เหตุผลแรกที่ผมดูหนัง Green Book (2018) เพราะมันเป็นหนังย้อนยุคของโปรด แต่พอดูไปเรื่อย ๆ ก็พบว่า โปรดไปเสียทุกอย่าง
หนังเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของคน 2 คนแนวเดียวกับ Driving Miss Daisy ต่างกันตรงที่เจ้านายเป็นนิโกร (African American) ส่วนลูกน้องเป็นชายอเมริกันเชื้อสายอิตาเลียน และมีพื้นมาจากเรื่องจริง
เหตุการณ์ในหนังเกิดขึ้นที่ New York ในปี 1962 NY ซึ่งอยู่ตอนเหนือของอเมริกาเป็นส่วนที่ไม่อนาทรร้อนใจในเรื่องกีดกันสีผิว (สักเท่าไร)
เจ้านายนิโกรเป็นด็อกเตอร์และนักเปียโนคลาสสิกที่มีชื่อเสียงมากได้ตัดสินใจรับงานการแสดงนาน 8 สัปดาห์ยังภาคกลางของประเทศและเลยต่อไปยังภาคใต้อันเข้มข้นไปด้วยการกีดกันสีผิว เธอต้องการคนขับรถและการ์ดประจำตัว ซึ่งก็คือที่มาของตัวละครเอกตัวที่สอง
เป็นสูตรสำเร็จรูป (ทั้งในหนังและความจริง) ที่คนแปลกหน้า 2 คนร่วมเดินทางไกลกันตามลำพังจะต้องเริ่มต้นด้วยการขบกัดกันด้วยเรื่องนานาที่ต่างเห็นแล้วขัดตาขัดใจ
โชเฟอร์พบว่าเจ้านายของตนดูสำรวยจนน่าขัน ในขณะที่ ดร. ผิวดำพบว่าโชเฟอร์ของตนโผงผางและไม่สำรวมเอาเสียเลย และอื่น ๆ อีกมาก
แต่เวลาผ่านไป ต่างเริ่มยอมรับและพยายามปรับตัว การเดินทางก็ราบรื่น และมีความตลกผ่อนคลายมากขึ้น เช่นตอน ดร.ผิวดำ สอนโชเฟอร์ให้เขียน จม. สละสลวยถึงเมีย ฯลฯ
พอเริ่มลงใต้ โชเฟอร์ก็พบว่าเจ้านายผิวดำของตนที่ครั้งอยู่ที่ NY มีแต่คนยอมรับ แต่ที่นี่เธอเป็นแค่คนผิวดำที่น่ารังเกียจ จะยอมรับก็ต่อเมื่ออยู่บนเวทีแสดงเท่านั้น ย้ำแค่บนเวที ห้องพักการแสดงเป็นห้องเน่า ๆ ห้องน้ำก็ต้องออกไปใช้นอกอาคาร
หนังใส่มุขต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายในช่วงการเดินทาง เช่น ฉากดอกเตอร์ผิวดำเกิดความเปลี่ยวและไปหาซื้อความผ่อนคลายจากหนุ่มขายตัว แล้วตัวเองก็ถูกจับ โชเฟอร์ต้องไปทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยก่อนที่ชื่อเสียงของ ดร. จะย่อยยับ
หรือฉากหลังจากโดนกีดกันในร้านอาหารหรู ทั้ง 2 คนก็ไปหาร้านอาหารพื้นบ้านของคนผิวดำกิน ที่นั่น ดร. ใช้ความสามารถทางเปียโนโชว์อย่างสนุกสนาน
แต่ละมุขล้วนสนุกและสามารถแก้ไขได้ไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่ง
ตอนท้ายเรื่อง เมื่อจบ concert ก็เดินทางกลับโดยกะให้ถึงบ้านในวัน Christmas Eve ขากลับโชเฟอร์เกิดป่วย เจ้านายเลยต้องทำหน้าที่ขับเอง ฝ่าหิมะจนมาถึงบ้านโดยไปส่งโชเฟอร์ที่บ้านก่อน
เมื่อมาถึงบ้าน ดร. ก็พบกับความอ้างว้างตัวคนเดียว แล้วก็เกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้น เธอจึงขับรถย้อนกลับไปบ้านโชเฟอร์อีกครั้งเพื่อขอร่วมกินเลี้ยงในวันสุขดิบ
ก่อนถึงห้องพักเธอก็ลังเลไม่แน่ใจว่า ความเป็นคนผิวดำของตนจะได้รับการต้อนรับแบบไหนเพราะประสบการณ์ที่ประสบมาแล้วสด ๆ ร้อน ๆ ล้วนไม่น่าประทับใจ แต่แล้วเธอก็ตัดสินใจเคาะประตูห้อง
น่าประหลาดใจว่าหนังดีขนาดได้ Oscar หนังยอดเยี่ยม ส่วนนักแสดงนำทั้ง 2 ก็ได้รับการเสนอชื่อ แถมคนหนึ่งได้หยิบด้วย แต่กลับไม่มีใครเอามาย่อยทำ clip ฉากต่าง ๆ ให้ชมเลยโดยเฉพาะฉากจบที่ประทับใจจนน้ำตาคลอ
ปล. Green Book คือคู่มือที่ทำขึ้นสำหรับคนผิวดำใช้ในการเดินทางไกล เช่น โรงแรมหรือร้านอาหารไหนบริการคนผิวดำด้วย