มาสู่ไครแม็กซ์ของเรื่อง
ใครคือเจ้าของบริษัททางด่วนกรุงเทพในปัจจุบัน?
เช่นกัน ผมจะไม่คัดลอกข้อความที่คิดว่าไม่เกี่ยวออกไป เอาแต่เนื้อๆที่เรากำลังสนใจกันอยู่ แต่ใครอยากจะอ่านต้นฉบับ ก็มีระโยงไว้แล้วตามเคย
http://info.gotomanager.com/news/details.aspx?id=5208………สายสัมพันธ์ที่กับทางญี่ปุ่นของปลิว น้องชายคนที่ 7 ของตระกูลในระหว่างที่ไปศึกษาต่อที่นั่น คือข้อต่อสำคัญที่นำพาให้ ช. การช่างเข้าไปเกี่ยวข้องกับโครงการทางด่วนขั้นที่ 2 โดยในขั้นแรกนั้น ช. การช่างและโตคิวได้เข้าไปร่วมรับงานในฐานะผู้รับเหมาช่วง (SUB-CONTRACTOR) จากบริษัททางด่วนกรุงเทพหรือบีอีซีแอล และยังเข้าไปร่วมถือหุ้นอยู่ประมาณ 30% ด้วย โดยมีกูมาไก กูมิ ยักษ์ใหญ่ด้านการก่อสร้างจากญี่ปุ่นถือหุ้นใหญ่ 65%
กรณีพิพาทระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทยและบีอีซีแอล ในเดือนตุลาคม 2536 ที่ผ่านมาเป็นเสมือนเชื้อไฟที่ทำให้ความเชื่อมั่นที่จะให้บริษัทผู้รับสัมปทานจากญี่ปุ่นเช่นกูมาไก เข้ามาร่วมทำงานกับคนไทยดูคลอนแคลนไปเป็นอย่างมาก ประจวบเหมาะกับบริษัทกูมาไก กูมิซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นก็ประสบปัญหาทางด้านการดำเนินการ จนได้มีการประกาศขายหุ้นในบริษัททางด่วนกรุงเทพฯ หรือบีอีซีแอลซึ่งมีอยู่ 65% ให้กับนักลงทุนที่สนใจ
ช. การช่างเข้าไปมีบทบาทสำคัญในการเจรจาซื้อขายหุ้นจากกูมาไก กูมิ ส่วนหนึ่งก็โดยการผลักดันของกลุ่มธนาคารไทยซึ่งเป็นทั้งเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้นของบีอีซีแอลด้วย เพราะหากปล่อยให้ปัญหาคาราคาซังอยู่ ก็จะเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสถาบันการเงินเหล่านี้…..
……..ปัญหาข้อสำคัญคือ เรื่องราคาหุ้นที่ทางกูมาไก กูมิตั้งไว้สูงถึง 63 บาทต่อหุ้น รวมแล้วเป็นมูลค่าที่ผู้ซื้อต้องจ่ายประมาณ 3,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การเจรจาซื้อขายหุ้นครั้งนี้ต้องยืดเยื้อยาวนานถึง 4 เดือนเต็ม เพราะว่าทางผู้ซื้อฝ่ายไทยเห็นว่าแพงเกินไป และทางกูมาไก กูมิ ก็ไม่ยอมรับผิดชอบต่อหนี้สินที่มีอยู่ จะขอรับเงินอย่างเดียว
ทาง ช. การช่างและกลุ่มสถาบันการเงิน โดยคำแนะนำของที่ปรึกษาในการเจรจาแก้ลำด้วยการเสนอราคาหุ้นเป็นเงินก้อนหนึ่ง ในจำนวนที่คงที่ แล้วบวกด้วยส่วนแบ่งรายได้ที่คาดว่า รวมทั้งค่าเสียหายจากกรณีพิพาทที่เป็นความกันอยู่หักด้วยหนี้สิน และค่าเสียหายที่อาจจะต้องเกิดขึ้น โดยให้ทางกูมาไก กูมิรับเงินก้อนจำนวนคงที่นั้นไปก่อน ส่วนที่จะบวกหรือหักนั้นจะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบเจรจากับทางเจ้าหนี้ หรือรอให้คดีที่มีกับการทางฯ ยุติลงเสียก่อน จึงจะได้รับเป็นตัวเงิน
"เรารู้อยู่แล้วว่า เขารับไม่ได้ เพราะเขาต้องการเผ่น เก็บของกลับบ้านแล้วไปเลย แต่ถ้าใช้วิธีการของเรา จะต้องใช้เวลาอีก 4-5 ปี ต้องฟ้องร้องกับการทางพิเศษฯ ซึ่งเขารอไม่ได้" แหล่งข่าวกล่าว…..
……..
ในที่สุดราคาที่กูมาไก กูมิตั้งไว้หุ้นละ 63 บาทก็ลดลงมาเหลือเพียง 13 บาท ซึ่งเป็นราคาพาร์บวกด้วยดอกเบี้ย…….หุ้น 65% ที่ซื้อมาจากกูมาไก กูมิ สถาบันการเงินที่ถือหุ้นอยู่ก่อนแล้วและเป็นเจ้าหนี้ของบีอีซีแอลด้วยได้แบ่งกันรับซื้อไว้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของตัวเอง เช่นแบงก์กรุงเทพฯที่ขอเข้าไปถือหุ้นร่วมกับบริษัทในเครือเช่นบริษัทหลักทรัพย์เอเชียสูงถึง 18% จากเดิมที่ถือหุ้นไว้เพียง 9.5% เท่านั้น
สรุปแล้ว กลุ่มธนาคารพาณิชย์กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบีอีซีแอล 65% ที่เหลืออีก 35% เป็นของ ช. การช่างซึ่งไปดึงเอาพันธมิตรอื่น ๆ อย่างเช่น สวัสดิ์ หอรุ่งเรืองมาร่วมด้วย
แหล่งข่าวที่ปรึกษาของ ช. การช่างเปิดเผยถึงเหตุผลที่ธนาคาร ให้ความสนใจเข้าไปถือหุ้นต่อจากกูมาไกฯ กันมากนั้น เป็นเพราะผลประกอบการของทางด่วนขั้นที่ 2 หรือเงินรายได้จากการเก็บค่าผ่านทาง ภายหลังจากการแบ่งรายได้ให้กับการทางฯ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะเป็นจำนวนสูงถึง 1.3 แสนล้านบาททีเดียว
…….ปัญหาพิพาทระหว่างการทางฯ กับกูมาไกฯ ในอดีต ที่ต่างฝ่ายต่างยื่นฟ้องศาลอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งทำผิดสัญญา ก็ได้มีการตกลงกันที่จะให้มีการยอมความกันเรียบร้อยแล้ว นอกจากนั้นแล้วยังได้มีการแก้ไขปัญหาซึ่งอาจจะมีขึ้นในอนาคตขึ้นมาอีก โดยเมื่อเกิดกรณีพิพาทใด ๆ ขึ้นในอนาคตหากยังไม่สามารถตกลงกันได้ ก็จะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ
ปัญหาที่อาจจะหนักใจสำหรับธนาคาร หรือสถาบันการเงินที่ให้เป็นผู้ถือหุ้น และให้กู้งานทางด่วนขั้นที่ 2 นี้อยู่บ้างก็คงไม่พ้นปัญหาการก่อสร้างพื้นที่ส่วน C และ D หรือ "ปัญหาชุมชนบ้านครัว" นั่นเองจนถึงขณะนี้ได้มีการ "ซื้อเวลา" โดยเลื่อนการตัดสินใจกรณีชุมชนบ้านครัวออกไปเป็นเดือนตุลาคม 2537 ที่จะถึงนี้ ซึ่งแม้ว่าทางฝ่ายการทางฯ จะยังคงยืนยันว่า เส้นทางสาย C,D ที่ผ่านชุมชนบ้านครัวนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาการจราจรได้ ในขณะที่ฝ่ายชุมชนบ้านครัวก็ยังคงยืนตามมติคณะกรรมการไต่สวนสาธารณะว่าเส้นทางนี้ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาจราจรแต่อย่างใด แต่การก่อสร้างเส้นทางหลักของทางด่วนขั้นที่ 2 ก็ยังดำเนินต่อไปโดยมีกำหนดเสร็จตามกำหนด2 ปีอย่างแน่นอน ซึ่งหากไม่ได้มีการก่อสร้างเส้นทางสาย C, D ก็ไม่ได้เกิดผลกระทบต่อโครงการนี้มากนัก