เรือนไทย

General Category => ภาษาวรรณคดี => ข้อความที่เริ่มโดย: Wandee ที่ 10 เม.ย. 10, 22:36



กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 10 เม.ย. 10, 22:36
ได้อ่านบทละคอนเรื่องไกรทอง  ส่วนที่ ๒   แต่งในสมัยรัตนโกสินทร์นี้     ฝีมือดีหนักหนา
แต่ใครเป็นผู้แต่งไม่มีการบันทึกไว้

เมื่ออ่านแล้วก็เห็นเถรขวาดปรากกฏในกระจกเงา

จึงขอนำมาอ่านสู่กันฟังพอคลายร้อน



บทละคอนเรื่องไกรทองนี้ เป็นหนังสืออนุสรณ์ ของ ท้าวศรีสุนทรนาฎ(แก้ว  พนมวัน ณ อยุธยา)
งานพระราชทานเพลิงศพ เมื่อ ปีมะเมีย  พ.ศ. ๒๔๗๓

พิมพ์ที่โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร


กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 10 เม.ย. 10, 23:02
สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ นิพนธ์ในคำนำว่า


     พระนางเจ้าสุวัทนา ทรงเป็นเจ้าภาพงานศพท้าวศรีสุนทรนาฎอัยยิกา
ท้าวศรีสุนทรนาฏก็เป็นที่คุ้นเคยกับวังวรดิศ  และได้ขอคำมั่นว่า ขอให้โปรดแต่งประวัติให้ด้วย
เกรงจะไม่มีผู้ล่วงรู้


     ท้าวศรีสุนทรนาฎ(แก้ว  พนมวัน)  เกิดในสกุลอภัยวงศ์  ณ เมืองพระตะบอง ในปี พ.ศ. ๒๓๙๖
บิดาคือพระสุวรรณพิศาล   บุตร   พระยาอภัยภูเบศร (แบน) ผู้ว่าราชการจังหวัดพระตะบองคนที่สอง


     เจ้าพระยากลาโหมรับไปเลี้ยง  และให้หัดรำละคอน  ได้เรียนจากครุดี ๆ ที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๒  หลายคน
ท่านเป็นศิษย์รักของคุณน้อยงอกที่เล่นเป็นตัวไกรทองไม่มีใครสู้     ท้าวศรีสุนทรนาฎนั้นเล่นเป็นตัวละคอนได้หลายตัว
แต่ถนัดเล่นเป็นไกรทอง     ฝีมือวิเศษไม่มีใครเทียมในสมัยเดียวกัน


กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 10 เม.ย. 10, 23:19
ท้าวศรีสุนทรนาฎ มี ธิดา กับ เจ้าพระยาสุรวงศไวยวัฒน  ๒ ท่านคือ

มณี  ต่อมาเป็นคุณหญิง พิพิธภัณ์พิจารณ์

เล็ก  เป็นมารดาของพระนางสุวัทนา


ท้าวศรีสุนทรนาฎเมื่อออกจากการปกครองของเจ้าคุณสุรวงศ์แล้ว  ได้ นายพันตรี หลวงอำนาจสุรเสนี(ม.ร.ว. ยันต์  พนมวัน) เป็นสามี 
มีบุตรชื่อ หม่อมหลวงต่อ   รับราชการอยู่ในกรมมหรศพ


หลังจากที่หลวงอำนาจสุรเสนีถึงแก่กรรม  หม่อมแก้วได้พาบุตรธิดากลับออกไปอยู่กับญาติฝ่ายอภัยวงศ ที่พระตะบอง

เมื่อธิดาได้เติบโตขึ้นแล้ว  ญาติฝ่ายชายเกรงว่า ธิดาเจ้าคุณสุรวงศ จะได้สามีไม่สมศักดิ์  จึงชวนให้ท้าวศรีสุนทรนาฎพาครอบครัวเข้ากรุงเทพ


กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 11 เม.ย. 10, 07:47
ท้าวศรีสุนทรนาฎ ชำนิชำนาญการฟ้อนรำ ได้เป็นครูละคอนในกรมมหรศพ
เป็นทั้งครูและผู้บังคับควบคุมละคอนผู้หญิงของหลวง


เจ้าพระยารามราฆพได้เชิญท่านไปอยู่ที่บ้านนรสิงห์เพราะท่านเป็นครูฝึกหัดฟ้อนรำให้ เจ้าพระยารามราฆพ
และพระยาอนิรุธเทวามาตั้งแต่เป็นมหาดเล็กข้าหลวงเดิม


เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ รับพระนางสุวัทนาเข้าไปอยู่ในพระบรมมหาราชวัง
ท้าวศรีสุนทรนาฎก็เข้าไปเป็นผู้ใหญ่อยู่ที่ตำหนัก


ท่านรับผิดชอบดูแลการงานทั้งปวงในตำหนักของพระนางเจ้าสุวัทนา    ทั้งต้องดูแลพิทักษ์รักษาเจ้าฟ้าหญิงที่ทรงพระเยาว์
นอกจากนั้นยังต้องยังเป็นที่ปรึกษาหารือประคับประคองพระนางเจ้าสุวัทนาในเมื่อเวลาโศกเศร้าแสนสาหัส


คนทั้งหลายพากันสรรเสริญสติปัญญาและอัธยาศรัยของท่านอยู่แพร่หลาย


ท้าวศรีสุนทรนาฎถึงแก่อนิจกรรม เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๓  อายุได้ ๗๓ ปี



กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 11 เม.ย. 10, 10:03
ความเดิม


     ในเมืองพิจิตรมีถ้ำจรเข้อยู่ใต้น้ำ   ถ้ำมีแก้ววิเศษให้แสงสว่าง   จรเข้ตัวใดเข้าไปอยู่ก็กลายร่างเป็นมนุษย์และอิ่มทิพ

ชาลวันเป็นหลานชายของท้าวรำไพ จรเข้ชราถือศีล   พ่อของชาลวันชื่อท้าวโคจร(แปลว่าชอบท่องเที่ยว)ไปวิวาทกับท้าวแสนตาและพญาพันวัง 
ต่อสู้กันเพราะรักษาพื้นที่      จนตายทั้งสาม



การต่อสู้นั้นใช้หางตีกันด้วยพลังมหาศาล   

หนึ่งต่อสองที่ไหนจะรอด   อันที่จริงไม่น่าจะแพ้ท้าวแสนตาและพญาพันวังเลย
เพราะอิ่มท้องอยู่ทุกเวลา     นางจรเข้บริวารก็มากมี ไม่ต้องไปกัดหรือฟัด หรือฟาดหางกับจรเข้าตัวอื่น

ตัวที่มีพลังมากแล้วฟาดหางกับตัวอื่นจนคออันทั้งอวบและอ้วนเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของอีกฝ่ายหนึ่งขาดนั้น   น่าจะเจ็บหางไม่มากก็น้อย
แต่น่าจะมาก


เคยฟังการขับร้องของคุณกัญจนปกรณ์ เรื่องการต่อสู้ของจรเข้าสามตัวนี้  ที่วัดเทพธิดาราม    ตื่นเต้นมาก  เพราะเสียงดังดีเหลือเกิน


กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 11 เม.ย. 10, 10:20
ชาลวันมีเมียชื่อ วิมาลา และ เลื่อมไลยวรรณ

นางวิมาลาเมื่อกลายร่างเป็นคนนั้น งามประหลาด   ยิ่งพิศยิ่งเพลินเจริญใจมาก
นางเลื่อมไลยวรรณนั้นเป็นรองมากอยู่(เรื่องนี้มีหลักฐานรับรอง   อ่านมาโดยละเอียด)


     เมื่อนั้น                                          ชาลวันกุมภากล้าหาญ
อยู่ในถ้ำใต้ชลธาร                                   วันนั้นบันดาลรำคาญใจ
ให้นึกอยากมนุษย์สุดอยาก                         จึ่งออกจากถ้ำทองผ่องใส
สำแดงแผลงอิทธิ์ฤทธิไกร                           เป็นจรเข้ไปในวารี


     ผุดขึ้นลอยล่องท่องเล่น                         เรือแพแลเห็นก็กลับหนี
ขัดสนจนใจไม่ได้ที                                   กุมภีร์ผุดร่ำดำมา


กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 11 เม.ย. 10, 10:53
หยิบ เสภาขุนช้างขุนแผนภาคปลาย ตอนเถรขวาดล้างแค้น


เถรนั้น แปลงร่างเป็นแร้ง บินกระโชก(ท่าบินที่กวักปีกพร้อมกันเพื่อปัดลมแรงผ่านลำตัว)คือเร่งความเร็ว
(ท่านผู้เผลอมาอ่าน  กรุณาอดโทษผู้เล่าไว้บ้าง   เพราะตัวเองก็ไม่เคยเห็นนกที่กวักปีกทีละข้่างเหมือนกัน)
มาจากเชียงใหม่  ลงจอดที่คลองบางแมวเหนือเมืองอ่างทอง

ภาวนาร้อยแปดที(น่าจะใช้เวลามากเพราะต้องกลั้นลมหายใจ)

เอาบาตรใส่หัว แล้วเอาไม้เท้าต่อหาง

เผ่นโผนโจนผางกลางนที                                     ก็กลายเป็นกุมภีร์มหิมา
เขี้ยวขาวยาวออกนอกปากโง้ง                               ฟาดโผงร้องเพียงเสียงฟ้าผ่า
โตใหญ่ตัวยาวสักเก้าวา                                      ขึ้นวิ่งร่าหลังน้ำด้วยลำพอง

        ........................                                เอาหางฟาดเฟือยฝั่งดังสนั่น
ใหญ่ยาวราวพระยาชาละวัน                                  ครื้นครั่นสนั่นก้องลำพองกาย


      ตกลงตัวยาวเท่ากัน


      หมอปราบจรเข้าที่ไม่มีครูงูงูปลาปลา    วิ่งมาจะปราบจรเข้เถรขวาด   หมอเก่า(เห็นและได้ยินได้ฟังมามาก  และน่าจะแก่ด้วยล่ะน่า)ได้ห้ามไว้

จรเข้นี้ใหญ่อย่าไปเลย                                         เอาคางเกยก็จะล่มจมน้ำไป
เหมือนอย่างคำบุราณท่านย่อมว่า                            ถ้าสามวาแล้วมีฤทธิ์นิมิตได้
นี่มันเกินสามวากว่าขึ้นไป                                     เวทมนตร์เห็นจะไม่ถึงใจมัน


เมื่อข้าราชการได้ไปเรียนท่านเจ้าคุณผู้ใหญ่  ได้เรียนว่า

     มันยาวใหญ่ได้ประมาณสักสิบวา                        ลือข่าวเล่าว่ามาแต่เหนือ


ท่านเจ้าคุณอธิบดีไปกราบทูลว่า

     บัดนี้เกิดมีซึ่งกุมภา                                       ลงมาแต่เหนือว่าเหลือร้าย
แต่ศีรษะยาวกว่าห้าศอกเศษ                                  ทำฤทธิเดชกินคนเสียมากหลาย


กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 11 เม.ย. 10, 11:59
     นางตะเภาแก้วตะเภาทองกับสาวใช้หลายคนไปเล่นน้ำ    นอกจากจะว่ายน้ำแล้วยังเล่นซ่อนหาอีกด้วย

ชาลวันแอบดูอยู่  เห็นนางตะเภาแก้วตะเภาทองซึ่งเป็นสาวน้อย ก็ติดใจ  คิดจะพาไปเป็นเมีย
ที่คิดนี่คิดคาบทั้งคู่พร้อมกัน

จึ่งโบกหางวางวู่จู่ถึง                           ผุดถลึ้งโลดไล่ืั้งซ้ายขวา
ฉวยพลาดฟาดน้ำทำศักดา                    ดิ้นผวาหวีดร้องก้องไป

คาบได้แต่เจ้าตะเภาทอง                       นางน้องทาสีก็หนีได้
ชาลวันนั้นดำนำไป                              เข้าในถ้ำแก้วแพรวพราย



นางตะเภาทองฟื้นขึ้นมา

แลเห็นเป็นมนุษย์ผุดผ่อง                        ทั้งถ้ำทองที่อยู่คูหา
ขวยเขินเมินภักตร์ไม่พูดจา                      นิ่งนึกตรึกตราแต่ในใจ
เมื่อกี้ไอ้นาคผุด                                   นี่มนุษย์ที่ไหนมาปราศรัย




ชาลวัน โลมนาง

     เจ้าเอยเจ้าพี่                                 ไม่พอที่ค้อนควักผลักไส
พี่คือชาลวันอันชาญไชย                         ที่เป็นใหญ่กว่าฝูงพวกกุมภา
เห็นน้องต้องจิตต์พี่คิดรัก                         จึงลอบลักมาอยู่ในคูหา
บุญพี่กับนางได้สร้างมา                          แก้วตาอย่าสลัดตัดอาลัย
เชิญน้องครองทิพยสมบัติ                        แก้วเก้านวรัตน์จำรัสไข
ว่าทางทางประโลมลูบไล้                         เจ้่าถอยหนีพี่ไยแก้วตา


     รูปนิมิตของชาลวันนั้น  ต้องตา นางเสียแล้ว



กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 11 เม.ย. 10, 12:12
ชาลวัน โลม นาง


       ทรามเอ๋ยทรามสงวน                           มิควรเคลือบแคลงแหนงหนี
อันวิสัยใต้ฟ้าธาตรี                                     ไม่มีใครห้ามปรามทรามวัย
ถึงเทวามนุษย์ทั้งภุชงค์                                ใจปลงปรองดองครองกันได้
จรเข้คนปนกันเช่นนั้นไซ้                               ต้องจับปรับไหมเมื่อไรมี
เป็นเมียแล้วใครไม่รัก                                  นงลักษณ์อย่าเศร้าหมองศรี
ถึงเสือเหลือร้ายกว่ากุมภีล์                             ก็ไม่มีกินเมียอย่าเสียใจ


     ไม่มีฉากอะไรที่น่าเล่า  นอกจากนางวิมาลา และ นางเลื่อมลายวรรณ โผล่มาอาละวาดเล็กน้อย


กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 11 เม.ย. 10, 15:07
กิริยาหาเรื่องของนางจรเข้สะบัดสะบิ้ง
คือเดินเข้าไปนั่งลงบนแท่นแก้วที่ชาลวันหลับอยู่ และนางตะเภาทองก็นั่งอยู่

นางทั้งสองนั่งทับเพลา  คือเบียดเข้าไปจนขาเกยขานางตะเภาทอง แล้วสบัดสะไบไปมา
เป็นการเริ่มต้นการตีรวนอย่างชัดเจน



       เมื่อนั้น                                           ตะเภาทองมัวหมองเมินหน้า
เข้าใจในทำนองสองรา                                 ดีร้ายภรรยาชาลวัน
จะแกล้งมาจังทานพาลผิด                             แต่จนจิตต์จำงดอดกลั้น
จึ่งลงจากแท่านแก้วแพรวพัน                          มายืนแฝงม่านกั้นชั้นใน

       เมื่อนั้น                                           สองนางต่างตามมาถามไถ่
นี่แน่นางรูปงามทรามวัย                               เคืองข้าว่าไรไม่พอที


นางตะเภาทองอ้อนวอน

จะกราบไหว้ให้ช่วยว่าผัว                               พาตัวข้าขึ้นไปส่งเสีย
ร้อนอกไหม้ดังไฟเลีย                                   หม่อมหรือคือเมียจงเมตตา



สองนางรุมด่า
       น้อยเอยน้อยหรือ                                 ยังรื้อแสนงอนค่อนว่า
เชื่อตัวผัวรักยักพูดจา                                    ข้าหรือจะว่าให้พาไป
ถ้าว่าให้พาเจ้าเข้าห้อง                                   เห็นคล่องไม่พักผลักไส
หรือโลมเล้าเคล้าคลึงไม่ถึงใจ                           จะกลับไปหากินที่ถิ่นเคย
ฉะนางช่างว่าไม่หาผัว                                   เห็นตัวตอแหลเจ้าแม่เอ๋ย
นั่งเฝ้าเย้ายั่วให้ผัวเชย                                   เหลือเคยอีกเจ้าข้าเข้าใจ
หรือเมืองพิจิตรติดจะจืด                                 มาหาพืชถึงถ้ำต่ำใต้
แกล้งเปรียบเปรยเย้ยเยาะไยไพ                        ค้อนควักผลักไสอยู่ไปมา


กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 11 เม.ย. 10, 15:20
ชาลวันลุกขึ้นมาห้าม

จะพูดไปแล้วเมียใหม่เจรจาย่อมถูกหูน่าฟังกว่า

พลัดพ่อพลัดแม่มาแต่ตัว                           จะพึ่งบุญทูลหัวเหมือนบิดา
แม้นมิชุบเลี้ยงให้เที่ยงธรรม์                        พ่อพิฆาตฟาดฟันเสียดีกว่า
อย่าได้ให้ทนเวทนา                                 นางครวญคร่ำน้ำตาฟูมฟอง



ชาลวันปลอบนางมนุษย์

เช็ดน้ำตาว่านิ่งเสียเถิดน้อง                         จะต้องวุ่นวายกันในวันนี้
เหลียวมาว่าแน่ะทั้งสองนาง                         ติดค้างเท่าใดอย่างไรนี่
มาพาโลโกรธาด่าตี                                  เมื่อข้างนี้มาใหม่ไม่ทันรู้
มาเซ็งแซ่แห่โหมโครมครึก                          อึกทึกทั้งพวกหนวกหู
กล้าดีตีเข้าลองดู                                     แม้นกูมิใส่มิใช่มือ




กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 11 เม.ย. 10, 15:51
พ่อแม่ของนางตะเภาทองประกาศให้รางวัล สิบชั่ง สำหรับการจับตัวจรเข้

หมอจรเข้พากันมา

       บัดนั้น                                                     พวกหมอจรเข้น้อยใหญ่
รู้ข่าวป่าวร้องก็ดีใจ                                              จักใคร่ได้เงินทองของรัก
บ้างลอยตะกางจะวางสาย                                      มีดหมอนารายณ์ตรีจักร์
ทั้งหมอไทยหมอแขกแบกชะนัก                                มาพร้อมพรักอาสาพูดจากัน


       พอสว่างต่างลงนาวา                                     เรือพายม้ามาดลำสำปั้น
ทอดท้ายพายเคียงเรียงรัน                                      ชิงกันร้องเรียกออกเพรียกไป


ชาลวันต้องมนต์ก็ร้อนรน  เลยผุดขึ้นไป

ออกจากถ้ำสำแดงเดชา                                         เป็นกุมภาผุดคะนองว่องไว

...........................

ชาลวันขันแข็งแว้งวัด                                            ขบกัดชะนักเสียหนักหนา
ฟาดหางคางเกยนาวา                                           ขบหมอมรณาด้วยฤทธี




กลับมาที่เถรขวาด
กรมเมืองไปตามหมอจรเข้มายี่สิบคน

ดีใจอยากได้ซึ่งรางวัล                                           สำคัญว่ากุมภีร์ที่เคยแทง
เอาเครื่องคาดพุงนุ่งสนับเพลา                                  ราตคตคาดเข้าให้เข้มแข็ง
มงคลสวมศีรษะทะมัดทะแมง                                    ถือชนักกวัดแกว่งลงนาวา
พร้อมกันทันทียี่สิบลำ                                            เหนือน้ำใต้น้ำขนานหน้า
ประนมมือถือชนักนั่งจังกา                                       ภาวนาสาดน้ำร่ำเข้าไป

จรเข้หลวงตาขวาดลอยนิ่ง


  ครานั้นกุมภาหลวงตาเวท                                     สำแดงเดชโดดปราดฟาดปั๋งปั๋ง
แว้งวัดฟัดขย้ำด้วยกำลัง                                        เรือแตกพังระทมล่มทุกลำ
ชุลมุนหมุนกลมดังลมกรด                                       พวกหมอมดทั้งหลายลงว่ายคล่ำ
แว้งผางหางฟาดขาดระยำ                                       ตายระทมจมน้ำสิ้นทุกคน
ฝูงคนบนตลิ่งทั้งหญิงชาย                                        เห็นพวกหมอทั้งหลายตายเกลื่อนกล่น
สยดสยองพองหัวทุกตัวคน                                      จรเข้ไม่ฟังมนต์เห็นพ้นคิด


กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 11 เม.ย. 10, 16:37
     ไกรทองเป็นชาวสวนแขวงเมืองนนท์  คุมคนขึ้นมาค้าขายที่เมืองพิจิตร  อายุ ๑๘ ปี
ขณะนั้นจอดเรืออยู่ที่ท้ายเมืองพิจิตร  คอยให้บ่าวไพร่ไปซื้อสินค้า

การที่ให้ ชาวสวน เป็นพระเอกในเรื่องนี้ เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเราเคยอ่านกันมาแต่จักร ๆ วงศ์ ๆ ทรงศรเทวดาประทานทั้งสิ้น


ไกรทองเป็นชาวสวน  คุมคนมาได้ก็ต้องเป็นนักเลงพอตัว  คือใจรักด้านการต่อสู้ผจญภัย 
และคงชำนาญเพราะหัดมากับครอบครัวแล้ว  เพราะมาคนเดียวไม่มีผู้ใหญ่คุมมา


ชาวสวนนั้นรักสงบเพราะมีงานต้องทำล้นมือ  เมื่อมาจับทางค้าขายข้ามจังหวัด  ก็ต้องทราบกันทันทีว่าเป็นคนดีมีวิชา
มิอย่างนั้นก็จะไม่รอดจากพวกปล้น  สัตว์ร้าย และโรคภัยไข้เจ็บไปได้


       ไกรทองนั้นรูปทรงส่งศรีโสภา  คือ รูปร่างดี และอ่า...หล่อ

ตัวนั้นได้เพียรเรียนวิชชา                                       ที่วัดหน้าพระธาตุไม่ขาดวัน
ครูประสิทธิ์ฤทธิ์เดชเวทมนต์                                   คงทนจังงังขลังขยัน
รู้ระเบิดเปิดน้ำทำเลขยันต์                                      แก้กันเขี้ยวงากุมภาพาล


พ่อแม่นางตะเภาทองเพิ่มรางวัล   ว่าจะแบ่งเงินทองและเสื้อผ้าให้ครึ่งหนึ่งที่มี     และยกนางตะเภาแก้วให้ด้วย
ข้อเสนอของเศรษฐีเมืองพิจิตรนี่ฟังดูดีมาก
ตอนนั้นใคร ๆ คิดว่านางตะเภาทองตายแล้ว
ใครได้เป็นเขยก็เท่ากับเป็นทายาทอันดับหนึ่ง


ไกรทองไปหาอาจารย์
อาจารย์จับยามรุ้ว่าเป็นโอกาสดี

แต่กูรู้ว่าชาลวัน                                                   ถิ่นมันนั้นอยู่ในคูหา
เขี้ยวแก้วกายสิทธิ์ฤทธา                                         คงทนศาสตรสารพัน
เว้นไว้แต่หอกสัตตโลหะ                                          ซึ่งจะเข่นฆ่ามันอาสัญ
ว่าแล้วหยิบเทียนมาเขียนยันต์                                  ทั้งเครื่องลงคงกระพันกันภัย
แล้วหยิบมีดหมอมาลงพระ                                      กับหอกสัตตโลหะนั่นยื่นให้
อวยพรประสิทธิ์ฤทธิ์ไกร                                         สวัสดีมีชัยไอ้กุมภา(แปลว่า ขอให้ชนะจรเข้และปลอดภัยกลับมา)

หอกสัตตโลหะนั้น คือ ส่วนปลายของอาวุธด้ามยาว ทำจากการผสมโลหะ ๗ ชนิด      ต่างสำนักก็ต่างตำรา

มีดหมอนั้นจะทำจากเหล็กที่ตีซับซ้อนหลายสิบครั้ง      เลือกวันที่มีอำนาจ  มีฤกษ์ยามดี  ผู้ตีนั้นก็เป็นครู จงใจสร้างเพื่อล้างอาคมของอีกฝ่ายหนึ่ง
เมื่อผู้ถือมีดหมอชักมีดแล้ว    ความเชื่อในครูบาอาจารย์ จะทำให้เกิดตบะเดช  ข่มขวัญศัตรูอยู่ในตัว
คมกริ๊บเลยจ้ะ


กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 11 เม.ย. 10, 17:32
เมื่อพลายชุมพลอาสาปราบจรเข้เถรขวาด  ได้ไปทำพิธีที่บ้านพระไวย
มีบัตรพลร
แป้งน้ำมัน  กระแจะ
มีธูปเทียนดอกไม้
มีดหมอเปลี่ยนปลอก  หอกก็เตรียมไว้เข้าพิธี
ให้ชุมพลอาบน้ำ
ขุนแผนอ่านคาถาเสกน้ำมันว่านเพื่อคงกระพันและป้องกันเขี้ยวงา
ในตอนเช้ามืด  พลายชุมพล

นิ่งนั่งบริกรรมทำอาพัด                                  บัดใจเป่าปลุกเครื่องศาสตรา
เดชะพระเวทวิทยาการ                                  สะเทือนสะท้านด้วยฤทธิ์พระคาถา

ตำราหลายเล่มแจ้งว่า เมื่ออ่านอาคมปลุกอาวุธแล้ว    ผู้ที่มีสมาธิมั่น สามารถทำให้อาวุธกระดิกได้
คงเป็นพลังจิตอย่างหนึ่ง


ก่อนที่พลายชุมพลจะลงแพนั้น

อธิษฐานนมัสการพระเป็นเจ้า                              จงปกเกล้าคุ้มภัยให้ตัวข้า
คุณพระธรณีพระคงคา                                      คุณบิดารมารดาจงคุ้มครอง


     ครานั้นโฉมเจ้าพลายชุมพล                            ฤทธิรนเหลือดีมีสง่า
โหงพรายรายลอบทั้งกายา                                 ให้ปล่อยออกมาที่กลางชล
อ่านคาถาพระสยมภูวนาถ                                  ลำเลิกชาติกุมภามาแต่ต้น
โปรดกำราบสาปให้อยู่เมืองคน                             แล้วประทานพระมนต์ปราบกุมภา

โอมไอ้นักกะผุดอย่านิ่งนาน                                 กูหรือคือพระกาลจะมาฆ่า
พระอิศวรท่านใช้ให้กูมา                                     ผลาญเอาชีวามึงขึ้นไป


พลายชุมพลนั้นพันมือด้วยด้ายสายสิญจน์เสก(คงจะกันมือลื่น)
มีดหมอเหน็บมั่นกับตัว   และถือชนัก


กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 11 เม.ย. 10, 17:59
ไกรทองไปที่โรงพิธี  ที่เลือกปลูกไว้ใกล้ต้นไชยพฤกษ์  ตัดไม้และเกี่ยวหญ้าคามาใช้
ดอกไม้ที่ใช้คือดอกบัวหลวง  แลัวมีราชวัติฉัตรไชย

ขอคัดมาอย่างสมบูรณ์ เพราะเป็นสำนวนเก่าที่ไพเราะ



จัดแจงแต่งที่จะทำการ                                  ให้ดาดเพดานโรงพิธี
ตั้งที่พระอิศวรนารายณ์                                 พระพิฆเนศรพิฆนายเรืองศรี
ทั้งนางอุมาควดี                                         สำหรับพิธีจะทำการ
ให้ตั้งบายศรีทั้งซ้ายขวา                                ธูปเทียนบูชากระยาหาร
วงด้ายสายศิญจน์โขลนทวาร                           ลงยันต์แปดด้านประจำทิศ
จึ่งเอาสัตตโลหะแก้ว                                    มีดหมอเลิศแล้วไพจิตร
ทั้งเทียนระเบิดประเสริฐฤทธิ์                            เครื่องอันวิจิตรทั้งนั้นมา
ปลุกเสดศาสตรอาคม                                   ตั้งอารมณ์อ่านเวทพระคาถา
ชุมนุมฝูงเทพเทวา                                       ราธนาเสื้อเมืองทรงเมือง
อีกองค์ภควดีคงคา                                      เจ้าป่าท่าน้ำอันลือเลื่อง
ผีภูตโขมดนองเนือง                                     มารับเครื่องสังเวยทันที




..........................
.........................
จึงดูนมิตรเมฆฉาย                                        เป็นรูปนารายณ์เรืองศรี
ถือโมกขศักดิ์เหน็บตรี                                    ขี่ราชปักษีครุธา
แลเห็นรูปไอ้กุมภีร์                                        ตัวเปล่าไม่มีเกศา
ไกรทองยินดีปรีดา                                        นุ่งผ้าคาดเคื่องครบครัน
ใส่เสื้อลงยันต์ย้อมว่านยา                                โพกผ้าประเจียดดูขึงขัน
แล้วเหน็บมีดหมอเข้าด้วยพลัน                          มือซ้ายนั้นถือเทียนไชย
มือขวาถือสัตตโลหะ                                      ชนะศัตรูไม่าู้ได้
กับมิตรสหายทั้งปวงไซ้                                   แบกแพหยวกใหญ่ตายพราย
ครั้นได้พิไชยฤกษ์ดี                                       ให้โห่สามทีแล้วผันผาย
ห้อมล้อมกันมามากมาย                                  จนถึงหาดทรายคงคาลัย



กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 11 เม.ย. 10, 19:59
   
       มาเอ๋ยมาถึง                                          จึ่งเจ้าไกรทองผ่องใส
ครั้นถึงริมฝั่งชลาลัย                                        ดูที่พิไชยครุธนาม
จึ่งเอาแพหยวกมาลงยันต์                                  เศกเป่าป้องกันคำรบสาม
ตามตำหรับพิไชยสงคราม                                 ปักธงสามชายนารายณ์กร
ขี่ครุธยุดเหยียบไอ้กุมภีล์                                   เคลื่อนแพหยวกตรีไปก่อน
ขี่แพหยวกลอยกลางสาคร                                 ขัดขนอนเหนือน้ำท้ายน้ำ
ร้องลำเลิกชาติสาดส้่า                                      ร่ายมนต์ปนวารีกระหน่ำ
ตามแบบครูสอนโบรำ                                      สาดร่ำอาคมนิยมไป


กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 11 เม.ย. 10, 20:31
     เบิกชาติกุมภามาแต่หลัง   ดูว่าไกรทองกับขุนช้างขุนแผนในเรื่องต่อสู้กับจรเข้จะสัมพันธ์กัน



กูจะร่ำแต่เบื้องหลัง                                         ตั้งแต่ครั้งมึงกำเนิด
เผ่าพันธ์ของมึงเกิด                                         ละอองไคลพระบาทา
พระอิศวรผู้เป็นเจ้า                                         ปิ่นเกล้าในโลกา
กำชับมึงลงมา                                              ให้รักษานัที
เฝ้าดอกจงกล                                               นิลบลในสระศรี
มึงทำใจมิดี                                                  มึงมิได้อยู่ในทางธรรม



     ครั้นเทพบุตรเธอลงไป                                มึงขบให้อาสัญ
ฝูงเทพทั้งนั้น                                                ชวนกันร้อนรน
ขึ้นไปฟ้องร้อง                                              แซ่ซ้องกล่าวกล
ว่าไอ้กุมภีร์ทรชน                                           รุกรนบีฑา
พระอิศวรได้ฟังอรรถ                                       เธอเคืองขัดนักหนา
จับจักรทิ้งลงมา                                             ถูกลิ้นกุมภาก็ขาดไป



ได้ยินเสียงกูอย่าอยู่ช้า                                    จงเร่งยาตราผันผาย
อย่าคิดว่าจะพ้นตาย                                       ถวายชีวิตกูอย่าอยู่นาน
เลิกเชิงเลิกชาย                                            เลิกพระพายเจ้าบาดาล
เลิกธรณีสาร                                                เลิกบาดาลพระคงคา
ได้ยินเสียงกู                                                อย่าอยู่ในคูหา
เร่งผุดขึ้นมาอย่าช้า                                        ไอ้่นักกะผุดเอย


ชาลวันทั้งโกรธและรำคาญ  มืดมิดไปด้วยความโมโหเพราะมนต์เรียกตัวและเสียงกระแสน้ำที่ไกรทองวักสาดดังสนั่นมาถึงถ้ำทอง

ว่าแล้วลุกขึ้นหันหุน                                         หมุนมาด้วยกรรมระส่ำระสาย
ดั่งเพลิงบรรลัยมาไหม้กาย                                 ผันผายหาที่จะออกไป



       ครั้นออกมานอกพระคูหา                            กลายเป็นกุมภาตัวใหญ่
อาคมนิยมให้เป็นไป                                        แลเป็นเขื่อนใหญ่กั้นกาง
อาวุธล้อมรอบเป็นกำแพง                                  ไม่รู้แห่งที่จะออกให้ขัดขวาง
ยิ่งคิดขัดข้องเคืองระคาง                                   ฟัดหางวัดแว้งด้วยแรงตน
น้ำเป็นละลอกกระฉอกฉาน                                 เสียงสะท้อนคงคากุลาหล
ผุดทะลึ่งโลดไล่คำรามรน                                   จะเข้าประจนประจันบาน


กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 11 เม.ย. 10, 20:43
ชาลวันโกรธมาก  เอาคางเกยแพล่ม  และสิึกเข้าทับไกรทองจมลง


ไกรทองแทงด้วยมีดเหน็บ                                       ถูกชาลวันเจ็บเป็นหนักหนา
ต่างตนผุดลอยขึ้นมา                                             เจ้าไกรทองพงศาก็ขึ้นแพ

ชาลวันถูกเจ็บหลายแผลก็ดำน้ำกบอยู่ใต้บาดาล    ได้ไปหาท้าวรำไพขอให้ช่วย  ท้าวรำไพบอกว่าเป็นกรรมที่ชาลวันสร้างไว้มาก

ไกรทองลอยกระทงเสี่ยงทาย แล้วลงไปจับชาลวันมา ด้วยใช้เทียนระเบิดน้ำ

     แทงถูกที่นั่งพระอิศวร                                       ก็เซซวนล้มลงเพียงตักษัย
กายาย่อยยับกลับกลายไป                                      เป็นกุมภีร์ใหญ่มหึมา


กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 11 เม.ย. 10, 22:38
ชาลวันตามหานางตะเภาทองที่พูดไม่รู้ภาษาเสียแล้ว
เมื่อพาขึ้นมานางก็ยังพูดไม่ได้   ไกรทองได้ยื่นหอกให้คนไปฆ่าชาลวันเสีย  นางก็หายจากอาการผีดิบ




ส่วนพลายชุมพลนั้นแทงจรเข้เวทมนต์ได้หลายทีจนต้องแปลงตัวต่อสู้กันอีกหลายรอบ
พลายชุมพลเป็นคนประหารเถรขวาด
เณรจิ๋วแปลงเป็นนกถึดทือมาคาบหัวเถรขวาดไป วางไว้แป๊บเดียว
เสือเห็นก็เลยขมายไปเป็นอาหารเสีย
นกถึดทือเลยคร่ำครวญฮือ ฮืออยุ่จนทุกวันนี้


ได้คุยเรื่อง สำนวน ไกรทองที่สอง มาพอควรกับเวลา
และได้คำตอบที่สงสัยมาตลอดว่า ลำเลิกชาติ หรือเบิกชาติเหรามาแต่หลังคือเรื่องอะไร



กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: luanglek ที่ 12 เม.ย. 10, 08:24

     แทงถูกที่นั่งพระอิศวร                                       ก็เซซวนล้มลงเพียงตักษัย
กายาย่อยยับกลับกลายไป                                      เป็นกุมภีร์ใหญ่มหึมา

ที่นั่งพระอิศวร  คือ อะไร ? เป็นอวัยวะส่วนใดของจระเข้ ? และทำไมจึงได้เรียกอวัยวะนั้นว่าที่นั่งพระอิศวร ? ??? ;D


กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 12 เม.ย. 10, 12:22

จรเข้เป็นพาหนะของพระอิศวร  เมื่อจะสัญจรทางน้ำหรือไปปราบศัตรูก็เรียกจรเข้มาทรง



เวลาจรเข้ว่ายน้ำไปจะเห็นแต่จมูกและตาเท่านั้นที่ปรากฏเหนือน้ำ

ส่วนอื่น ๆ ของตัวก็มีเกร็ดปกป้อง

บริเวณดวงตาเป็นจุดอ่อน


กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 12 เม.ย. 10, 15:24
หึ หึ   เมื่อคุณหลวงมีรายละเอียดจะสั่งสอน  ก็เชิญบุกได้ตามสบาย
กระทู้แถวนี้ยังพอมีหยิบมาสนทนากันได้ไม่ขัดสนเชื้อเพลิงแห่งความสงสัยใคร่เรียนรู้




ไกรทองได้แต่งงานกับนางตะเภาทองตะเภาแก้วพร้อมกัน

ในวันที่ลงไปในถ้ำ   ไกรทองได้ยุดมือนางวิมาลา  ยังติดใจอยู่


ที่กูยุดมือไว้วันนั้น                                 เป็นเมียชาลวันกุมภา
รูปโฉมประโลมสวาทนัก                          กูจะไปร่วมรักเสน่หา
ได้แล้วจะพาเจ้าขึ้นมา                             ให้เลื่องลือชาปรากฏไว้
ว่ากูฆ่าไอ้ชาลวันเสีย                              ทั้งเมียก็ไปสมสู่ได้
จะบอกสองนางตามจริงไป                        ที่ไหนจะให้กูไคลคลา

     ไกรทองหลงตัวหนักหนา   ว่าได้สมสู่กับเมียจรเข้   ผู้คนจะได้ชื่นชมว่าเก่ง
จึงหลอกเมียทั้งสองว่าจะไปปรนนิบัติอาจารย์ที่วัด

ว่าแล้วก็ไปที่ริมน้ำ จุดเทียนระเบิดน้ำเป็นปล่อง  เดินไปถึงถ้ำ

วิ่งไล่ต้อนนางวิมาลาไปมา       

คำกลอนในตอนนี้ มีวลี  โฉมเจ้าไกรทองพงศา  หลายครั้ง          อ่านแล้วก็คิดถึง คุณชายคึกฤทธิ์ ปราโมช


คำเกี้ยวพาก็ดูโบราณ

นมพวง   พี่ไม่ล่อลวงเจ้างามขำ   พี่ไม่แต่งคำ   ทำให้ได้อาย
รักแก้วแววตา   มาหาโฉมฉาย   ถึงจะวอดวาย   ไม่คลายจากน้อง

     แม้ได้พี่ไม่หน่าย   ไม่เคลื่อนไม่คลายจากห้อง
จะอยู่ปกครองนางน้องสืบไป   ว่าพลางเข้าหา
อนิจจาไปไหน   สกัดนางไว้   คว้าไขว่ไปมา


     วิมาลาวิ่งหนีเข้าห้อง ปิดประตู
ไกรทองก็ร่ายคาถา  ลิ่มสลักทนไม่ได้เลื่อนออกจากที่
ไกรทอง ได้ร่ายคาถามหาระรวย  ให้งงงวยด้วยความเสน่หา


กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 12 เม.ย. 10, 15:58
นางวิมาลานั้นสวยมาก    บวกด้วยความลึกลับของความเป็นนางแปลง เป็นนางใต้น้ำที่บุรุษฝันอยากจะครอบครอง

การที่จะได้ครอบครอง อมุษย์ที่ทั้งสวย  ทั้งน่ากลัว  ไกรทองคิดว่าจะทำให้ชายอื่นมองว่าเขานั้นเลิศชาย


ผมยาวขาวขำอำไพ                                     งามวิไลยล้ำเลิศลออตา
ริมฝีปากนวลนางดังชาดแต้ม                           สองแก้มนงรามงามนักหนา
คอกลมสมทรงกัลยา                                    พิศดังกินราร่อนรำ
สองเต้าเต่งตั่งอยู่ทั้งคู่                                   พิศดูนงรามงามขำ
ดูสง่าน่าเล่นเคล้นคลำ                                  จับจูบลูบทำให้อิ่มใจ
เสียดายเจ้าเกิดมาเป็นกุมภีล์                           ในมนุษย์เช่นนี้หามีไม่
ยิ่งพิศยิ่งเพลินจำเริญใจ                                 กล่าวเกลียงปราศรัยด้วยวาจา


     ความรักจึ่งหักมาหาน้อง                           ร่วมห้องผู้ยอดเสน่หา
อย่าให้เสียทีพี่ลงมา                                     แก้วตาอย่าตัดไมตรี



นางวิมาลา  โดนคาถามหาระรวยไปแล้ว

ได้ฟังวาจาพาที                                           เทวีพินิจติดต้องใจ
มนุษย์คนนี้ก็มีศักดิ์                                       งามนักแอร่มแจ่มใส
ตามันคมสันเป็นพ้นใจ                                    คิ้วโก่งละไมดั่งแกล้งกัน
คอกลมอกใหญ่ไหล่ผาย                                  สูงระหงทรงกายเฉิดฉัน
ผิวผ่องละอองดั่งลูกจันทน์                                ให้กระสันปั่นป่วนยวนใจ




กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 12 เม.ย. 10, 23:44
ไกรทองโลมนาง ผู้พิศวงงงงวยระทวยไป


     น้องรัก                                        นงลักษณ์ผู้เฉิดโฉมศรี
แปลกำี่ไปแล้วหรือยอดนารี                      เมื่อพี่มาจับชาลวัน
พี่ได้ยุดมือของเจ้าไว้                              ในใจรำจวนป่วนปั้น
ได้เห็นรูปโฉมโนมพรรณ                          ความรักวันนั้นไม่วายคิด
พี่จึ่งอุตส่าห์ลงมาหา                              หวังว่าจะฝากไมตรีจิตต์
ว่าพลางทางถดเข้าให้ชิด                         พุ่มพวงดวงจิตต์จงปราณี


     ไกรทอง ผู้มีรูปโฉมถูกใจนางจรเข้  ก็ถูกจรเข้กิน..เอ้ย  รับเป็นกิ๊ก

ไกรทองปลอบนางว่า ผัวนางใจบาปหยาบช้า กินคนค้าขายเสียมาก   ทำความเดือดร้อนให้ผู้คน
ไกรทองน่าจะเฉลียวใจนิดหนึ่งว่า ชาลวัน อาจนำอาหารที่ตัวโปรดมาฝากเมียรักบ้างกระมัง
โอกาสที่นางวิมาลาเคยกินคน น่าจะมี


จบตอนสอง


กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 12 เม.ย. 10, 23:49
นางวิมาลาตามไกรทองออกจากถ้ำ           บทพระราชนิพนธ์




       ไกรทองอยู่ในถ้ำประมาณเจ็ดวันเจ็ดคืน     คิดจะกลับบ้าน

ตัวกูหลงอยู่ด้วยกุมภา                                 จะเสื่อมเสียวิชชาที่เรียนรู้
อย่าเลยจะชวนนางขึ้นไป                              เลี้ยงเป็นเมียไว้จะดีอยู่
ให้คนฤาชื่อว่าเราเจ้าชู้                                 จะมีผู้สรรเสริญสืบไป


กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 13 เม.ย. 10, 00:11
ไกรทอง

ขอเชิญดวงใจไปกับพี่                             เป็นที่สนิทเสนหา
พี่จะเลี้ยงเจ้าเป็นภรรยา                           แก้วตาอย่าละห้อยน้อยใจ



นางวิมาลา

ลืมแล้วฤาขาที่ว่าไว้                                จะอยู่ด้วยน้องได้ในถ้ำทอง
ถ้อยยำคำมั่นเจ้าพาที                              มิให้อายกุมภีล์สิ้นทั้งผอง
ครั้นสมใจได้ชิมลิ้มลอง                            จะทิ้งน้องเสียได้ไม่เอ็นดู
มิหนำซำ้จะพาเอาขึ้นไป                            จะให้อัปยศอดสู
จะมาล่อลวงเล่นเหมือนเช่นชู้                      สุดรู้ที่น้องจะตามไป



ไกรทอง

พี่เป็นมนุษย์สุดวิสัย                                 จะอยู่ในนทีคูหา
นี่มาได้ด้วยฤทธิ์วิทยา                               แม้นประมาทไม่ช้าจะบรรลัย


กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 13 เม.ย. 10, 10:05
วิมาลา

เจ้าอย่าพะวงสงกา                                   ตัวข้าได้บอกแต่เดิมที
ว่าฝูงกุมภาสิ้นทั้งผอง                                อยู่ในถ้ำทองเกษมศรี
เดชะด้วยฤทธิ์แก้วมณี                               กุมภีล์จึงเป็นมนุษย์
มีธุระจะออกไปนอกถ้ำ                               ถึงน้ำก็กลับเพศตามวิสัย
นี่และเป็นความจนใจ                                 ไปได้หรือจะไม่ไปตาม




ไกรทองประชดว่า

                                                         ถ้ำทองเป็นที่สนุกสบาย
ด้วยกุมภีล์หนุ่มหนุ่มประชุมพร้อม                    บริวารแวดล้อมเหลือหลาย
แต่ล้วนรูปนิมิตบิดเบือนกาย                          จึ่งเสียดายอยู่เต็มทีอยู่มิไป



วิมาลา

ถึงเจ้าเป็นคนก็ไม่พ้นชั่ว                                มาเกลือกกลั้วสตรีไม่บริสุทธิ์
เสียชาติญาติวงศ์พงศ์มนุษย์                           เป็นบุรุษโหดร้ายน้ำใจพาล
มางงงวยด้วยหญิงแพศยา                             จนหน้าตาหมองคล้ำดำด้าน
เจ้าเป็นคนมนต์เวทเชี่ยวชาญ                          วิชชาการมิเสื่อมก็จำคลาย




ไกรทอง
อันน้ำใจสตรีนี้ไซ้                                         ยากที่จะหยั่งได้ดังจินดา
พระมหาสมุทรสุดฤกซึ้ง                                  ถ้าจะหยั่งให้ถึงก็ง่ายกว่า
หญิงสามร้อยกลมารยา                                  สุกที่จะศีกษาให้แจ้งใจ




วิมาลา
เท่านั้นเถิดเป็นไรเจ้าไกรทอง                             ได้หม่นหมองแปดปนกับคนชั่ว
เสียเดชเวทมนต์จนมืดมัว                                 เชิญไปชำระตัวเถิดเป็นไร



ทะเลาะกันอีกหกเจ็ดรอบ   แล้ว ไกรทองก็เป่ามนต์เทพรัญจวน
นางวิมาลาก็ตามขึ้นมา
นางตะเภาทองตะเภาแก้วมาอาละวาด
นางจรเข้ก็กลับลงน้ำไปอีก
ไกรทองก็จุดเทียนระเบิดน้ำตามลงไปอีกเพราะหลงเสน่ห์นางจรเข้เนื้อเย็น


ขอเชิญท่านหาอ่านได้ตามอัธยาศัย


กระทู้: ชาลวันและเถรขวาด ความคล้ายคลึง
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 13 มิ.ย. 10, 12:07

ที่นั่งพระอิศวรคือ ช่วงคอ ค่ะ

ช่วงไหล่ ระหว่างขาคู่หน้า  คือ ที่ประทับของพระอุมา