naitang
|
ความคิดเห็นที่ 270 เมื่อ 14 พ.ย. 15, 20:03
|
|
ต่อครับ
ตกใกล้สว่าง ความตึงเครียดก็หมดไป สุนัขนอนนิ่ง วัวหยุดกระสับกระส่าย ก็น่าจะเป็นสัญญาณบอกได้ว่าเสือลำบากจากไปแล้ว แต่เราก็ยังคงเกรงอยู่ รอจนฟ้าสว่างแจ้ง พอมองเห็นได้ในระยะไกลแล้ว เราจึงเริ่มกิจกรรมประจำวัน คือเริ่มกระวนการหุงหาอาหาร เดินข้ามแคมป์ไปพูดคุยสอบถามกัน ด้วยความไม่ค่อยจะมั่นใจของทั้งเราและชาวบ้าน ก็เลยตกลงจะเดินเข้าป่าด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ แล้วจึงค่อยแยกย้ายกันไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 271 เมื่อ 14 พ.ย. 15, 20:23
|
|
นึกภาพออกถึงอารมณ์เครียด ถ่างตาอยู่ทั้งคืน เฝ้าระวังว่าเสือจะเยี่ยมกรายเข้ามาในนาทีไหน แถมยังรู้ด้วยว่า ถ้าเสือมาจริงๆ อาวุธที่มี ก็อาจจะไม่พอจัดการกับเสือ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 272 เมื่อ 15 พ.ย. 15, 18:53
|
|
ใช่เลยครับ
หลักการป้องกันอันตรายเมื่อตั้งแคมป์ในป่าใหญ่ คือ หลักแรก ไม่ตั้งทับบนทางเดินของสัตว์ (ด่านสัตว์) เหตุผลสำคัญก็คือ ด่านสัตว์มักมีบริเวณที่ราบและกว้างพอจะตั้งเต็นท์หรือแคมป์ได้ และซึ่งก็มักจะเป็นด่านของสัตว์ใหญ่ ซึ่งก็มักจะเป็นด่านช้างเสียอีกด้วย ช้างนั้นเป็นทั้งนักสร้างและนักทำลาย สัตว์ป่าทั้งหลายใช้ infrastructures ที่ช้างได้สร้างขึ้นมาทั้งนั้น เราเองก็เช่นกัน พื้นที่ๆน่าจะตั้งเต็นท์หรือแคมป์เหล่านั้น (ที่ราบ มีน้ำไหล โปร่ง สวยงาม) แท้จริงแล้วจะมีด่านช้างอยู่ใกล้ๆเสมอ เพราะเป็นพื้นที่ๆช้างใช้เดินข้ามห้วย แวะชำระร่างกายในแอ่งน้ำ แล้วขึ้นจากน้ำมาประฝุ่นทรายก่อนที่จะเดินทางต่อไป ช้างก็รักสวยรักงามเหมือนกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 273 เมื่อ 15 พ.ย. 15, 19:14
|
|
หลักที่สอง คือ หาขอนไม้แห้งขนาดประมาณหมอนข้าง ยาวประมาณหนึ่งวา 1-2 ท่อน ลากเอามาแล้วสุมไฟให้ติดไฟแบบกรุ่นๆ มิใช่ให้โชติช่วงแบบแคมป์ไฟของลูกเสือ แล้วก็ไปหาเศษกิ่งไม้ขนาดประมาณท่อนแขนของเรา เอามาตัดเป็นท่อนๆยาวประมาณไม้บรรทัด รวมทั้งกิ่งไม้แห้งประมาณขนาดนิ้วมือ และใบไม้แห้งพอประมาณ
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อหลายเพื่อเลยทีเดียว เพื่อใช้ทำอาหารนั้นแน่นอน เพื่อให้ความอบอุ่นก็ใช่ เพื่อไล่ยุงและแมลงก็ใช่ (โดยใช้ใบกึ่งสด ก็จะได้ควัน) เพื่อให้แสงสว่างหรือใช้เป็น flare ไล่สัตว์ช่วงกลางคืนที่มืดสนิท เป็นเชื้อไฟสำหรับการใช้ไฟที่รวดเร็วในครั้งต่อๆไป ........ คงนึกออกนะครับว่าทำอะไรได้อีกสารพัด
ที่อาจจะนึกกันไม่ออก ก็คือ ไม้ท่อนขนาดประมาณศอกของเรานั้น จะต้องไปหามาและเสียเวลาตัดให้มันสั้นขนากประมาณศอกของเราเอาไว้ทำไม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 274 เมื่อ 15 พ.ย. 15, 19:34
|
|
ก็เอาไว้จุดไฟคล้ายคบเพลิง แล้วเขวี้ยงไล่สัตว์ป่าที่มารบกวน (จะเข้ามาลุยแคมป์) ให้ถอยออกไป
วิธีนี้ก็เป็นหนึ่งในการเตรียมการรับเสือลำบากที่ได้เล่ามา แต่จะไล่เสือได้สำเร็จหรือไม่นั้นไม่รู้ครับ ก็เป็นวิธีการที่เอามาจากประสบการณ์ไล่ช้างหลายตัวที่พยายามจะเข้ามาลุยแคมป์ ก็เกือบทั้งคืนเช่นกัน ตั้งแต่ประมาณสองทุ่มไปจนประมาณตีสามเห็นจะได้ ในป่าห้วยแม่สิน เขตต่อสามอำเภอระหว่าง อ.เด่นชัย จ.แพร่ อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย และ อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ เรียกว่าผืนป่าแม่คะมึงครับ
อาวุธสำคัญก็มีเพียงไม้ท่อนที่จุดในลักษณะคบเพลิง กับไฟฉายคนละกระบอก สู้รบปรบมือกันได้สองสามคืน ก็ต้องยอมแพ้ครับ อดหลับอดนอนมากเกินไปที่จะมีแรงเดินทำงานในช่วงกลางวัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 275 เมื่อ 17 พ.ย. 15, 19:01
|
|
เมื่อวานนี้ไปหาหมอครับ กลับมาค่ำแล้วก็เลยไม่ได้เขียนอะไร ถือโอกาสพักไปด้วยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 276 เมื่อ 17 พ.ย. 15, 19:38
|
|
หลักที่สาม คือ ตามไฟไว้ตลอดทั้งคืนด้วยตะเกียงรั้ว แต่มิใช่เอาตะเกียงแขวนไว้ที่หัวเสาเต็นท์นอนนะครับ อันตรายครับ ให้แขวนไว้ในด้านที่ค่อนข้างเปิด ห่างจากด้านปลายเท้าตัวเราประมาณ 4-5 เมตร ไม่จำเป็นต้องตั้งไฟให้สว่างโร่ ให้สว่างพอมองเห็นได้รอบๆก็พอ
ตามไฟแบบนี้ อะไรเข้ามาก็เห็น แถมเมื่อมีกองไฟที่ติดไฟกรุ่นอยู่ตลอดเวลา สัตว์ใดๆก็ไม่อยากเข้ามาหรอกครับ มันเป็นธรรมชาติพื้นฐานของสรรพสัตว์ทั้งหลายที่จะพยายามอยู่ห่างจากไฟ (และควันไฟ) ก็ไฟป่านั้นไม่เข้าใครออกใครเลยทีเดียวใช่ใหมครับ
สัตว์ที่ผมเห็นรีบโฉบเข้ามาในเขตไฟป่า ก็เห็นจะมีแต่นกเท่านั้น บินโฉบเฉี่ยวจับแมลงที่บินหนีไฟกันว่อนเลย นกมันเก่งนะครับ มันแยกออกระหว่างแมลงกับเถ้าถ่านที่ปลิวว่อน
สัตว์ที่น่าสงสารซึ่งหนีไฟได้ช้าที่สุด ก็เห็นจะเป็นเต่า ผมเคยช่วยมันอยู่สองสามตัวเหมือนกัน คลานอยู่ในขี้เถาจากไบไม้ ต้วมเตี้ยมๆ ก็เอาเขาไปปล่อยริมห้วยจุดที่มีน้ำ เห็นท่าทางความดีใจของมันแล้วก็ชื่นใจ เอาห้วจุ่มน้ำ แล้วก็ชูคอสูงขึ้นมา แบบมีความสุขว่ารอดตาย ที่จริงแล้วมันคงจะหนีไฟป่าได้ทันทุกตัว เพราะไม่เคยเห็นซากของมันในลักษณะที่ถูกไฟเผาเลย เต่าที่ว่านี้มีอยู่สองพันธ์ุ คือเต่าหก กับอีกพันธุ์หนึ่ง นึกชื่อไม่ออกครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 277 เมื่อ 17 พ.ย. 15, 20:08
|
|
ขอต่อเรื่องเสือลำบากตัวนี้ให้จบเรื่องเสียก่อน แล้วจะขอย้อนกลับไปเรื่องของไก่ให้จบเรื่อง แล้วคงย้อนกลับมากับเรื่องของเสืออีกครั้งนะครับ
เรื่องของเสือลำบากนี้ เป็นข่าวที่กระจายอย่างรวดเร็วและไกล ก็มีทั้งคนที่กลัวซึ่งก็จะยังไม่เข้าไปหาของป่า ต้องรอจนกว่าจะรู้ว่าเสือได้ตายไปแล้วแน่ๆ แล้วก็มีคนที่กล้า ขมีขมันที่จะเข้าป่าตามไปหามัน แต่ก็กล้าแบบต้องเข้าไปเป็นกลุ่มสามสี่คน มิใช่เรื่องอะไรหรอก ไปเอาซากมาขาย ก็มันขายได้ทั้งตัวเลยนี่ ราคาออกสูงลิ่ว ส่วนเนื้อและตับไตใส้พุงทั้งหลายนั้นก็ทิ้งไป เนื้อเสีอเป็นหนึ่งในมังสา 10 อย่างที่มีพุทธบัญญัติห้ามบริโภคไว้
ที่ชาวบ้านเขาตามเข้าไปนั้น มิใช่ไปยิงซ้ำนะครับ เพียงแกะรอยตามไปหาจุดที่มันตาย เขาว่าเสือที่มีแผลบาดเจ็บมันหรือเสือลำบากนั้นจะตายเองในระยะเวลาประมาณ 7 วัน เพราะว่าเสือนั้นเป็นสัตว์ที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร เรียกว่าใหญ่สุด มีอำนาจและความดุร้ายมากสุด แล้วก็ขี้รำคาญที่สุดเหมือนกัน เมื่อมีแผลระดับแผลฉกรรจ์ เลือดออกแห้งเกรอะกรังเลอะเทอะ แมลงต่างๆก็มาตอมแผล เกิดความรำคาญก็งับแมลงบ้าง เกาที่แผลบ้าง แผลก็เลยเหวอะหวะมากขี้น จากนั้นก็ติดเชื้อ เน่าและถึงตายในที่สุด ผมไม่เคยเห็นกับตานะครับ แต่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น อีกสองสามวันต่อมา ชาวบ้านก็นมาบอกว่าเสือลำบากตัวนั้นมันตายแล้ว มีคนไปพบซากมันแล้ว ทุกคนก็เลยเดินป่าด้วยสบายใจ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Jalito
|
ความคิดเห็นที่ 278 เมื่อ 17 พ.ย. 15, 20:25
|
|
เฮ้อออ....โล่งอกไปด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 279 เมื่อ 18 พ.ย. 15, 17:44
|
|
ครับ ก็โล่งอกไปเรื่องหนึ่ง แต่ก็ยังอยู่ในพื้นที่เสือชุกชุมครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 280 เมื่อ 18 พ.ย. 15, 18:14
|
|
กลับมาต่อเรื่องไก่ป่านะครับ
โดยทั่วๆไปไก่ป่าที่เราพบมักจะเป็นตัวผู้ แต่ผมได้มีโอกาสอยู่กับฝูงตัวเมีย 4 ตัวที่มีลูกเจี๊ยบประมาณ 5-6 ตัว คงพอจัดได้ว่าเป็นฝูงใหญ่ (ฝูงตัวเมียเท่าที่ผมเคยเห็นมา ตามปรกติจะมีเพียงสองสามตัวเท่านั้น)
วันนั้นคงจะเป็นเพราะต่างคนต่างไม่เห็น และต่างก็ไม่ระแวงภัย ก็เลยจะเอ๋กัน เราเห็นมีลูกเจี๊ยบก็สนใจที่จะเข้าไปจับดูเล่น ตัวลายๆน่ารักมากๆ ก็เดินเข้าไปประชิดกลุ่มไก่ แม่ไก่ก็ไม่เอะอะตกใจ แต่พอเราเริ่มย่อตัวลง แม่ไก่ทั้งหลายก็รีบเดินหนีไปแบบกึ่งวิ่ง ทิ้งลูกเจี๊ยบไว้ให้ดูต่างหน้า
พอแม่ไก่จากไป ลูกเจี๊ยบทุกตัวก็ทำการหมกซ่อนตัวอยู่ใต้ใบไม้แห้ง ก็เห็นๆอยู่นะครับว่าตำแหน่งของลูกเจี๊ยบแต่ละตัวอยู่ที่จุดใหน แต่เอามือคลำหาเพียงใดก็ไม่พบ ในที่สุดก็ลุกขึ้นยืนแล้วใช้เท้ากวาดเขี่ยไปมา ก็ยังไม่เห็น ไม่มีเสียงร้องจากมันเลย จนถูกเหยียบตายไปตัวหนึ่ง ก็เลยเลิก
เล่ามาเพื่อให้เห็นภาพการพรางตัวด้วยสีขนของมัน วิธีการหลบภัยด้วยการทำตัวเป็นหนึ่งเดียวกับใบไม้ การพลิกไปพลิกมาตามใบไม้ และการไม่ส่งเสียงร้องใดๆ ต่างกับกรณีไก่เลี้ยง เมื่อจะไปจับลูกเจี๊ยบของมัน แม่ไก่มันมักจะกางปีกไล่ ปกป้องลูกของมัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 281 เมื่อ 18 พ.ย. 15, 18:55
|
|
เขียนถึงลูกเจี๊ยบ ก็ต้องพูดถึงไข่ของมันด้วย แม่ไก่ป่าจะเลือกสถานที่วางไข่ตรงจุดที่มีลักษณะเป็นแอ่ง ซึ่งมีทั้งที่เกิดจากกิ่งไม้ตวัดพันกันไปมา และตามขอนไม้ที่ผุ เห็นไข่แล้วก็อย่าไปจับไข่ของมัน ว่ากันว่ามันจะไม่กลับมากกไข่อีกเลย ดังนั้น หากพลั้งเผลอไปหยิบขึ้นมา ก็ให้เก็บเอามาทั้งหมดเอามาทำอาหารเสียเลยจะดีกว่า
ผมเคยเห็นทั้งที่มีแต่รังไข่ ไม่มีตัวแม่ไก่ และทั้งที่มีแม่ไก่กำลังกกอยู่ แล้วทำให้มันตกใจบินหนีก็มี ก็ไม่รู้ว่าที่มันทิ้งกองไข่ไว้นั้น หรือที่บินหนีไปนั้น มันจะกลับมากกต่อหรือไม่ แต่เมื่อใดที่มีไฟป่ากำลังลามแล้วไปพบไข่มันเข้า ก็จะเก็บเอามากินอย่างเดียวเลยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 282 เมื่อ 18 พ.ย. 15, 19:15
|
|
จากเรื่องไก่ป่าก็ไปเรื่องไก่ฟ้า
ไก่ฟ้าหากินอยู่ในบริเวณที่มีพื้นดินค่อนข้างชื้นและบริเวณรอยต่อกับพื้นดินแห้งที่ไก่ป่าหากิน ไก่ฟ้าคุ้ยเขี่ยหาแมลงกินเป็นหลัก ต่างจากไก่ป่าที่คุ้ยหาเมล็ดพืชกินเป็นหลัก
ไก่ฟ้าในห้วยขาแข้งพบได้ไม่บ่อยครั้งเท่ากับไก่ป่า ไม่เชื่องเท่ากับไก่ป่า แต่ก็ไม่หนีเมื่อเห็นคน และไม่สามารถเข้าใกล้ได้ นึกออกแต่ว่าเคยพบรังไข่ไก่ฟ้าอยู่ครั้งเดียว แต่จำเรื่องราวรายละเอียดไม่ได้แล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 283 เมื่อ 18 พ.ย. 15, 19:40
|
|
ไก่ฟ้าเป็นสัตว์ที่ไม่มีคนยิงเอามาทำอาหาร มีแต่ใช้วิธีการดักจับด้วยแล้วที่ทำขึ้นมาอย่างง่ายๆจากกิ่งไม้และบ่วงเชือก หรือใช้การขโมยไข่ของมันมาฟักเอง
ที่จริงแล้ว ผมไม่เคยเห็นชาวบ้านพยายามหาไก่ฟ้ามาทำอาหารเลย หากมันจะสูญพันธุ์จริงๆก็น่าจะเป็นเพราะคนกรุงเสียมากกว่า คือ ล่าดะด้วยความคะนองมือเท่านั้น
ชาวบ้านป่าและพรานไพรมีความเชื่อกันว่า หากเอาเนื้อนก (สัตว์ปีก) ขนาดใหญ่มากินกัน ก็จะแตกแยกกันในที่สุด มีแต่เรื่องอัปมงคลเกิดขึ้นในชีวิต ซึ่งก็พอจะมีเหตุผลอยู่ว่า บรรดานกขนาดใหญ่นั้น มักจะเป็นพวก monogamy (ผัวเดียวเมียเดียวทั้งชีวิต) แล้วก็เชื่อกันว่าพวกนกกินเนื้อ/แมลง จะมีเนื้อสีแดง มีกลิ่นสาบ ไม่น่ากินเลย ซึ่งก็พอมีเหตุผลอยู่บ้างที่ทำให้ไก่ฟ้าไม่ถูกล่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 284 เมื่อ 18 พ.ย. 15, 20:42
|
|
กูเกิ้ลโชว์ไก่ฟ้าไว้หลายสายพันธุ์ ดิฉันเลือกมาตัวหนึ่ง สวยกว่าเพื่อน ไม่ทราบว่าเป็นไก่ฟ้าอย่างที่คุณตั้งเจอหรือเปล่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|