ผมเห็นว่า ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมของมนุษย์ ซึ่งมีทั้งที่เรื่องที่เป็นการก้าวย่างที่มนุษย์โลกต่างก็เห็นพ้องกันว่าเป็นเรื่องที่ดี มีหลายเรื่องที่คนกลุ่มใหญ่เห็นพ้องกันว่าดีหรือไม่ดี และก็มีหลายเรื่องที่ต่างกลุ่มต่างคนเห็นว่าดีหรือไม่ดีคละกันไป
เรื่องราวทางประวัติศาสตร์นั้นเป็นพลวัติที่เกิดขึ้นได้ทั้งในระดับท้องถิ่นเล็กๆไปจนถึงระดับทวีปและโลก
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกกันนั้น เป็นเหตุการจริงที่เกิดขึ้น แต่ในการบันทึกนั้นมักจะมีการผนวกความเห็นของผู้บันทึกเข้าไปด้วย แล้วก็มีผู้รู้หรือผู้ที่อ่านมาก ได้เห็นข้อมูลจากหลายแหล่งบันทึก เอามาเรียบเรียงผูกกันขึ้นมาเป็นเรื่องราวตามที่ตนเองได้วิเคราะห์และเห็นว่าข้อมูลเหล่านั้นมีความสอดคล้องกันหรือสนับสนุนซึ่งกันและกัน แล้วก็มีคนเอาข้อมูลทั้งหลายเหล่านั้นมารวมกันเขียนเป็นเรื่องราวต่อไปอีก นอกจากนั้นยังมีการเอาเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยเข้ามาผนวกและขยายความ บ้างก็ละเลยเลยที่จะไม่กล่าวถึงในบางเรื่อง บ้างก็เน้นในบางเรื่อง
เมื่อจะนำไปทำเป็นตำราสอนกัน ก็ตัดตอนเขียนกันใหม่อีกให้เหมาะสมตามวัตถุประสงค์และนโยบายของรัฐ ตามสภาพของสังคมในเวลานั้นๆ
เขียนมาเสียยาวก็เพื่อแสดงความเห็นว่า เราสร้างเรื่องจากข้อมูลเท่าที่มีได้ในสามลักษณะ คือ ในลักษณะของการสร้างทรงบ้านที่มันน่าจะเป็นเสียก่อน (โครงของเรื่องราว) แล้วพยายามหาเฟอร์นิเจอร์ (รายละเอียด) มาใส่ ว่ามันสอดคล้องกันหรือไม่ ดูเข้ากันดีหรือไม่อย่างหนึ่ง หรือจะรวบรวมข้อมูลเฟอร์นิเจอร์ (รายละเอียด)ให้พร้อมมากพอแล้วจึงคิดว่าบ้านนั้นจะเป็นรูปทรงใด (โครงของเรื่องราว) ที่จะเหมาะสมกับเฟอร์นิเจอร์นั้นๆ
ในการสอนประวัติศาสตร์ของเราก็เช่นกัน เนื่องจากเป็นการสอนต่อเนื่องหลายปี ประเด็นชวนคิดคือ เราจะเริ่มจากใหญ่ไปหาเล็ก หรือจากเล็กไปหาใหญ่ อย่างใหนจะดีกว่ากัน
ดูจะเป็นความเห็นไม่เข้าท่าและไม่เข้าเรื่องนัก
เพียงจะบอกว่า แทนที่จะสอน (เล่าเรื่อง) ลงไปถึงในระดับรายละเอียดว่า ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ช่วงนั้นๆคิดอย่างไร และสอนกันไปถึงในรายละเอียดถึงขั้นของผลลัพท์ที่เกิดขึ้นนั้นๆ ก็เพียงแต่จะเล่าเรื่องราวได้ใหมว่า เหตุการณ์เป็นอย่างไร เราคิดอย่างไร เขาคิดอย่างไร ก็น่าจะเพียงพอแล้ว