พระเจ้าอยู่หัวท่านทรงหวังให้เปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปดังเช่นการเลิกทาสในสมัยรัชกาลที่ห้า ที่สำเร็จอย่างนิ่มนวลปราศจากการขัดแย้งนองเลือด
มีคำถามนี้อยู่ในใจเหมือนกันว่า ถ้าเรามีประชาธิปไตยแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่นเดียวกับเลิกทาส ก็จะไม่เสียเลือดเนื้อ และคงไม่ล้มลุกคลุกคลานต่อมาอีกหลายสิบปี
แม้แต่วันนี้ก็เถิด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆ ก็ยังมีการเรียกร้องประชาธิปไตยแบบตามใจฉัน และจบลงด้วยการเสียเลือดเนื้อและเศรษฐกิจพังพินาศ จนเกิดคำถามกับตัวเอง ว่าเราเคยมีประชาธิปไตยกันจริงๆด้วยหรือ หรือมีแต่ระบอบรัฐสภาที่เลือกตั้งกันเข้ามาด้วยวิธีการสารพัดรูปแบบ จนกลายเป็นธุรกิจการเมือง
เดี๋ยวจะออกนอกเรื่อง กลับมาที่ปี ๒๔๗๕ ดีกว่าค่ะ
การเลิกทาสในสมัยรัชกาลที่ ๕ ดิฉันมองว่าในช่วงเวลานั้น ฝ่ายคัดค้าน หรือมีอำนาจคานกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นไม่มี ความตึงเครียดกับวังหน้า หรืออำนาจของผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ก็จบสิ้นไปแล้ว ผู้บริหารงานแผ่นดินก็เป็นพระเจ้าน้องยาเธอทั้งหลาย ที่พร้อมจะสนองพระบรมราโชบายไปในทางเดียวกัน พระบารมีจึงแผ่ไพศาล
ในเมื่อทรงเลิกทาสอย่างนิ่มนวล ไม่หักหาญน้ำใจ คนจะหือจะโวยก็เลยไม่มี ขุนนางคนไหนพอใจบ้าง คนไหนไม่พอใจบ้างก็ย่อมสงบเสงี่ยมตามที่ตามทาง ไม่มีผลกระทบอะไรในวงกว้าง
แต่ในรัชกาลที่ ๗ แค่อ่านพระนิพนธ์บันทึกของท่านหญิงพูนฯ เล่มเดียวก็รู้สึกว่าข้างในราชสำนักนั้นปั่นป่วนไม่ใช่เล่น ทำนองสนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อในตน
บุคคลสำคัญที่บริหารงานแผ่นดินเป็นพระหัตถ์ขวาของรัชกาลที่ ๕ อย่างสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ก็ดูเหมือนว่าจะไร้สิทธิ์และเสียงเท่ากับอีกพระองค์หนึ่ง ที่เป็นจุดจุดจุดจุดอยู่ในหนังสือ แล้วพระองค์นั้นก็ไม่ทรงป๊อบปูล่าเอาเสียเลย
ข้อนี้ก็อาจเป็นการบั่นทอนพระบารมีสมเด็จพระปกเกล้าฯ ลงไปไม่มากก็น้อย