เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2 3 4
  พิมพ์  
อ่าน: 18183 ความหมายของ SOTUS กับอนาคตปัญญาชนไทย โดย อ.ใจ อึงภากรณ์ (ลอกมาครับ)
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
 เมื่อ 07 ส.ค. 02, 15:37

พอดีเพื่อนส่งมาให้อ่านเลยเอามาแปะให้อ่านกัน
ผมไม่แน่ใจว่าเนื้อหารุนแรงไปหรือเปล่า

/>ถ้าผมไปโพสต์เรื่องนี้ที่บอร์ดอื่นสงสัยคงทะเลาะกันเป็นเรื่องเป็นราว
เพราะเรื่องเกี่ยวกับสถาบันนี่ล่อแหลม

/>แต่มั่นใจว่าโพสต์ในเรือนไทยน่าจะปลอดภัย  
ถ้าสมาชิกท่านไหนเห็นว่าไม่เหมาะสมก็แจ้งให้ทราบได้นะครับ

/>ผมจะได้ลบออก



บทความนี้เป็นของ ดร. ใจ อึ้งภากรณ์
จากจุดประกายกรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ร้อยแปดวิถีทัศน์ :วันพุธที่ 26 มิ.ย. 45


โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าท่านใช้ภาษารุนแรงไปหน่อย
แต่มีหลายแง่มุมที่ผมเห็นด้วย



/>------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

/>ความหมายของ SOTUS กับอนาคตปัญญาชนไทย



/>ในตอนเย็นของวันทำงานธรรมดาๆ ที่จุฬาฯ วันหนึ่ง ผมเดินออกจากห้อง
เพื่อไปขึ้นรถไฟกลับบ้าน

แต่ปรากฏว่า มีเสียงโห่ร้อง
อย่างน่ากลัวเกิดขึ้น จากตึกคณะเศรษฐศาสตร์

ตอนแรกผมไม่แน่ใจว่า
เสียงนี้เป็นเสียงฝูงสัตว์ป่า หรือกลุ่มอันธพาลกันแน่ แต่พอยืนฟังสักพัก

/>ก็รู้ว่าเป็นนิสิตจุฬาฯ เห่าหอนโห่ร้องว่า คณะของตน และมหาวิทยาลัยของตน
ดีกว่าคนอื่น ฯลฯ

ผมเดินต่อไปที่ตึกรัฐศาสตร์
ก็ปรากฏว่ามีเสียงประหลาดๆ แบบนี้เกิดขึ้นเช่นกัน แต่ออกมาจากห้อง

/>ที่ประตูหน้าต่างปิดหมด สักพักหนึ่งผมเดินไปที่หน้าเสาธง
ก็เห็นวัยรุ่นอันธพาลชาย 3 คนยืนปรามนิสิตหญิงปี 1 คนเดียว

/>เขาใช้วิธีบังคับทารุณ ให้ผู้หญิงคนนั้น วิ่งไปวิ่งมา หรือนั่งลงแล้วยืนขึ้น
ทั้งหมดกระทำไป

เพื่อทำลายความเป็นปัจเจกความคิดสร้างสรรค์
และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของนิสิตคนนั้น

เพราะการบังคับ
ให้คนทำสิ่งที่ไร้สาระเพื่อ 'พิสูจน์' ความจงรักภักดี

/>มันแย่ยิ่งกว่าการบังคับทาส หรือนักโทษให้ขุดคลอง ยิ่งกว่านั้น
ขณะที่พวกรุ่นพี่กำลังบังคับให้นิสิ! ตปี

1 วิ่งไปวิ่งมาอย่างไร้สาระ
ก็มีการตะโกนด่า อย่างที่คุณพ่อคุณแม่ หรือครูของนิสิตคนนั้น

/>คงไม่มีวันกระทำ เพราะมันเป็นพฤติกรรมแท้ของคน ที่ไม่มีอารยธรรม และนอกจากนี้
ทั้งหมดนี้

กระทำต่อหน้ากลุ่มนิสิตปี 1 เพื่อเป็น 'ตัวอย่าง'
ให้เขาเห็น

สรุปแล้วมันเป็นภาพของการทำลายศักดิ์ศรีซึ่งกัน
และกันระหว่างนิสิตรุ่นพี่ และรุ่นน้อง ทั้งผู้กระทำ

/>และผู้ถูกกระทำกลายเป็นสัตว์ป่า เพราะผู้กระทำหลงเชื่อว่า
ตนเองมีสิทธิที่จะกระทำแบบนั้นกับผู้อื่น

การตะโกนแบบหยาบๆ
เพื่อบังคับให้คนภายใต้อำนาจเราทำสิ่งที่ไร้สาระ

/>เรียนรู้โดยตรงจากการฝึกกองทหารในระบบทุนนิยม

/>ถ้าดูภาพยนตร์เรื่องชีวิตการฝึกทหารก็จะเห็นวิธีการแบบนี้
เป้าหมายหลักคือ

การฝึกให้พลทหารทำตามคำสั่งโดยไม่คิด และไม่เถียง
เพราะพวกนายพลมองว่าเป็นการสร้าง

'ประสิทธิภาพในการรบ'

/>ขอเน้นอีกครั้งหนึ่งว่าวิธีการนี้ใช้เพื่อสร้างประเพณีบรรยากาศการทำตามคำสั่งโดยไม่คิดเอง


ดังนั้นนี่คือสิ่งที่นักศึกษาใน 'มหาวิทยาลัยชั้นนำ'
ของไทยกำลังถ่ายทอดจากรุ่นพี่ไปสู่รุ่นน้อง

/>ดังนั้นอย่าหวังอะไรมากจากเด็ก SOTUS ที่จบจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

/>เพราะถ้าตอนสอบเข้าเขาคิดเองเป็น
พอผ่านการฝึกฝนในห้องเชียร์ในปีแรกก็คงไม่มีมันสมองเหลือเพื่อการวิเคราะห์โลกอีก


สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องของระบบทหารคือ
ในสงครามระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมนี

หลังการปฏิวัติฝรั่งเศสปี 1789
หรือในสงครามระหว่างเวียดนามกับสหรัฐในทศวรรษที่ 60 และ 70

/>ฝ่ายที่ชนะไม่ได้ชนะเพราะมีการฝึกทหารให้เป็นหุ่นยนต์ที่ทำตามคำสั่ง

/>แต่ชนะเพราะทหารฝรั่งเศสหรือทหารเวียดนามเข้าใจด้วยมันสมองของตนเองว่า

/>เขาออกรบเสี่ยงตายเพื่ออะไร พูดง่ายๆ
ไม่ต้องมีใครมาสั่งให้เขารบอย่างกล้าหาญหรอก

/>เขารบอย่างกล้าหาญเพราะเขาเห็นด้วยกับอุดมการณ์ที่เขากำลังปกป้อง Henry
Kissinger

เข้าใจเรื่องนี้ดี เพราะเขาสารภาพว่า

/>"เราแพ้สงครามเวียดนามเนื่องจากเราใช้การทหารในการรบในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามใช้การเมือง"


กลับมาสู่มหาวิทยาลัยของผมที่หวัง 'เป็นเลิศทางวิชาการ' ....
ถ้าเราถามนิสิตรุ่นพี่หรือนิสิตเก่าว่า

กิจกรรมในห้องเชียร์ทำไปทำไม
เขาจะตอบว่ามันเป็นกิจกรรมร่วมภายใต้ระบบ SOTUS

/>ที่สร้างความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในคณะ
เขาจะอธิบายต่อว่าการผ่านความยากลำบาก

/>(การถูกบังคับอย่างทารุณโดยรุ่นพี่) ช่วยให้ทุกคนรู้จัก! กันดีขึ้น
และสามัคคีกัน

ดังนั้นผมขอเสนอว่าจริงๆ
แล้วถ้านิสิตจะฝ่าความยากลำบากพร้อมๆ

/>กันก็ควรอาสาสมัครหมู่ไปขุดโคลนออกจากท่อระบายน้ำตามถนนอย่างที่นักโทษเขาทำกัน

/>หรืออาสาสมัครไปเก็บขยะตามสลัมแถวๆ คลองเตย หรือทำความสะอาดห้องน้ำสาธารณะ
ฯลฯ

จะมีประโยชน์ต่อสังคมมากกว่า
แต่ผมเชื่อว่านิสิตพวกที่หลงใหลในระบบ SOTUS คงไม่มีวันทำ

/>เพราะลึกๆแล้วระบบนี้เป็นระบบที่ปกป้องโครงสร้างอำนาจระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้อง


"สิงห์ดำ แดง เหลือง ม่วง ลาย ฯลฯ"
หลังจากที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแล้วออกไปทำงาน

พูดง่ายๆ SOTUS
มันไม่แค่ทำลายความคิดของนิสิตขณะที่ศึกษา

/>แต่มันปกป้องระบบอำนาจนิยมในหมู่ชนชั้นนำในสังคมไทยด้วย

/>สำหรับคนที่ไม่เข้าใจว่า SOTUS คืออะไร ขออธิบายว่าเป็นตัวย่อจากภาษาอังกฤษ 5
คำดังนี้

S มาจากคำว่า Stupid หรือ 'โง่'
ระบบห้องเชียร์ช่วยให้นิสิตโง่มากขึ้น เพราะทำลายเซลล์ในสมอง

/>และความสามารถในการคิดเองเป็น แถมกิจกรรมต่างๆ

/>ที่ทำในห้องเชียร์ถูกกำหนดว่าต้องเป็นเรื่องโง่ๆ ด้วย
ห้ามเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

ต้องวิ่งไปวิ่งมา
ขังรุ่นน้องในห้องโดยปิดประตูหน้าต่าง และไม่เปิดแอร์ ทำถูกก็! โดนด่า

/>ทำผิดก็โดนด่า ไม่ทำก็ด่า ทำก็ด่า ทำไปทำมาทั้งรุ่นน้อง

/>และรุ่นพี่โง่กันอย่างสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

/>ทำกิจกรรมเสร็จแล้วออกมาจากห้องก็ต้องไหว้รุ่นพี่อีก
ถ้ารุ่นพี่สั่งให้ไหว้หมา 'เพื่อความสามัคคี'

ก็คงต้องไหว้มั้ง?
แถมเรียนจบก็นำความโง่ไปใช้ในสังคมภายนอก

/>หมอบคลานกราบไหว้สิ่งที่ไม่ควรกราบ ไม่ต้องใช้สมองคิด สังคมจะได้โง่

/>สรุปแล้วโคตรโง่เลย !

O มาจากคำว่า Out-Dated ซึ่งแปลว่า
'ล้าสมัย' ความล้าสมัยของระบบห้องเชียร์ และ SOTUS

/>ดูได้จากการที่มีการยกเลิกระบบนี้เองโดยนักศึกษาไทยในยุค 14 ตุลาคม
2516

ซึ่งเป็นยุคตื่นตัวทางสังคมของนักศึกษา
ในยุคนั้นเริ่มมีขบวนการนักศึกษาที่ปฏิเสธความโง่

/>และความป่าเถื่อนของระบบรุ่นพี่รุ่นน้อง ประเพณีต่างๆ ที่พวกพี่ๆ โง่

/>นำมาใช้ในสมัยเผด็จการทหารก็เลยกลายเป็นเรื่องตลก และถูกยกเลิกไป

/>แต่ปรากฏว่าตอนนี้เกือบ 30 ปีผ่านไป
สังคมนักศึกษาก็ยังจมอยู่ในความโง่ของอดีต

/>สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะนักศึกษาโง่หรอก
แต่เพราะชนชั้นปกครองไทยอยากให้โง่ต่างหาก

/>ดังนั้นเมื่อนักศึกษาเริ่มคิดเองเป็น และเริ่มเคลื่อนไหวทางสังคมหลังสมัย 14
ตุลา

ชนชั้นปกครองกลัวว่าจ! ะปกป้องอภิสิทธิ์ไม่ได้

/>จึงมีคำสั่งร่วมลงมาให้สังหารหมู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันที่ 6 ตุลาคม
2519

/>และมีคำสั่งตามมาให้เผาหนังสือที่อาจปลดแอกพวกเราจากความโง่ตามห้องสมุดต่างๆ
ด้วย

ในยุคโลกาภิวัตน์ ใครๆ
เขาพูดกันว่าพลเมืองต้องมีส่วนร่วมในการปกครอง

ต้องร่วมตรวจสอบผู้แทน
ต้องมีประชาธิปไตย ต้องคิดเองเป็น

/>และมีการเสนอมานานว่าควรปฏิรูปการศึกษาเพื่อพัฒนานักศึกษา
แต่ในหมู่นิสิตรุ่นต่างๆ ที่บ้าคลั่ง

SOTUS
การเปลี่ยนแปลงในโลกภายนอกคงไม่มีความหมาย
น่าสงสารไม่มีสมองก็คิดเองไม่เป็น

แล้วคงไม่รู้จักเปลี่ยนวิธีปฏิบัติ


T ย่อจาก Tyranny ซึ่งแปลว่า 'การใช้เผด็จการกดขี่ผู้อื่น' ระบบ
SOTUS

ใช้วิธีการไร้สาระของการกดขี่เพื่อความไร้สาระ

/>และเป็นระบบที่นำมาหนุนความคิดแบบอำนาจนิยมกราบไหว้ในสังคมภายนอก

/>แต่เราไม่ควรลืมประวัติศาสตร์ของเราเอง ในปี 2475, 2516 และ 2535

/>มวลชนชาวไทยรวมตัวกันล้มระบบเผด็จการ และชนะ

/>ดังนั้นถ้านิสิตนักศึกษารุ่นใหม่ต้องการล้มเผด็จการของห้องเชียร์
และรุ่นพี่

ก็คงต้องเรียนบทเรียนจากอดีต
คนหนุ่มสาวไทยสามารถล้มเผด็จการได้

/>และเคยยกเลิกระบบรุ่นพี่รุ่นน้องในจุฬาฯ ด้วย แต่ทำคน! เดียวไม่ได้
ต้องรวมตัวกันปฏิเสธความโง่

/>แล้วพวกรุ่นพี่ที่ดูเหมือนจะมีอำนาจล้นฟ้าก็จะกลายเป็นมนุษย์น้อยที่น่าสงสารเท่านั้นเอง

/>ดีไม่ดีเขาอาจไหว้เราเป็นการขอบคุณก็ได้เพราะเราสามารถปลดแอกความโง่จากเขาได้


สิ่งที่สำคัญคือ นิสิตต้องทำเอง
ไม่ใช่ไปหวังว่าคนอื่นอย่างผมหรือใครที่ไหนจะทำให้

/>อย่าลืมว่าคนสามารถเอาแอกออกจากควายได้
แต่เนื่องจากควายเอาแอกออกเองไม่ได้

/>ควายจำต้องเป็นทาสของมนุษย์ตลอดกาล

U มาจาก Uncivilised ซึ่งแปลว่า
'ป่าเถื่อน' ไม่มีอารยธรรม การใช้อำนาจระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้อง

/>การทำกิจกรรมไร้สาระ การตะโกนในทำนองว่า "คณะ@--@ดีกว่าคณะ@--@"

/>การทำลายความเป็นปัจเจกมนุษย์ และการทำลายมันสมองที่จะคิดเอง

/>ล้วนแต่เป็นความป่าเถื่อนไร้อารยธรรม
แม้แต่สัตว์ในป่ายังมีอารยธรรมมากกว่าพวกบ้า SOTUS

/>เพราะสัตว์มันคิดเองไม่เป็นตามธรรมชาติเรายกโทษให้มันได้

/>แถมมันไม่มีวันจงใจโง่หรือแกล้งคนอื่นเหมือนพวกนิสิต SOTUS

/>รู้ไหมว่าระบบ SOTUS นี้คนไทยเอามาจากไหน?
ลองคิดดูว่าที่ไหนไร้อารยธรรมที่สุดในโลก

/>คนกลุ่มไหนกำลังทำตัวเป็นอันธพาลระดับโลกาภิวัตน์จนเกิดการเกลียดชังกันทั่วทุกแห่ง

/>คนกลุ่มไหนพร้อมจะก! อบโกยขณะที่คนยากจนอดอยาก
คนกลุ่มไหนฆ่าเด็กในนามของเสรีภาพ ....



ใช่ครับ ระบบ SOTUS
มาจากส่วนบนของสังคมสหรัฐอเมริกาที่ล้าหลัง และไร้อารยธรรมที่สุด พวก

/>'รักชาติไทย' ทั้งหลายว่าอย่างไรครับ?
จะเดินตามก้นสหรัฐเหมือนคนกวาดมูลต่อไปไหม?

S ตัวสุดท้ายมาจากคำว่า
Stop It - 'เลิกเถิดเรื่องโง่ๆ ไร้สาระ'

/>เลิกเถิดเรื่องการกดขี่กันเองในหมู่นักศึกษา เลิกตะโกนบ้าๆ
เพื่อเชียร์สิ่งที่ไม่น่าเชียร์ เลิกภูมิใจ

/>และเคารพกราบไหว้ในสิ่งน่าเบื่อย่ำแย่ เลิกกลัวที่จะขัดคำสั่งรุ่นพี่

/>รุ่นพี่เลิกกลัวที่จะไม่ทำตามประเพณีโง่ๆ ต่อไป....

/>แล้วถ้าเลิกไปนิสิตจะใช้เวลาทำอะไร? จัดการแสดงดนตรี จัดละคร ไปดูหนัง
อ่านหนังสือ

อ่านหนังสือพิมพ์ และวารสาร สนใจปัญหาสังคม
สนใจปัญหาการเมือง สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม

คุยกับเพื่อน
คุยกับคนในครอบครัว จู๋จี๋กับแฟน ไปกินข้าวอร่อยๆ ออกกำลังกาย ไปเที่ยว

/>เขียนจดหมายมาวิจารณ์คนอย่างผมก็ได้ (มีอี-เมล์ข้างบน)...

/>ระบบห้องเชียร์ และ SOTUS มันน่าจะเป็นฝันร้ายจากอดีตที่ไม่เป็นจริง
แต่ทุกวันนี้

ในหมู่คนหนุ่มสาวที่อ้างตัวว่าเป็นกลุ่มชั้นนำ (Cream of
Thai Society) มันเป็นความจริง และ!

แย่ยิ่งกว่าฝันร้ายอีก

/>

จาก จุดประกายกรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ร้อยแปดวิถีทัศน์ :วันพุธที่ 26
มิ.ย. 45



โดย ใจ อึ๊งภากรณ์  เมื่อ วันเสาร์ที่ 29  
มิถุนายน 2545, 23:03 น.
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 01 ก.ค. 02, 03:14

ขอแสดงความคิดเห็นในฐานะเคยเป็นนิสิตเก่า และเคยเห็นระบบการรับน้องรวมทั้งเข้าห้องเชียร์มาก่อน
ผมคิดว่าผมเห็นด้วยกับความคิดของเจ้าของคอลัมน์นะครับ ที่พยายามจะบอกว่าระบบโซตัสในมหาวิทยาลัยนั้น
ไม่จำเป็นต่อการพัฒนานิสิตนักศึกษาสักเท่าไหร่ ... แต่อ่านคอลัมน์นี้แล้วรู้สึกว่าจะรุนแรงไปหน่อย เหอๆๆ
ผมกลัวว่าแทนที่นักศึกษาจะเห็นเหตุผลและปรับปรุงประเพณีของเขา กลับจะกลายเป็นต่อต้านซะมากกว่า

ผมเรียนจบมาหลายปีแล้ว ไม่คิดเหมือนกันว่าประเพณีเหล่านี้จะยังเข้มข้นอยู่
โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเอาเวลาไปทำกิจกรรมอื่นบ้างน่าจะดีกว่า
อย่างในอังกฤษ นักศึกษามีเวลาที่จะเข้าร่วมกิจกรรมกับชมรมต่างๆ ท้ังกีฬา ดนตรี สังคมสงเคราะห์
ช่วงเวลาที่เป็นเด็กปีหนึ่ง น่าจะเอามาใช้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์กับตัวเองและสังคม
เพราะเป็นช่วงที่สมองกำลังสด พัฒนาได้ง่ายกว่า เอาเวลาไปนั่งร้องเพลงกันซะหมด...ผมว่าน่าเสียดาย

ถ้ามองอย่างเป็นกลางเรื่องจะรักษาประเพณีผมว่าก็เป็นการดี
แต่ควรจะให้เป็นไปตามความสมัครใจของแต่ละคน
ไม่ใช่มาบังคับกัน หรือขู่กันต่างๆนาๆ เหมือนครูฝึกกับนักเรียน ร.ด.

สมัยผมเป็นนิสิตปีหนึ่งก็มีรุ่นพี่ มาตามตัวให้ไปเข้าห้องเชียร์ ซ้อมร้องเพลง ๆลๆ ผมไม่เคยไปเชียร์กับเข้าซะที
เหตุผลก็เพราะว่าผมไม่เห็นด้วยจะเป็นประโยชน์สำหรับผม เลยเอาเวลาตอนเย็นไปแตะฟุตบอลซะเป็นส่วนใหญ่
จนมีรุ่นพี่ๆเพื่อนๆหลายคนขู่ว่าระวังจะไม่รู้จักเพื่อน ตอนนั้นผมก็กลัวอยู่เหมือนกัน เพราะอยากมีเพื่อน(สาวๆเยอะๆ)
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยเข้าห้องเชียร์ซักกะครั้งหนึ่ง ขนาดพี่ระหัสผมยังไม่มีเลย หุๆๆ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 01 ก.ค. 02, 11:25

 ดิฉันเป็นคนต่อต้านระบบ SOTUS ของมหาวิทยาลัยอย่างสุดสุด
เพราะถือว่าเป็นการระบายอารมณ์ป่าเถื่อน เพื่อความสะใจของเด็กหนุ่มสาวรุ่นพี่ที่ไร้วุฒิภาวะไม่กี่คน   กระทำต่อเด็กหนุ่มสาวที่เข้ามาทีหลัง เพื่อให้พวกเขาทำกับน้องๆรุ่นต่อไป
ราวกับเป็นกระสือบ้วนน้ำลายถ่ายทอดกัน

มีรุ่นพี่บอกดิฉันว่าทำไปเพื่อปลูกฝังความรักพี่น้อง เพิ่มความสนิทสนม  กอดคอเป็นหนึ่งเดียวกัน
ที่ว้ากน่ะแกล้งทั้งเพ    ปลูกฝังความอดทนให้น้องๆต่อความไม่พอใจทุกชนิด   เพราะเรียนจบไปจะต้องไปเจออีกมาก

ดิฉันคิดอยู่นานว่าถ้าเราอยากมีความรู้สึกในทางบวก อย่างความรัก และความอดทน ทำไมเราไม่เลือกวิธีปลูกฝังที่บวกเหมือนกัน
ทำไมเราจึงเลือกวิธีทำให้น้องๆรู้สึกในทางลบ เพื่อจะบอกว่า..นี่ละคุณจะได้รู้ว่าคุณจะได้ทนได้แค่ไหน
คุณไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงสังคมให้ผู้คนมีน้ำใจไมตรีต่อกัน แต่คุณคล้อยตามสังคมว่าคนโหดร้ายต่อกัน   เพราะฉะนั้นก็ชิงโหดร้ายให้น้องๆดูเสียก่อน
มันจะต่างอะไรกับพี่เอาไม้ตีน้อง เพื่อบอกว่า ต่อไปแกไปโรงเรียนก็จะถูกครูตีเจ็บๆ นี่ไงมาด้านไม้กับฉันก่อนดีกว่า

อีกความคิดหนึ่ง ที่ทำเพื่อปลูกความเป็นพี่น้องแน่นแฟ้นนี่ละค่ะ  มันก่อให้เกิดการแบ่งสี แบ่งพวก ในแต่ละมหาวิทยาลัยอย่างรุนแรงเมื่อถึงเวลาทำงาน
ในบางหน่วยงานจะแบ่งแยกความสนิทสนม ตามสถาบัน
ถ้าคุณมาจากที่เดียวกัน โอเค เลย ยอมรับ  แต่ถ้าคุณพลัดมาจากอีกที่  ถูกเขม่นล่วงหน้าแล้วว่า...นี่เขาพวก.....นะ คนละแห่งกับเรา   กีดกันไว้ก่อน
ความล้าหลังของงานถูกถ่วงด้วยระบบรักพวกพ้องพี่น้องสีเดียวกันมากเหลือเกิน

ดิฉันเกลียดระบบ SOTUS เข้าไส้  ไม่เคยใช้ระบบนี้ในที่ทำงาน และในความก้าวหน้าของตัวเอง   แม้ว่าจะมีความรู้สึกรักเพื่อนๆที่เคยเรียนมาด้วยกัน ก็เพราะเราเคยเล่นกันคุยกันทำรายงานด้วยกัน  รักหรือไม่รักอาจารย์คนเดียวกัน
ทั้งหมดนี้ไม่มี SOTUS ปลูกฝังก็รักได้
แม้แต่การกลับไปทำงานกิจกรรมให้สถาบันเรียน ก็เป็นความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชา   อยากตอบแทนเท่าที่ทำได้
ดีใจอยู่อย่างว่าเมื่อมาถึงวันนี้ บอกได้ว่าดิฉันเป็นได้อย่างทุกวันนี้ไม่เคยนำระบบ SOTUS  มาใช้ในชีวิตเลยค่ะ
บันทึกการเข้า
ทองรัก
พาลี
****
ตอบ: 390

นักวิจัย


ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 01 ก.ค. 02, 13:20

 สมัยที่เรียนอยู่นั่น ในมหาวิทยาลัยที่เรียนยังมีระบบ SOTUS เหมือนกันค่ะ แต่ไม่ถึงกับเข้มงวดรุนแรงอะไรนักหนา แค่พอให้นึกรำคาญบ้างในบางครั้งเท่านั้นเอง แต่ทองรักค่อนข้างเห็นด้วยกับคุณเทาชมพูนะคะว่า ปัจจุบันนี้ความล้าหลังของงานนี่ถูกถ่วงด้วยความรักพวกพ้องมากเหลือเกิน ถ้าคุณบังเอิญหลงเข้าไปทำงานในองค์กรที่กว่า 90% ของคนในนั้นมาจากสถาบันเดียวกันล่ะก็ คุณต้องฝ่าฝันมากเหลือเกินกว่าจะได้รับการยอมรับจากคนอื่น
บันทึกการเข้า
วรณัย
อสุรผัด
*
ตอบ: 84


คนธรรมดาที่แสนธรรมดา


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 02 ก.ค. 02, 10:56

 เห็นด้วยกับอาจารย์ใจครับ
โลกมันเปลี่ยน  แต่นิสิตนักศึกษายังไม่ยอมเปลี่ยน
ทั้ง ๆ ที่เขาเหล่านั้นก็มีความสามารถที่จะเรียนรู้ ศึกษา ทำความเข้าใจ
รากเง้าในประวัติศาสตร์ของ Sotus
และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของประเทศไทย

นิสิตนักศึกษา กลับไม่สนใจ ยังคงใช้ " วิธีการ" ที่"เชื่อ" ว่าจะทำให้เกิดผลในการ ผนึกและรื้อฟื้น รวมทั้ง บูรณาการกลุ่มก้อนเป็นพวกเดียวกัน

แต่" วิธีการ " มันล้าสมัย และ ดูจะเป็นการล้าสมัยที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ
 
วิธีการอื่น ๆ ที่สามารถทำให้เกิด " ผลลัพธ์" แบบเช่นเดียวกัน ก็ทำได้ มี"รูปแบบ"" วิธีการ" ที่เป็นทางเลือกอีกมากมาย ที่ถูกนำเสนอมาประมาณ 5 - 7 ปีที่แล้ว  

การเปิดห้องซ้อมเชียร์ และการว๊ากน้อง เริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด
แต่ " วิธีการ" ยังคงเหมือนเดิม

นิสิตนักศึกษายังคง " ท่องจำ" สิ่งที่เคยปฏิบัติมา ไม่ว่าในกรณีไหน
ในขณะที่นิสิตนักศึกษา ในมหาวิทยาลัยของเอกชน หลาย ๆ แห่ง กำลังมีศักยภาพและคุณภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ และมากกว่านิสิตนักศึกษาในระบบของรัฐ

ในฐานะนิสิตเก่าจุฬาฯคนหนึ่ง ก็ยังคงต้องหันกลับมามองภาพของน้อง ๆ รุ่นต่อไปด้วยใจระทึกว่า

เมื่อวันหนึ่งนโยบาย Learning By Doing และ การออกนอกระบบราชการและการแปรรูปราชการของรัฐบาล ประสบผล( ขึ้นมา)

นิสิต ( ที่ยังคงหลงไหลระบบSotus เพราะกลัวน้องไม่เคารพ และไม่"รัก")จะพร้อมหรือยังที่จะเผชิญโลกกว้าง " แห่งความเป็นจริง" ที่มหาวิทยาลัย( รัฐและเอกชน)อื่น ๆ  นำหน้าไปแล้ว หลายต่อหลายก้าว
บันทึกการเข้า

นักวิชาเกินในบอร์ดวิชาการ
ภูวง
อสุรผัด
*
ตอบ: 39

ค้าขาย


ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 02 ก.ค. 02, 11:19

 ผมเรียนในคณะที่ระบบSOTUSเข้มข้นเชียวครับ  ดีที่เป็นนักกีฬาก็เลยมักจะอ้างเรื่องซ้อมบอลมากกว่าเข้าห้องเชียร์
พอเป็นรุ่นพี่ไม่เคยคิดนำส่วนไม่ดีของระบบนี้มาใช้กับน้องๆเลย มันไร้สาระเหลือเกิน
พอหลัง๑๔ตุลาค่อย ผ่อนคลายไปมากแต่ก็ไปตกขอบแบบอื่น สรุปว่าความพอดีใดๆไม่ค่อยมีหรอกครับในสังคม
ระบบพักพวกนี่ ไม่ดีเอามากๆ ยิ่งถ้ามาใช้ในวงทำงานด้วยกัน
ที่ทำงานผมเมื่อก่อนอาการหนักจริง ๆเดี๋ยวนี้ดีขึ้น แต่กลายเป็นแบ่งสาขาอาชีพอีก
สรุปว่าระบบนี้ขอเอาไว้ใช้ เพื่อความสนิทสนมส่วนตัวกันดีกว่า แต่ไม่ควรมาใช้ในวงงานเป็นอันขาด
บันทึกการเข้า
Little Sun
พาลี
****
ตอบ: 212

กำลังตามหาความฝัน


ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 02 ก.ค. 02, 17:15

 ไม่ชอบเข้าห้องเชียร์เอาซะเลย  ขาดบ่อยจนร้องเพลงอะไรไม่ค่อยได้ ต้องทำปากขยุบขยิบเสมือนว่าร้องเพลงได้  จนประธานว๊ากจับได้แต่ดีที่ไม่ลงโทษแแค่ว่าให้เจ็บใจเฉยๆ    
บันทึกการเข้า
ภูวง
อสุรผัด
*
ตอบ: 39

ค้าขาย


ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 03 ก.ค. 02, 06:48

 เราคุยกันต่อเรื่องของ โซตัส ในหมู่ชาวสีชมพูด้วยกันครับ
คุณสร้อยสนมีความทรงจำที่ค่อนข้างดี(เน้นครับดี)กับระบบนี้ เรื่องนี้คงต้องสรุปว่าอยู่ที่ผู้ปฏิบัติ
แต่ที่จำได้อีกอย่างคือ รุ่นพี่ผู้ชายสมัยผม(ไม่ทราบคณะอื่นด้วยมั้ย) เน้นเรื่องการให้เกียรติ สุภาพสตรีมากๆเลยครับ พวกผู้ชายเราจะว้ากกันบ้าบออย่างไร แต่กับน้องผู้หญิง(โดยเฉพาะคณะผม) จะยกพวกเธอไว้สุดๆเลย
คุณภาธร กับคุณสร้อยสน เข้ามาในช่วงหลัง ๑๔ตุลา และคณะของสองคนนี่ได้ชื่อว่า ระบบโซตัสค่อนข้างเหนียวแน่น
คนใดคนหนึ่งว่างจะให้เข้ามาคุยครับ มีมุมมองที่ดีๆไม่น้อย
บันทึกการเข้า
ภังคี
มัจฉานุ
**
ตอบ: 73

รับจ้าง


ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 03 ก.ค. 02, 07:03

 ผมไม่ชอบระบบนี้ มันบ้าบอสิ้นดี ไม่นึกว่าเด็กรุ่นใหม่ที่มีพัฒนาการในด้านอื่นแล้ว จะยังงมงายกับระบบนี้  เห็นวิธีการแล้ว ผมว่ารุ่นพี่สมัยก่อนยังทำอะไรน่ารักกว่าสมัยนี้อีก

ตอนนั้นพวกที่สนิทสนมกันคือพวกเตะบอลหน้าหอประชุมตอนเย็นครับ เรามากันจากหลากคณะ มีน้องจากช่างกลมาแจมด้วย สนุกกันมาก เสร็จแล้วไปสามย่าน โจ้ข้าวต้มกันต่อ ไม่มีระบบโซตัสมาวุ่นวายแต่เราสนิทกันดี เอิ้อเฟื้อกันตามสมควรเสมอ
บันทึกการเข้า
พุพู
อสุรผัด
*
ตอบ: 18

บริษัทเอกชน


ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 03 ก.ค. 02, 08:53

 มาจากระบบ SOTUS เหมือนกันค่ะ แต่คงเป็นคณะที่ SOTUS 1ไม่เข้มข้นเท่าไหร่ ออกไปทางขำ ๆ ตลก ๆ เสียมากกว่า ชอบแบบนี้มากกว่าค่ะ ไม่ต้องจริงจัง นั่งตัวตรงเป๊ะ ขาดเชียร์ไม่ได้เหมือนบางคณะ แต่สุดท้ายก็รักกันดี
บันทึกการเข้า
นิลกังขา
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1012

ทำงานราชการ


ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 05 ก.ค. 02, 00:15

 ผมมาจากมหาวิทยาลัยที่อาจารย์ใจสอนอยู่ แถมคณะที่ผมจบมายังเป็นคณะหนึ่งที่สมัยก่อนผมเข้า เน้นระบบโซตัสรุนแรงมากเสียด้วย ขนาดรุ่นโบราณเคยยกพวกตีกับอีกคณะหนึ่งที่เน้นโซตัสเหมือนกันมาแล้ว

ผมจบออกมาก็ยังได้ข่าวในวงงานใกล้ตัวผม แต่โชคดีที่ไม่ใช่วงงานของผม รุ่นพี่เก่าๆ ยังยึดกับเรื่องนี้เหนียวแน่นขนาดหนังสือพิมพ์ก็รู้ เวลาเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจในกระทรวงมหาดไทยทีไร นสพ. สมัยนั้นก็จะคอยดูว่าสิงโตสีไหนขึ้นสีไหนตก ที่ทำงานผมโชคดีที่คละกันหมด ไม่ได้แบ่งขั้วชัดอย่างนั้น พวกเราจบมาจากร้อยพ่อพันแม่ ไม่ใช่โรงเรียนเมืองไทยก็มี คละเคล้าปนกันหมด แล้วก็ทำงานด้วยกันได้ดี

สมัยที่ผมเข้ามาเรียน ช่วงหลัง 14 ตุลาฯ หลายปี ผมว่าระบบโซตัสเบาไปแยะแล้ว สมัยนั้น ยังมีการประชุมเชียร์เหมือนกัน แต่ก้ไม่ได้ซีเรียส เวลาทำกิจกรรมผมก็ไปทำกับชมรมบนศาลาพระเกี้ยว ซึ่งมีเพื่อนมาจากหลายคณะ แล้วยังข้ามไปจีบสาว เอ๊ย.. ทำกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์กับมหาวิทยาลัยอื่นอีก ทั้งกับมหาวิทยาลัยพี่น้องคู่รักคู่แค้นและมหาวิทยาลัยอื่น ต่างจังหวัดก็ยังมีเลย สนุกดีออก  

ผมเพิ่งทราบจากอาจารย์ใจนี่แหละครับว่าโซตัสดูเหมือนจะกลับมาที่จุฬาฯ อีกในสมัยนี้ ถ้าจริงก็ไม่ใช่พัฒนาการที่ดีเลย ว่าเฉพะในวงงานที่เกี่ยวกับคณะของผม สิงโตสีอะไรนี่เขาไม่ค่อยถือกันแล้วครับ ใครยังมัวถืออยู่ก็เชยเต็มที น่าจะเปลี่ยนสัญชาติจากสิงโตเป็นไดโนเสาร์ได้แล้ว จะดำหรือจะแดงก็ตาม สมัยนี้สิงโตมีสารพัดสี ตั้งแต่สีทอง สีเขียว สีขาว ฯลฯ คนจบสังคมศาสตร์อื่นหรือศาสตร์สาขาอื่นๆ ที่ไม่ใช่สิงโตก็มีความสำคัญเช่นกัน แม้แต่คนที่ไม่จบมหาวิทยาลัยอะไรเลยก็มีความสำคัญและถ้าเราเปิดตาดู เราอาจจะเรียนรู้อะไรจากเขาได้เช่นกัน คนเก่งจริงต้องทำงานร่วมกันและคบกับใครๆ ได้ทั่วถึงจะเก่งจริง ไม่ใช่กอดกันรักกันอยู่ในพวกเดียวกันเท่านั้น
ที่ว่ามาทั้งหมดก็ไม่ได้แปลวาผมไม่รักถ้ำสิงโตของผม ผมก็รัก แต่ผมไม่เห็นความจำเป็นว่าถ้าผมรักโรงเรียนผมแล้วทำไมต้องเกลียดโรงเรียนอื่นด้วย ประการหนึ่ง ประการสอง ไม่ได้แปลว่าผมไม่เคารพอาวุโสของรุ่นพี่และปรานีต่อรุ่นน้อง ผมก็ยังรักน้องรักพี่อยู่ แต่เช่นกันไม่ได้แปลว่ารักกันเองแล้วต้องไปเกลียดคนอื่นเขา เพราะในที่สุดยังมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปกว่าคณะของผม ครอบคณะผมโรงเรียนผมอยู่ สิ่งเหล่านั้นจะถือว่าเป็นประเทศชาติก็ได้ มนุษยชาติก็ได้ หลักการและความถูกต้องก็ได้ มีอีกหลายอย่างครับที่จริงๆ ใหญ่กว่าโรงเรียนผมและควรได้รับความเคารพสูงกว่าโรงเรียนผมด้วย ถ้าหนึ่งในสิ่งเหล่านั้นเป็นประชาธิปไตยที่เรารู้สึกกันว่ามีค่า พวกเราเองน่ะแหละเล่าเรียนเกี่ยวกับสิ่งนี้มาในโรงเรียนของเรา แล้วเราจะเอาแง่มุมเผด็จการบางแง่ของระบบโซตัสที่ตรงกันข้ามเป็นขาวกับดำกับประชาธิปไตยมาปฏิบัติได้ลงคอเสียเองหรือ ปฏิบัติระบบโซตัสเสร็จแล้วก็เดินเข้าห้องเรียนวิชาทฤษฏีการเมืองพื้นฐานว่าด้วยประชาธิปไตย ไม่รู้สึกตลกบ้างหรือ?
บันทึกการเข้า
ภาธร
อสุรผัด
*
ตอบ: 24

รับจ้าง


ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 08 ก.ค. 02, 06:52

 เข้ามาช้าเชียวแต่ก็อยากคุยนิดหน่อยเหมือนกัน
ผมอยู่คณะใหญ่ มีน้องใหม่ราวเจ็ดร้อยคน เพราะสมัยนั้นพวกเรียนเตรียมแพทย์ เภสัช ต้องมาเรียนที่คณะผมก่อน
พี่ๆสมัยนั้นจะเน้นเรื่อง
ความสามัคคี ไม่ว่าจะสาขาไหน รู้จักสนิทกันหมด
 ความมีระเบียบ น้องใหม่ทุกคนขอให้แต่งตัวเรียบร้อย  ผู้ชายนุ่งกางเกงผ้าสีกรมท่า ผูกเนคไทเหมือนกันหมด  เวลาไปเชียร์รวมต้องเดินตามกันเป็นคู่ๆ ผู้หญิงคู่ผู้หญิง ผู้ชายคู่ผู้ชายต่อท้าย
เน้นความเรียบง่ายสมถะ วันบอลประเพณีไม่มีการออกไปตะลอนรถตามที่ต่างเหมือนสมัยก่อน มีแต่ทำความสะอาดถนนหนทาง  ปลูกต้นไม้
นอกจากเวลาในห้องเชียร์แล้ว พี่ทุกคนจะเป็นกันเอง ไม่มีการสั่งให้น้องๆทำอะไรที่พิศดาร  ให้คำแนะนำและช่วยเหลือน้องๆเป็นอย่างดีทุกคน
ที่น่าประทับใจคือเวลาขึ้นสแตนเชียร์ต้องตากแดดกันหน้าดำ พวกพี่ที่เป็นสตาร์ฟ ก็จะยืนตากแดดกันหัวแดงเป็นเพื่อนน้องๆไม่มีใครกินแรง แอบหลบเข้าร่มเลยครับแม้แต่พี่ผู้หญิง
พอหลัง ๖ตุลา กระแสขวาจัดค่อนข้างแรง แต่บรรยากาศในคณะก็ยังคล้ายๆเดิม ไม่มีการว้าก(เว้นเฉพาะในห้องเชียร์) การดูแลน้องๆก็ยังดีเหมือนเดิมแต่น่าเสียดายที่แต่ละคณะเขาแยกน้องใหม่ออกเด็ดขาดจากกัน บรรยากาศอันอบอุ่นระหว่างเพื่อนต่างคณะก็เลยขาดหายไป
ไม่ทราบว่าเด็กรุ่นใหม่เขาไปได้วัฒนธรรมเต่าล้านปีจากไหนมาปฏิบัติกันใหม่นะครับ นำมาใช้โดยไม่ทราบถึงคุณค่าในด้านดีของระบบนี้เสียด้วย น่าเสียดายมาก
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 07 ส.ค. 02, 21:55

 From Matichon Krab...
 http://www.matichon.co.th/magazine/weekly/wk_story.asp?selectdate=2002/08/02&stid=3301
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 08 ส.ค. 02, 11:04

 ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ถือว่าเป็นกิจกรรมเชียร์ที่ทุเรศที่สุด  ควรจะมีผู้รับผิดชอบ  ยกเลิกไปโดยเร็วค่ะ
บันทึกการเข้า
ทองรัก
พาลี
****
ตอบ: 390

นักวิจัย


ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 08 ส.ค. 02, 15:37

 เข้าไปอ่านดูแล้วค่ะ รู้สึกแย่จังเลยนะคะ
ไม่รู้ว่าคิดกิจกรรมประเภทนี้มากันได้อย่างไร
อาจารย์ฝ่ายกิจการนักศึกษาสมควรจะเข้ามาสอดส่องดูแลกันบ้างนะคะ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 4
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.084 วินาที กับ 19 คำสั่ง