อีกประการหนึ่ง ก่อนเสียกรุงครั้งที่ 2 พระเจ้าพระสงฆ์ในอยุธยา ประพฤติผิดพระธรรมวินัยร้ายแรงกันมากมาย
หลังกอบกู้บ้านเมืองมาได้ ย่อมหลงเหลือพระทุศีลจำนวนมากให้ทรงพบเห็นและ กริ้วได้ง่าย ๆ จึงไม่สามารถยับยั้งอารมณ์โกรธได้
แม้หลังรัชกาลที่ 1 ปราบดาภิเษกแล้ว ก็ยังต้องมีภาระในการชำระพระธรรมวินัย และ จับพระทุศีลสึก แล้วโบยหลัง สักหน้าผาก เพื่อป้องกันไม่ให้หวนกลับมาบวชอาศัยผ้าเหลืองเลี้ยงชีวิตได้อีก
ดิฉันจึงเห็นด้วยกับอาจารย์เทาชมพูที่เชื่อว่า พระองค์ท่านไม่ได้เป็นจิตเภท ไม่ได้มี Delusion ค่ะ
ผิดถูกประการใด เรียนเชิญผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ วิเคราะห์ให้ด้วยนะคะ
ถ้าจำไม่ผิด การชำระอธิกรณ์ครั้งใหญ่ จะอยู่ในสมัยแผ่นดิน ร.๒ นะครับ
ส่วนกรณีการเมืองสมัยกรุงธนฯ ส่วนตัวคิดว่าแล้วแต่ความเชื่อของแต่ละท่านล่ะครับ สำหรับเรื่องอาการพระประชวรนั้น ส่วนตัวคิดว่าเป็นไปได้น้อยมาก
เพราะถ้าหวาดระแวงสูงมาก บุคคลอย่าง สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และ เจ้าพระยาสุรสีห์ ไม่น่าจะรอดนานแล้วล่ะครับ
ยกตัวอย่าง จักรพรรดิหมิงไท่จู ทรง "เผา" เพื่อนขุนศึกด้วยกันไปเป็นสิบ ๆ คน , บางคดีที่ทรงหวาดระแวง ทรงประหารล้างโคตรเป็นหมื่น ๆ ชีวิต
ไม่นับรวมกรณี ทรงไล่ทำร้ายพระราชโอรสองค์โต ต่อหน้าขุนนางทั้งหลาย นี่ยังไม่รวมเรื่องในอดีต ที่ทรง "เก็บ" ขุนศึกคู่พระบารมี อย่าง เชาหยง ที่มีผลงานดีเด่นในสนามรบอย่างมาก
นักประวัติศาสตร์จีนเชื่อว่า เชาหยง "เป็นแพะ" ครับ และในรัชสมัยนี้เอง ที่ทรงตั้ง หน่วยงานสืบราชการลับ จินอี้เว่ย (Jin Yi Wei : 锦衣卫) เราท่านอาจจะรู้จักกันในนาม องค์รักษ์เสื้อแพร
ซึ่งเป็นหน่วยงาน "ล่าสังหาร" พวกที่อาจจะเป็นภัยต่อราชสำนัก
ต่อมา ก็พัฒนามาเป็น ตงฉ่าง ซีฉ่าง และ เน่ยฉ่าง ในตอนปลายราชวงศ์หมิงครับ
ถ้าเทียบกรณีศึกษากับ จักรพรรดิหมิงไท่จู ( จูหยวนจาง ) ที่ทรงหวาดระแวงสูง อย่างชัดเจน จะพบว่า กรณีสมเด็จพระเจ้ากรุงธนฯ จะถือเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย
เพราะฉะนั้น ส่วนตัวแล้ว ผมยังไม่ค่อยจะเชื่อว่า ทรงประชวรมาก หรือเป็นโรคทางจิตครับ