงเข้าเกียร์เดินหน้าเต็มตัว
โดยการเริ่มจัดการปรุงแต่งหลานชายให้เหมาะสมกับตำแหน่ง"พระสวามี"ต่อไปในภายภาคหน้า..
ขั้นแรก คือ.. การที่ต้องเปลี่ยนสัญชาติและศาสนา
ขั้นต่อไป คือ การหมกเม็ดความเป็นเลือดเนื้อของเยอรมันให้มากที่สุด เพราะ เจ้าชายยังอยู่ในสายราชวงค์ของพระบิดา คือ Scheleswig-Holstein-Sonderburg-Glucksburg ที่เป็นเยอรมันแต้ๆ
อีกทั้ง พระนาม ฟิลิป ก็รับถ่ายทอดมาจาก เจ้าชาย ฟิลิป แห่ง เฮสส์
แถมบรรดาพี่สาวทั้งสี่ ก็พากันแต่งงานกับชาวเยอรมันสายเลือดนาซีระดับแนวหน้ากันเป็นแถวๆ

ฉะนั้น ท่านลอร์ดจึงต้องใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะต้องกลบเกลื่อนเรื่องนี้ให้เนียนที่สุด โดยการที่ทำหนังสือรับรองต่อสภามั่นคงของอังกฤษ ใจความว่า
"เจ้าชายฟิลิปได้ทรงพำนักและอยู่ในประเทศมาเกือบตลอดพระชนมายุ อีกทั้งพระองค์ได้สมกับเป็นสุภาพบุรุษชาวอังกฤษทุกประการ ไม่ว่าเรื่องการทรงม้าที่แคล่วคล่อง หรือกีฬาอื่นๆ
และพระองค์ทรงเข้ารับราชการเป็นทหารเรือมาตั้งแต่ก่อนสงครามด้วยเจตนาที่จะเป็นเลือดเนื้อของแผ่นดินอังกฤษไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่"
จากนั้น ท่านลอร์ดก็เขียนจดหมายถึงหลานชาย บอกถึงความคืบหน้า..ว่าได้กระทำอะไรลงไป..
เจ้าชายกลับตอบกลับมาอย่างเหนื่อยหน่ายว่า..
"ขอร้องเถิดครับ..คุณลุง อย่าลุ้นหนักนักเลย..ผมอายเขา"
ที่เจ้าชายตอบเช่นนั้น เพราะว่า..ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เดอะ นิว ยอร์ค ไทม์ ได้ลงว่า
"การเลือกคู่ตามแฟชั่นยุคใหม่..ของเจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบ็ธ ที่ตอนนี้ เจ้าชาย ฟิลิป แห่ง กรีซ กำลังมาแรง"
ทางสำนักพระราชวังได้ปฏิเสธในข่าวนี้อย่างแข็งขันว่า..ไม่มีมูลความจริง

แต่สำหรับจิตใจประชาชนที่แห้งแล้วเพราะตรากตรำกับสงครามมานานถึงหกปี ทุกคน"กระหาย"ต่อข่าวที่เป็นมงคล และ โรแมนติคเสียหนักหนา
พอเยอรมันพ่ายแพ้สงครามในปี 1945 เท่านั้นแหละ
ทุกคนจึงพากันไปโห่ร้อง แซ่ซ้อง สรรเสริย ยินดีต่อพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงนำชาติต่อสู้จนได้รับชัยชนะ และ ในการโห่ร้องถวายพระพร ต่อพระพักต์ของทั้งสี่พระองค์ที่ออกมาประทับอยู่ที่เฉลียงที่ประทับนั้น
เสียงอึงคนึงต่อมา นั่นก็คือ
" ฟิลิปอยู่ไหนล่ะ.."
"ฟิลิปไม่มาด้วยหรือ"
"เจ้าฟ้าหญิงจะทรงอภิเษกกับฟิลิปเมื่อไหร่?"
เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต ถึงกับส่ายพระพักต์และพึมพัมกับพระภคินีว่า..
"พี่ลิลิเบทที่น่าสงสาร..มีความรักประสาอะไรกัน ชาวบ้านชาวช่องรู้กันไปหมด..ไม่เป็นเรื่องส่วนตัวสักนิด"

พอได้รับชัยชนะศึกสงครามมาหมาดๆ พระราชวังวินด์เซอร์ก็ถึงคราวที่ต้องเปลี่ยน"ลุค"ใหม่ วังสีทึมๆ หรือ เครื่องเรือนหนาเตอะตะแบบเยอรมันนั้นถึงคราวต้องโละทิ้ง และ การทาสีที่สดชื่นก็ถูกนำมาใช้แทนที่
แม้แต่..ตัวนายกรัฐมนตรีคนเก่า นายวินสตัน เชอร์เชิลล์ก็พลอยถูกโละทิ้งไปด้วยโดยประชาชนที่ไม่ได้เลือกลงเสียงให้

หากแต่..ที่ถูกรักใคร่แน่นแฟ้นไปกว่าเดิมอีกร้อยเท่าพันเท่านั้น คือ พระเจ้ายอร์จที่หก และพระราชินี ในฐานะที่ทรงตัดสินและเดินหมากการเมืองอย่างชาญฉลาดและถูกต้องจนชาติพ้นภัย..
วันที่ประชาชนได้คราคร่ำที่หน้าพระราชวังในวันที่ชนะศึกนั้น..พระเจ้ายอร์จที่หกทรงเต็มตื้นในความจงรักภักดีที่ได้รับจนต้องตรัสตอบต่อประชาชน แบบตะกุกตะกัก..ว่า
"Th-th-thank God for g-g-good people!"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.พ. 06, 07:37
 หลังจากที่เมฆหมอกร้ายของสงครามได้ผ่านพ้นไป..
พระเจ้ายอร์จที่หกจึงพยายามที่จะใช้เวลาทั้งหมดให้ความสุขกับครอบครัวให้เต็มที่ โดยเฉพาะให้กับเจ้าฟ้าหญิงมกุฎราชกุมารี
โดยการแปรพระราชฐานไปพระราชวังบัลมอรัล เพื่อไปหาความสำราญกับการยิงนกตกปลาแบบพ่อๆลูกๆ
ทรงลืมไปว่า หกปีกับการอุดอู้อยู่แต่ในวินเซอร์นั้น เจ้าฟ้าหญิงที่ทรงเป็นสาวเต็มพระองค์ ก็อยากจะไปเที่ยวเต้นรำแบบหนุ่มๆสาวๆกับเขาบ้าง..

เจ้าฟ้าหญิงในยามเจริญวัยขึ้นมานี้ ได้ทรงมีนางพระกำนัลส่วนพระองค์ รถยนตร์พระที่นั่งเดมเล่อร์ พร้อมพลขับ และ มีพระตำหนักแยกส่วนพระองค์
เรื่องโรงเรียนนั้น..ไม่เคยเสด็จ ไม่เคยเสด็จออกนอกประเทศ
ไม่เคย..แม้แต่ต้องเปิดน้ำสำหรับสรงเอง
พระองค์เคยร่ำๆที่อยากจะทรงขับรถยนตร์เอง แต่..ก็ได้แต่หวัง เพราะ ทรงตรัสว่า
"เคยขอไปทีนึง..แต่..โอ้โห กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องประชุมกันวุ่นวาย เลยไม่เอาดีกว่า"

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ พระเจ้ายอร์จที่หก พระบิดา ไม่ใช่เป็นคนที่มีความคิดริเริ่มเป็นของตัวเองมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะเกรงว่าจะผิดพลาดไปหมด
ไม่ว่าพระองค์จะทรงทำอะไร หรือตัดสินพระทัยในเรื่องอะไร ทุกอย่างต้องผ่านการกรั่นกรองจากสภาเสนาบดีเสียก่อน
แม้แต่พระราชินีเองก็เถอะ..ยังไม่ค่อยกล้าตัดสินพระทัยเช่นกันว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด และเหมาะสมที่สุดสำหรับพระธิดาทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจุกจิก เช่นเรื่อง ฉลองพระองค์ใหม่ ม้าตัวใหม่ หรือว่า รถยนตร์
ทั้งหมดมักตกอยู่ในความพิจารณาเหมาะควรของสภาเสนาบดีทั้งสิ้น

อย่างเดียวที่สองพระองค์เห็นพ้องต้องกัน โดยไม่ต้องพึ่งตัวช่วย นั่นคือ เรื่องไม่เห็นด้วย..ต่อการเสนอตัวเป็นพระราชบุตรเขยของเจ้าชายฟิลิป แห่ง กรีซ
ด้วยเหตุผลสั้นๆคือ เจ้าฟ้าหญิงยังทรงพระเยาว์ อีกทั้งไม่เคยได้พบปะกับชายอื่น..และในเหตุผลประการที่สองนั้น ทำให้ การจัดงานเลือกคู่ในรูปแบบของทีด๊านซ์ ได้เกิดขึ้นมาระนาว
โดยการเชื้อเชิญชายหนุ่มที่เข้าข่ายมาชุมนุมกัน รวมทั้งบรรดานายทหารหนุ่มโสดลูกผู้ดีทั้งหลายด้วย
ซึ่งไม่ว่าจะหน้าไหนมา..เจ้าฟ้าหญิงก็มีที่ติได้แทบทุกเรื่อง ไม่ว่า..อ้วนไป น่าเบื่อ ตัวเหม็น ปากห้อย ฯลฯ


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.พ. 06, 07:38
 จนในปี 1946 ดือนสิงหาคม ที่เจ้าชายฟิลิปได้เป็นเเขกรับเชิญให้ไปร่วมในกิจกรรมครอบครัว"เราทั้งสี่" ที่พระราชวังฤดูร้อนบัลมอรัลอันเป็นประเพณีแล้ว..
เจ้าชายได้ถือโอกาสแอบทูลขอเจ้าฟ้าหญิงในเรื่องการอภิเษก ซึ่ง พระองค์ทรงตอบรับแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด
นี่คือการตัดสินพระทัยด้วยองค์เองเป็นครั้งแรกในชีวิต

และ..นี่คือการทำศึกครั้งใหญ่กับพระบิดาและพระมารดา ที่ต่างกล่าวตรงกันว่า คิดได้ไง..ที่จะทรงอภิเษกกับเจ้าชายจนๆอย่างฟิลิป
และ กำแพงขั้นต่อไปคือ กฏมณเฑียรบาลมาตราที่ 1772 ที่กำหนดขึ้นมาโดยว่าไว้ว่า
ก่อนที่เจ้านายจะทรงอภิเษกสมรสกับใครก็ตาม ต้องผ่านการเห็นชอบและได้รับพระบรมราชานุญาตเสียก่อน
ซึ่ง ตรงนี้ คือไพ่ที่พระเจ้ายอร์จถือไว้เหนือกว่า โดยการทรงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
คนเดียวที่อยู่ข้างเจ้าฟ้าหญิง..นั่นคือ พระอัยยิกา พระนางแมรี่..ที่ยามมีคนมาทูลถามว่า
"ทรงต้องการให้พระราชนัดดามีพระสวามีชนิดไร?"
พระองค์ทรงตรัสตอบด้วยพระสุรเสียงที่ราบเรียบว่า..."เป็นคนที่มีประโยชน์(ต่อบ้านเมือง) ก็พอมั้ง"

ขณะเดียวกันที่พระเจ้ายอร์จที่หกได้ทรงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาต่อเหล่าคณะเสนาบดีเกี่ยวกับเจ้าชายฟิลิป คณะเสนาบดีก็กางโพลล์ที่หนังสือพิมพ์ ซันเดย์ พิคเจอเรียล ให้ทอดพระเนตร
ว่า..สี่สิบเปอร์เซนต์ของชาวอังกฤษยังไม่ปลื้มกับเจ้าชายนัก เพราะถือว่า เป็น"คนต่างชาติ" โดยที่ทุกคนอาจลืมไปว่าเมื่อ ร้อยปีก่อน..เจ้าชายอัลเบิร์ต พระสวามีของพระนางวิคตอเรียก็เป็นเจ้าชายมาจากเยอรมัน

แต่ผู้ที่ไม่มีลืมนั่นคือ เหล่าเสนาบดีนั่นเอง..ที่ เมื่อครั้งนั้น ยามที่เจ้าชายอัลเบิร์ตมาเป็นพระสวามีอิมปอร์ต ทุกคนก็จ้องเรียกพระองค์ลับหลังว่า "เจ้าเยอรมัน" และเรียกเหล่ามหาดเล็กของพระองค์ที่ติดสอยห้อยตามว่า"พวกสายลับเยอรมัน"
ซึ่ง ในกรณีของเจ้าชายฟิลิปนี้ ก็โดนสมญาเช่นกัน เขาเรียกว่า
" ฟิล...เจ้ากรีก" {Phil the Greek}

แต่สำหรับเจ้าชายแล้ว พระองค์มักทึกทักว่าตัวเองเป็นเจ้าฝ่าย
สแกนดิเนเวียน(เดนิช)อยู่ร่ำไป..และเคยให้สัมภาษณ์ว่า
"ที่บ้าน..เราพูดภาษาอังกฤษกัน แต่เวลานึกคำไม่ออกก็สลับไปใช้ฝรั่งเศสบ้าง เยอรมันบ้าง เพราะพวกเราเป็นพวกเจ้านายฝ่ายบอลติค"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.พ. 06, 07:41

เจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบ็ธก็ทรงไม่ยอมถอยให้กับพระบิดาแม้แต่ก้าวเดียว พระองค์ทรงแน่วแน่ในความรักถึงขนาดกล้าเถียง..ว่า
"ลูกเลือกเกิดไม่ได้..และถ้าลูกจะต้องครองบัลลังค์ต่อไปซึ่งเป็นภาระที่แสนใหญ่หลวงนั้น อย่างน้อยลูกก็สมควรที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ลูกรัก" เท่านั้นไม่พอ ทรงต่อด้วยว่า
"อย่างทีเสด็จพ่อยังทรงอภิเษกกับแม่ได้เลย ทั้งๆที่แม่ไม่ใช่เจ้า..แล้วทีกับฟิลิปที่เป็นเจ้าชายแท้ๆ ทำไมจึงต้องมาขัดขวางละเพคะ?"
มาถึงมุขนี้..ทั้งสองพระองค์ก็ตรัสอะไรไม่ออก..ได้แต่เกี่ยงว่า..ยังเด็กอยู่ ไม่สมควรแต่งงาน
ซึ่งเจ้าฟ้าหญิงพระธิดาก็ได้สวนกลับไปทันควันว่า
"แล้วทีพระนางวิคตอเรีย..ล่ะเพคะ พระองค์ทรงอภิเษกเมื่อมีพระชนมายุได้เพียงยี่สิบเท่านั้น และทรงรักกันอย่างชั่วนิรันดร์"

ไม่ว่าพระธิดาจะว่าอย่างไร..พระเจ้ายอร์จที่หกก็ยังทรงทำเฉย พระองค์ยังไม่ค่อยมั่นพระทัยในเจ้าชายองค์นี้นัก เพราะข่าวลือที่เข้ามาเป็นระยะๆนั้นไม่ได้สร้างความปลื้มให้ตรงไหน อีกทั้งมีอะไรๆที่น่าสังสัยอยู่ครามครัน เช่น..
เมื่อครั้งที่นายเรือเจ้าชายได้รับอนุญาตให้ขึ้นฝั่งชั่วคราวนั้น พระองค์และเพื่อนซี้ทหารเรือด้วยกัน นามว่า ไมเคิล ปาร์คเกอร์ ต่างพากันไปเช่าโรงแรมอยู่ด้วยกัน
หรือเรื่องที่ เจ้าชายได้สนิทสนมกับเพื่อน(หญิง)ที่คบหาสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กๆที่มีนามว่า.. เฮเลน ฟูฟูนิส คอร์เดท์ หรือ เรื่องการท่องราตรีประสาหนุ่มๆในละแวกต้องห้ามทางเวสต์เอนด์ของลอนดอน ข่าวเหล่านี้ต่างได้ยินถึงพระกรรณทั้งสิ้น

ทางเจ้าฟ้าหญิงได้ทรงทราบดีว่า การอภิเษกของพระองค์นั้นจะต้องได้รับพระบรมราชานุญาตเท่านั้น จึงจะสำเร็จ พระองค์จึงเปรยๆให้ใครต่อใครได้ยินเสมอว่า
ถ้าไม่เป็นไปตามนั้น พระองค์ก็ขอเลือกที่จะไปอยู่ข้างเดียวกันกับ ดยุค และ ดัชเชส ออฟ วินเซอร์
ถ้อยคำเหล่านั้นเล่นเอาวงแตกฮือ..
(จากหลักฐานในข้อความบันทึกของ นายลูอิส ดักลาส ทูตอเมริกา ประจำ สำนัก เซนต์ เจมส์ ที่ได้ส่งไปยังรัฐสภาอเมริกันในปี 1947 ว่า
เจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบ็ธตัดสินพระทัยแน่วแน่ในการที่จะอภิเษกสมรสกับเจ้าชายฟิลิป และได้ทรงประกาศว่า ถ้ามิได้เป็นไปตามนั้น พระองค์ยินยอมที่จะดำเนินรอยตาม
พระบาทของพระปิตุลา พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปด โดยการสละราชบัลลังค์อย่างไม่เสียดมเสียดาย ข้อความนี้ทางสำนักวินเซอร์เพิ่งจะมาปฏิเสธเมื่อสี่สิบปีต่อมา ว่า
เจ้าฟ้าหญิงไม่ได้ตรัสอย่างนั้นสักนิด เพียงแค่ทรงแสดงความคิดเห็นว่า..พระองค์พอเข้าใจในความรู้สึกของพระปิตุลาต่างหาก)

พระเจ้ายอร์จที่หกทรงกลัดกลุ้ม ฉุนเฉียวมากขึ้นเป็นลำดับ ที่ดื่มจัดอยู่แล้วก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ปัญหาอื่นๆได้เข้ามารุมเร้าจนพระองค์แทบทรงพระวรกายไม่ติด กล่าวคือ
หลังจากสงคราม ทหารได้เข้ามาปลดประจำการมากมายก่ายกองและอยู่ในสภาพไม่มีงานทำ
ปัญหาการว่างงานขึ้นทะลุถึงขีดสุด
มันสมองคู่คิดอย่างนายวินสตัน เชอร์ชิลล์ก็หลุดพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว นายกฯคนใหม่ที่มาแทนก็มาจากพรรคกรรมกรที่พระองค์เห็นว่าเอนเอียงไปทางสังคมนิยมหนักไปหน่อย
ประเทศชาติอยู่ในภาวะขาดแคลนไปทุกอย่าง ไม่ว่าหันหน้าไปทางไหน ผู้คนต่างพากันบ่นพึมถึงแต่ปัญหาปากท้องรวมไปถึงปัจจัยที่จำเป็นต่างๆเช่น เครื่องอุปโภค บริโภค น้ำมัน

ส่วนที่มาทำให้ทรงรำคาญหนักขึ้นไปอีก..นั่นก็คือ ท่านลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเทน ที่มาคุยฟุ้ง โอ้อวดได้ในไม่เว้นแต่ละวัน
เพราะ ตัวเองเพิ่งได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลใหม่
ให้ไปครองตำแหน่งเป็น อุปราช แห่ง อินเดีย..ถ้าจะว่าไป ก็เหมือนกับให้ไปครองทั้งประเทศราวกับพระเจ้าแผ่นดินเลยทีเดียว
สมเด็จพระราชินีทรงหมั่นไส้เป็นทุนเดิมอยุ่แล้ว คราวนี้ยิ่งมากขึ้นไปอีก เพราะ หนังข่าวที่ออกมาปรากฏแก่สายตาของประชาชนเกือบทั้งหมด คือ ข่าวของอุปราชและชายาล้วนๆ
เลยพาลไม่โปรด เจ้าชาย ฟิลิป หลานชายสุดเลิฟไปด้วย
แม้ว่า..หลังจากที่เจ้าชายได้แอบขออภิเษกกับเจ้าฟ้าหญิงแล้ว พระองค์พยายามทำให้ถูกต้องทุกอย่าง เช่น
เปลี่ยนศาสนาจาก Greek Orthodox มาเป็น Church of England และ ได้สละฐานันดร คำว่า เจ้าชาย ทิ้งไปอย่างไม่ใยดี เพราะได้เปลี่ยนสัญชาติมาเป็นคนอังกฤษ
ในนามใหม่ คือ เรือตรี ฟิลิป เมาท์แบตเทน รน. (ขอยืมนามสกุลของท่าน ลอร์ด มาใช้ ที่เจ้าชายได้ให้สัมภาษณ์ไม่กี่ปีมานี้ว่า..ไม่ได้เครซี่กับนามสกุลนี้นัก แต่ ไม่รู้จะไปใช้อะไร)

(เพิ่งหารูปของสาวงาม โคบิน่าได้ค่ะ เลยมาให้ดู)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.พ. 06, 07:42
 ตามหมายกำหนดการของเจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบธที่ได้เตรียมกันมาล่วงหน้านับปีนั้น คือ การเสด็จไปเยือนอาฟริกาใต้ เป็นระยะเวลาถึงสิบอาทิตย์
และในช่วงของการเดินทางนั้น เป็นวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของเจ้าฟ้าหญิงครบ ยี่สิบเอ็ด ชันษาด้วย
พระองค์เริ่มอิดออดไม่อยากเสด็จ เพราะกำลังมีความรัก..
แต่..พระบิดาไม่ทรงยอมอ่อนข้ออย่างเด็ดขาด
เพราะนี่คือเกมส์การเมืองที่อังกฤษต้องตอบแทนให้กับ
อาฟริกาใต้ที่ได้ทำตัวเป็นฝ่ายของอังกฤษตลอดสงคราม และ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการที่เจ้านายจะเสด็จไปประสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
คราวนี้จึงถือเป็นโอกาสอันดี ที่ เจ้าฟ้าหญิงมกุฏราชกุมารี คือ เจ้านายพระองค์แรกที่ได้ไปเยือน..ซึ่งจะมีการจัดตั้ง Union Parliament ขึ้นที่ Cape Town เพื่อเป็นอนุสรณ์สืบไป

งานนี้ถือว่าเป็นงานใหญ่งานหนึ่งแห่งราชวงค์ทีเดียว ที่ต้องลงทุนในการเดินทางนี้อย่างมากมาย ทั้งๆที่ทั่วประเทศกำลังอยู่ในภาวะขาดแคลน
แต่แล้ว..ในที่สุด พระเจ้ายอร์จที่หก อดสงสารพระธิดาไม่ได้ พระองค์ก็ทรงพระทัยอ่อนลงไปครึ่งหนึ่ง
โดยมีข้อแม้ในการแลกเปลี่ยนว่า จะทรงยินยอมให้มีการหมั้น หากว่า..เจ้าฟ้าหญิงได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างสมบูรณ์ในการเดินทางครั้งนี้
และยังต้องรักษาเป็นความลับ ไม่มีการประกาศต่อสื่อมวลชนจนกว่าจะเสด็จกลับมาหลังจากสิบอาทิตย์นั้นผ่านไป..
(พระองค์ยังทรงหวังว่า..พระธิดาอาจเปลี่ยนพระทัย)

ในวันที่ 21 มิถุนายน 1947 ซึ่งตรงกับวันเฉลิมพระชนม์พรรษา ที่ Cape Town นั้น เจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบ็ธ ได้ทรงตรัสออกอากาศทางวิทยุไปทั่วโลกให้ทุกคนได้ยินพระสุรเสียงด้วยใจความว่า
"ข้าพเจ้าขอประกาศให้ทุกท่านได้ทราบว่า ในชีวิตของข้าพเจ้าต่อไปนี้..ที่ไม่ว่าจะสั้น หรือยืนยาวแค่ไหนก็ตาม ข้าพเจ้าได้ขออุทิศทั้งหมดให้กับการทำงานเพื่อสหราชอาณาจักรของเรา และการตั้งใจในครั้งนี้
จะสำเร็จลุล่วงไปไม่ได้ ถ้าหากปราศจากการร่วมมือ ร่วมใจของประชาชนที่รักของข้าพเจ้า
และขอให้พรพระเจ้าจงให้คุ้มครองแก่พวกเราทุกคน"

ของขวัญที่รัฐบาลอาฟริกาใต้ได้เตรียมไว้ถวายนั้น ก็สมควรต่อการลงทุนเดินทางน้อยไปซะที่ไปไหน..มีค่าถึง หนึ่งล้านปอนด์ (ในยามนั้น)เชียว
ของเจ้าฟ้าหญิงนั้น..คือ กล่องโลหะที่ข้างในบรรจุ เพชร ยี่สิบเอ็ดเม็ด แต่ละเม็ดล้วนแต่เป็น เพชรน้ำงามชั้นเลิศ น้ำหนักเม็ดละสิบการัตขึ้น..
ของเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต คือ สร้อยพระศอที่มีเพชรเรียงกันสิบเจ็ดเม็ดเบิ้มๆ
ของพระราชินี คือ เครื่องชุดน้ำชาทองคำที่มีพระปรมาภิไธยสลัก
ของพระเจ้ายอร์จที่หก คือ กล่องทองคำที่บรรจุเต็มไปด้วยเพชรน้ำงาม..
จากคุณ : wiwanda   [20 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา 15:10:50]  [70.134.102.100]        




ความคิดเห็นที่ : 19
หลังจากที่เสร็จสิ้นการเดินทาง ทั้งหมดกลับถึงลอนดอนในเดือนพฤษภาคม 1947
พระเจ้ายอร์จ ยังคงทำเฉยๆในเรื่องความรักของพระธิดา ไม่มีการพูดถึงเรื่องการหมั้นหมาย
อีกทั้งไม่ทรงเชิญเจ้าชายให้ไปร่วมในงานแข่งม้าหลวง หรือที่เรียกว่า Royal Ascot อีกต่างหาก

แต่ความดันทุรังของเจ้าชาย..ก็มีไม่น้อย พระองค์ได้โทรศัพท์ไปขอพระบรมราชานุญาตเข้าไปในวังบั๊คกิ้งแฮม ในวันที่ 8 กรกฏาคม เพื่อจะมอบพระธำมรงค์หมั้น เป็นแหวนเพชร สามกะรัตที่เป็นมรดกตกทอดมาจากเจ้าหญิงอลีซพระมารดา ให้กับเจ้าฟ้าหญิงมกุฏราชกุมารี อย่างหน้าตาเฉย..

และในที่สุด พระเจ้ายอร์จที่หกก็ต้องทรงยินยอม เพราะได้ตรัสออกไปแล้ว..
เจ้าชายฟิลิปทรงขับรถส่วนพระองค์ (สปอร์ต เอ็มจี) เร็วจี๋ 98 ไมล์ต่อชั่วโมง จาก Wiltshire จนถึงลอนดอนเพื่อให้ทันค่ำคืนแห่งประวัติศาสตร์นั่น

วันอภิเษกได้ถูกกำหนดขึ้น คือ วันที่ 20 พฤศจิกายน 1947 ที่พระเจ้ายอร์จที่หกก็ยังไม่ยอมหยุดการตุกติก
มีข้อแม้ต่างๆนานา เช่น เนื่องจากประเทศยังอยู่ในภาวะขาดแคลน
ขอให้เป็นพิธีสั้นๆ และ ง่ายๆ ก็พอ..ซึ่งพระราชินีไม่เห็นด้วย..
พระเจ้ายอร์จทรงอยากให้พิธีอภิเษกเลื่อนไปถึงเดือนมิถุนายน ของปีต่อไป..เพราะเป็นฤดูร้อน ที่มีอากาศแจ่มใส..ซึ่ง เจ้าฟ้าหญิงได้ตรัสว่า ต่อให้หิมะตก พระองค์ก็จะอภิเษกในเดือนพฤศจิกายนนี้ให้ได้

ข่าวการอภิเษกนี้..นับว่าเป็นข่าวชิ้นโอชะของเหล่าบรรดาหนังสือพิมพ์ต่างๆที่พากันพากหัวด้วยความเมามัน และแตกแยกในความคิดเห็นเป็นสองฝักสองฝ่าย

ฝ่ายชมรมผู้สื่อข่าวอังกฤษแท้ๆ ประโคมว่า.."รักแท้ของเจ้าหญิงและเจ้าชาย" หรือ "รักจริง..ไม่ใช่คลุมถุงชน"
ฝ่ายชมรมผู้สื่อข่าวของอเมริกัน ก็แย้งด้วยการพาดหัวว่า.."รักการเมืองของสองสูงศักดิ์" หรือ "รักนั้นที่ว่าหวาน..จริงหรือ?"
เรื่องการคลุมถุงชนของเจ้านายนั้น เป็นเรื่องธรรมดา ที่แม้แต่เจ้าชายฟิลิปก็ทรงคุ้นเคยเป็นอย่างดีมาตั้งแต่ ปี 1923 ที่พระองค์ได้เห็นพระญาติหลายต่อหลายคู่ที่ต้องทรงกล้ำกลืน เช่น
พระบิดาและพระมารดาของพระองค์เอง..และ ญาติพี่น้องเกือบทั้งหมดรวมทั้ง เจ้าหญิงมาริน่า แห่ง กรีซ ที่ถูกส่งเข้ามาอภิเษกกับดยุคแห่งเค้นท์ (พระอนุชาของพระเจ้ายอร์จที่หก) ที่ใครต่อใครก็ทราบดีว่า ท่านดยุค นั้นเป็นพวกนิยมรักร่วมเพศ
หรือ แม้แต่เจ้าชายเอง..ก็ทรงมีเหตุผลส่วนพระองค์
ดังที่ได้มาจากข้อความของการติดต่อกับ โคบิน่า ไรท์ ว่า
"ทำไมฉันถึงกำลังจะแต่งงานน่ะหรือ...จะบอกให้ก็ได้ว่า เพราะฉันไม่เคยมีบ้านน่ะซิ ตั้งแต่อายุได้แปดขวบมา..ฉันอยู่แต่ในโรงเรียนหรือไม่ก็อยู่ในเรือ"
(ยี่สิบห้าปีหลังจากพิธีอภิเษกและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เจ้าชายได้สารภาพกับ นาย เบซิล บูธรอยด์ นักเขียนหนังสือชีวประวัติของพระองค์ ในปี 1971ว่า ส่วนหนึ่งของการอภิเษกร่วมหอลงดรงคือการจัดแจงของผู้ใหญ่)

พระสหายสนิทของเจ้าชาย หนึ่งในชมรมวันพฤหัส (ชื่อกลุ่มของเจ้าชายและพระสหายที่สนิทๆ นัดเจอร่วมโต๊ะเสวยอาหารกลางวันอาทิตย์ละครั้งในทุกวันพฤหัส) ชื่อว่า แลร์รี่ แอดเล่อร์
ได้พูดว่า..
"ถ้าจะว่ารักกันปานดื่มด่ำระหว่างสองคนนี้ ไม่มีร๊อก..แต่ถ้าจะว่า..ทั้งนับถือและเกรงพระทัยเป็นอย่างมากละก้อ ใช่เลย.."
พระสหายบางคนก็ค่อนว่า..ทำไมเจ้าชายถึงไม่ไปจีบเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตเล่า ทรงพระสิริโฉมกว่ากันเยอะ
เจ้าชายก็ได้ตอบว่า...
"ถ้ารู้จักทั้งคู่แล้วจะเข้าใจ..จริงๆแล้ว..อลิซาเบ็ธอ่อนหวานและใจดีกว่า.


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.พ. 06, 07:43
 ทันที่ที่ข่าวหมั้นได้กระจายออกไป..ท่านลุงดิ๊คกี้ หรือ ท่านลอร์ด ก็ร่อนพายุจดหมายมาจากอินเดียนับสิบๆฉบับ
ในนั้นล้วนแต่เป็นการ สั่งสอน เสนอแนะ เจ้ากี้เจ้าการ อีกทั้งเป็นการเสี้ยมสอนไปแบบกลายๆ
เท่านั้นไม่พอ ท่าน ลอร์ดได้เสนอให้ใช้คฤหาสน์ส่วนตัว ที่
คฤหาสน์บอร์ดแลนด์ ( Broadland อยู่ในแขวงมณฑล Hampshire)  ให้เป็นที่สำหรับฮันนีมูนในยามหลังพิธีอภิเษก โดย
ได้จัดแจงให้รายละเอียดว่า..
"ไปเถอะ..ที่บ้านลุงน่ะเหมาะสมที่สุดแล้ว..โอ่โถง สะดวกสบาย เรื่องหรูหราไม่ต้องห่วงเลยเชียว ที่ฝาผนังน่ะประดับด้วยภาพวาดของ
ซัลวาดอร์ ดาลี ( Salvador Dali ศิลปินเอกชาวสแปนิช) เชียวนะ ไหนจะเครื่องเรือนโบราณยุคทิวเดอร์อีกล่ะ ..งดงามเหลือกำลัง "
เจ้าชายคล้อยตามไปกับความคิดนี้ไปแเพียงแค่สองสามวัน และ ต่อมาได้ตอบบอกปัดกลับไปว่า
"เจ้าฟ้าหญิงทรงโปรดที่จะเสด็จไปพำนักที่พระตำหนักเบิร์คฮอลล์ ที่อยู่อาณาเขตที่แสนกว้างขวางของพระราชวังบัลมอรัล สก๊อตแลนด์ มากกว่า มิใช่หลานจะไม่เห็นความหวังดีของท่านลุงแต่ประการใด
หากแต่เจ้าฟ้าหญิงยังมิค่อยสนิทกับท่านลุงเท่ากับหลาน..ตอนนี้จึงต้องขอให้ท่านลุงใจเย็นๆไว้ก่อน อย่าเป็นกังวลกับเรื่องการอภิเษกนักเลย"

แต่ท่านลุงลอร์ดก็หาได้"เก๊ต"ไม่..ยังมีจดหมายไปถึงท่านเชอร์ชิลล์เป็นส่วนตัวอีกต่างหาก ใจความว่า
"ช่วยพาเจ้าชายพระคู่หมั้นออกไปเสวยอาหารกลางวัน และ ท่านช่วยย้ำเตือนให้พระองค์เข้าใจหน่อยว่า เรื่องนี้(หมายถึงการที่จะมาเป็นพระสวามี)นั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำเล่นๆ เป็นเรื่องที่พระองค์ต้องเตรียมทำองค์ให้พร้อมต่อหน้าที่และความรับผิดชอบ กรุณาสั่งสอนให้หน่อยเถอะ"
ท่านเชอร์ชิลล์ อดีตนายกยุคพาชาติให้พ้นภัย..ที่มีความจงรักภักดีต่อแผ่นดิน และต้นตระกูลก็ได้รับใช้ใกล้ชิดมาหลายชั่วอายุคน จึงตกปากรับคำเป็นอย่างดี ว่า....
เอาเถอะ จะคอยเป็นพี่เลี้ยงให้


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.พ. 06, 07:44
 การกำหนดแผนงานต่างๆในพิธีอภิเษกครั้งนี้..ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า

เจ้าบ่าว..สามารถเชิญแขกของตัวเองได้เพียงสองคน..จากจำนวนแขกทั้งหมด 2,500 คน

และสองคนที่ว่านี้ ต้องผ่านการพิจารณาจากสภาเสนาบดีก่อนด้วย

ซึ่งพระองค์ได้เลือกให้กับเพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุด นั่นคือ นายทหารเรือซี้เก่า ไมเคิล ปาร์คเกอร์ และ

มารดาของ เฮเลน ฟูฟูนิส์ ครอเดท์ เพื่อนบ้านเก่าครั้งสมัยอยู่ในปารีส



ส่วนมารดาของแฟนเก่า มิสซิส ไรท์ นั้น ได้รับเชิญอยู่แล้วในฐานะที่เป็นคอลัมนิสต์ข่าวไฮโซของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ เฮิรสต์

และ ทางกรมวังเสนาบดีให้ให้พระองค์เลือกเพื่อนเจ้าบ่าวจากกลุ่มพระญาติได้หนึ่งคน นั่นคือ เดวิด มิลฟอร์ด เฮเวน

นอกจากนั้น เจ้าชายไม่มีสิทธิได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไรทั้งสิ้นกับพิธีแต่งงานของตัวเองในครั้งนี้ เพราะด้วยเหตุว่า นี่มิใช่งานแต่งงานของมนุษย์สองคนอย่างธรรมดา

หากแต่..มันเป็นงานที่เป็นหน้าตาของประเทศอังกฤษที่ยิ่งใหญ่



และในเรื่องส่วนตัวระหว่างครอบครัว พระเจ้ายอร์จที่หก และพระราชินี ได้มีการหารือเพื่อที่จะออกคำสั่งให้เจ้าชายฟิลลิปรับไปปฏิบัติ..นั่นคือ

เจ้าหญิงพี่สาวทั้งหมดสี่พระองค์ของเจ้าชาย..ที่ได้ไปแต่งงานกับพวกเยอรมันนาซีนั้น..ไม่ต้องมาร่วมในพิธี....ห้ามเด็ดขาด

(ทั้งหมดต่างนั่งรับฟังการบรรยายการอภิเษกของน้องชายทางวิทยุกระจายเสียง)



ดยุค แห่ง วินด์เซอร์ และหม่อมวอลลิส นั้น..กำลังถูกเขม่นอย่างแรง เพราะเพิ่งทำเรื่อง"น่าอับอายสุดๆ"มาไม่นานนี้ กล่าวคือ ระหว่างที่อังกฤษกำลังฮึ่มๆจะรบพุ่งอยู่กับเยอรมันนั้น

ท่านดยุคและหม่อม..พากันเสนอหน้าไปเยี่ยมคารวะฮิตเล่อร์ถึงที่บ้านพักในเยอรมัน

นับว่าเป็นวิธีการที่ไม่ฉลาดเลย เพราะจากผลลัพธ์ตรงนั้น ทำให้คนอังกฤษสิ้นศรัทธาในพระองค์ไปมากกว่าเดิม



เท่านั้นไม่พอ..ท่านดยุคยังเขียนหนังสือชีวประวัติของพระองค์เองออกจำหน่ายอีกด้วย ในชื่อว่า ..A King's Story (อ่านแล้ว..เนื้อความก็มีแต่ความอึดอัดในความเป็นเจ้า..และความรักที่มีต่อแม่หม้ายซิมปสัน.....วิวันดา)

และเป็นที่แน่นอนว่า..ไม่มีการเชิญ..ไม่ต้องมา..



ทางฝ่ายเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศจึงได้แนะนำทางออกแบบบัวไม่ให้ช้ำว่า..ทั้งดยุคและหม่อม น่าจะเดินทางไปไกลๆเช่นอเมริกา จะได้เป็นข้ออ้างที่ดีในการที่ไม่ได้รับเชิญ

แต่คำตอบก็กลับมาว่า..ไม่อยากให้ไป ก็จะไม่ไป..แต่เรื่องที่จะมาให้ไปอเมริกาน่ะ อย่าหวัง..ไม่ไปไหนทั้งนั้น..



ทางสำนักพระราชวังก็ตอบกลับไปว่า..ตามใจ..ถ้าไม่อยากไปอเมริกาก็ไม่ต้องไป..แต่ต้องบอกนักข่าวว่า..ได้รับเชิญจากทางพระราชวังแล้ว แต่ไม่สะดวกที่จะไปร่วมงาน..



ไปๆมาๆ..ทางท่านดยุคเพิ่งจะรู้ตัวว่า..ตัวเองไม่มีทางที่จะต่อรองกับสำนักพระราชวังแต่อย่างไร ยิ่งถ้าเป็นความประสงค์ของพระเจ้ายอร์จและพระราชินีด้วยแล้วยิ่งไม่

มีทางหือขึ้น..

เพราะ รายได้ของตัวเองและหม่อมที่มีใช้อยู่อย่างฟุ่มเฟือยก็มาจากความกรุณาในเบี้ยหวัดเงินปีจากแผ่นดินทั้งนั้น..อาจถูกยกเลิกไปเมื่อไหร่ก็ได้

ฉะนั้น..ทั้งท่านดยุคและหม่อม..จึงจำต้องเดินทางไปเยือนอเมริกาอย่างโดยดี



เรื่องการเชิญแขกยังไม่จบ..หลังจากที่พระราชินีได้ทรงตรวจทานดูรายชื่อแขกแล้วนั้น..พระองค์จึงต้องเชิญเจ้าชายพระคู่หมั้น ให้มารับคำสั่งขั้นสุดท้ายว่า

"เรื่องแม่ของเธอน่ะ..ฉันเข้าใจที่เจ้าหญิงได้เลือกทางเดินสายพระสายศาสนา..นุ่งเจียมห่มเจียม ถือสมถะมานานหลายปี แต่..เธอจะให้เจ้าหญิงแม่ของเธอมาร่วมในงานในชุดอย่างนั้นไม่ได้นะ เธอต้องไปจัดการให้ดูดี ในฐานะที่เป็นถึงแม่เจ้าบ่าว.."



(ในวันอภิเษกที่พระวิหารเวสต์มินสเตอร์ เจ้าหญิงอลีซได้ทรงแต่งชุดไปรเวทไหมสีสวย ที่มีทั้งพระมาลาและฉลองพระหัตถ์..และได้รับคำชมเชยจากพระราชินีว่า..งดงามเหมาะเจาะที่สุด นี่ละค่ะ การแต่งองค์แบบไปรเวทครั้งสุดท้ายของเจ้าหญิง)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.พ. 06, 07:45
 งานอภิเษกนั้นเป็นสิ่งที่มโหฬารยิ่งเพราะทั้งพระเจ้ายอร์จที่หกและพระราชินีต้องการให้เป็นงานที่ยิ่งใหญ่พร้อมริ้วขบวน มโหรีดุริยางค์ รถที่ประทับเทียมด้วยม้าถึง สิบแปดคัน
อีกทั้งไพร่พลที่อยู่ในเครื่องแต่งกายแฟนซีสวยงามวาววับ
เพื่อที่จะให้ประชาชนได้สัมผัสกับความโอ่อ่าตระการตาภายใต้ความร่มเย็นที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอีกครั้งหลังจากที่ต้องวิ่งหลบระเบิดกันมานาน

การเตรียมงานทั้งหมดต้องให้ลุล่วงสำเร็จในเวลาเพียงสี่เดือน
นักออกแบบฉลองพระองค์ในชุดอภิเษกนั้น คือ Norman Hartnell ได้รับพระบัญชาจากเจ้าฟ้าหญิง ว่าพระองค์ต้องการชุดที่คลาสสิคและสวยที่สุด และนายฮาร์ทเนลล์ต้องทำการสาบานว่าเรื่องการออกแบบฉลองพระองค์นั้นจะต้องไม่ล่วงรู้ถึงหูนักข่าวอย่างเด็ดขาด..
ทุกอย่างต้องเป็นความลับ
แม้กระทั่งยามตัดเย็บที่ต้องใช้ช่างเสื้อถึงยี่สิบห้าคน กระจกหน้าต่างทุกบานต้องทาสีขาว
เพื่อพรางสายตาของนักอยากรู้อยากเห็น
ทั้งๆที่หลังหน้าต่างนั้นยังมีผ้าม่านหนาปิดไว้อีกชั้นหนึ่ง..
ผ้าที่ใช้คือ ผ้าซาตินสีงาช้างอย่างดีพิเศษ มีการปักมุกและคริสตัลถึงกว่าหมื่นเม็ดจากฝีมือช่างปักอีกนับสิบๆคน

และในวันงานจริงๆ ต้องมีช่างคอยอยู่ถวายงานอีกสองคนเผื่อมีการฉุกเฉินในเรื่องฉลองพระองค์ที่อาจต้องมีการซ่อมแซม

ทั้งหมดนั้น ต้องไม่ลืมว่า ประเทศอังกฤษยังอยุ่ในภาวะวิกฤติ ประชาชนยังต้องใช้คูปองในการซื้ออาหารและเครื่องนุ่งห่ม ที่มีการจำกัดการใช้ให้คนละเท่านั้นเท่านี้ตามความจำเป็น
แต่ในกรณีของงานอภิเษกที่ยิ่งใหญ่นี้ ..รัฐบาลได้ออกคูปองพิเศษนับพันๆใบให้กับเจ้าฟ้าหญิง มกุฎราชกุมารีอย่างไม่อั้น รวมทั้งเพื่อนเจ้าสาวทั้งแปดนางนั่นด้วย
สิ่งที่ทำให้พระองค์ได้ตื่นเต้นมากที่สุดในจำนวนของขวัญที่ได้รับนั้นคือ ถุงน่องไนล่อนอย่างดีจำนวน 386 คู่ (เพราะในยามนั้น..หายากยิ่งกว่าทอง)

ในงานที่มีแขกชั้นระดับแถวหน้าอันรวมไปด้วย พระเจ้าแผ่นดินและพระราชินีถึงหกประเทศ, เจ็ดเจ้าหญิง, หนึ่งเจ้าฟ้าหญิง,หนึ่งเจ้าฟ้าชาย,หนึ่งมหาราชา,หนึ่งมกุฏราชกุมาร,หนึ่งมกุฏราชกุมารี,เจ็ดท่านเคานท์, หกท่านผู้หญิง,สิบเอ็ดไวส์เคานท์, สิบสี่ดยุค,สิบเอ็ดดัชเชส,
รวมไปแล้วนั่นหมายถึง งานนี้เต็มไปด้วยแสงเพชรแพรวพราวจากมงกุฏที่ประดับประดาอยู่บนศรีษะพวกผู้หญิงระดับเจ้านายถึงหกสิบเจ็ดอัน..

ดัชเชส แห่ง รัทแลนด์ ดูแพรวพราวกว่าใครเพราะใช้เข็ดขัดเพชรมรดกจากต้นตระกูลเอามาพันที่ศรีษะจนรอบ
ท่านมหาราชาก็ใช้สร้อยคอที่ใหญ่เป็นแผงคลุมได้ทั้งหน้าอกที่มีทั้งเพชรและทับทิม
ที่แขนก็มีกำไลรัดจากข้อศอกสูงจนไปถึงหัวไหล่ที่ทำด้วยมณีแซฟไฟร์


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.พ. 06, 07:47
 เพียงชั่วข้ามคืน..เจ้าบ่าวที่ในอดีตเคยมีรายได้แค่อาทิตย์ละแปดกินีส์จากเงินเดือนของนายทหาร กลายมาเป็นชายที่สมบูรณ์พร้อมไปทุกอย่าง ทั้งเงินทอง ลาภยศ สรรเสริญ ไพร่พล
รวมทั้ง บ้านที่ตอนนี้ต้องเรียกว่าว่า พระตำหนัก..จนไปถึง มีปราสาทเป็นของตัวเอง

พระตำหนักที่จะต้องไปประทับนั้น คือพระตำหนักคลาแร้นซ์ ที่กำลังเร่งระดมซ่อมแซมตกแต่งใหม่ด้วยงบประมาณถึง ห้าหมื่นปอนด์
ส่วนปราสาทนั้น คือ ปราสาทที่ซันนิ่งฮิลล์ ปาร์ค ที่สำหรับใช้ไปพักผ่อนในเวลาว่างจากภาระกิจ

ในเช้าของวันอภิเษก..เจ้าชายต้องเข้าพิธีรับสถานาเป็นอัศวิน รับเครื่องอิสสริยาภรณ์สุงสุด (the Order of the Garter) โดยการคุกเข่าต่อหน้าพระเจ้ายอร์จที่หกเพื่อที่จะรับการแตะที่บ่าทั้งสองข้างด้วยพระแสงดาบ
ในฐานะของพระราชบุตรเขย..
พระเจ้ายอร์จที่หกได้ทรงเตรียมการสถาปนาให้ครบทุกอย่างเท่าที่จะทรงคิดออกได้ในยามนั้น เพราะพระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้พระธิดาได้มีพระสวามีที่มียศศักดิ์เสมอกัน

กว่าจะจบงาน เรือตรี ฟิลิป..ที่เพิ่งสละฐานันดรเจ้าชายแห่งกรีซไปหมาดๆ อีกทั้งเพิ่งจะเป็นสมาชิกของนิกายเชิร์ช ออฟ อิงค์แลนด์แบบสดๆ ใบประกาศเป็นสัญชาติอังกฤษที่ได้มา..น้ำหมึกยังไม่ทันแห้ง.
ได้กลายมาเป็นเจ้าอังกฤษแบบนับตำแหน่งไม่ทันเพราะ ได้รับพระราชทานมาแบบห่าพิรุณ นั่นคือ
Baron Greenwich,
Earl of Marioneth,
Duke of Edinburgh,
Prince of Realm
ตำแหน่ง.. Prince of Realm นั้นได้มีการชะลอไปจนถึง 1957 เพื่อที่จะต้องผ่านการเห็นชอบจากสภาเสนาบดีอีกครั้ง
เพราะว่า..ทันทีที่พระเจ้ายอร์จที่หกได้ทรงประกาศให้ใช้คำนำหน้าพระราชบุตรเขยว่า HRH (His Royal Highness)นั้น
ทำให้เริ่มมีปัญหา เพราะว่าผู้หลักผู้ใหญ่บางคนได้ติงว่า..
ตำแหน่งที่ได้รับสูงสุดนั้น คือ ดยุค..และ ดยุค ไม่มีสิทธิที่จะใช้ HRH นำหน้า..
พระเจ้ายอร์จก็ได้ตรัสตอบว่า..ไหนๆก็จะเป็นพระสวามีของพระราชินีแห่งอังกฤษองค์ต่อไปแล้ว..ยังไงก็ต้องใช้อยู่วันยังค่ำไม่ว่าเมื่อนี้หรือเมื่อไหน ให้ไปซะเลย..จะได้จบ
เรื่องจบราวกันไป พอมีลูกออกมา ลูกจะได้เป็นลูกเจ้าทันที ไม่ต้องเสียเวลามานั่งสถาปนากันอีก


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.พ. 06, 07:48
 และเช้าวันอภิเษกนั้น..เจ้าบ่าวมีอาการเหมือนเป็นหวัดเล็กน้อย
แต่ก็มากพอเป็นที่สังเกตุของใครต่อใคร
เจ้าชายได้ปรากฏกายขึ้นพร้อมกับเพื่อนเจ้าบ่าว {David... 3rd Marquess of Milford Haven ญาติกัน เพราะ เป็นลูกของลุง..พี่ชายคนโตของเจ้าหญิงอลีซ }ซึ่ง มาเล่าให้ฟังที่หลังว่า
"เมื่อคืนไปฉลองอำลาความเป็นโสดกันหนักไปหน่อย ฉลองด้วยยินโทนิค..เมาเละ.."
ส่วน แลร์รี่ แอดเล่อร์ เล่าต่อว่า..
"ว่าที่เจ้าบ่าวหน้าเสียตลอดงาน เพราะ ถูกเพื่อนกระเซ้ากันหนักถึงเรื่องงานแต่งงานยกระดับครั้งนี้..เพราะว่า ได้ถูกสำทับด้วยนโยบายดัดสันดา..มาจากพระเจ้าอยู่หัวว่า..ต่อไปนี้ห้ามเด็ดขาดในเรื่องขับรถเร็วและเรื่องผู้หญิง"
(เพราะในอดีตนั้น เจ้าชายเคยประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ บาดเจ็บเล็กน้อย แต่เป็นเพราะเกิดจากการขับรถประมาท จึงทำให้ภาพพจน์ออกมาเป็นหนุ่มเจ้าสำราญในสายตาของนักข่าว)

ส่วนเรื่องผู้หญิงนั้น เพราะว่าที่เล่ามาข้างต้นว่า เจ้าชายมีเพื่อนหญิงชาวฝรั่งเศสที่สนิทคนหนึ่ง ชื่อว่า เฮเลน ครอเดท์ อันความจริง เธอคือเป็นเพื่อนบ้านตั้งแต่สมัยเด็กๆ
ที่รู้จักสนิทสนมกันทั้งครอบครัวตั้งแต่ย้ายมาจากกรีซ
ตอนที่เจ้าชายแอนดรูว์และเจ้าหญิงอลีซพร้อมลูกเต้าต้องไปอาศัยอยู่ในบ้านของญาติที่ชายกรุงปารีส..
และยามที่ เฮเลน แต่งงานครั้งแรกในปี 1938 เจ้าชายก็ทรงเป็นคนทำพิธีส่งมอบเจ้าสาว
รวมถึงการรับเป็นพ่อทูนหัวของลูกทั้งสองของเธอด้วย

เบื้องหลังจริงๆ นั้น คือ พ่อแม่ของเฮเลนมีเชื้อสายเจ้านายกรีซ และเป็นคนที่ช่วยเหลือยามที่ครอบครัวของเจ้าชายแอนดรูว์ยามตกยากที่ฝรั่งเศส
และเรื่องที่จะเคยมี"อะไรๆกัน" นั้น ก็เป็นเรื่องของอดีตเด็กหนุ่มสาวที่ผ่านพ้นไปนานแล้ว คงเหลือไว้แต่ความเป็นฉันท์มิตร

หากแต่นักข่าวนิสัยไม่ดีบางคนก็ไม่ลดละที่จะพยายามขุดแคะขึ้นมาเป็นข่าวให้ได้
และนี่คือเหตุที่พระเจ้ายอร์จทรงเป็นกังวลต่อพระธิดาที่มาหลงรักกับชายที่ทรงคิดว่าช่างไม่เอาไหนอย่างเจ้าชายฟิลิป

แลร์รี่ เเอดเล่อร์ เพื่อนสนิทแบบรู้ลึกกันถึงตับไตใส้พุงของเจ้าชาย ถึงกับ..ต้องปลอบขวัญเพื่อนรักว่า..
"ไม่เอาน่า..อย่ากังวลไปเลย..เพราะยังไง ยังไง ก็ต้องเป็นความลับอยู่วันยังค่ำ ..ตราบใดที่"ซิปกางเกง"มันพูดไม่ได้ จะไปห่วงอะไรกันนักกันหนา..."


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.พ. 06, 07:49
 มาถึงนี่แล้ว..งั้นขอเล่าแรกซะหน่อยนึง เผื่อว่าท่านผู้อ่านจะเคยผ่านตา หรือระแคะระคายมาบ้าง..ก็จะได้กระจ่างกันตรงนี้ ว่า
ในเรื่องความเจ้าชู้ของเจ้าชายนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับพระบิดา - เจ้าชายแอนดรูว์
และที่เหมือนกันคือ ชอบประเภทหวือหวาแบบดาราและนักร้อง
ข่าวคาวๆของพระองค์มีขึ้นบ่อยๆแบบคอลัมน์ซุบซิบ

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ...จู่ๆก็มีนักร้องนางหนึ่งที่เคยมีข่าวว่า
"ออกเดท"กับพระองค์ ลุกขึ้นมาประกาศว่า กำลังจะมีลูกแต่ไม่ยอมบอกว่า พ่อของเด็กคือใคร .
เล่นเอาวงการแตกฮือ
นักหนังสือพิมพ์ก็ขุดค้นกันแบบพลิกแผ่นดิน ความเดือดร้อนจึงมาถึงครอบครัวของเฮเลน และ ลูกชายคนโตของเธอ นามว่า แมกซ์ บัวโซท์ {Max Boisot} ที่ถูกนำขึ้นมากล่าวขวัญหนาหู
จนเขาต้องออกมาประกาศให้ข่าวในปี 1989 ว่า..
"ผมเป็นลูกของพ่อของผม นาย มาเซล บัวโซท์ และมีภูมิลำเนาอยู่ที่ปารีสที่เราอยู่กันอย่างสงบ เรื่องข่าวลือที่ไร้สาระนั้น เป็นเพราะแม่และเจ้าชายเคยรู้จักและเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กๆ..ก็เท่านั้น"

ส่วนเฮเลน..ได้ยอมรับว่า..เจ้าชายฟิลิปเป็นผู้ส่งเสียให้ลูกชายได้เรียนที่ กอร์ดอนสตัน โรงเรียนเก่าของเจ้าชาย เพราะเธอไม่มีปัญญาที่จะส่งให้ลูกได้เรียนดีๆ และเป็นเพราะความเมตตาของเจ้าชายเอง
ไม่ใช่เพราะว่า เขาคือลูกนอกสมรสตามข่าวแต่อย่างใด

ส่วนเพื่อนนักเรียนของแมกซ์ที่เคมบริดจ์ให้ข่าวในปี 1994 ว่า
"เพื่อนๆนักเรียนต่างก็รู้ๆกันอยู่ว่า แมกซ์คือลูกคนหนึ่งของเจ้าชาย
ฟิลิป ดูอย่างที่โรงเรียนกอร์ดอนสตันซิ
นั่นก็เป็นโรงเรียนเก่าของใครล่ะ...พระโอรสองค์อื่นๆ เช่น ชารลส์
แอนดรูว์ และเอ็ดเวิร์ด ก็ไปเรียนที่โรงเรียนนี้กันทั้งหมด และที่น่าสังเกตุคือ เจ้าชายคือพ่อทูนหัวของแมกซ์ ถ้าคุณไปดูประวัติศาสตร์เก่าๆจะเห็นว่า..การรับเป็นพ่อทูนหัวของพวกเจ้านายนั้น ส่วนใหญ่มักจะเป็นลูกจริงทั้งนั้นแหละ"

ทางเฮเลน..ก็ปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีก แต่..ก็หนีไม่พ้นกระแสของสื่อ อีกทั้งชีวิตในอาชีฟที่เป็นนักร้อง เธอจึงมักหนีต่อความเป็นจุดสนใจไม่พ้น ไหนๆก็ไหนๆ เธอเลยหาสตังค์ด้วยการเขียนหนังสือเล่าถึงสัมพันธภาพระหว่างเธอกับเจ้าชายขึ้นมาเล่มหนึ่ง ชื่อว่า..Born Bewildered
และ มีการเขียนข้อกระแนะกระแหนเล็กน้อยว่า...
ที่ตัวเองไม่ได้รับเชิญไปในงานอภิเษก ก็เพราะเป็นเป้าหมายของการโจมตีว่าเป็นแฟนกับเจ้าชาย..
(ความจริงแล้ว..ที่เธอไม่ได้รับเชิญเพราะว่า..เธอคือแม่หม้ายหย่าสามี..ซึ่งเป็นข้อต้องห้ามของกฏระเบียบวินด์เซอร์ต่างหาก)

ส่วนในปัจจุบันนี้...หลานสาวของเธอ มักเย้าเสมอๆว่า..
"ก็ยายเลิกตามไปแก้ข่าวซะทีเถอะ..ปล่อยให้คนเขาคิดกันไปเองแล้วกัน มันโก้หยอกอยู่เสียเมื่อไหร่ที่ใครๆต่างก็มองหนูว่าเป็นเชื้อพระวงค์ และเป็นถึงหลานเจ้า.."


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.พ. 06, 13:05

ไปเจอพระรูปวันอภิเษกสมรส    งามมาก ราวกับเจ้าหญิงเจ้าชายในเทพนิยาย
เลยเอามาลงให้ดูกันค่ะ


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.พ. 06, 13:22

พระรูปนี้ จะเห็นฉลองพระองค์เจ้าสาว แบบเต็มๆ


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.พ. 06, 13:23

ทรงฉายพร้อมพระบรมวงศานุวงศ์


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.พ. 06, 13:24

เจ้าฟ้ามาร์กาเร็ต ในฉลองพระองค์เพื่อนเจ้าสาว


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 24 ก.พ. 06, 08:00
 ยังอ่านไม่จบเลยครับ
เดี๋ยวเย็นนี้สอบเสร็จผมจะมาอ่านต่อครับ


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: นายสายธาร ที่ 24 ก.พ. 06, 17:26
 มาลงทะเบียนเข้าอ่านด้วยคนครับ ว้า กำลังอ่านสนุกเชียว หมดซะแล้ว มารออ่านต่อครับ


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.พ. 06, 07:39
 มาต่อกันค่ะ ด้วยสำนวนแซ่บๆของคุณวิวันดา
*****************
ขอเรียนให้ทราบอีกครั้งว่า เรื่องลอดลายฯ..นี้จะยาวมาก..เพราะจะเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับการเริ่มต้นของราชวงค์
วินด์เซอร์ พระราชประวัติของสมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบธ จนถึงเรื่องส่วนพระองค์ในครอบครัวกับพระสวามี พระโอรส พระธิดา ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ จนกระทั่ง...ถึงปัจจุบัน

ที่สำคัญคือ หลังจากที่น้องๆหลานๆได้อ่านเรื่องราวของชาววินด์เซอร์ทั้งหมดแล้ว ก็จะโยง..เล่าเกี่ยวกับเจ้าฟ้าชาย
ชารลส์และเจ้าหญิงไดอะน่าอีกมุมหนึ่งอีกครั้ง..
คราวนี้..ทุกคนก็จะเข้าใจดีขึ้นว่า..กำแพงประเพณีและมณเฑียรบาลที่เจ้าหญิงไดอะน่าคิดอยากจะทะลายลงเพื่อให้เหลือแต่ครอบครัวเล็กๆของพระองค์ที่มีแค่สามีที่รักและคอยพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจภรรยาเด็กสาวอย่างชี้นกเป็นไม้ ชี้ไม้เป็นนก
และมีลูกๆที่นึกจะพาไปเที่ยวตามดิสนี่ย์แลนด์หรือสวนสนุกเหมือนอย่างชาวบ้านชาวช่องนั้น
...เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

อีกทั้งภาพของกลุ่ม"คณะสูทสีเทา" ที่คอยเป็นตัวสกัดความรุ่งของสองศรีสะใภ้วินเซอร์ เจ้าหญิงไดอะน่า กับ เฟอร์กี้ ดัชเชส ออฟ ยอร์ค จะเด่นชัดนั้น จนรู้ว่าพวกเขาคือใครเชียว..

ในการเรียบเรียงประกอบเข้าด้วยกันครั้งนี้..ตัวเองมองเห็นผลหลายทางที่จะเกิดขึ้นกับกลุ่มผู้ที่สนใจเรื่องการอ่าน กับกลุ่มผู้ที่สนใจเรื่องเจ้าๆนายๆ
สำหรับกลุ่มแรกนั้น..จะได้เข้าใจภาพโดยรวมดีขึ้น ไม่ปล่อยให้"สื่อ" พาเข้ารกเข้าพง
และ สำหรับกลุ่มที่สอง..ก็มีผลพลอยได้ที่จะได้รู้เรื่องความเป็นไปในบ้านเมืองและเจ้านายของอังกฤษหลังสงครามโลกจะได้ลองเอามาเปรียบเทียบกับบ้านเราดู..

อ้อ ขอเล่าแถมนิด ถึงเรื่องความหยิ่งในศักดิ์ศรีแห่งตัวเองของนักการเมืองอังกฤษอย่าง วินสตัน เชอร์ชิลล์ ..
คือเมื่อตอนที่หลังสงครามหมาดๆ อังกฤษก็ได้ถึงวาระการเลือกตั้งใหม่ ปี 1945 คราวนี้..เกิดการพลิกล๊อคอย่างจัง ที่เชอร์ชิลล์ ผู้ที่สามารถเอาชนะฮิตเล่อร์ได้นั้น..กลับไม่ได้แรงใจจากชาวประชาบริตัน...เขาไม่ได้รับเลือกตั้ง
นายคละเม้นต์ แอททลี (Clement Attlee) พรรคกรรมกรได้มาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน
พระเจ้ายอร์จที่หกจึงได้ทำการปลอบขวัญโดยการที่จะประทานแต่งตั้งให้เป็นอัศวิน พร้อมกับจะมอบเครื่อง
ราชอิสสริยาภรณ์สูงสุด คือ the Order of the Garter แต่..วินสตัน เชอร์ชิลล์ ปฏิเสธอย่างไม่ใยดี เขากราบบังคมทูลว่า
"ในเมื่อประชาชนได้สิ้นศรัทธาในตัวหม่อมฉัน..หม่อมฉันจึงไม่อาจคู่ควรกับเกียรติยศสูงสุดในครั้งนี้พะยะค่ะ"
เจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบ็ธจึงได้ตรัสขึ้นว่า..
"ถ้าคุณเชอร์ชิลล์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในยามที่ฉันเป็นพระราชินี..ฉันจะแต่งตั้งให้คุณเป็นอัศวินคนแรก.."
พระองค์ได้ทรงทำตามสัญญาดังที่ได้ตรัสไว้ ในเดือน เมษายน 1953 ที่เชอร์ชิลล์ได้กลับมาดำรงตำแหน่งนายกอีกครั้ง..เขาได้รับการสถาปนาให้เป็นอัศวินคนแรกของพระองค์จริงๆ

และก็เพราะมันยาวหนักหนานี่แหละ..คนเขียนจึงพยายามเขียนให้ตัวเองสนุกในสำนวนที่ตัวเองถนัด..ไม่สามารถที่จะเขียนอย่างรายงานวิชาการได้ เพราะมันน่าเบื่อ
หวังว่าคงเข้าใจและอย่าถือสานะคะ ถ้าเจอกับภาษาที่ออกแนวโจ๋ๆหน่อย


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.พ. 06, 07:52
 เมื่อเทียบพื้นฐานที่มาของคนสองคนนี้แล้ว จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบธ ทรงเป็นสาวพรหมจารี เป็นพระธิดาของพระมหากษัตริย์ที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม
ไม่เคยได้รับรู้โลกภายนอกมากนัก ไม่มีเพื่อน ไม่เคยไปโรงเรียนเยี่ยงเด็กธรรมดาสามัญ การรอบรู้ของพระองค์นั้นจัดอยู่ในแวดวงจำกัด ที่เชี่ยวชาญก็เห็นจะเป็นเรื่องของการสืบสายสันตติวงค์ กับการโยงญาติสายตระกูล
ไม่ทรงสนพระทัยในเรื่องของวิทยาศาสตร์หรือการคำนวนมากนัก
แต่ก็ทรงใช้ภาษาฝรั่งเศสได้อย่างแคล่วคล่อง
ไม่ทรงโปรดเรื่องการใช้ภาษาเวียนวนของกวีต่างๆ
และไม่ปลื้มกับผลงานของจิตรกรชื่อดังไม่ว่าคนไหนทั้งสิ้น อย่างเช่น..ครั้งหนึ่ง พระองค์ทรงเคยถามกับคนใกล้ชิดว่า..
"ดังเต้นี่..เป็นชื่อม้าพันธ์ไหนกันนะ {Dante คือ นักประพันธ์อิตาเลี่ยนชื่อดังในสมัยกลางที่ใครๆก็ต้องรู้จัก จากวรรณคดีชิ้นเอก The Divine Comedy}"
และเมื่อมีคนทูลว่า ไม่ใช่ม้า พระองค์จึงถามต่อว่า
"ไม่ใช่ม้า..งั้นก็คงเป็นจ๊อคกี้ซินะ"
เพราะโลกของพระองค์นั้น..ถ้าต่างไปจากเรื่องม้าแล้ว..ทรงไม่สนพระทัยเลย..ไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศมาก่อน นอกจากครั้งที่ไปอาฟริกาใต้นั้นคือ ครั้งแรก..

เจ้าฟ้าหญิงมักหวาดพระทัยเสมอยามที่ต้องต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง เพราะพระองค์ไม่รู้ว่าจะต้องสานต่อการสนทนาไปได้อย่างไร ถึงกับเคยออกพระโอษฐ์กับครอว์ฟี่ พระพี่เลี่ยงว่า
"ฉันกลัวจริงๆนะ เวลาที่ต้องนั่งติดกับใครก็ไม่รู้เวลาดินเนอร์งานเลี้ยงเนี่ย..กลัวว่าจะไม่รู้เรื่องว่าเขาพูดกันถึงเรื่องอะไร"

ส่วนเจ้าชายฟิลิป..นั้นไม่ต้องพูดถึง พระองค์ได้รอนแรมเดินทางไปทั่วเจ็ดคาบสมุทร ด้วยกระเป๋าเก่าๆเพียงใบเดียว พูดจาโผงผาง ลื่นไหลไปได้กับทุกสถานะการณ์
การเล่าเรียนก็ผ่านมาหลายต่อหลายโรงเรียนจนมาจบโรงเรียนายเรือ
เพราะความพูดจาตรงไปตรงมาของเจ้าชายฟิลิปนี่แหละ ที่เคยทรงยอมรับอย่างตรงๆ (ในตอนไม่กี่ปีมานี่) ว่า ความจริงพระองค์ก็มีความรู้แค่หางอึ่ง เมื่อคราวที่ทรงได้เสด็จไปรับปริญญาดุษฏีบัญฑิต
กิติมศักดิ์ ที่มหาวิทยาลัยนิวเดลลี ประเทศอินเดีย ว่า
"ถ้าจะว่ากันจริงๆนะ ปริญญาที่มีอยู่ทั้งหลายแหล่ในบ้าน...ล้วนแล้วแต่เป็นปริญญารับแจกทั้งนั้น"
พระองค์ได้มาขยายความต่อมา..ต่อหน้าเหล่านักศึกษาของมหาวิทยาลัย แห่ง เวลส์ ว่า..
"ในสมัยฉัน..บ้านเมืองไม่เคยสงบ มีสงครามติดพันมาตลอด การศึกษาได้หยุดชะงักไปในปี 1939 จนถึง ปี 1945 มันก็เลยขาดๆหายๆไป ฉันก็เป็นส่วนหนึ่งของพวกที่
อยากเรียนแต่ไม่มีโอกาสเพราะภาวะดังที่กล่าวมานี่แหละ"

(และเมื่อสองพระองค์ทรงเสด็จไปรับปริญญากิติมศักดิ์อีกครั้งที่มหาวิทยาลัย แห่ง ลอนดอน ไม่นานมานี้.. สมเด็จพระราชินีได้ทรงสุนทรพจน์ว่า..นี่คือรางวัลที่แสนมีค่า..ที่เราได้มาอย่างไม่คาดหวัง เพราะเราทั้งสองไม่เคยได้มีโอกาสได้สัมผัสกับชีวิตของการเป็นนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยเลย)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.พ. 06, 08:03
 ส่วนพระเจ้ายอร์จที่หกพระองค์เองก็มิได้ตระหนักใน"ความด้อย"ของพระธิดาในสิ่งเหล่านี้นัก เพราะจากข้อความด้วยลายพระหัตถ์ในสมุดไดอะรี่ส่วนพระองค์ ได้ทรงรำพันไว้ว่า
"ถ้าลูกหญิงใหญ่ออกเรือนไป..ใครเล่าจะเล่นเกมส์เป็นเพื่อนกับพ่อ และวงดนตรี"เราทั้งสี่" ก้ต้องขาดนักร้องไปอย่างน่าเสียดาย"

ในงานวันอภิเษก..พระองค์ได้ทรงขยับลุกขึ้นเพื่อดื่มถวายพระพร โดยสายพระเนตรได้จ้องจับไปที่พระธิดาแต่เพียงจุดเดียว มิได้สนพระทัยในตัวเจ้าบ่าวเลย ทรงตรัสสั้นๆว่า
"เพื่อความสุขของลูกหญิงใหญ่ที่รักของพ่อ"
และในสองสามวันต่อมา..ได้ทรงพระราชเลขาไปถึงใจความว่า..
"ขณะที่พาลูกเดินไปในพิธีที่พระวิหารเวสต์มินสเตอร์นั้น..พ่อรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็มีความภาคภูมิใจนักที่ลูกของพ่อสวยและวางองค์ได้สง่างามอย่างเหลือเกิน
ตลอดเวลาในการทำพิธี..ลูกได้ปฏิบัติตามอย่างถูกต้องมิมีอะไรได้ขาดหายตกหล่น..ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นที่ได้เห็นลูกหญิงของพ่อเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวในคราวนี้
พ่อและแม่ดีใจยิ่งนักที่ลูกได้เข้าใจว่า การที่เราต้องให้ระยะเวลาพิสูจน์ความรักให้เนิ่นนานอย่างที่เป็นอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวลูกเอง ไม่ใช่เป็นเพราะพ่อหวงลูกสาวอย่างไม่มีเหตุผล
อีกทั้งเป็นเพราะพ่ออยากให้ลูกได้ไปปฏิบัติภาระกิจที่พึงกระทำที่
อาฟริกาใต้ก่อน..ตามที่เราได้เคยคุยกันไว้
ครอบครัว"เราทั้งสี่"ของเรา ต้องรักกันให้เหนียวแน่นเข้าไว้นะลูก
พ่อได้เฝ้ามองดูการเจริญเติบโตของลูกในความดูแลอย่างใกล้ชิดของแม่ผู้ซึ่งเป็นผู้หญิงที่วิเศษสุดในสายตาของพ่อ
ทำให้พ่อมั่นใจเสมอว่า..ลูกหญิงใหญ่ต้องรักษา
ราชบัลลังค์ให้มั่นคงสถาพร  โดยมีฟิลิปอยู่เคียงข้างคอยให้กำลังใจ
การแยกออกเรือนของลูกครั้งนี้..เราทั้งหมดได้รู้สึกเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตได้ขาดหายไป
อย่าไปแล้วไปลับนะลูก คิดถึงและกลับมาเยี่ยมเยียนพวกเราบ้าง .."

จากพ่อที่รักและยอมทำทุกอย่างเพื่อลูก
ปาปา


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.พ. 06, 08:14
 หลังจากการอภิเษกได้สองสามเดือน เจ้าชายฟิลิปได้บ่นพึมกับเพื่อนๆว่า เจ้าหญิงทรงติดใจในรสเสน่หาที่ไม่เคยได้ลิ้มรสมาก่อน ถึงกับไม่ยอมห่างไปจากพระที่(บรรทม)
เรื่องการกินในที่ลับแล้วมาไขในที่แจ้งนี้..เกิดขึ้นในปี 1948 ที่เจ้าชายฟิลิปได้เสด็จไปฝรั่งเศสแต่ลำพังกับพระญาติสนิท เดวิด (ที่เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว) ส่วนเจ้าฟ้าหญิงยังคงประทับอยู่ที่อังกฤษ
เจ้าชายและเดวิดได้เดินทางต่อไปถึงโมนาโคและพำนักกับเพื่อนไฮโซชาวอังกฤษที่อพาร์ตเม้นท์กลางกรุง
และจากการที่บ่นออกมาดังๆจนใครต่อใครได้ยินนั้น ทำให้ทุกคนเกิดอาการตกใจแบบคาดไม่ถึง แม้แต่เดวิด ญาติสนิทยังต้องปรามออกมาว่า
"ลูกผู้ชายชาตินักรบจริงๆน่ะ ต้องไม่นินทาคู่ต่อสู้นะ..อย่าลืมซิ"
พยานที่ได้ยินข้อความนี้อีกคนหนึ่งคือ ดยุค ออฟ ลีดส์ (Duke of Leeds) ถึงกับโวยว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควรพูดอย่างยิ่ง และ..ดยุคได้บอกว่า
"ใครต่อใครต่างก็รู้กันทั้งนั้นแหละ ว่า ฟิลิปน่ะปากไม่ดี ไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไหร่" ส่วนลูกเขยของท่านดยุค คือนาย นิเกล
เดมปสเตอร์ ที่มีอาชีพเป็นนักเขียนบทความประจำสำนักพิมพ์ เดลี่ เมล์
ได้เล่าขยายความต่อมาในที่หลังว่า..
"ไม่ใช่ว่า เจ้าชายฟิลิปพูดจาโกหกพกลมหรอกนะ ..หากแต่เป็นคนพูดตรงเกินไปต่างหาก แม่ยายผมน่ะ ท่านทนฟังไม่ได้เชียว ที่ว่าเจ้าหญิงที่สุดเคารพและสุดบูชาของท่านถูกกล่าวหาว่าเป็นหญิงเซ๊กซ์จัด"

แต่ความปากโป้งแบบห่ามๆของเจ้าชายก็ถูกประชาชนพร้อมใจกันยกโทษให้ในฤดูร้อนของปีนั้นเอง ทันทีที่มีแถลงการจากสำนักพระราชวังลงวันที่ 4 มิถุนายน 1948 ออกมาว่า เจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบธ มกุฏราชกุมารี งดเสด็จออกงานไปถึงหกเดือนจากนี้ ...
ตามใจความถึงแม้จะไม่บอกถึงสาเหตุอย่างโจ่งแจ้ง
แต่ทุกคนก็ทราบกันดีว่ากำลังทรงครรภ์ ซึ่งเป็นข่าวที่น่า
ปิติยินดีเสียหนักหนา
ยิ่งเมื่อถึงกำหนดคลอด ทารกคือ พระกุมาร ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 1948 เวลา สามทุ่ม สิบสี่นาที ประชาชนถึงกับโห่ร้องยินดี และ เจ้าชายฟิลิป พระสวามี ก็ได้รับการยอมรับนับถือเพิ่มมากขึ้น
"อะไร"ที่ถือว่าเป็นความบกพร่องเล็กๆน้อยๆที่เคยมีมา.. ประชาชนก็พากันมองข้ามไป..ไม่ถือไม่สา..
เรียกว่า ทั้ง Forgive และ Forget เลยทีเดียว !!

พระกุมารนั้น ได้ประสูติที่พระราชวังบั๊คกิ้งแฮมตามพระประสงค์ของเจ้าฟ้าหญิง มีน้ำหนักยามแรกประสูติโดยการผ่าออกนั้น คือ เจ็ดปอนด์ หก ออนซ์  ได้รับพระนามว่า
Charles Philip Arthur George

คนที่ดีใจจนเนื้อเต้นนั้นก็คือ พระเจ้ายอร์จที่หก นั่นเอง เพราะพระองค์ไม่เคยกล้าคาดหวังว่าทารกจะเป็นเพศชาย เนื่องจากประวัติของสองครอบครัวนั้น มีลูกผู้หญิงกันเป็นส่วนใหญ่
อย่างทางฝั่งเจ้าชายฟิลิป พระองค์ก็เป็นพระโอรสองค์เดียว ในหมู่พระเชษฐภคินีถึง สี่คน..

เพราะความเกรงในเรื่องนี้นี่เอง ทำให้พระองค์ถึงกับต้องเปลี่ยนกฏมณเฑียรบาลวินเซอร์ที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิม
ในข้อที่ว่า การใช้ HRH {His Royal Highness} นั้นจะใช้ได้กับพระกุมารเท่านั้น
พระองค์จึงเกรงว่า พระนัดดาที่จะประสูติกับเจ้าฟ้าหญิง
อลิซาเบธอาจเป็นเพศหญิง และพระกุมารีจะไม่ได้รับการเคารพเยี่ยงเจ้านาย...ไม่มีสิทธิได้ใช้พระอิสริยยศใช้นำหน้าพระนาม
พระองค์จึงไม่รีรอเลยสักนิดที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขในกฏข้อนี้ก่อนที่จะมีพระประสูติกาลเพียงแค่อาทิตย์เดียว..ให้มาเป็นว่า
"ไม่ว่าพระหน่อที่จะประสูติขึ้นมากับเจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบธเป็นพระโอรส หรือ พระธิดา ก็ตาม จะต้องได้รับ
พระอิสสริยยศ HRH {His /Her Royal Highness}นำหน้าพระนาม"

ข้อความดังกล่าวถูกแก้ไขขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน..
เพื่อที่พระราชนัดดาจะได้เป็นเจ้านายโดยสมบูรณ์แบบทุกประการไม่ว่าจะเป็นเพศใด  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.พ. 06, 08:16
 พระเจ้ายอร์จที่หกได้ทรงประทานพระตำหนักให้ใหม่ทันที เพราะส่วนปีกหนึ่งในพระราชวังวินด์เซอร์ออกจะคับแคบไปสำหรับครอบครัวใหม่นี้
พระตำหนักที่ว่านี้คือ พระตำหนักคลาแร้นซ์ ที่อยู่ในสภาพย่อยยับพอสมควร เนื่องจากพระองค์ได้ปล่อยให้สภากาชาดเช่า..ใช้ในการดูแลผู้บาดเจ็บจากสงคราม
ดังนั้น การระดมซ่อมสร้างจึงต้องมีการเร่งมืออย่างเร่งด่วน
รัฐบาลอนุมัติเงินงบประมาณให้ถึง ห้าหมื่นปอนด์
แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจหลังสงครามยังฝืดเคือง การปล่อยเงินจึงออกมาล่าช้าไปถึงปีครึ่ง..จนค่าซ่อมสร้างนั้นบานปลายเตลิดเปิดเปิงไปจนถึงหนึ่งล้านเหรียญ  เพราะรวมค่าตกแต่งอื่นๆ
เช่น โคมไฟระย้าห้อยจากเพดาน ผ้าม่านไหม ก๊อกน้ำเคลือบทอง แต่ประชาชนต่างพร้อมใจ..พากันโหวตสมยอมอย่างให้ไม่อั้นราคา เพื่อความสุขของพระธิดา มกุฏราชกุมารีที่พวกเขาชื่นชมรักใคร่

หากแต่..หนังสือพิมพ์ฝ่ายซ้ายได้ลงข้อความจิกกัดบ้าง เช่นว่า..เหมาะสมแล้วหรือ..ในเมื่อรายได้ของประชาชนส่วนใหญ่ยังอยู่ในระหว่าง ห้าสิบ หกสิบ ปอนด์ต่ออาทิตย์ อีกทั้งจำนวนคนที่ไร้ที่อยู่ที่ต้องไปอาศัยนอนในโรงทหารเก่าๆก็ยังมีอีกมากมาย
ข้อความนี้คงกินใจพอสมควร..พระราชินีถึงกับต้องทรงออกโรงแทน ในวันฉลองราชสมภพ Silver Jubilee 1948 พระองค์ได้ตรัสออกวิทยุว่า..
"สำหรับผู้ที่อยู่ในระหว่างการตกทุกข์ได้ยาก และไร้ที่อยู่อยู่ในขณะนี้ ข้าพเจ้าเข้าใจและตระหนักในปัญหาเป็นอย่างดี แต่ขอให้พวกท่านจงอดทน เข้มแข็ง และ ความรักสามัคคีที่พวกเรามีต่อกันนั้น จะทำให้พวกเราได้พบกับความสำเร็จ สมปรารถนาในเร็ววัน"

ส่วนพระเจ้ายอร์จที่หก ทรงลงมาบัญชาการเองในเรื่องของการตกแต่งพระตำหนัก ถึงขนาดทรงสั่งห้ามมิให้พวกคนงาน"อู้" ในการพักดื่มน้ำชาแล้ว น้ำชาเล่า  อย่างที่เคยชอบปฏิบัติกัน
สุขภาพของพระองค์เริ่มทรุดโทรม ด้วยพระชนมายุเพียงแค่ 53 พระองค์เริ่มป่วยด้วยอาการของมะเร็งในปอด เนื่องจากการที่ทรงพระโอสถมวนจัด ที่ไม่มีแพทย์หลวงคนใดกล้าตักเตือน

ในสมัยนั้น การสูบบุหรี่ในชาววินด์เซอร์คือเรื่องปรกติ จะมากจะน้อยก็สูบกันแทบทุกองค์ อย่างพระนางแมรี่ อย่างดยุค ออฟ วินด์เซอร์ อย่างเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต
หรือแม้แต่องค์สมเด็จพระราชินีก็ทรงวันละแปดมวน..
เพียงแต่..ทุกพระองค์ระมัดระวังที่จะไม่ทรงสูบในที่สาธารณชน


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.พ. 06, 08:20
 นอกจากมะเร็งในปอดแล้ว พระเจ้ายอร์จที่หกยังทรงมีปัญหาในเรื่องของเส้นโลหิตขอดที่พระชงค์ ที่ทำให้เกิดอาการเป็นตะคริวบ่อยๆ..ซึ่งต้องรับการรักษาอย่างใกล้ชิด

พระองค์จึงต้องเลื่อนหมายกำหนดการเยือนประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ออกไปอย่างไม่มีกำหนด



จากการซูบเซียวของการป่วยใข้ในครั้งนี้ ทำให้พระเจ้าอยู่หัวต้องทรงได้รับการ"เมคอัฟ" บนพระพักต์ก่อนเสด็จออกงานทุกครั้ง ส่วนอาร์ติสต์ นั่นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน สมเด็จพระราชินี นั่นเอง

ที่ต้องช่วยทรงลงแป้ง ลงรู๊ธ พรางรอยย่นยับตรงนั้นตรงนี้ แต่งไปพระองค์ก็ทรงกริ้วไป..ว่า

"ถ้าไม่ใช่ความเห็นแก่ตัวพี่ชายของพระองค์แล้ว..เราก็ไม่ต้องมาทนทุกข์ยาก ทรมานสังขารอย่างนี้ " พระองค์หมายถึง ดยุค ออฟ วินด์เซอร์ ผู้เห็นสตรีดีกว่าราชบัลลังค์

บางทีก็ทรงว่า

"ถ้าแม่คนนั้นไม่ถ่อสังขารมาจากบัลติมอร์..เรื่องร้ายๆจะไม่เกิดขึ้น"



พระราชินีได้ทรงเป็นกลไกชิ้นสำคัญของของ

พระเจ้ายอร์จที่หกและมีบทบาทในแทบทุกเรื่องภายในพระราชวังนับตั้งแต่ยามที่ได้ขึ้นครองราชย์เมื่อปี 1936 เป็นต้นมา และ ตั้งพระองค์เป็นปรปักษ์กับฝ่ายดยุค และ หม่อมวอลลิสอย่างไม่มีวันเลิกรา..

พร้อมที่จะกล่าวโทษให้ได้ทุกเรื่อง ที่มักทรงเปรยให้ใครต่อใครฟังบ่อยๆเสมอว่า

"ถ้าเบอร์ตี้ไม่ต้องมาทรงงานแทนอย่างหนักหนาสาหัสแทน ..พระองค์ก็จะไม่ทรงทรุดโทรมไปจนถึงขนาดนี้"

พระนางแมรี่..ก็ทรงเห็นด้วยเป็นปี่เป็นขลุ่ย ....ต่างพร้อมพระทัยลงความเห็นต้องกันว่า..

"ก็เพราะ..นางซิมปสันคนนั้นคนเดียว"

 

เป็นเพราะพระราชินีมัวแต่ทรงเป็นห่วงในสุขภาพของพระสวามีจนไม่ได้มีเวลามาสนพระทัยอ่านจดหมายที่มีมาถึงพระองค์จากหนังสือนิตยสารสตรี ที่มีชื่อว่า Ladies' Home Journal

ที่กราบบังคมทูลมาว่า..ขอให้พระองค์ทรงพระกรุณาช่วยตรวจสอบข้อความที่เขียนขึ้นมาโดยพระพี่เลี้ยง ครอว์ฟี่

(Marion Crawford) ว่าเห็นสมควรหรือไม่ประการใด

ซึ่งพระราชินีไม่ได้สนพระทัยที่จะอ่านหรือตอบกลับ..



มาทรงรู้อีกที ก็เมื่อข้อความได้ลงตีพิมพ์ไปแล้วอย่างเรียบร้อย ในชื่อว่า The Little Princess ที่ได้เรียบเรียงเขียนมาได้อย่างละเอียดละออเกี่ยวกับเจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบธ โดยพระพี่เลี้ยงคนใกล้ชิดที่คอยถวายพระอภิบาลมาตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์จนรวมเวลาที่ได้ถวายงานมาถึงสิบเจ็ดปี..จนขอลาเกษียณไปเมื่อปี 1949

ในข้อความนั้น คนเขียนได้เล่าว่า..

ตัวเธอได้ทำหน้าที่อย่างจงรักภักดี และเฝ้ารอจนเจ้าฟ้าหญิงทั้งสองพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น งดงามไปด้วยพระจริยาวัตร เธอจึงได้มาสนใจตัวเอง และมาแต่งงานเมื่ออายุได้สี่สิบปี

ซึ่งทางพระราชวงค์ก็ไม่มีใครมาร่วมแสดงความยินดีกับเธอสักนิด

มิหนำซ้ำ พระนางแมรี่ ยังทรงแย้งว่า..

เธอจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวได้อย่างไร..แล้วเด็กๆล่ะ..



แม้แต่พระราชินีเอง..ก็ทรงขัดพระทัยที่ทรงทราบว่าเธอจะลาไปแต่งงานตั้งครอบครัว ทั้งๆที่เธอได้ทูลไว้ล่วงหน้าก่อนที่เจ้าฟ้าหญิง

อลิซาเบธจะเข้าพิธีอภิเษกถึงสามเดือน

พระองค์ได้กรีดเสียงใส่เธอว่า..

"ก็แล้วทำไมจะต้องมาคิดเรื่องมีผั..กันตอนนี้ล่ะยะ.."



พระเจ้าอยู่หัวก็พลอยเป็นไปด้วย พระองค์กราดเกรี้ยวใส่

จนในที่สุด..เธอต้องยอมอยู่ถวายงานไปจนถึงวันอภิเษกเพื่อความสุขของคนทุกฝ่าย (ยกเว้นของตัวเอง)

พระเจ้ายอร์จที่หกจึงได้สัญญาว่าถ้าอยู่ทำงานต่อไปเรื่อยๆ ยังไม่ต้องออกเรือน..จะให้ตำแหน่ง Commander of the Royal Victorian Order

ซึ่งถ้าเทียบก็คล้ายๆกับตำแหน่งท่านผู้หญิงที่ได้รับตราของสมเด็จพระนางวิคตอเรีย..อันเป็นเครื่องราชย์ฯ

(ที่มาการเริ่มต้นให้กันมาโดยพระนางวิคตอเรียแก่ผู้ที่อยู่รับใช้ใกล้ชิดด้วยความซื่อสัตย์ ตั้งแต่ปี 1896)



แต่..กระนั้น..เธอก็ยังลาออกอยู่ดี..


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.พ. 06, 08:22
 เมื่ออ่านข้อความจนจบ..สมเด็จพระราชินีทรงกริ้วจนองค์สะท้าน..และแย้งให้ฟังความจริงว่า..
"นังครอว์ฟี่ มันเหิมเกริม ตำแหน่งท่านผู้หญิงน่ะ..ไม่อยากได้ ใจคอมันจะขอตำแหน่ง..Dame Commander of the Royal Victorian Order แน่ะ..แต่มันไม่ได้...มันเลยลาออก"
(Dame Commander of the Royal Victorian Order อันนี้..คือสูงสุดในกระบวนข้าราชบริพารที่มีสิทธิได้ใช้คำว่า เดม นำหน้าชื่อ และ มีการจัดแต่งสถานะกันใหม่มีที่อยู่บนชั้นบนของพระราชวังพร้อมมีข้าทาสบริวารส่วนตัว...วิวันดา )

ไม่ว่าพระราชินีจะว่าอย่างไร..หนังสือของครอว์ฟี่ก็ขายดิบขายดี จนต้องเขียนบันทึกจากความทรงจำขึ้นมาอีกสองเล่ม..จัดจำหน่ายรับทรัพย์อู้ฟู่...

พระราชินีประกาศความเป็นศัตรูต่อข้าเก่าเต่าเลี้ยงอย่างครอว์ฟี่แบบชนิดไม่มีการเผาผี และถือว่าเธอคือ พวกทรยศ ที่ไม่ต้องมีการคบค้าสมาคมอีกด้วยต่อไป..
(ไม่เผาผีจริงๆนะ ไม่ใช่พูดเล่น...เพราะตอนที่เธอได้ถึงแก่กรรมไปในปี 1988 ไม่มีใครในพระราชวงค์ไปร่วมงาน หรือ แม้แต่ส่งการ์ดแสดงความเสียใจ อย่าว่าแต่ดอกไม้..เพราะ พระองค์ถือว่า เธอได้ตายจากไปตั้งแต่วันที่หนังสือได้ออกวางจำหน่าย)


จากบทเรียนในครั้งนั้น ทำให้พระราชินีได้ทรงทราบและถ่องแท้ดีกว่าใครๆว่า ข้อเขียนของคนใกล้ชิดนั้น..สามารถสร้างกระแสได้อย่างปั่นป่วนยิ่ง
เพราะมันจะกลายเป็นการบันทึกของประวัติศาสตร์ที่ไม่มีวันลบรา
เป็นพยานของร่องรอยอดีตที่ทำให้คนสามารถมองเห็นต่างมุม เช่น..บัดนี้ได้มีผู้รู้ว่า..
พระองค์เป็นแม่ที่ไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องการศึกษาของพระธิดา..มากไปกว่าการร้องรำทำเพลง..และสำหรับเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตที่แสนดื้อรั้นนั้น การเลี้ยงดูใกล้ชิดพระองค์ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพระพี่เลี้ยง..
แม้ว่าในหนังสือจะมีแต่คำสรรเสริญถึงพระองค์ในด้านดีๆ..เช่น เป็นผู้หญิงที่อ่อนหวาน หรือจะเป็นคำชมที่มีต่อ ดัชเชส แห่ง เค้นท์ ว่า..เป็นหญิงที่งดงามอย่างหาตัวจับได้ยาก และโชคดีที่สุดในโลกที่ได้ทรงอภิเษกกับเจ้าชายที่หล่อที่สุด..ก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมา..เพราะข้อความที่เกี่ยวกับเรื่องส่วนพระองค์ในด้านอื่นๆยังปรากฏหราอยู่บนหน้ากระดาษ เช่น
ในห้องพระบรรทมได้ใช้ผ้าคลุมพระที่สี ฟ้า-เขียว หรือ ทั้งสองพระองค์ต่างแยกห้อง...มิได้ประทับอยู่รวมกัน..
หรือ คำบรรยายที่ว่า เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตทรงจ้ำม่ำ น่ารักน่าเอ็นดูยามอยู่ในชุดว่ายน้ำ..ก็เหมือนกับลูกปลาวาฬตัวน้อยๆ
หรือ เจ้าฟ้าหญิงลิลิเบทเป็นพระนัดดาองค์โปรดของ คุณลุงเดวิด (พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปด หรือ ดยุค ออฟ วินด์เซอร์)

ที่สำคัญคือ..ครอว์ฟี่ได้นำเรื่องส่วนพระองค์มาขยาย
เช่น..ในยามที่เสด็จประพาสอเมริกาในปี 1939 นั้น ทั้งสองพระองค์ได้โทรศัพท์มาคุยกับเจ้าฟ้าหญิงจากในเรือเดินสมุทร การสนทนาแบบเด็กๆที่เต็มไปด้วยคำถามมากมายนั้น พระราชินีทรงแกล้งตัดบทด้วยการแกล้งหยิกพวกคุณสุนัขให้ส่งเสียงขรม จนคุยกันไม่รู้เรื่องและต้องวางสายไป

เท่านั้นไม่พอ..ที่ทรงกริ้วจัด..นั่นคือเรื่องนำความในส่วนพระองค์ของเจ้าฟ้าหญิงมกุฏราขกุมารีมาขยายว่า..
ทรงเจ้าระเบียบอย่างเกินมนุษย์ ขนาดทรงกำลังบรรทมสนิทแท้ๆ ยังต้องตื่นขึ้นมาเพื่อจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เพราะกลัวยับ"

ทั้งหมดนี้..ยิ่งมาจากปากคำของพระพี่เลี้ยงอย่างครอว์ฟี่..ใครอ่านก็ต้องเชื่อ..เพราะใครเล่าจะรู้ดีไปกว่าเธอ..
และจากนั้นว่า..ศัพท์แสลงคำว่า.."ทำครอว์ฟี่" {to do a Crawfie} ได้นำมาใช้อย่างกว้างขวางในกลุ่มชาววัง สำหรับคนที่คิดคดทรยศต่อพระราชวงค์


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.พ. 06, 08:24
 พิษสงของ to do a Crawfie นั้น...ทั้งสองพระองค์ถึงกับต้องรีบล้อมคอก ด้วยการนำความไปปรึกษาฝ่ายกฏหมายให้รีบออกพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งการป้องกันความเสื่อมเสียที่จะมีขึ้นต่อพระราชวงค์ อันมาจากคนใน..
ถ้าจะว่ากันตรงๆนั่นคือ เหล่าบรรดาข้าราชบริพารต้องปิดปากให้สนิท ความในไม่ให้ออก..และถ้าฝ่าฝืน..ก็ต้องได้รับโทษทัณฑ์ที่ชัดเจน

หรือในกรณีถ้ามีอย่าง to do a Crawfie ได้เกิดขึ้นอีก สำนักพระราชวังมีสิทธิใช้อำนาจศาลที่จะระงับการจัดพิมพ์การจัดจำหน่ายก่อนออกสู่ท้องตลาด..
และการตีพิมพืเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชวงค์ใด..ต้องได้รับการกลั่นกรองและได้รับการพิจารณาความเห็นชอบเสียก่อน..
ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อความศักสิทธิ์ของสถาบันที่สูงสุดของประเทศที่ไม่สมควรได้รับการล่วงละเมิด..

แต่..พระเจ้ายอร์จและพระราชินีไม่สามารถมองเห็นอนาคตได้เลยว่า..ของพรรค์นี้ยิ่งห้าม..ก็เหมือนยิ่งยุ
เพราะ ในปัจจุบัน โลกวัตถุได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย ข่าวทุกชิ้นของเจ้านายสามารถ"ขายได้ราคา" ทั้งสิ้น
จัดจำหน่ายไม่ได้ในอังกฤษ...ก็พากันไปพิมพ์ที่อื่น ออกขายกันนอกประเทศให้ลึ่ม..

ยิ่งมาในปี 1994 ยิ่งแล้วหนัก เพราะเจ้าฟ้าชายชารลส์ ว่าที่พระมหากษัตริย์ เล่นออกรายการโทรทัศน์เอง..ยอมรับสารภาพกับฝูงชนอย่างพระพักต์พระเนตรเฉย..ว่า..
ทรงเป็นชู้กับเมียชาวบ้านมาตั้งนานแล้วละ...
จะไม่สารภาพให้สิ้นเรื่องสิ้นราวได้อย่างไร..เพราะ มหาดเล็กคนใช้ตัวดี..เล่นให้ข่าวว่า..
"พระองค์แอบไปเล่นจ้ำจี้ ขลุกกันอยู่ในบ่อสองคนกับนางคามิลล่า จนเปรอะเปื้อนโคลนไปหมด แบบไม่อายผีอายสาง...ผมเป็นคนนำฉลองพระองค์ปิยาม่าชุดนั้นไปซักเองกับมือ"
ผลคือ..นายนั่นได้ถูกไล่ออกจากงานมหาดเล็กที่มีรายได้ปีละ 18,000 ปอนด์..หมอก็ไม่ยี่หระ..เพราะ ขายข่าวเจ้านายให้กับสำนักพิมพ์แค่ชิ้นสองชิ้นก็ได้เงินมาเป็นกอบเป็นกำ
ไม่ต้องไปทำงานรับใช้ให้หน้าแก่..


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.พ. 06, 08:28

ราชการแผ่นดินของพระเจ้ายอร์จที่หกนั้น..จะว่าไปก็หนักหนานัก เพราะถูกรุมเร้าไปด้วยสภาพการผันแปรของสถานะการณ์ร้ายๆ
ทั้งก่อนและหลังสงคราม สภาพภายในประเทศที่มีปัญหาเศรษฐกิจ
ปัญหาคนว่างงาน ปัญหาการหยุดประท้วงงาน ไหนยังจะต้องรักษาความศักดิ์สิทธิของราชบัลลังค์ให้อยู่คู่ฟ้าดิน
(ในยามนั้นหลายประเทศในยุโรปต่างเริ่มหันมาเปลี่ยนการปกครองไปในระบบสังคมนิยม)
พระองค์ได้ทรงฟันฝ่ามาจนถึงเฮือกสุดท้าย..
คือการที่ต่อสู้จนฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับชัยชนะสงคราม..

วีรบุรุษของอังกฤษหลายคนเป็นที่กล่าวขวัญถึงไปทั่วโลกถึงความเก่งกล้า..เช่น นายพลมอนต์คอมเมอรี่,
ฝูงบิน RAF ที่ห้าวหาญ, นายวินสตัน เชอร์ชิลล์ ผู้นำที่ใครๆหาว่าเขาดื่มสุราจนเมาตลอดวัน, ฝูงเรือรบหลวงที่ต่างกันผลัดแลกหมัดกับเยอรมันแบบลำต่อลำ ศักดิ์ศรีต่อศักดิ์ศรี ขนาดอิตเล่อร์ยังต้องรีบเปลี่ยนชื่อเรือเพื่อเลี่ยงความอัปมงคลมาสู่แทบไม่ทัน
(ก็เล่นตั้งชื่อ เรือว่า Deutschland ขืนถูกล่มไป อายเขาแย่..)
และไหนยังต้องมาเจอกับปัญหาที่ต้องทรงเร่งแก้..กู้ภาพลักษณ์ของพระราชวงค์จากหนังสือของครอว์ฟี่อีก..
พระองค์ก็ทรงเหน็้ดเหนื่อยพระทัยเสียเหลือเกิน..
เจ้าฟ้าหญิงมกุฏราชกุมารีก็อยู่ในระหว่างการตั้งครอบครัวใหม่ ห่างเหินไปจากการรับใช้ใกล้ชิดเช่นแต่ก่อน

ต่อมา..เจ้าชายฟิลิปก็มาเซ้าซี้ขอกลับออกไปทำงานในเรืออีกเช่นเดิม
เพราะหลังจากอภิเษกแล้วนั้น พระองค์ได้ถูกส่งไปทำงานนั่งโต๊ะที่กองทัพเรือ วันวันไม่ต้องทำอะไรมาก..แค่สั่งย้ายเรือให้ไปประจำที่นั่นที่นี่...สลับไปสลับมา
ทรงว่า..เซ็ง...ขอออกทะเลเช่นเดิมเหมือนกับนายทหารระดับผู้นำอื่นๆ

พระเจ้ายอร์จที่หก..ไม่เห็นด้วยอย่างที่สุด เพราะเหตุผลที่ว่า..หากเจ้าชายฟิลิปย้ายหน่วยออกทะเล ก็จะต้องออกไปประจำการยังท่าต่างๆถึงสองปี
และนั่นหมายความว่า..เจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบธจะต้องตามเสด็จออกไปในฐานะภรรยานายทหารอย่างแน่นอน
นี่คือสิ่งที่พระองค์ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น..ไม่ต้องการให้พระธิดาอยู่ไกลพระกรรณไกลพระเนตร

แต่..เจ้าฟ้าหญิงทรงยอมทำทุกอย่างตามความประสงค์ของพระสวามี ทรงยอมช่วยอ้อนวอนกับพระบิดา แม้กระทั่งถึงที่สุด ที่พระองค์ได้ยอมสัญญาว่าจะกลับเข้ามา
พำนักอยู่ในลอนดอนด้วยทุกสองเดือน

พระเจ้ายอร์จที่หกจึงจำต้องตัดพระทัย..ยอมแพ้แต่โดยดี ออกคำสั่งย้ายให้พระราชบุตรเขยจากโต๊ะทำงานในกองทัพเรือ ไปประจำการเป็นผู้บังคับการเรือรบหลวง แมกพาย (HMS Magpie) ในเดือน ตุลาคม 1949 ในฐานทัพ ที่ มอลต้า ฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียน

(ผู้การเรือ เจ้าชายฟิลิป ดยุค แห่ง เอดินเบอร์ค ถูกพวกทหารเรือลูกน้องเรียกลับหลังกันอย่างครื้นเครงว่า..ดุ๊คกี้ = Dukey)

ในภาพคือหนังสือที่ครอว์ฟี่ เขียนออกจำหน่าย


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.พ. 06, 08:35
 เจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบธได้ทรงอยู่เลี้ยงดูพระโอรสเพียงแค่สองสามอาทิตย์ที่พระสวามีได้จากไป..
จากนั้นก็ทรงปล่อยให้พระโอรสวัยสิบเอ็ดเดือนให้อยู่ในความดูแลของพระพี่เลี้ยง
และพระอัยยิกา โดยที่พระองค์ได้ติดตามพระสวามีไปอย่างไม่ลดละ
เนื่องจากทรงว่าจะต้องไปอยู่ฉลองวันคริสมาสต์ และ
วันครบรอบอภิเษกอันเป็นปีที่สองกับพระสวามี..
แต่..ไม่ได้ใส่พระทัยสักนิดว่า..พระองค์ทรงละทิ้งการอยู่ร่วมฉลองวันคริสมาสต์ และคล้ายวันประสูติเป็นครั้งแรกของพระโอรส..
เจ้าชายชารลส์
นี่คือข้อความจุดด่างอีกจุดหนึ่งในหนังสือของครอว์ฟี่..ที่เขียนไว้ชัดเจนว่า..
"เจ้าฟ้าหญิงไม่ทรงเข้าพระทัยในความรู้สึกของประชาชนที่มองมาจากภายนอก ที่เห็นว่าเป็นการไม่เหมาะสม (ที่แม่จะทิ้งลูกน้อยให้อยู่กับคนอื่น)  พระองค์ไม่เคยรู้จักและสัมผัสกับชีวิตของผู้หญิงธรรมดาสามัญอย่างเราๆ..จนกระทั่งพระองค์ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่มอลต้านั่นแหละ..คือประสบการณ์ครั้งแรกที่ได้ทรงพบและเห็นว่า
ชาวบ้านเขาเป็นอยู่กันอย่างไร"

และที่ฐานทัพที่มอลต้านั้น ผู้บัญชาการกองเรือ ก็หาใช่ใครอื่นไม่..
เขาคือ ท่านลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเทน ท่านลุงสุดเลิฟของเจ้าชายพระสวามีนั่นเอง
ทั้งท่านลุงและท่านผู้หญิงป้าเอดวินน่า ได้เตรียมจัดที่พักไว้รอรับเสด็จกันอย่างเต็มที่ โดยยกคฤหาสน์ของตัวเองให้เป็นที่ประทับ มีการสั่งการย้ายเครื่องเรือนชั้นดีลงเรือมาเพื่อให้สมพระเกียรติ

เจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบธทรงใช้ชีวิตอยู่กับพระสวามีดังเช่นภริยานายทหารที่ดี หากแต่ยังคงต้องออกงานบ้าง เช่นการรับเชิญให้ไปเป็นองค์ประธานในงานการกุศลต่างๆ
และทุกครั้งที่พระสวามีต้องเสด็จออกภาคสนาม (ในทะเล) พระองค์จึงใช้โอกาสนี้เสด็จกลับเข้ากรุงลอนดอน
ท่านผู้หญิงเอดวินน่าได้ไปส่งเสด็จที่สนามบินและได้บันทึกไว้ว่า
"พระองค์ทรงกรรแสงเบาๆ ก่อนที่จะเสด็จขึ้นเครื่องบินไปด้วยท่าทางที่เศร้าและเหงาหงอย ราวกับกำลังจะถูกนำองค์ไปเข้าที่คุมขังอย่างไรอย่างนั้น"

และเมื่อเสด็จกลับมาที่กรุงลอนลอน พระองค์ก็ได้พบว่า ทรงครรภ์เป็นครั้งที่สอง
ซึ่งเมื่อทราบความแน่นอนเจ้าฟ้าหญิงได้เสด็จกลับไป
มอลต้าทันที..เมื่อเดือนมีนาคม 1950 เพื่อที่จะนำข่าวไปบอกกับพระสวามีด้วยพระองค์เอง
การประทับอยู่ด้วยครั้งนี้เป็นไปเพียงแค่เดือนเศษ จึงได้เสด็จกลับอังกฤษและประทับอยู่จนมีพระประสูติกาล คือ เดือน สิงหาคม 1950
เจ้าชายฟิลิปได้เสด็จเข้ามาประทับเพื่อชื่นชมพระธิดาองค์น้อย..และคราวนี้ประทับอยู่ด้วยเพียงแค่สี่อาทิตย์จึงได้กลับไปยังฐานทัพมอลต้า

ค้นภาพเจ้าฟ้าหญิงเอลิซาเบธทรงอุ้มเจ้าหญิงแอนน์มาให้ดูกันค่ะ
ในภาพไม่มีเจ้าชายฟิลิป
-เทาชมพู


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.พ. 06, 13:12

เจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบธก็หาได้ลดละในเรื่องการติดตามไม่...
เพียงแค่สามเดือน พระองค์ก็เสด็จไปประทับอยู่กับพระสวามีที่ฐานทัพ ทรงปล่อยให้พระโอรส และพระธิดาที่ยังแบเบาะอยู่กับพระอัยยิกาและพระพี่เลี้ยงตามเดิม

ในการเสด็จมอลต้าครั้งนี้ ทรงไปแบบขบวนคาราวานใหญ่ เปรียบราวกับยกทัพไปเพราะพร้อมมูลไปด้วยข้าทาสบริวาร หน่วยอารักขา
อีกทั้งรถยนตร์สปอร์ต หีบฉลองพระองค์จำนวนสี่สิบหีบ ลูกม้าพันธ์ดีสำหรับพระสวามี
เจ้าฟ้าหญิงได้ทรงใช้เวลากลางวันเหมือนดังเช่นสุภาพสตรีที่มีอันจะกินอื่นๆ นั่นคือ การไปช้อปปิ้ง ว่ายน้ำ อาบแดด ตกแต่งพระเกศา
หรือทรงรับเชิญเสด็จงานดินเน่อร์ ลีลาศ รวมไปถึงงานตัดริบบิ้นเปิดกิจการ
ยามที่นักข่าวชาวมอลตีสได้ขอประทานสัมภาษณ์ ถึงเรื่องที่เสด็จไปเยี่ยมเยียนสถานเลี้ยงเด็กกลางวัน Under Five (หมายถึงสถานเลี้ยงเด็กที่อายุไม่เกินห้าขวบที่พ่อแม่ไม่มีเวลาอยู่ดูแล เพราะเป็นข้าราชการในกองทัพเรือทั้งคู่) ว่า..ทรงมีความคิดเห็นอย่างไร ที่พ่อแม่ไม่มีเวลาให้กับลูกๆเช่นนี้
คำถามนั้น..ทำให้ประชาชนชาวอังกฤษถึงกับสะอึกกันเป็นแถวๆ เพราะ เจ้าฟ้าหญิงเอง ก็คือ หนึ่งในบรรดาพ่อแม่ที่ปล่อยให้ลูกๆที่มีอายุต่ำกว่าห้าขวบไว้กับคนอื่นให้ดูแลเช่นกัน..

ข่าวในอังกฤษนั้น..เนื้อหาใจความค่อนข้าง"เบา"
แต่ข่าวในหนังสือพิมพ์ประเทศอื่น..ได้นำเรื่องนี้มาตีกันเป็นประเด็นเอิกเกริก เพราะในตอนนั้น เจ้าชายชารลส์พระโอรส ได้ทรงประชวรด้วยโรคต่อมทอลซินอักเสบ
แต่เจ้าฟ้าหญิงกลับทรงเป็นห่วงเรื่องน้ำหนัก
กับฉลองพระองค์มากกว่า โดยเฉพาะถ้าการค่อนแคะในสองเรื่องนั้นมาจากพระสวามี..มีการเล่าว่า
เจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบธได้ทรงฉลองพระองค์ชุดใหม่
ทันที่ที่เจ้าชายฟิลิปได้ทรงหันมาเห็นเข้า พระองค์ถึงกับเอ็ดเสียงเขียวว่า
"ไอ้ชุดนี้นี่ใช้ไม่ได้เลยนะ..ไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้.."
นาย เจฟฟรี่ย์ โบค์กา ผู้เขียนบันมึกชีวประวัติของพระองค์รุ่นแรกๆ ได้บันทึกไว้ว่า..
"น่าเสียดายเหลือเกิน ที่ อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของเราต้องตกไปอยู่ในกำมือของเจ้าหญิงที่ห่วงสวย ห่วงฉลองพระองค์จนเกินการ ถึงแม้พระองค์จะไม่ทรงโอสถมวนก็จริงอยู่ หากแต่ทรงลดความอยากเสวยด้วยการใช้ยาลดความอ้วนหลายขนาน เม็ดสีฟ้าใช้ในตอนเช้า  สีเขียวในตอนกลางวัน สีช๊อคโกแล๊ตตอนพระกระยาหารค่ำ"

(ยาลดความอ้วนหรือเอมเฟตามีนส์นั้น ก็เหมือนกับพระโอสถขนานอื่นๆที่พระองค์ได้ทรงให้มหาดเล็กคนสนิทเป็นคนสั่งซื้อ นายคนนั้นคือ นาย จอห์น ดีน ที่ได้เขียนไว้ว่า..เขาเป็นคนไปรับใบสั่งซื้อยานอนหลับจากแพทย์ โดยใช้ตัวของเขาเป็นคนใข้ แต่จริงๆแล้ว เขานำมาถวายให้เจ้าฟ้าหญิง)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.พ. 06, 13:14

สุขภาพของพระเจ้ายอร์จที่หกเริ่มทรุดลงไปทุกวัน..
เจ้าฟ้าหญิงจึงต้องเสด็จกลับไปยังลอนดอนเพื่ออยู่เข้าเฝ้าใกล้ชิดพระบิดา
เจ้าชายพระสวามีได้เสด็จตามกลับมาในสองเดือนต่อมา และได้ทรงตัดสินพระทัยลาออกจากราชการทหารเรือเสียในคราวเดียวกัน
เมื่อวันที่ 16 กรกฏาคม 1951 อันเป็นวันที่ได้มีการจัดเลี้ยงอำลาในหมู่ชาวทหารลูกน้อง พระองค์ได้ทรงประกาศว่า
"สิบเอ็ดเดือนที่ผ่านมานั้น ข้าพเจ้าถือว่าเป็นระยะเวลาแห่งความสุขที่สุดในชีวิตของความเป็นทหาร"
และห้าวันจากนั้น..พระองค์ได้เสด็จถึงอังกฤษ ที่มี พระพี่เลี้ยงได้นำพระโอรส และพระธิดาองค์น้อย มารับเสด็จที่สนามบิน
ส่วนเจ้าฟ้าหญิง อลิซาเบธ นั้น ไม่ว่างมารับ...
เพราะทรงติดพันอยู่ที่สนามม้า เนื่องจากวันนั้นคือวันแข่งม้าหลวง หรือ Royal Ascot

สามเดือนต่อมา..ตุลาคม 1951 ทั้งเจ้าฟ้าหญิงและพระสวามีต้องเสด็จเยือนประเทศแคนาดา และถือโอกาสที่จะเยี่ยมเยียนสหรัฐอเมริกาในคราวเดียวกันเลย
การเสด็จครั้งนี้จะใช้เวลาถึงห้าอาทิตย์ และนั่นหมายความว่า พระโอรสและพระธิดาก็ต้องอยู่ในความเลี้ยงดูของพระอัยยิกาอีกเช่นเดิม
เป็นการพลาดวันประสูติครบสามชันษาของพระโอรส
และ ครบชันษาแรกของพระธิดา แต่ก็ได้มีการเตรียมของขวัญกันไว้ให้ล่วงหน้า

การเสด็จต่างประเทศห้าอาทิตย์ครั้งนี้ การจัดเตรียมข้าวของนับว่ายิ่งใหญ่มากกว่าทุกครั้ง แค่หีบเครื่องฉลองพระองค์นับได้ถึง 189 ใบ
และพิเศษ คือกล่องหนึ่ง เป็นกล่องที่มีเอกสารพร้อมที่จะประกาศการเถลิงราชย์ของเจ้าฟ้าหญิง
หากว่า พระเจ้ายอร์จเกิดมีอันเป็นไปกระทันหัน
การประทับส่วนใหญ่นั้น คือ ที่แคนาดา ที่ทรงใช้เวลาทำความใกล้ชิดกับอาณาประชาราชอยู่ถึงเกือบเดือน เพราะ
เพื่อเป็นการกระชับสัมพันธไมตรีให้แนบแน่นยิ่งขึ้น (ประชาชนในส่วนนี้มีถึง 14 ล้านคน)
เจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบธได้ทรงตรัสให้ทุกคนได้ทราบว่า..
"ที่นี่เปรียบเสมือนบ้านที่ให้ความอบอุ่นแห่งที่สองของฉัน"

ส่วนเจ้าชายฟิลิปก็ทรงอุบอิบตรัสขัดพระศอว่า.."ถ้าจะพูดกันตรงๆ ก็..คือเป็นการลงทุนที่ได้รับผลคุ้มค่านั่นแหละ


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.พ. 06, 13:18
 และเมื่อสองพระองค์ได้เสด็จถึง วอชิงตัน ดี.ซี. ในหมายกำหนดการของการเสด็จเยือนสองวันนั้น
ประธานาธิบดีทรูแมน (Harry S. Truman) ได้เข้าถวายการต้อนรับถึงที่สนามบิน
ซึ่งนี่ถือว่าเป็นการผิดระเบียบแบบแผนสำหรับประเทศที่ถือว่าเป็นมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา
แต่ตัวท่านปธน.เอง เป็นคนที่ตัดสินใจในเรื่องการรับเสด็จครั้งนี้ เนื่องจากว่า
ท่านได้มีความเอื้อเอ็นดูต่อเจ้าฟ้าหญิง ที่ได้เห็นว่าทรงเปรียบเสมือนเป็นเทพธิดาน้อยๆในเทพนิยาย
มักเรียกเจ้าฟ้าหญิงว่า แฟร์รี่ ปริ๊นเซส ลับหลังเสมอๆ
และเป็นเพราะ ธิดาสาวคนเดียวของท่านปธน.เคยได้รับการต้อนรับอย่างเป็นกันเองจากเจ้าฟ้าหญิงในพระราชวังบั๊คกิ้งแฮมคราวที่ได้ไปเที่ยวอังกฤษ

เมื่อสองพระองค์ได้เสด็จลงมาจากเครื่องบิน
โปรโตคง โปรโตคอล ระเบียบ ระเบิบ อะไรท่านปธน.ไม่สนใจทั้งนั้น
ท่านเดินอ้าแขนหราเข้าหา พร้อมทั้งเรียกว่า มายเดียร์ อีกต่างหาก
ท่านปธน. ได้กางกั้นให้ทั้งสองพระองค์ได้ประทับเพื่อที่ช่างภาพถ่ายรูปประมาณสิบนาที
(นาย จอห์น ดีน มหาดเล็กได้บันทึกตรงนี้ไว้ว่า..
ตำรวจอเมริกันแห่กันมาอารักขาอย่างมากมาย แถมยังพากันงงอีกเมื่อเห็นว่าเจ้านายของเราแทบไม่มีหน่วยอารักขาตามเสด็จมาด้วย แค่ระยะทางจากสนามบินไปยังที่ประทับ Blair House อยู่ใกล้ๆกับทำเนียบขาว มีทั้งรถมอเตอร์ไซค์นำขบวน รถตำรวจจี้ตามติดหลังขบวน เสียงไซเรนดังไม่หยุด"

ส่วนตัวท่านปธน. เอง..ท่านได้ถูกห้อมล้อมด้วยฝูงตำรวจอย่างหนาแน่นกว่าปรกติ เพราะ เมื่อปีที่แล้วที่ผ่านมา
ท่านได้ถูกชาวเปอร์โต ริกันหัวรุนแรงได้พยายามเข้าลอบสังหาร และท่านได้พูดติดตลกกับเจ้าฟ้าหญิงว่า
"จะเตือนให้ทรงทราบไว้ก่อนว่า....ที่อเมริกานี้ คนบ้ามันเยอะพะยะค่ะ"
เจ้าชายฟิลิปทรงถูกพระทัยกับความเป็นคนที่มีอารมณ์ขันอย่างท่านปธน. อย่างเช่นตอนที่เตรียมจัดแถวยืน เพื่อทำการปฏิสันถารจากกลุ่มแขกผู้มีเกียติที่ได้รับเชิญเข้ามาในงานเลี้ยง..
(ที่ต้องมีการจัดตำแหน่งการยืนกันก่อนที่จะมีการเปิดประตูรับอาคันตุกะ..)
ทันทีที่จัดตำแหน่งลงตัว..ทุกคนพร้อม..
ท่านปธน. ก็ตะโกนสั่งลูกน้องว่า
"เอ้า..ไปเรียกลูกค้าให้เข้ามาได้"
เจ้าฟ้าหญิงทรงพระสรวลกิ๊กอย่างกลั้นไม่อยู่..  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.พ. 06, 13:20
 การเสด็จเยือนอเมริกานั้นนับว่าประสบความสำเร็จยิ่ง ท่านปธน. ทรูแมนได้ส่งจดหมายไปถวายแก่พระเจ้ายอร์จที่หก..ดังใจความว่า
"ทั้งสองพระองค์ทรงได้ครองใจชาวอเมริกันอย่างหมดจด ..ไม่ว่าจะเสด็จไปไหนผู้คนต่างเฝ้าชื่นชมในพระบารมี ในฐานะที่หม่อมฉันก็เป็นพ่อคนหนึ่ง จึงอยากกราบบังคมทูลว่า
พระองค์ทรงโชคดีอย่างมิมีอะไรปานเปรียบ และดีกว่าหม่อมฉันถึงเท่าตัว ที่ทรงมีพระธิดาให้ชื่นพระทัยถึงสองพระองค์ ในขณะที่หม่อมฉันมีลูกสาวอยู่เพียงหนึ่งเดียว"

พระเจ้ายอร์จได้มีพระราชหัตถเลขาตอบกลับไปว่า..
"สมเด็จพระราชินีและฉันมีความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทราบว่า ลูกสาวและลูกเขยของเราได้รับการต้อนรับที่เปี่ยมไปด้วยมิตรภาพที่วอชิงตัน เหมือนดังกับที่เราเคยได้รับในการเยือนอเมริกาเมื่อปี1939
และต้องขอขอบใจท่านประธานาธิบดีต่อความกรุณาในครั้งนี้ที่มีให้กับลูกๆของเรา"

ในตอนนั้น...ทำเนียบขาวยังอยู่ในระหว่างซ่อมแซมยกเครื่องใหม่ ท่านผู้หญิง เบสส์ ทรูแมนจึงได้จัดที่ประทับให้ขึ้นที่ตึกตรงข้าม เรียกว่า แบลร์ เฮ้าส์ ซึ่งขบวนการนั้นค่อนข้างยุ่งเหยิงอย่างที่สุด
เพราะต้องถอดเครื่องปรับอากาศออกไปทั้งหมด เนื่องจากได้รับการขอร้องมาจากฝั่งอังกฤษ เนื่องจากเจ้าฟ้าหญิงไม่ทรงโปรด
และ เป็นที่น่าประหลาดใจที่ทั้งสองพระองค์ขอแยกห้องนอน ส่วนห้องสรงนั้น เจ้าฟ้าหญิงทรงโปรดที่จะได้
อ่างอาบน้ำที่เป็นคอนกรีตอย่างที่มีในพระราชวังวินเซอร์ โดยมีนางพระกำนัล "โบโบ" (Bobo Macdonald) เป็นผู้ที่เข้ามาตรวจตราทุกอย่างโดยละเอียด

สำหรับองค์เจ้าฟ้าหญิงเองแล้ว พระองค์ไม่เคยบ่นหรือขอในเรื่องสิ่งของเครื่องใช้เลย เพราะทุกอย่างพระองค์ทรงปล่อยให้หน้าที่ของพระสวามี
ในคืนแรกของการประทับที่แบลร์ เฮ้าส์ ทั้งสองพระองค์ไม่สามารถบรรทมได้สนิท เพราะหน่วยอารักขาและหน่วยคุ้มภัยอเมริกันต่างเดินเข้า เดินออก ปิดประตูกึงกังตลอดทั้งคืน
พอเช้าขึ้น..เจ้าชายฟิลิปได้เข้าเจรจาแกมประชดกับ
นาย เฮนรี่ คัทโต หัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยทันที ว่า..
"นี่..คุณคัทโต ถามจริงๅเถอะ..คุณว่าจ้างคนกระแทกประตูระดับมืออาชีพมาเลยใช่ไหม?"
และได้ผลจริงๆ เพราะภายในเวลาต่อมาไม่นาน ขอบประตูทุกบานถูกหุ้มไปด้วยสักหลาดเพื่อการเก็บเสียงอย่างมิดชิด  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.พ. 06, 13:25
 ส่วนมารดาชราของท่านปธน. ที่นอนแบบอยู่แต่ในห้อง มีความประสงค์ที่จะได้เข้าเฝ้าสักครั้งหนึ่ง..
ทั้งสองพระองค์จึงเสด็จเข้าเยี่ยม ท่านปธน. ได้เข้าไปกระซิบใกล้ๆว่า
"แม่ครับ..เจ้าฟ้าหญิงและพระสวามีเสด็จมาเยี่ยม"
นางทรูแมน รีบกระวีกระวาดยันกายลุกขึ้นนั่ง และเจรจาว่า..
"เหรอเจ้าคะ..แหม..ดีใจด้วยนะ ที่พ่อของท่านได้รับเลือกตั้งใหม่น่ะ"
(นางทรูแมนค่อนข้างสับสนในข้อมูลเพราะความชรา เธอเข้าใจว่า
เชอชิลล์คือพ่อของเจ้าฟ้าหญิง)
และทันทีที่จบประโยค ทั้งสองพระองค์ถึงกับทรงพระสรวลเบาๆ
แต่ตัวท่านปธน.เอง..หัวเราะจนแทบหงายท้องตกเก้าอี้..

ตั้งแต่นั้นมา..สัมพันธภาพทางการทูตระหว่าง อังกฤษ-อเมริกา ก็แสนแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม ชาวอังกฤษต่างชื่นชมทหารอเมริกันที่เคยเข้ามาร่วมรบในสงครามจนได้รับชัยชนะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
มาครั้งนี้...ทุกคนยิ่งแสนปลาบปลื้มถึงขนาดพากันไปชมหนังข่าวการเสด็จประพาสอเมริกาในโรงภาพยนตร์อย่างแน่นขนัด

เมื่อเสด็จนิวัติถึงลอนดอน พระเจ้ายอร์จที่หกและพระราชินีได้ไปรับพร้อมทั้งเจ้าชายชารลส์ที่มีพระชนมายุได้แค่สามชันษา ทรงประหม่า ขัดเขินในการที่จะพบกับพระบิดา พระมารดา
เพราะถ้าจะเปรียบไปแล้ว..ทั้งสองพระองค์เหมือนกับคนแปลกหน้าแก่พระโอรส
(ซึ่งในช่วงเวลานั้น..นับว่าเป็นบาดแผลฉกรรจ์ในพระทัยของเจ้าฟ้าชายชารลส์มาจนทุกวันนี้ ดังในข้อความบันทึกชีวประวัติของพระองค์ว่า..มิได้ทรงลืมเลยสักนิด ว่า..ในการพบกันครั้งนั้น
การทักทายที่ได้รับจากพระมารดาคือการลูบที่หลังสองสามที...ช่างชาเย็นเสียเหลือเกิน)  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.พ. 06, 13:30
 พระเจ้ายอร์จที่หก..หลังจากที่ได้เลื่อนการประพาสออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ ครั้งแล้วครั้งเล่ามาได้ถึงสามปี
คราวนี้พระองค์ทรงมีพระดำริที่จะเสด็จจริงๆเสียที ทุกอย่างจึงต้องถูกวางแผนใหม่
แต่หลังจากที่มีการเตรียมการอย่างมั่นเหมาะแล้ว..แพทย์ประจำพระองค์กลับลงความเห็นว่า ไม่สมควรเสด็จไปไหนทั้งสิ้น..
ก็เลยเป็นอันว่า..เจ้าฟ้าหญิงและพระสวามีต้องเสด็จแทน..คราวนี้ ต้องนานถึงห้าเดือน ซึ่งสองพระองค์มีพระประสงค์ที่จะแวะที่เคนย่า ไปด้วย..
เนื่องจากอยากจะแวะทอดพระเนตรและประทับที่
วัง Sagana Royal Lodge ที่ Nyeri ที่ได้รับเป็นของขวัญในวันอภิเษกจากรัฐบาลอาฟริกาใต้

วันเดินทาง คือ วันที่ 31 มกราคม 1952 ที่มีการส่งเสด็จที่สนามบิน ..พระเจ้ายอร์จที่หก และพระราชินีได้สั่งนักสั่งหนากับ "โบโบ" นางพระกำนัลคนสนิทว่า
"ดูแลพระองค์ให้ดีนะ..ขอฝากด้วย"
พระองค์ได้ประทับส่งเสด็จ พร้อมโบกพระหัตถ์อำลา จนกระทั่งเครื่องบินได้ลับหายเข้ากลีบเมฆ ราวกับจะล่วงรู้ว่า..นั่นคือ การลาครั้งสุดท้าย..!!

ห้าวันต่อมา ที่พระราชวัง แซนดริงแฮม คือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พระเจ้ายอร์จที่หกได้เสด็จสวรรคตไปอย่างเงียบๆบนพระที่ในเวลาเช้าตรู่
เซอร์ ฮาโรลด์ แคมป์เบล ได้เป็นผู้เข้าไปกราบทูลให้พระราชินีได้ทรงทราบในขณะที่กำลังเสวยพระกระยาหารเช้า ซึ่งพระองค์ได้รีบเสด็จไปอย่างทันที
เมื่อไปถึงยังพระที่ พระองค์ได้ทรงจุมพิตลาพระสวามีที่พระนลาฏ และสั่งให้มหาดเล็กยืนเฝ้าพระศพอย่างเต็มอัตรา ทรงตรัสว่า
"อยู่เป็นเพื่อนพระเจ้าอยู่หัวด้วย" และต่อด้วยว่า..
"ส่งข่าวให้ลิลิเบททราบเดี๋ยวนี้.."
ทันทีที่ตรัสออกไป ทรงนึกขึ้นได้ จึงรีบแก้ใหม่ว่า
"ส่งข่าวไปกราบบังคมทูลให้สมเด็จพระราชินีทรงทราบเดี๋ยวนี้"

ท่านเซอร์ แคมป์เบลได้พยายามติดต่อไปที่เคนย่า แต่ไม่สามารถติดต่อได้ เนื่องจากมีมรสุมเข้า โทรศัพท์ใช้การไม่ได้ ท่านเซอร์จึงใช้ติดต่อผ่านไปทางสำนักข่าวรอยเตอร์
แต่ในตอนนั้น สองพระองค์ได้เสด็จออกป่าไปส่องสัตว์ กว่าจะรู้เรื่องก็ล่วงไปอีกวันหนึ่ง..
เจ้าฟ้าหญิงทรงรับทราบข่าวด้วยความสงบ ทรงดำเนินกลับไปยังที่ประทับอย่างช้าๆ
ที่นั่น..โบโบกำลังทำความสะอาดฉลองพระบาทสีดำ
ซึ่งทันที่เสด็จเข้ามา..นางพระกำนัลโบโบ รีบลุกขึ้นถอนสายบัวถวายความเคารพอย่างนอบน้อมต่อสมเด็จพระราชินีองค์ใหม่
"ไม่ต้องทำอย่างนั้นหรอก โบโบ..ฉันเสียใจกับพวกเธอนะ ที่ต้องเดินทางกลับกันอย่างกระทันหันแบบนี้"

ท่านขุนนาง มาร์ติน ชาร์เตอริส ได้ถวายเอกสารการเถลิงราชย์มาให้ทอดพระเนตร พร้อมทั้งถามความเห็นชอบจากพระองค์ว่าจะเลือกใช้พระนามใด (เพื่อที่จะเติมในช่องว่างในเอกสาร)
"ก็ต้องเป็นชื่อฉันซิ..อลิซาเบธ "
"ถ้าเช่นนั้น ก็ต้องเป็น อลิซาเบธที่สองพระยะค่ะ"

มาร์ติน ชาร์เตอริส ได้บันทึกข้อความถึงวินาทีนั้นว่า..พระราชินีองค์ใหม่ไม่ได้มีท่าทางตื่นเต้น หรือตื่นตระหนกเลยแม้แต่นิด ทรงมีพระพักต์ที่แน่วแน่ กล้าหาญราวกับทรงเตรียมพร้อมต่อการณ์นี้มานานแสนนาน
ผิดกับเจ้าชายพระสวามีที่มีท่าทางหงุดหงิดอย่างเห็นได้จากอากัปกิริยาที่โยนหนังสือพิมพ์ไทม์ลงดังโครม..
เพราะมันหมายถึงชีวิตแห่งความสนุกสนานได้หมดลงแต่เพียงเท่านี้..ชีวิตต่อไปที่เหลือ คือ ภาระหน้าที่ต่อราชบัลลังค์ล้วนๆ  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.พ. 06, 13:33
 การเสด็จกลับของพระองค์ที่มีท่านเชอร์ชิลล์ไปรอรับเสด็จที่สนามบินพร้อมทั้งคณะบุคคลในรัฐบาล
และได้นำเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระตำหนักคลาแร้นซ์ที่ซึ่งสมเด็จพระนางแมรี่ได้ทรงคอยอยู่ในฉลองพระองค์ชุดดำ
สมเด็จพระนางแมรี่ พระอัยยิกาเจ้า..ผู้ซึ่งมีพระชนมายุได้แปดสิบห้าในตอนนั้น ได้เสด็จสวรรคตในเวลาสิบสามเดือนต่อมา แต่ในขณะที่ทรงมีพระชนมายุอยู่นั้น พระองค์ได้ทรงสูญเสียพระสวามีพระเจ้ายอร์จที่ห้า..และต้องมาปลงพระศพพระโอรสอีกสองพระองค์
จนพระองค์ได้ออกกฏว่า..ชุดดำ เป็นสัญญลักษณ์แห่งความโศกเศร้า ที่ต้องใช้ในพิธีงานศพเท่านั้น
และชาววินด์เซอร์จะไม่ใส่ชุดดำไปไหนทั้งสิ้นถ้าไม่ใช่เพื่องานแห่งความสูญเสีย
และสมเด็จพระราชินีที่ต้องเสด็จเข้ามาหาพระนางแมรี่ก่อน นั่นคือธรรมเนียมปฏิบัติในพระราชวงค์ที่ต้องให้พระญาติที่เจริญพระชันษาที่สุดได้จุมพิตพระหัตถ์และถวายความเคารพก่อนเป็นองค์แรก)

นายจอห์น ดีน ได้บันทึกไว้ว่า เพราะพระประสงค์ของพระนางแมรี่ดังนี้..ชาววังจึงถือเป็นระเบียบปฏิบัติที่ไม่ว่าจะไปไหนต่อไหน ต้องมีชุดดำเตรียมพร้อมเสมออยู่ในกระเป๋าเดินทาง เผื่อฉุกเฉิน
อย่างครั้งนี้ ที่..สมเด็จพระราชินี (องค์ใหม่) จึงได้เสด็จลงจากเครื่องบินด้วยชุดดำที่พร้อมไปทั้งหมด ทั้งพระมาลา และฉลองพระหัตถ์

เมื่อได้เสด็จถึงพระตำหนักคลาแร้นซ์..พระนางแมรี่ พระอัยยิกาได้รีบชิงถอนสายบัวถวายความเคารพพระราชินีที่มีพระชนมายุเพียง ยี่สิบห้าก่อน แต่เมื่อทรงพระวรกายขึ้นมาได้ พระนางรีบเข้าไปกระซิบกับพระนัดดาว่า..
"นี่..ลิลิเบทจ๋า..กระโปรงที่ทรงอยู่นั่น...สั้นไปหน่อยนะจ๊ะ"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.พ. 06, 13:36
 หลังจากที่ได้เสด็จกลับจากที่ประทับของพระนางแมรี่
สมเด็จฯ (ต่อไปจะเรียกอย่างนี้ เพื่อไม่ให้สับสน) ได้เสด็จไปที่พระราชวังเซนต์ เจมส์ และได้ทรงประกาศต่อประชาชนว่า
"ในใจของฉันเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอย่างและอยากจะกล่าวอะไรให้มากกว่านี้ แต่..ในวันนี้ ขอบอกแค่ว่า ฉันจะทำงานเพื่อชาติให้มากเท่ากับที่พ่อเคยทำไว้"

ที่พระราชวังเซนดริงแฮม พระราชินี (ม่าย) และ พระขนิษฐา เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตรอรับเสด็จอยู่ที่นั่น ด้วยทีท่าที่โศกเศร้า พระราชินียังทรงทำพระทัยไม่ได้ต่อการจากไปอย่างกระทันหันของพระสวามีในครั้งนี้
ยังมิได้ทรงฉลองพระองค์ชุดดำ
และสิ่งแรกที่พระองค์ทรงทำนั่นคือ แต่งตั้งตำแหน่งใหม่ให้ตัวเองโดยไม่สนพระทัยว่ากฏระเบียบฐานันดรจะว่าอย่างไร เพียงแต่ทราบว่า พระองค์ทรงทนไม่ได้ต่อตำแหน่งอื่นๆ
ที่ฟังแล้วเหมือนกับเป็นการลดพระเกียรติ เช่น Queen Dowager
ฉะนั้น..พระองค์จึงได้ประดิษฐ์พระยศขึ้นมาใหม่ นั่นคือ
Queen Elizabeth the Queen Mother เพราะในพระนามนี้ อย่างไรเสีย ตำแหน่งควีนก็ไม่ได้สูญหายไปไหน ซ้ำยังเป็นควีนถึงสองครั้งสองหนซะอีก..
(ต่อไปในการเขียน..จะเรียกพระองค์ว่า ควีนมัม)
ทีนี้หันมาดูเจ้าชายชารลส์..พระโอรสวัย สามชันษาบ้าง ขณะที่เกิดเหตุการณ์นั้น พระองค์กำลังทรงพระสำราญกับของเล่นอยู่ในพระตำหนักที่พระราชวังแซนดริงแฮม และทรงถามพระพี่เลี้ยงว่า
"คุณตาไปไหน..?"
พระพี่เลี้ยงรีบถอนสายบัวถวายบังคมและตอบว่า
"พระอัยกาทรงหลับไปชั่วนิรันดร์แล้วเพคะ"
เพราะว่าเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง เจ้าชายพระองค์น้อยได้ถูกเลื่อนพระยศขึ้นเป็น Duke of Cornwall, Duke of Rothesay, Earl of Carrick , Baron of Renfrew, Lord of Isles, Great Steward of Scotland
และที่สำคัญคือ พระองค์ได้เป็น เจ้าฟ้าชายชารลส์ มกุฏราชกุมาร ซึ่งมีพระยศเหนือกว่าพระบิดา..

พระราชพิธีงานศพได้ถูกจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติ ประชาชนร่ำไห้กันระงมไปทั่วเมืองด้วยความอาลัย พระเจ้ายอร์จที่หก ถึงแม้ว่าจะไม่งดงาม สวยสง่า แต่พระองค์ก็ทรงเป็นวีรบุรุษพระองค์หนึ่งที่สามารถพาชาติให้พ้นภัย
แม้ว่าในรัชสมัยของพระองค์ มหาอาณาจักรแห่งบริเตน ได้หดลดเหลือลงแค่ สหราชอาณาจักรก็ตามที
แต่บัลลังค์ที่ตกมาเป็นมรดกของพระธิดาก็หนาแน่นมั่นคงกว่าครั้งไหนๆ
สมเด็จฯทรงวางช่อพระมาลาประดับลงบนพระหีบ ด้วยข้อความที่ติดมาว่า
"To darling Papa from your sorrowing Lilibet"
จากนั้นก็ทรงถอยสายบัวถวายบังคมแก่พระศพ..
และนั่นคือ การถอนสายบัวครั้งสุดท้ายของสมเด็จ..ที่จะไม่มีใครได้เห็นการกระทำเยี่ยงนั้นอีกต่อไป..  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 27 ก.พ. 06, 02:09

เมื่อทรงเข้าพิธีสวมมงกุฎแล้ว (2 มิ.ย. 1953)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ก.พ. 06, 08:09
 จากวินาทีที่สมเด็จได้เสด็จกลับมาสู่ผืนแผ่นดินอังกฤษนั้น พระองค์ได้ถูกห้อมล้อมไปด้วยเหล่ากรมวังที่ต้องทำหน้าที่ถวายรายงานถึงเรื่องต่างๆอันที่จะเป็นพระราชกรณียกิจต่อไปในข้างหน้า..

อีกทั้งเรื่องการรับรองแขกบ้านแขกเมืองที่จะเข้าร่วมในงานพระราชพิธีที่มีมาในยศถาแตกต่างกัน ทั้งพระมหากษัตริย์ ประธานาธิบดี จากหลายๆประเทศ

และ..รวมทั้งการรับรองพระปิตุลา ดยุค แห่ง วินด์เซอร์ ผู้ซึ่งเริ่มก่อการไม่สงบด้วยการทวงถามถึงเรื่องเบี้ยหวัดรายปี จำนวนกว่าห้าหมื่นปอนด์ที่ทรงเคยได้รับจากพระเจ้ายอร์จที่หก พระอนุชามาตั้งแต่ปี 1936

ซึ่งบัดนี้ เงินทั้งหมดนั่นได้ตกมาเป็นสมบัติของสมเด็จฯ ซึ่งเป็นพระราชอำนาจจะประทานก็ได้ ไม่ประทานก็ได้

ท่านดยุค..ได้เตือนมาว่า เงินจำนวนนี้ต้องยังคงจ่ายต่อไป..และทนายความของท่านได้กำกับข้อความมาว่า เพราะเป็นเงินจากกองมรดกอันเป็นสิทธิชอบธรรมของท่านดยุคตั้งแต่ครั้งที่สละราชสมบัติและได้โอนไปให้ในความดุแลของพระอนุชา



ท่านดยุค..ได้ทราบดีว่า..สมเด็จฯจะต้องนำความนี้ไปปรึกษากับพระอัยยิกา พระนางแมรี่ ผู้ซึ่งเป็นพระมารดาของพระองค์แท้ๆ และ ควีนมัม ที่ต้องมีส่วนออกความเห็นด้วย ถึงกับคาดการณ์ล่วงหน้าได้

ดังที่ได้เขียนจดหมายไปหาหม่อมวอลลิสจากอังกฤษว่า..

"It's hell to be even that much dependent on these ice-veined bitches, I'm afraid they've got the fine excuse of national economy if they want to use it."



(หมายเหตุ..ตรงนี้ไม่อยากแปลเลย เพราะเป็นภาษาไทยไม่ว่าจะพลิกแพลงขนาดไหน ฟังแล้วก็ยังปวดใจ  ลุงจะเรียกหลาน..ว่า บิช เนี่ยนะ)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ก.พ. 06, 08:10
 และที่แน่ๆคือ ทางฝ่ายสมเด็จฯไม่ต้องใช้ข้ออ้างถึงเรื่องเศรษฐกิจเลยสักนิด เพราะ ควีนมัมออกโรงเองเลยว่า..
สมบัติที่ท่านดยุคได้หอบไปก็มีล้นฟ้า แถมเอาไปให้เมียชั้นต่ำเอาไปผลาญเล่นอย่างไม่เสียดมเสียดาย
ผลการตกลงคือ ไม่จ่ายเบี้ยหวัดให้อีกต่อไป..

(ข่าวได้มีถึงพระกรรณบ่อยๆว่า หม่อมวอลลิสได้ใช้เงินซื้อรองเท้าครั้งเดียวถึงห้าสิบหกคู่ ในการช๊อปปิ้งบ้าเลือด ใช้น้ำหอมดิออริสสิโมฉีดใส่ดอกไม้ในกระถาง เพื่อจะได้หอมไปทั่วทั้งบ้าน และสุนัขของหล่อนต้องนอนในหมอนผ้าซาตินอย่างดี)

หลังจากที่พิธีศพพระเจ้ายอร์จที่หกได้ผ่านพ้นไป การรับมรดกได้เริ่มทำการกระทำกัน นั่นคือ พระราชสมบัติทั้งหมดของพระองค์ได้ตกมาเป็นของสมเด็จพระราชินีองค์ใหม่ อันกอร์ปไปด้วย
เหล่าปราสาทพระราชวัง แม่ม้าพันธ์ดีหลายต่อหลายคอก เหล่าข้าราชบริพาร กรมวัง มหาดเล็ก จางวาง พนักงานรับใช้ และ พระราชเลขาธิการส่วนพระองค์ คือ เซอร์ อลัน (ทอมมี่) ลาส์เซลเลส

ซึ่งโดยความจริงแล้ว..นั่นหมายถึง ควีนมัมและพระขนิษฐา เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตได้ลดเหลือเป็นเพียงผู้อาศัยเท่านั้น และที่แย่ไปกว่านั้น นั่นคือ ทั้งสองต้องย้ายออกไปจากพระราชวังบั๊คกิ้งแฮมซะด้วย
เนื่องจาก สมเด็จฯและพระสวามีต้องย้ายจากพระตำหนักคลาแร้นซ์เข้ามาประทับอยู่ในพระราชวังบั๊คกิ้งแฮม (หรือที่เรียกกันเล่นๆว่า บั๊คเอ้าส์) ที่ไม่มีใครอยากมา..
สมเด็จถึงกับทรงอุทานว่า
"ตายจริง เราต้องย้ายไปอยู่หลังสถานีรถไฟอีกแล้วหรือนี่"
เจ้าชายฟิลิป พระสวามีออกอาการเซ็งสุดขีด ถึงกับสบถว่า
"ให้ตายห่ะซิ..." ไม่มีใครอยากไปอยู่ที่นั่น เพราะมันช่างทึกทึม หนาวเย็น และ เชยสุดขีด
(พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปด หรือ ดยุค ออฟ วินด์เซอร์ เคยว่า..ทั้งชื้น.. ทั้งเหม็น..)
พระเจ้ายอร์จที่หก เคยว่า หนาวยังกะอยู่ในตู้เย็น
เจ้าชายฟิลิป ทรงว่า เหมือนอยู่ในโรงเตี๊ยม
พระองค์ไม่อยากย้าย เพราะพระตำหนักคลาแร้นซ์เพิ่งตกแต่งสร้างไปอย่างทันสมัย โอ่อ่า หรูหรา (ที่หมดงบประมาณไปล้านกว่าๆนั่น)

สมเด็จได้นำความไปปรึกษากับท่านนายกฯเชอร์ชิลล์ ว่า ไม่ย้ายจะได้ไหม?
ท่านนายกฯ.ตอบกลับมาอย่างหนักแน่นว่า..
"เห็นจะไม่ได้พะยะค่ะ เพราะสมเด็จพระราชินีต้องประทับและทรงงานอยู่ในพระราชวังอันเป็นธรรมเนียมแต่โบราณของความเป็นกษัตริย์"

ในที่สุดก็ต้องทรงยอมแพ้แก่ท่านนายกไปแต่โดยดี ส่วนเจ้าชาย
ฟิลิปได้รื้อฉากไม้เมเปิ้ลสีขาวลงมาจากผนังเพื่อนำไปติดในห้องบรรทมในพระราชวัง
ท่านนายกเชอร์ชิลล์ได้เสนอความเห็นให้ทรงเปลี่ยนสลับที่ประทับกับพระมารดาและพระขนิษฐา โดยให้คนทั้งสองย้ายออกไปใช้พระตำหนักคลาแร้นซ์แทน เพราะในตอนนั้นควีนมัมทรงเริ่มมีพระอาการแปลก
กล่าวคือ เริ่มมาสนใจในเรื่องการเข้าทรง เรื่องจิตวิญญาณ และทรงเชื่อว่า วิธีนี้อาจติดต่อสื่อสารกับพระสวามีที่ล่วงลับได้


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ก.พ. 06, 08:11
 สมเด็จฯทรงเห็นชอบด้วยในการนี้...ก็หมายถึงว่า ท่านนายกได้ทำหน้าที่เป็นทูตไปเจรจา เพราะอาจต้องใช้จิตวิทยาทางการทูตให้มากกว่าธรรมดาที่จะโน้มน้าวให้อดีตพระราชินีทรงยินยอมย้ายจากพระราชวัง
มาประทับอยู่พระตำหนัก..
โดยท่านเชอร์ชิลล์ได้อ้างว่า..เมื่อสิ้นสูญพระเจ้ายอร์จไปแล้วประเทศชาติได้กำลังต้องการพระปรีชาสามารถของพระองค์ให้มาช่วยค้ำจุนมากกว่าแต่ก่อน เห็นทีจะยังยอมให้ทรงเกษียณยังไม่ได้

ควีนมัม..ทรงเกี่ยงเล็กๆว่า..ไม่อยากจากห้องพระบรรทมในพระราชวังไป เพราะชอบเตาผิงไฟหินอ่อนที่มีติดตั้งอยู่ในห้อง
ท่านนายก ก็ว่า..กระหม่อมจะจัดการเคลื่อนย้ายไปให้..

ควีนมัม ทรงเกี่ยงต่อไปว่า..พระองค์ไม่อยากสิ้นเปลืองไปกับการย้ายไปอยู่ในสถานที่หรูหราอย่างนั้น...
ท่านนายกก็ว่า..กระหม่อมจะเพิ่มเงินงบประมาณการใช้จ่ายส่วนพระองค์จาก สองแสนสอง ต่อปี ไปเป็น สามแสนหก รวมทั้งค่าใช้จ่ายของคุณพนักงานอีกสิบห้า

ควีนมัมก็ทรงเกี่ยงต่อไปว่า..แล้วบ้านที่นอกเมืองล่ะ.. (ทั้งๆที่พระองค์เพิ่งทรงซื้อ Castle of Mey ที่ Scotland ไปหมาดๆไม่นานมานี้)
ท่านายกก็ว่า..กระหม่อมได้จัดมอบพระตำหนัก รอยัล ลอดจ์ ที่
วินด์เซอร์ ปาร์ค ใกล้กับพระราชวังวินด์เซอร์ไว้ถวายแล้ว

ท่านนายกเชอร์ชิลล์ ร่ำๆจะหมดความอดทน เกือบหลุดปากไปว่า..ถ้าพระองค์อยากจะได้บิ๊ก เบน กระหม่อมก็จะรื้อมาถวาย...
แต่..เผอิญว่า..ควีนมัมได้ทรงหยุดการเกี่ยงงอนไปแต่แค่นั้น...ท่ามกลางความโล่งใจของทุกๆฝ่าย
ส่วนองค์สมเด็จฯ ทรงตามพระทัยพระมารดาในแทบทุกเรื่อง เนื่องจากทรงเห็นพระทัยในความสูญเสียความหลังแห่งสิบหกปีของความยิ่งใหญ่ ที่เคยทรงมีทุกอย่าง
เพชรนิลจินดา มหามงกุฏ ปราสาทราชวัง ข้าราชบริพาร เพียงแต่สมเด็จฯไม่เคยทรงทราบว่า สิ่งที่พระมารดารู้สึกว่าขาดหายไปนั้น ไม่ใช่สิ่งของ หรือ มหาสมบัติ
หากแต่เป็น..การมีส่วนในความคิดเห็นของการบริหารราชบัลลังค์ต่างหาก ดังพระราชหัตถเลขาที่ได้ส่งให้กับท่านผู้หญิงแอร์ลี่ย์ พระสหายสนิทว่า
"เมเบลที่รัก..ฉันรู้สึกขัดอกขัดใจจริงๆนะ..เพราะเมื่อก่อน..ไม่ว่าเรื่องอะไร พระเจ้าอยู่หัวเป็นต้องมาบอกให้ฉันรู้ก่อนใครๆ"

กระนั้น..ขนาดยังไม่ทันที่จะย้ายที่ประทับ..ควีนมัมก็ได้จัดการสั่งทำกล่องหนังสีแดง (สำหรับหนังสือราชการ) ที่มีตัวอักษรสีทองเขียนไว้เด่นชัดว่า
"HM Queen Elizabeth the Queen Mother"
ตั้งให้ใครต่อใครเห็นเป็นสง่า    


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ก.พ. 06, 08:12
 สมเด็จพระราชินี..ได้ทรงแสดงความเป็นผู้นำในพระองค์เอง โดยการที่มิได้ยกพระสวามีขึ้นเทียบเท่า
มิหนำซ้ำ ในกล่องหนังสือราชการส่วนพระองค์ก็มิได้ทรงอนุญาตให้พระสวามีร่วมเกี่ยวข้อง
และในข้อนี้ พระองค์ได้ผิดแผกไปจากพระบุรพกษัตริย์องค์ก่อนๆ
เช่น สมเด็จพระราชินีวิคตอเรียได้ให้พระราชอำนาจแก่เจ้าชาย
อัลเบิร์ตพระสวามีในเรื่องการร่วมมีส่วนในกล่องหนังสือราชการ
พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่เจ็ด ได้ทรงอนุญาตให้แก่พระสุนิสา (พระนางแมรี่ พระมเหสีของพระเจ้ายอร์จที่ห้า)
พระเจ้ายอร์จที่หกและควีนมัมก็ต่างช่วยกันว่าราชการ...

ครั้งนี้คือครั้งแรก..ที่..เจ้าชายพระสวามีไม่มีสิทธิดังที่เคยปฏิบัติมาในครั้งอดีต..
คณะรัฐบาลและเหล่าเสนาบดีได้ทวนถามครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อความแน่ใจ..คำตอบจากสมเด็จพระราชินีคือ..
"No to the boxes."
แต่กับพระสวามี..พระองค์ทรงโบ้ยไปว่า..เป็นความเห็นชอบของเสนาบดี..

พระสหายสนิทของสมเด็จ..ท่านลอร์ด คินรอสส์ บารอน แห่ง
กลาสคลุน ได้เขียนคอลัมน์ลงในหนังสือ นิวยอร์ค ไทม์ ถึงเรื่องเกี่ยวกับเทคนิคการบริหารพระสวามีของพระองค์ว่า
สมเด็จฯได้ทรงเคยปรึกษากับพระสหายว่า.."ถ้าสามีของเธออยากได้อะไร ที่เธอไม่อยากให้ เธอจะทำอย่างไร?"
พระสหายตอบว่า.."เราก็จะพูดคุยกัน และพยายามหาทางออกด้วยการอลุ้มอล่วยซึ่งกันและกันน่ะซิ"
แต่พระองค์ตอบว่า.."งั้นเหรอ นั่นไม่ใช่วิธีการของฉันเลย เพราะฉันจะบอกเขาไปว่า..ได้ซิ..ตามใจ..แต่..เบื้องหลังแล้วฉันจะพยายามทุกอย่างที่จะไม่ให้เขาได้ไปอย่างที่ต้องการ

เท่านั้นไม่พอ...สมเด็จทรงเคร่งครัดในเรื่องระเบียบแบบแผนมาก ถึงขนาดไม่ทรงอนุญาติให้พระสวามีเข้ามาในห้องสีฟ้า (Wedgwood blue room) ในขณะที่ใช้เป็นการประชุมราชการกับคณะรัฐมนตรี
(อาทิตย์ละครั้ง)
เจ้าชายฟิลิปได้ทรงบ่นน้อยพระทัยบ่อยๆว่า..เมื่อก่อน..เราเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน..แต่เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว...
เอเวลีน เพรเบนเซน พระสหายและแขกที่ได้รับเชิญไปร่วมโต๊ะเสวยได้เขียนไว้ว่า..
"อนิจจา เจ้าชายฟิลิปที่เคยโอ่อ่า อลังการ์ ตอนนี้แทบไม่เหลือราศรีอะไร ในงานดินเนอร์ครั้งนั้น เจ้าชายไม่สามารถนั่งได้ถ้าสมเด็จยังไม่ประทับ..และถ้าโผล่เข้ามาล่าช้ากว่าสมเด็จ ต้องโค้งถวายบังคม
และต้องบอกว่า..ขอพระราชประทานอภัยในความล่าช้าของกระหม่อมพะยะค่ะ"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ก.พ. 06, 08:14
 พระเจ้าปีเตอร์..อดีตพระมหากษัตริย์แห่งยูโกสลาเวีย ได้ตรัสว่า..สงสารฟิลิปเสียจริง จะทนไปได้สักแค่ไหน

ไอลีน..ภริยาของพระสหายสนิท ไมเคิล ปาร์คเกอร์ เคยได้ยินเจ้าชายฟิลิปทรงปรารภว่า..
ไอ้นั่นก็ไม่ใช่ ไอ้นี่ก็ไม่ใช่ เลยไม่รู้ว่าตัวเราเป็นอะไร...

ไม่นานต่อมา..เจ้าชายได้ทรงแยกพระองค์อย่างโดดเดี่ยวแต่ในห้องที่ประทับ ติดต่อแต่กับพระภคินี เจ้าหญิงมาการิต้า สาเหตุที่มาของเรื่องก็มีอยู่ว่า..
เมื่อหลังจากการสิ้นสวรรคตของพระเจ้ายอร์ที่หก ..ฝ่ายตระกูลเมาท์แบตเทน ที่มีหัวหอกคือ ท่านลุง ลอร์ด หลุยส์ ได้ป่าวร้องเรียกประชุมญาติมิตรเชื้อสายเยอรมันแต่เก่าก่อน ให้มาร่วมดื่มแชมเปญ จัดปาร์ตี้ฉลองการกลับมาสู่ความยิ่งใหญ่ของ เชื้อสาย แบตเตนเบอร์ค หรือ
เมาท์แบตเทน...
เนื่องจาก สมเด็จพระราชินีของอังกฤษในปัจจุบันคือ ศรีสะใภ้ของตระกูลที่ต้องพ่วงท้ายนามสกุลของพระสวามี นั่นคือ วินด์เซอร์/เมาท์แบตเทน
อะหา..พวกเราจงดื่มให้แก่..สายเลือดแห่งเจ้านายลุ่มแม่น้ำไรน์ที่จะกลับมาผงาดอีกครั้ง..
ข้อความนี้ได้ล่วงรู้ไปถึงพระกรรณของพระนางแมรี่..ที่ทรงกริ้วจนแทบระงับไม่อยู่..
หนอย..ชิชะ..พระสวามีที่ล่วงลับ พระเจ้ายอร์จที่ห้าได้ทรงพยายามทุกอย่างที่จะตัดขาดจากสายเลือดเยอรมัน..ทรงยอมตัดพี่ตัดน้องเพื่อความมั่นคงของราชบัลลังค์
มาบัดนี้..
ราชบัลลังค์ที่ได้ทรงสร้างมากำลังจะตกเป็นเครื่องมือของเจ้าคนเหิมเกริมอย่างลอร์ดหลุยส์ เห็นทีจะยอมไม่ได้..
พระนางแมรี่รีบทรงแก้ใจความต่อใครๆทันที ว่าฟิลิปไม่ใช่เลือดเนื้อโดยตรงของเมาท์แบตเทน
เขาเป็น..ชเลวิค-ฮอลสไตน์-ซอนเดอร์เบอร์ค-กลัคเบอร์ค-เบค  และถ้าจะนับว่าอยู่ในสายสกุลกันจริงๆแล้ว เขาคือ กลัคเบอร์ค (Glucksburg) ต่างหาก

พระนางได้ทรงเรียกท่านนายกเชอร์ชิลล์ให้หาทันที..ได้ทรงเล่าข้อความทั้งหมดให้ฟัง พร้อมกับย้ำว่า พระองค์ไม่ต้องการเห็นความเห่อเหิมของอาการที่อยากจะกลับมาดังของท่านลอร์ดหลุยส์
และไม่ทรงต้องการเห็นลอร์ดหลุยส์ได้เข้ามามีบทบาทใดๆกับพระราชวงค์วินด์เซอร์ของพระองค์
ท่านนายกเชอร์ชิลล์เห็นพ้องในพระกระแสรับสั่งทุกประการ...และในใจยิ่งนึกชื่นชอบและศรัทธาในอดีตพระราชินีองค์นี้อีกอักโข เพราะ พระองค์นั้นคือเจ้าหญิงแห่งเยอรมันแท้ๆที่ได้กลายมาเป็นอังกฤษอย่างเต็มตัว..
และทรงรังเกียจฮิตเล่อร์อย่างจับใจ ทรงตรัสเสมอว่า..
"ฮิตเล่อร์ยังพูดภาษาเยอรมันเหน่อด้วยซ้ำ เพราะ มันไม่ใช่เยอรมันสักนิด..."

(หมายเหตุ ฮิตเล่อร์ คือ ออสเตรียนที่แปลงสัญชาติมาเป็นเยอรมัน รายละเอียด อยู่เรื่องฮิตเล่อร์ที่เคยเขียนไว้....วิวันดา)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ก.พ. 06, 08:15
 ท่านนายกรีบขานรับนโยบายพระนางแมรี่ กลับมาตั้งโต๊ะกลมประชุมด่วน..
เหล่าคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลล้วนแต่เป็นพวกกรำศึกมาแต่ครั้งสงครามโลกสองสมัยนั่น
ทุกคนเข้าใจในพระประสงค์ของพระนางเป็นอย่างดี เพราะความจงชังเยอรมันยังอยู่ครบ..ไม่ได้เหือดหายไปไหน
ดังนั้น ผลสรุปคือ สมเด็จพระราชินีต้องเป็นผู้ที่ต้องแจกแจงโดยละเอียดว่า..พระราชวงค์ของพระองค์คือ วินด์เซอร์ เท่านั้น (อย่างอื่นไม่เกี่ยว)
และเหล่าพระโอรสและพระธิดาก็ต้องเป็นวินเซอร์..
จึงได้ร่างรายงานทูลเกล้าถวาย..จากความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีใจความว่า
"คณะรัฐบาลได้มีความเห็นพ้องต้องกันว่า พระองค์ควรที่จะยกเลิกการใช้พระนาม เมาท์แบตเทน ของพระสวามี และขอให้ทรงประกาศใช้
วินด์เซอร์เพียงอย่างเดียว
อันเป็นพระประสงค์ของพระเจ้ายอร์จที่ห้าและที่หกที่จะผดุงสายราชสกุลของพระองค์ให้รุ่งเรืองสืบไป.. "

สมเด็จฯ ทรงเห็นชอบด้วย..
แต่คนที่รุ่มร้อนคือเจ้าชายฟิลิป ที่พยายามขอต่อรองจาก House of Mountbatten and Windsor ให้มาใช้ House of Windsor and Edinburgh
ก็ไม่สำเร็จ..เพราะพระองค์ทรงปฏิบัติตามความต้องการของคณะรัฐมนตรีโดยไม่สนพระทัยในความรู้สึกของพระสวามี...

เจ้าชายฟิลิป..ทรงน้อยพระทัยอย่างที่สุด ที่เพิ่งทรงรู้องค์ว่า..แทบไม่มีความสำคัญใดๆเลย..

หลังจากที่ได้ประกาศใช้ เฮ้าส์ ออฟ วินด์เซอร์ ในวันที่ 9 เมษายน 1952 ไปแล้ว..ประชาชนเริ่มมองเห็นเด่นชัดได้ว่า สมเด็จฯนั้นมิใช่นางกษัตริย์ธรรมดา พระองค์มีความเป็นผู้นำอย่างเต็มเปี่ยมที่ไม่ยอมใช้นามสกุลของพระสวามี (เป็นของแปลกในยุคนั้น)

และทุกคนก็ทราบอีกเช่นกันว่า..เมื่อเจ้าชายฟิลิปได้เข้ามาในฐานะพระสวามีนั้น พระองค์ไม่มีทรัพย์สมบัติสิ่งใดที่เป็นของตนเองเลยมีแค่ชาติตระกูลอย่างเดียวเท่านั้น
แต่บัดนี้..แม้แต่ชาติตระกูลของพระองค์ก็ไม่มีใครมองเห็นความสำคัญใดๆ
เจ้าชายเริ่มอึดอัดต่อสถานะการณ์ของตัวเองที่ช่างกลับตาลปัตรอย่างไม่น่าเชื่อ
ถ้าผู้หญิงได้อภิเษกกับกษัตริย์ หล่อนก็จะได้เป็นพระราชินีคู่พระบัลลังค์
แต่ถ้าเป็นชายที่ได้อภิเษกกับพระราชินี..เขาคนนั้นหาได้ถูกเทียบเท่าให้เป็นกษัตริย์ไม่..ยังคงเป็น เจ้าชายพระสวามีอยู่เช่นเดิม..

แต่สมเด็จฯได้เข้าพระทัยในข้อนี้..จึงได้แต่งตั้งให้พระสวามีขึ้นมาเป็น His Royal Highness, Philip Duke of Edinburgh เป็นผู้ที่จะได้รับพระเกียรติยศรองลงไปจากสมเด็จพระราชินี
และการประกาศยกระดับครั้งนี้ ทำให้ เจ้าชายพระสวามีได้ขึ้นมาอยู่เหนือกว่าใครๆในพื้นดินอังกฤษ เหนือกว่า อดีตกษัติย์ คือ ดยุค ออฟ วินด์เซอร์ และ เหนือกว่ากษัตริย์ในอนาคต เจ้าฟ้าชาย ชารลส์

นอกจากนั้นก็มีการแต่งตั้งยศทางทหารแบบกราวรูด
นั่นคือ จากเรือโททหารเรือ มาเป็น จอมพลทุกเหล่าทัพ
ที่มีเรื่องขำ..นั่นคือ ครั้งหนึ่งที่มีงานเลี้ยงดินเนอร์ ท่านลอร์ด หลุยส์ก็เพิ่งได้รับการเลื่อนยศให้เป็นจอมพลแม่ทัพเรือ ได้แต่งชุดเครื่องแบบเต็มยศมาในงาน..ก็จ๊ะกันกับเจ้าชายฟิลิปพระสวามีที่แต่งชุดด้วยเครื่องแบบเดียวกัน ยศเท่ากัน..
เลยเป็นปัญหาว่า..ใครจะตะเบ๊ะทำความเคารพใครก่อน..
คำตอบจากเจ้าชายฟิลิปคือ ..ทำความเคารพพร้อมกัน..แต่..ในใจนั้นรู้กันดีว่า..ใครควรทำความเคารพใครก่อน !!


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ก.พ. 06, 08:17

ภาพจากคุณวิวันดาค่ะ

ลอร์ดหลุยส์ฯ เมื่อครั้งเยือนไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพิ่งสงบลง
เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
ทางซ้ายคือ สมเด็จพระศรีนครินทราฯ "สมเด็จย่า"ของปวงชนชาวไทย


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ก.พ. 06, 08:23
 สามเดือนผ่านไป การไว้ทุกข์ให้กับพระบรมศพของพระเจ้ายอร์จที่หกก็เป็นอันว่าจบสิ้น..
ประชาชนเตรียมรอรับงานอันเป็นมหามงคลที่กำลัง
จะมีขึ้นในปีต่อไป ตามหมายกำหนดการคือ วันที่ 2 มิถุนายน 1953 งานนั้นคือ พิธีบรมราชาภิเษกที่กำลังจะจัดขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่สำหรับพระราชินี
ประชาชนต่างลืมเรื่องทุกข์ยากที่ผ่านมาจนสิ้น ต่างหายใจเข้าออกถึงพิธีอันยิ่งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
หนังสือพิมพ์ก็พากันเขียนเรื่องราวย้อนหลังเปรียบเทียบไปว่า เหมือนกับเข้าสู่ความรุ่งเรืองในยุคแห่งแผ่นดินพระนางเจ้าอลิซาเบธที่หนึ่ง {หรือที่เรียกกันว่า Elizabethan} ซึ่งพระราชินีได้ทรงแย้งว่า
"ไม่เห็นจะเหมือนกันสักนิด พระนางเจ้าอลิซาเบธที่หนึ่งนั้น ทรงมิได้อภิเษกสมรส ไม่มีพระโอรสพระธิดา อีกทั้งไม่เคยเสด็จออกนอกประเทศเลย จะเทียบให้เหมือนกันได้อย่างไร"
(ที่พระองค์ได้ตรัสว่าไม่เหมือนนั้นก็ไม่เชิงนัก เพราะตลอดเวลาห้าสิบกว่าปีที่ทรงครองราชย์จนถึงทุกวันนี้ได้แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถเฉกเดียวกัน)

งานพิธีบรมราชาภิเษกนี้ รัฐบาลได้จัดเตรียมการกันอย่างวุ่นวายในทุกหน่วยงาน การประดับประดาท้องถนน ริ้วขบวน ธงประดับพริ้วไสว
แม้กระทั่งพรมในพระวิหารหลวงเวสต์มินสเตอร์ที่มีขนาดกว้างใหญ่นั้นก็ได้มีการรื้อเปลี่ยนใหม่ เพื่อต้อนรับเหล่าบรรดาแขกผู้มีเกียรติถึง 7700 คน

คนทั้งโลกต่างพลอยพากันตื่นเต้นไปด้วย..บีบีซีได้เสนอให้มีการถ่ายทอดสดโทรทัศน์ แต่เหล่ากรมวังเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่คัดค้านกันอย่างสุดฤทธิ์ เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้มีกล้องตั้งเกะตาลูกตาตามมุมต่างๆของพระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์
และพิธีอันเป็นมหามงคลนี้ ควรจะอยู่แต่ในกลุ่มพยานอันเป็นเจ้านายและขุนนางเท่านั้น..
แม้แต่ท่านนายกฯ เชอร์ชิลล์เองก็ว่า..
"เรื่องอะไรจะให้บีบีซีจะได้มาดูชัดกว่าพวกเราล่ะ"

แต่พระราชินีกลับทรงเห็นด้วยในเรื่องของการถ่ายทอด พระองค์ได้ทรงไต่ถามและหาความรู้ในเรื่องของการบันทึกภาพอย่างจริงจัง ถึงว่าจะต้องใช้กล้องกี่ตัว  ไมโครโฟนกี่อัน..และ มุมที่ตั้งของกล้องจะอยู่ตรงไหนในพระวิหาร
เซอร์ อลัน ลาส์เซเลส ได้แย้งว่า
"จะต้องใช้ไฟส่องที่มีแสงจ้ามาก พะยะค่ะ กระหม่อมเกรงว่า...."
พระสังฆราชได้ทรงเข้ามาเสริมว่า..
"ขอเดชะ..เห็นทีจะไม่เหมาะกับพระองค์นัก เพราะเป็นการถ่ายทอดสดที่จะต้องปรากฏต่อสายตาของประชาชน ถ้ามีสิ่งใดผิดพลาดจะแก้ใขไม่ทันซึ่งพิธีนั้นใช้เวลายาวนานถึงสองชั่วโมง"
พระราชินี ทรงตรัสว่า.."ถ้าไม่ได้ลอง เราจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.พ. 06, 07:18

ไม่กี่วันต่อมา..พระองค์ได้ส่งข้อความผ่านเจ้าชายฟิลิปพระสวามีไปถึงท่านนายกฯ ใจความว่า..
"พระองค์ได้ทรงอนุญาตให้สถานีโทรทัศน์บีบีซีให้เข้ามาทำการถ่ายทอดพิธีในพระวิหารหลวงเวสต์มินสเตอร์ได้ โดยมีข้อแม้เพียงอย่างเดียว  นั่นคือ ห้ามการโคลส-อัฟ โดยเด็ดขาด
ท่านนายกฯจึงต้องทำการเรียกประชุมคณะรัฐบาลโดยด่วนถึงข้อความดังกล่าว...ว่า
"พระราชินีทรงมีพระประสงค์ให้เหล่าอาณาประชาราชได้มีโอกาสชื่นชมในพระบารมีโดยทั่วกัน.."
เหล่าเสนาบดีทั้งหลายต่างออกเสียงกันอึงคนึง ซึ่งโดยมาก..ไม่เห็นด้วยกับพระราชดำริในครั้งนี้
ท่านนายกเชอร์ชิลล์เลยต้องใช้ไม้เด็ดว่า..
"พระองค์ต่างหากที่ต้องเป็นผู้รับการบรมราชาภิเษก เป็นผู้ต้องได้ทรงมหามงกุฏ....ไม่ใช่พวกท่าน..อย่าลืมซิ"

ในพระราชประสงค์ครั้งนั้น ทำให้ประชาชนกว่าสามร้อยล้านคนในโลกได้มีโอกาสเป็นพยานในพระบรมพิธีอันยิ่งใหญ่
พระองค์ได้ทรงรับทราบในความสำเร็จของการถ่ายทอดครั้งนั้น ยามที่เสด็จไปชมการบันทึกภาพที่สถานีบีบีซีที่ ตึกบนถนน Limegrove
ทรงพอพระราชหฤทัยกับความเก่งกล้าสามารถของ
นาย ปีเตอร์ ดิมม็อค หัวหน้าทีมงาน
ถึงขนาดได้ทรงแตะบ่า..ประทานตำแหน่งอัศวินกันเดี๋ยวนั้น..คือตรงกลางสถานี


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.พ. 06, 07:20

ผลพลอยได้ของงานพิธีได้สร้างความศรัทธา เชื่อมั่น และ ความเทิดทูนบูชาในสถาบันแห่งอาณาจักรบริเตนอย่างล้นหลาม
แม้ว่าเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินอย่างมากมายถึง 6.5 ล้านปอนด์ แต่พระองค์ทรงยอมเสียเพื่อเป็นการผดุงสถาบันกษัตริย์ให้คงอยู่ในใจของประชาชนสืบต่อไปนานเท่านาน..
มหาอาณาจักรบริเตนได้ลดขนาดเล็กลงไปทุกวัน..เมื่อแผ่นดินได้ผลัดมาจนถึงพระองค์นั้น เหลือแค่สหราชอาณาจักร ที่ประกอบด้วย
ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา เมืองท่าอีกสองสามแห่งในคาริบเบียน อาฟริกา และ ฮ่องกง (ในตอนนั้น)

แต่เป็นเพราะความเป็นสถาบันบัลลังค์ที่มั่นคงมาแต่ครั้งประวัติศาสตร์นี้เอง ที่ทำให้อังกฤษเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
ที่สร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างมหาศาล
ประชาชนต่างเทิดทูนในองค์สมเด็จพระราชินีกันอย่างสุดหัวใจ เพราะพระองค์และพระสวามีที่สง่างาม อีกทั้งพระโอรส พระธิดา
ทั้งหมดคือภาพโดยรวมที่สมบูรณ์ประหนึ่งดังแม่แบบครอบครัวของประเทศชาติ
พวกเขา..ได้ยอมรับกันอย่างหมดใจว่า..พระองค์นั้นคือสมมติเทพจากสรวงสวรรค์อย่างแท้จริง

แม้แต่การสำรวจโพลล์จากสื่อที่ว่า..นายพลไอเซ่นฮาวร์ ที่ว่าได้รับความนิยมอย่างล้นหลามแล้วนั้น..
ยังถูกสมเด็จพระราชินีองค์น้อยองค์นี้รับคะแนนแซงหน้าลิ่ว..
หนังสือไทม์ได้เลือกให้พระองค์เป็น "Woman of the Year" ในปี 1952 นับว่าเป็นสุภาพสตรีคนที่สองรองลงมาจาก
นาง วอลลิส ซิมปสัน (หม่อมวอลลิส ของ
ดยุค ออฟ วินด์เซอร์) ที่ได้ครองตำแหน่งไปในปี 1936

นักหนังสือพิมพ์ นักข่าว มหาเศรษฐี เจ้านาย..และเหล่าผู้ลากมากดีจากอเมริกาต่างแห่กันขึ้นเรือข้ามมหาสมุทรกันมาร่วมในพระราชพิธีตามบัตรเชิญในครั้งนี้
และสองคนในนั้น คือ ดยุคและดัชเชส ออฟ วินด์เซอร์ ที่เป้าหมายไม่ได้มาร่วมในพิธี หากแต่กำลังจะเดินทางไปฝรั่งเศส
เมื่อมีคนถามดัชเชสว่า ดยุคและเธอจะไปร่วมในงานหรือไม่..เธอได้ตอบว่า..
"ไปทำไมล่ะ ก็บัลลังค์น่ะ เป็นของท่านดยุคแท้ๆ พระองค์ยังไม่สนเลย.."

ส่วนหนึ่งสาวน้อยนักข่าวในนั้นคือ จ๊าคเกอลีน บูวิเยร์ ที่ได้เขียนบันทึกไว้ว่า
"ถ้าท่านดยุคไม่ได้สละราชบัลลังค์ ก็คงไม่ต้องเดินทางระหกระเหินอย่างนี้ แต่ยามที่มีเด็กๆมารายล้อมของลายพระหัตถ์ ก็ทรงประทานให้ด้วยความมีพระทัย"

(จ๊าคเกอลีน บูวิเยร์ Jacqueline Bouvier สาวน้อยนักข่าวคนนั้น เมื่อกลับมาก็หมั้นกับนักการเมืองหนุ่ม ที่มีนามว่า จอห์น เอฟ เคนเนดี้
และแต่งงานในปี 1953 ต่อมา คือ สุภาพสตรีอันดับหนี่ง  ในฐานะภริยาของประธานาธิบดี)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.พ. 06, 07:22
 ส่วนท่านดยุคและหม่อม ได้ไปขึ้นที่ท่า Le Havre และต่อด้วยรถไปกรุงปารีส การเดินทางครั้งนี้ไปกันเป็นคณะ
โดยที่มีหนุ่มว่ากันว่าเป็นชู้รักของหม่อมวอลลิสไปด้วย เขาคนนั้นคือ นาย จิมมี่ โดนาฮิว ทายาทวัยสามสิบเจ็ดของห้างสรรพสินค้าสะดวกซื้อ Woolworth

ทั้งคณะได้ไปเฝ้าดูพิธีบรมราชาภิเษกที่หน้าจอโทรทัศน์ ในบ้านของเพื่อนเศรษฐีอเมริกันนามว่า มาร์กาเร็ต ทอมปสัน บิดเดิล
ท่านดยุคได้เพิ่งขายลิขสิทธิ์ในการเขียนข้อความการบรรยายรายละเอียดของพิธีให้กับ ยู เอส แม๊กกาซีน ในราคา หนึ่งแสนเหรียญ
และขายลิขสิทธิ์ให้กับหนังสือพิมพ์ในการถ่ายภาพของตัวเองยามที่นั่งหน้าจอดูการถ่ายทอดเพื่อที่จะลงเป็นข่าวหน้าหนึ่ง

ในงานปาร์ตี้ของการเฝ้าดูการถ่ายทอดนั้น ท่านดยุคได้บรรยายสดประกอบหน้าจอให้เหล่าพระสหายฟังด้วย อธิบายว่า อะไรคืออะไร
บางทีก็ทรงฮัมเพลงสวดตามไปด้วย บางทีก็ชี้ชวนให้ดูพระสหายคนนั้น คู่อริคนนี้ที่ปรากฏในภาพเป็นที่เอิกเกริกไป..

ในตอนเย็นของวันก่อนวันมหามงคลนั้น..พระราชินีทรงได้รับทราบข่าวดีอีกข่าวหนึ่ง นั่นคือ การพิชิตยอดเขาเอฟเวอเรสต์เป็นที่สำเร็จเป็นคนแรกหลังจากที่ได้มีคนพยายามมานักต่อนัก ธงยูเนี่ยนแจ๊คได้ประดับอยู่บนยอดเขาด้วยฝีมือ (และเท้า) ของ
นาย เอดมันด์ ฮิลลารี่ ชาวนิวซีแลนด์ (Edmund Hillary) ที่ต่อมาได้รับพระราชทานให้เป็น เซอร์  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.พ. 06, 07:23
 ฟังเรื่องมหามงคลมาเยอะแล้ว..ทีนี้มาฟังเรื่องเบื้องหลังมั่งดีกว่า..ว่าในยามนั้น อังกฤษยังอยู่ในภาวะขาดแคลน ประชาชนอีกมากที่ยังไร้ที่อยู่
และ กว่าสี่ล้านคน..ยังขาดสาธารณูปโภคที่จำเป็น ประเทศหลังสงครามได้เข้าสู่ยุคผู้ดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนนโดยแท้
ขุนนางเก่าๆที่ต้องเข้ามาร่วมในพิธีตามยศถาบรรดาศักดิ์นั้น
ต่างเดือดร้อนกันถ้วนหน้า
จนเกินกว่าที่จะไปจัดหาเครื่องแบบ เสื้อคลุมกำมะหยี่สีแดงขลิบด้วยขนเออร์มี่ใหม่มาพรางกายให้มีสง่าราศรี (เป็นเงินตกราวร้อยกว่าปอนด์)
บางคนต้องเอาของเก่าตั้งแต่ครั้งงานพระบรมราชาภิเษกของพระเจ้ายอร์จที่หกมาซ่อมแซมใช้
บางคนก็ไปหาผ้ากำมะหยี่เทียม และใช้ขนกระต่ายมาทำเป็นเฟอร์ขลิบแทน เรียกว่า พอขายผ้าเอาหน้ารอด

ส่วนหน่วยทหารม้า..ที่ต่างก็ขายม้าเอาเงินมายังชีพแล้วนั้น..ต้องไปขอยืมจำนวน 350 ตัวจากโรงงานทำเบียร์มาใช้
ที่เหลืออีก 100 ตัวนั้น ไปขอเช่ามาจากโรงถ่ายภาพยนตร์ Alexandra Korda Film Company
(ส่วนรายละเอียดในงานนั้น ขอข้ามค่ะ เพราะไปหาดูได้จากโทรทัศน์ที่นำกลับมาฉายบ่อยๆ)  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.พ. 06, 07:25
 ย้ำให้ฟังบ่อยๆว่า อังกฤษอยู่ในภาวะที่เพิ่งเริ่มตั้งราชวงค์แบบสดๆร้อนๆ
และต้องมาเจอกับสงครามโลกทั้งสองครั้ง บ้านเมืองรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้...จะเป็นเพราะมีประมุขดี จะเป็นเพราะว่าดวงดี หรือ กรุงลอนดอนไม่สิ้นคนดีก็แล้วแต่..
ประชาชนทุกคนต่างมอบจิต วิญญาณ และต่างยอมตายเพื่อประเทศชาติและองค์พระมหากษัตริย์ได้ทุกเมื่อ
(ไปอ่านเรื่องฮิตเล่อร์ ตอนที่เสืออากาศของอังกฤษบินทะยานข้ามน่านฟ้าไปถล่มกรุงเบอร์ลิน แก้แค้นที่เยอรมันบังอาจมาบอมบ์พระราชวังบั๊คกิ้งแฮมให้เสียหายไปบางส่วน และการบินที่ต้องฝ่าฝูงลุฟวัฟฟ์จากอังกฤษไปถึงเยอรมันนั้นระยะการบินนับว่าไม่ใกล้ หนทางเต็มไปด้วยอุปสรรค  นักบินทั้งฝูงไม่ได้หวังว่าจะมีชีวิตรอดกลับมา..แต่..ทุกคนยอมตายถวายชีพให้เป็นราชพลี)

ดังนั้น..จึงเป็นหน้าที่และภาระอันหนักอึ้งของสมเด็จพระ
ราชินีอลิซาเบธที่ต้องรักษาความมั่นคง ความศักสิทธิ์ ของบัลลังค์ให้สมกับศรัทธาที่ได้รับจากสัปเยก
(เป็นคำไทยเคยเห็นใช้ในหนังสือเก่าๆ..ที่แผลงมาจากคำว่า subjects อันหมายถึง ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน)
และพระองค์ได้มี"กลุ่มผู้ช่วย"ในการจรรโลงการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างแน่นหนา
เขาพวกนั้นคือ พวกเสนาบดี กรมวัง ที่พื้นฐานนั้นไม่ใช่ใครอื่น พวกเขาคือลูกหลานของข้าราชบริพารเก่าๆมาตั้งแต่ครั้งดึกดำบรรพ์ อีกทั้งยังมีพระญาติจากสายสาแหรกอื่นๆที่ได้ปลดฐานันดรเจ้านายของตัวเองออก เปลี่ยนมาเป็นขุนนางของอังกฤษ

และยังมีเหล่าอดีตอัศวินวีรบุรุษที่ได้ผ่านสงครามต่อสู้เพื่อประเทศชาติ เมื่อปลดประจำการก็เข้ามาเป็นองคมนตรี ช่วยทำงานต่างพระเนตรพระกรรณ
คนกลุ่มนี้ คือ..พวกกรมวังเสนาบดีที่มีสิทธิมีเสียงและมีอำนาจในการ
บริหาร ดูแล ปกป้องไม่ให้ความเสื่อมเสียมาสู่พระราชวงค์อย่างเต็มที่
พวกกรมวังพวกนี้..ต่างทำงานถวายให้กับสมเด็จฯอย่างที่เคยทำให้กับพระเจ้ายอร์จที่หก พระบิดา

พวกเขาจะเป็นผู้ตัดสินใจว่า..สมเด็จฯสมควรจะทรงตรัสอะไร กับ ใคร แค่ไหน..
และ ที่สำคัญคือ พวกเขาคอยปกป้องมิให้"ความใน" ล่วงรู้ไปถึงหูของประชาชนข้างนอก
ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามแต่...นักข่าวจะได้ข่าวไปเขียน ก็ต้องมาจากการกลั่นกรองของกรมวัง..ที่มีหลักยึดถือว่า
สมเด็จพระราชินีจะต้องไม่หมองช้ำในเรื่องใดๆ และต้องเป็นที่เคารพบูชาประหนึ่งสมมติเทพตลอดกาล..

ถึงแม้เรื่องจริงๆ..จะเป็นว่าตอนที่เสด็จมาประทับให้จิตกรวาดพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์นั้น..พระองค์ได้ทรงใส่พระมหามงกุฏมาในกล่องใส่ใข่ หรืออ เรื่องที่พระองค์โปรดการเล่นไพ่คานัสต้า..
และที่จะพูดถึงไม่ได้อย่างเด็ดขาด..คือเรื่องทรงโปรดการแทงม้า..ซึ่งแม้ว่าประชาชนหรือใครต่อใครก็ทราบดีว่า พระองค์ไม่เคยพลาดนัดการแข่งครั้งสำคัญๆ
ข่าวที่ออกมาต้องเป็นว่า..
"สมเด็จฯไม่เคยทรงพนันขันต่อ หากแต่ทรงดีพระทัยทุกครั้งที่ม้าจากคอกหลวงได้รับชัยชนะ..."

ในปี 1954 -1957 ม้าจากคอกหลวงของพระองค์ได้ติดอันดับทำเงินรายได้สูงสุด เท่านั้นไม่พอ..พระองค์ยัง"บอกใบ้"ให้กับเหล่าคุณพนักงาน มหาดเล็กนักเลงม้าทั้งหลายว่า..สมควรจะแทงเมื่อไหร่..และ..ตัวไหน..  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.พ. 06, 07:27
 คนที่ต้องสู้รับตบมือกับเหล่าเสนาบดีพวกนี้อย่างถึงพริกถึงขิงนั้น ไม่ใช่ใครอื่น..พระองค์คือ เจ้าชายฟิลิป พระสวามี นั่นเอง
เพราะเมื่อแรกๆของการครองราชย์นั้น..ทุกอย่างยังไม่ราบรื่น..เจ้าชายฟิลิปได้ด่ากราดถึงกลุ่มพวกกรมวังชั้นผู้ใหญ่ทั้ง 230 คนอย่างไม่ไว้หน้า..ว่า
"ไอ้พวกบ้านั่น..จ้างมันมาหาวิมานอะไร วันวันได้แต่วิ่งรับใช้กันเอง ไม่ได้มาดูแลเราสักนิด"
ในฐานะอดีตผู้การเรือ พระองค์ได้เริ่มปฏิวัติการทำงานของระบบใหม่หมด เริ่มจากพวกพนักงานรับใช้ที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ลงแป้งทรงผมจนไม่มีเวลาทำอะไรอย่างอื่น
(ลงแป้งผม..คือ ในสมัยนั้น คุณพนักงานแต่งกายด้วยเครื่องแบบ และ มีทรงผมที่ต้องใช้การลงแป้ง ที่ผสมด้วย แป้ง สบู่ น้ำ..ให้อยู่ทรง)
ที่ไม่ต้องทำอีกแล้ว..เพราะพระองค์ว่า..มันออกแต๋ว ออกตุ๊ด จนเกินไป..

ต่อมาก็คือการติดตั้งเครื่องสายใน ที่สามารถเรียกใครมารับใช้ได้ทันที ไม่ต้องวิ่งไปตามกันอย่างแต่ก่อน
ติดตั้งวิทยุรับ-ส่ง..ในรถพระที่นั่งทุกคัน..
และติดตั้งเครื่องอัดเทป รวมไปถึงเครื่องซักผ้าจำนวนหลายเครื่องในพระราชวัง ซึ่งเข้ามาแทนที่แผนกซักผ้าที่มีจำนวนคนงานมากมายราวกับกองทัพย่อยๆ
ต่อมาคือการหยุดระบบการกินตลอดวันของเหล่าคุณพนักงาน...ในครัวจะให้อาหารแบบเป็นเวลา

ส่วนฝ่ายในหรือที่ประทับของสมเด็จนั้น เจ้าชายฟิลิปได้ติดตั้งเตาไฟฟ้าไว้อุ่นพระกระยาหาร ตู้เย็นสำหรับเก็บของสด
และให้เลิกการนำกาแฟจากโรงครัวมาถวาย
เพราะกว่าคุณพนักงานจะประคองถาดมาถึง ในระยะตามทางระเบียงเดินที่ยาวนับไมล์นั้น..
กลายเป็นว่า...ทรงเสวยกาแฟเย็นแทบทุกครั้ง..

สุดท้าย..คือสั่งเลิกการวางขวดเหล้าสก๊อตที่ข้างพระที่บรรทมโดยเด็ดขาด เพราะนี่คือประเพณีเก่าแก่มาแต่ครั้งพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่เจ็ด เมื่อครั้งปี 1910 ที่ทรงประชวรด้วยใข้หวัด จึงได้มีพระบัญชาให้มหาดเล็กนำเหล้าไปให้เสวย จากนั้นเป็นต้นมา เหล้าสก๊อตจึงต้องมีวางอยู่ข้างพระที่ง..กลายเป็นธรรมเนียมจากบัดนั้นจนมาถึงครั้งนี้..
เพราะไม่เคยมีใครกล้าสั่งยกเลิก...

เจ้าชายฟิลิปได้ให้นายมโหรี..ปี่สก๊อต (bagpiper) ทำงานตามหน้าที่ถวายสมเด็จฯอย่างเดิม
โดยเป็นการรักษาธรรมเนียมโบราณมาตั้งแต่ครั้ง
สมเด็จพระนางวิคตอเรียที่ทรงโปรดให้มีนายมโหรีปี่สก๊อตจะเดินมาร์ชพร้อมเป่าปี่ไปตามระเบียงทุกเช้า เวลาเก้านาฬิกาตรง..  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.พ. 06, 07:29
 แน่นอนว่า...เจ้าชายฟิลิปต้องได้พบกับกับกลุ่มเสนาบดีหัวโบราณขวางโลก พวกเขาเหล่านั้น ไม่คุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน
และเคยมีแต่คุณพนักงานข้าทาสรองรับใช้ที่วันๆต่างเคยเดินกันพล่านไปหมด
{คุณพนักงานพวกนี้ มีภาษาอังกฤษเรียกอย่างเหมาะเหม็งลงตัวว่า footman }
ที่กว่าจะอ้อยอิ่งทอดน่องเดินกลับไปกลับมาก็หมดวัน..งานการที่เคยทำแบบเช้าชามเย็นชามก็ต้องถูกกระตุ้นให้เร็วขึ้น

ดังนั้นไม่ว่าเจ้าชายฟิลิปจะทรงทำอะไร พวกเสนาบดีนี้เป็นขัดไปหมด แถมเอาไปด่าลับหลังว่า..เป็นเพราะเจ้าชายพระสวามีไม่รู้จักว่า ไพร่กับผู้ดีต่างกันอย่างไร..
เนื่องจากเจ้าชายได้ทรงเชิญอาคันตุกะมาร่วมโต๊ะเสวยกับสมเด็จถึงในพระราชวัง.. ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นเป็นพวกดาราภาพยนตร์ อันเป็นที่ดูหมิ่นเหยียดหยามว่าเป็นพวกคนชั้นต่ำ เต้นกินรำกิน
ท่านเซอร์ อลัน ลาเซลเลส..ราชเลขาฯ คือคนหนึ่งที่ถึงขนาดหลุดปากไปว่า.. (โดยที่ไม่เข้าใจในพระประสงค์ว่า..เจ้าชายต้องการให้สมเด็จพระราชินีได้ทรงรู้จักกับโลกภายนอกบ้าง)
"ไอ้เจ้าไม่มีศาลเยอรมันนี่...บังอาจนัก"
เซอร์ริชาร์ด โคลวิลล์ ได้ให้คำสนับสนุนว่า..
"จริง..เจ้าชายนี่..ช่างไม่มีความเป็นเยนเติลแมน**เสียเลย มิหนำซ้ำ เพื่อนๆที่คบหาอยู่ก็ไม่มีใครเป็นเยนเติลแมนซะด้วย"

** ขอเล่าเรื่องคำว่า เยนเติลแมน = gentleman สักนิดว่า สำหรับชาวอังกฤษแล้ว ไม่ใช่แค่เป็นผู้ชายที่สุภาพ รู้จักมารยาทสังคมเท่านั้นจึงจะเป็นเยนเติลแมนได้..
ผู้ที่ถูกเรียกนั้นหมายความว่าได้รับการยกย่องขึ้นอันดับทำเนียบไฮโซ ที่จะต้องพร้อมมูลไปด้วย ชาติตระกูล การศึกษา การอบรม และ การวางตัวที่ถูกต้องเหมาะสม ลูกชายในตระกูลขุนนางมักต้องเตรียมตัวฝึกหัดกันให้เป็นเยนเติลแมนกันตั้งแต่เด็กๆ
ถึงขนาดต้องว่าจ้างพี่เลี้ยงสอนกันโดยตรง และถ้าใครถูกด่าว่าไม่ใช่เยนเติลแมนละก้อ เจ็บช้ำหนักหนา เพราะมันหมายถึงเป็นการด่าไปถึงว่า พ่อแม่ไม่สั่งสอนเชียว

ส่วนลูกผู้หญิงก็ต้องไปเรียนการบ้านการเรือน บริหารบ่าวไพร่บริวาร และรู้จักการออกสังคม เรียกว่า debutante(เดบูตอง)
และเมื่ออายุได้ 16 พ่อแม่ก็จะจัดงานเต้นรำแนะนำตัวเป็นครั้งแรก พร้อมทั้งเชิญพวกชายหนุ่ม ว่าที่เยนเติลแมนทั้งหลายให้มาร่วมงานแบบกึ่งดูตัว จับจองกันเข้าไว้แต่เนิ่นๆ

ในยุคนั้น หนุ่มๆชาวอังกฤษในหมู่ชนชั้นกลางพยายามกันสุดชีวิตเพื่อที่จะได้รับการยอมรับขึ้นทำเนียบว่าเป็นเยนเติลแมน
เพราะมันหมายถึงความรุ่งเรืองทางสังคมในอนาคตทั้งหมดทีเดียว
 
ไม่ว่าการนินทาเจ้าชายพระสวามีว่าพระองค์จะเป็นเยนเติลแมนหรือไม่นั้น เมื่อความทราบถึงพระกรรณ พระองค์ไม่แคร์เลยสักนิด..
แถมเดินหน้า..ลุยต่อไป และตรัสว่า
"มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องให้ราชวงค์นี้ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติให้ได้มากที่สุด"
เท่านั้นไม่พอ พระองค์ได้อยู่เบื้องหลัง
การทรงงานของสมเด็จฯอย่างใกล้ชิด ถ้าจะเทียบเห็นจะพอๆกับท่านผู้หญิงเอลลินอร์ ที่เฝ้าช่วยเหลืองานของประธานาธิบดีรูสเวลท์อย่างไม่ให้คลาดสายตานั่นเอง

เจ้าชายฟิลิปทรงพยายามผลักดันให้การทำงานของสถาบันกษัตริย์ให้กระจายออกไปเป็นวงกว้าง โดยการยอมรับในการเป็นองค์ประธานมูลนิธิต่างๆรวมทั้งกาที่ทรงยอมรับเป็นองค์อุปถัมภ์การกีฬาแห่งชาติ ซึ่งนับว่าเป็นของใหม่ ที่แน่นอนย่อมทีเสียงค้าน และการกระทบกระแทก
โดยนำพระองค์ไปเปรียบเทียบกับฮิตเล่อร์เมื่อครั้งที่ เขาได้ก่อตั้ง ยุวชนนาซี..ที่มีการรวบรวมเด็กๆมาเข้าค่ายเล่นกีฬา
เท่านั้นไม่พอ..ยังโยงไปถึงว่า พระองค์ได้เคยมีพระอาจารย์ที่ทรงเคารพรัก คือ ดร. เคิร์ท ฮาห์น ผู้อำนวยการโรงเรียนกอร์ดอนสตัน ที่เป็นชาวเยอรมัน-ยิว อีกต่างหาก
แต่พระองค์ได้หาย่อท้อไม่ ทรงเดินหน้าเต็มตัวในการกระจายมูลนิธิ The Duke of Edinburgh Awards Scheme
ออกไปในทุกแห่ง เพียงแต่จะมีชื่อเรียกต่างๆกัน เช่นใน เบลเยี่ยม เรียกว่า Benelux Award ในจอร์แดน เรียกว่า The Crown Prince Award
ใน ออสเตรเลีย, จาไมก้า, นิวซีแลนด์ เรียกว่า Dee of Ee
เจ้าชายฟิลิป ได้ตรัสออกมาโต้งๆว่า..
"จะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่..ชั้นไม่ give a damn ตราบใดที่การทำงานต้องทำได้ผลดีเทียบเท่าที่นี่.."  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.พ. 06, 07:31
 ส่วนสมเด็จพระราชินี..เมื่อทรงขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ ภาระหนักอึ้งที่ว่านั้น นอกจากจะเป็นการบ้านการเมืองแล้ว..พระองค์ยังต้องเป็นผู้นำทางศาสนาฝ่ายฆราวาสอีกด้วย..และไม่ใช่นิกายเดียว หากแต่ต้องทรงควบกล้ำไปทั้งสองนิกายคือ ฝั่งอังกฤษ นิกายเชิร์ช ออฟ อิงค์แลนด์ และ ทางฝั่งสก๊อตแลนด์คือ นิกายเพรสไบทาเรียน
ซึ่งทั้งสองนิกายนี้มีการปฏิบัติธรรมและการบริหารภายในที่แตกต่างกัน
ซึ่งในฐานะนางกษัตริย์ พระองค์จะต้องเสด็จไปทำพิธีราชาภิเษกรับมงกุฏ (ของสก๊อตแลนด์) อีกครั้งตามธรรมเนียมของนิกายเพรสไบทาเรียนด้วย
ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกในการเสด็จเยือนของพระองค์

ประชาชนชาวสก็อตต่างมารอชื่นชมในพระสิริโฉมและพระบารมีกันอย่างเนืองแน่นที่
พระวิหาร St. Giles และทุกคนต้องประหลาดใจที่พบว่า สมเด็จพระราชินีของพวกเขานั้น เสด็จมาในชุดธรรมดาที่มีเสื้อโค๊ตตัวโคร่งสีฟ้าหม่นสวมทับมา..
ดูแปลกๆ ยามที่ทรงประทับท่ามกลางขุนน้ำขุนนางที่พากันแต่งตัวชุดเครื่องแบบมาอย่างเต็มยศ
เท่านั้นยังไม่หนำ..ในข้อพระกร พระองค์ได้ทรงคล้องกระเป๋าถือสีดำใบใหญ่ยักษ์ไว้แนบพระวรกาย
โดยภาพรวมทั้งหมด ทุกคนลงความเห็นว่า ไม่ต่างอะไรกับภาพของคุณนายเสมียนธรรมดาๆที่เห็นกันประจำวันนี่เอง
ฝ่ายพระสวามีเสียอีกที่ทรงชุดเครื่องแบบครบถ้วนอย่างโบราณที่มีทั้งหมวกจีบปักด้วยขนนก

ที่แท่นทำพิธีนั้น..ดยุค ออฟ แฮมมิงตัน ได้เดินเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าพระพักต์ พร้อมทั้งได้เทินหมอนกำมะหยี่ที่มีพู่ห้อยทั้งสี่ด้านขึ้นเหนือศรีษะ
บนหมอนนั้น คือ มงกุฏแห่งแผ่นดินสก๊อตแลนด์ ขณะที่ทรงเอื้อมพระหัตถ์มารับ...
โชคดีที่ท่านดยุคได้เบี่ยงศีษะหลบทัน ก่อนที่พระกระเป๋าใบโตนั้นจะเหวี่ยงเข้ามาฟาดโดนเอาที่หน้า..

(มีภาพวาดเหมือนของวินาทีนี้..โดยจิตกรชาวสก๊อตที่ได้วาดไว้ประดับให้เป็นศรีสง่านั้น..เขาได้ตัดพระกระเป๋าทิ้งไป..)


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.พ. 06, 07:49

เชิญขึ้นไปอ่านต่อได้ที่กระทู้นี้ค่ะ
 http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=20&Pid=46679  


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 เม.ย. 21, 11:31

ดึงกระทู้นี้กลับมาหน้าแรกอีกครั้ง


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 เม.ย. 21, 11:32

You are the wind beneath my wings


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 14 เม.ย. 21, 09:30
.......
You were content to let me shine
You always walked a step behind

So I was the one with all the glory
While you were the one with all the strength

I can fly higher than an eagle
For you are the wind beneath my wings


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 เม.ย. 21, 18:24
Love can touch us one time
And last for a lifetime


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 เม.ย. 21, 11:59
บางส่วนจาก           

เจ้าชายฟิลิป : จากใจลูกหลานถึง “คุณปู่ของชาติ” ในความทรงจำของสมาชิกราชวงศ์วินด์เซอร์

https://www.bbc.com/thai/international-56762271

           ก่อนที่พิธีพระศพของเจ้าชายฟิลิป ดยุคแห่งเอดินบะระ จะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 17 เมษายน เวลา 21.00 น. ตามเวลาในไทย
ที่โบสถ์เซนต์จอร์จในพระราชวังวินด์เซอร์ บรรดาพระโอรส ธิดา รวมทั้งพระนัดดาผู้เป็นที่รักยิ่ง ได้ทรงร่วมกันแสดงความอาลัยและ
รำลึกถึงชีวิตอันโดดเด่นทรงคุณค่าของผู้เป็นเสมือน "คุณปู่ของชาติ" แห่งสหราชอาณาจักร

           เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ซึ่งทรงดำรงพระยศเจ้าชายแห่งเวลส์ มกุฎราชกุมารแห่งราชวงศ์อังกฤษ ตรัสแสดงความอาลัยต่อพระบิดาว่า
           
           "ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างยิ่งที่จะพูดว่า ตลอดเวลา 70 ปีที่ผ่านมา บิดาของข้าพเจ้าได้ทุ่มเทอย่างถึงที่สุดเพื่อสมเด็จพระราชินีนาถฯ
เพื่อครอบครัวของข้าพเจ้า เพื่อชาติ และเพื่อเครือจักรภพทั้งหมด"

สำนักพระราชวังเคนซิงตันเผยแพร่พระฉายาลักษณ์เจ้าชายฟิลิปและเจ้าชายจอร์จ ซึ่งฉายโดยแคทเธอรีน ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 เม.ย. 21, 12:02
            เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุคแห่งยอร์ก
 
           "พ่อเคยบอกกับข้าพเจ้าทางโทรศัพท์เมื่อไม่กี่เดือนก่อนว่า เราต่างลงเรือลำเดียวกัน และเราต้องระลึกถึงความจริงข้อนี้เอาไว้เสมอ
             มันไม่ใช่แค่ความสูญเสียของเราเท่านั้น แต่เป็นของผู้คนจำนวนมากซึ่งต้องตายหรือเสียผู้เป็นที่รักไป ระหว่างการระบาดของโรค
โควิด-19 ดังนั้นพวกเราทุกคนจึงอยู่ในเรือลำเดียวกัน แม้สถานการณ์จะต่างกันนิดหน่อย เนื่องจากพ่อไม่ได้จากไปเพราะโควิด แต่เราต่าง
ก็รู้สึกว่าสูญเสียอย่างใหญ่หลวงไม่แพ้กัน"

           "แทบจะเรียกได้ว่าเราสูญเสียบุคคลที่เปรียบเสมือนกับคุณปู่ของชาติ ข้าพเจ้าเสียใจและขอเป็นกำลังใจให้กับแม่ ผู้ที่อาจจะเศร้า
เสียใจมากยิ่งกว่าใครทั้งหมด"
           "ตามที่ทุกคนน่าจะทราบกันดีอยู่แล้ว สมเด็จพระราชินีนาถฯ ทรงเป็นผู้ที่สามารถข่มใจให้สงบนิ่งได้ดีอย่างเหลือเชื่อ ทรงบอกว่า
            เหตุการณ์นี้ได้ ทิ้งความว่างเปล่าอันมหาศาลไว้ในชีวิตของพระองค์ แต่ครอบครัวของเราและผู้ใกล้ชิดก็พยายามทุกทางอย่างเต็มที่
เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะอยู่ข้าง ๆ เสมอ เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนพระองค์"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 เม.ย. 21, 12:03
            "พระองค์อยู่เคียงข้างสมเด็จพระราชินีนาถฯ เสมอ และเป็น เสมือนหินแกร่งในชีวิตของควีน" เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด
เอิร์ลแห่งเวสเซกซ์ตรัส
            "ทรงไม่เคยพยายามจะข่มหรือโดดเด่นเกินหน้าควีนในทางใดทั้งสิ้น แม้แต่ภายในครอบครัวก็ทรงประพฤติเช่นนั้นเหมือนกัน"


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 เม.ย. 21, 12:06
           เจ้าชายวิลเลียม ดยุคแห่งเคมบริดจ์ ผู้ที่เรียกได้ว่าเป็นพระนัดดาหัวแก้วหัวแหวนพระองค์ใหญ่ ตรัสแสดงความอาลัยและ
รำลึกถึง "เสด็จปู่" ผู้มากอารมณ์ขันว่า

           "ชีวิตยาวนานถึงหนึ่งศตวรรษของท่าน คือการรับใช้ประเทศชาติและเครือจักรภพ รวมทั้งการทุ่มเทให้สมเด็จพระราชินีนาถฯ
ผู้เป็นพระชายา และครอบครัวของเรา"
            "ข้าพเจ้ารู้สึกว่าโชคดี ที่ท่านไม่ได้เป็นเพียงแบบอย่างนำทางชีวิต แต่ท่านยังอยู่เคียงข้างข้าพเจ้าเสมอตั้งแต่เด็กจนโต
ทั้งในช่วงเวลาที่ดี และช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด"
            "ข้าพเจ้าจะสำนึกในพระคุณอยู่เสมอ ที่ท่านทรงพระกรุณาต่อชายาของข้าพเจ้าตลอดมา ข้าพเจ้าจะไม่ละเลยต่อความทรงจำพิเศษ
ที่ลูก ๆ จะพึงมีต่อเสด็จทวด ผู้ที่ทรงรถม้ามารับพวกเขา ท่านทำให้ลูก ๆ ของข้าพเจ้าได้สัมผัสด้วยตนเองถึงพระอุปนิสัยรักการผจญภัยที่
ถ่ายทอดถึงกันได้ ทั้งยังได้เห็นพระอารมณ์ขันอันทะเล้นซุกซนอีกด้วย"

            เจ้าชายแฮร์รีทรงระบุในแถลงการณ์แสดงความอาลัยต่อเจ้าชายฟิลิปว่า

            "ท่านเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง มีไหวพริบเฉียบแหลมอย่างร้ายกาจ สามารถดึงดูดความสนใจของคนทั้งห้องได้ด้วยเสน่ห์ของท่าน
และการที่ต้องลุ้นว่าท่านจะพูดอะไรออกมา"
            "สำหรับข้าพเจ้า ซึ่งก็เหมือนกับคนทั่วไปที่สูญเสียปู่ย่าตายายหรือคนที่รักไปในปีอันเจ็บปวดที่ผ่านมา ท่านเป็นปู่ของข้าพเจ้า เป็นผู้เชี่ยวชาญ
ด้านบาร์บีคิว เป็นจอมอำในตำนาน และยียวนกวนอารมณ์จนวาระสุดท้าย"
            "ในขณะที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ในตอนนี้ก็รู้แล้วว่าปู่จะพูดกับพวกเราว่าอะไร ท่านอาจจะถือแก้วเบียร์ไว้ในมือแล้วบอกว่า
"อยู่ ๆ กับมันไปเถอะน่า !" ขอบคุณปู่มากสำหรับการรับใช้ชาติ รวมทั้งการทุ่มเทให้ย่า และสำหรับการเป็นตัวของตัวเอง"
             เจ้าชายแฮร์รีทรงลงข้อความท้ายแถลงการณ์แสดงความอาลัยว่า "Per Mare, Per Terram" ซึ่งเป็นคำขวัญภาษาละตินของกองกำลัง
ราชนาวิกโยธินที่หมายความว่า "ทางบก ทางทะเล" เนื่องจากพระองค์และเจ้าชายฟิลิปต่างเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการฝ่ายพิธีการ หรือ
Captain General ของกองกำลังนี้ ซึ่งเป็นตำแหน่งเกียรติยศที่สมเด็จพระราชินีนาถฯ ทรงแต่งตั้ง


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 18 เม.ย. 21, 13:21
;D

https://www.facebook.com/workpointTODAY/videos/1212049015913865/


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 เม.ย. 21, 18:35
https://www.youtube.com/watch?v=ly6yEJSDFko


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 เม.ย. 21, 18:39
 :'(


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 เม.ย. 21, 09:36
ภาพทรงโปรด, The Royal Family twitter ระบุว่า

        The Queen wishes to share this private photograph taken with The Duke of Edinburgh
at the top of the Coyles of Muick, Scotland in 2003.

Photograph by The Countess of Wessex.


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 เม.ย. 21, 09:51
ภาพล่าสุดจาก The Royal Family


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 เม.ย. 21, 10:56
 :'(


กระทู้: ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 เม.ย. 21, 20:48
https://www.youtube.com/watch?v=GuVZVwd2iDI