สมัยรัฐบาลพล.ร.ต.ถวัลย์นั้น พล.ต.อ.อดุลได้ย้ายจากอธิบดีตำรวจไปเป็นผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.ต.ถวัลย์แต่งตั้งให้พล.ร.ต.สังวร สุวรรณชีพ(หลวงสังวรยุทธกิจ)เป็นอธิบดีตำรวจแทน นายตำรวจสันติบาลมือดีของพล.อ.อดุลก็ดมกลิ่นทหารจะก่อปฏิวัติมาได้ แล้วรายงานตรงยังอธิบดี แต่พล.ร.ต.สังวรกล่าวกับลูกน้องในเชิงว่า เรามันเป็นข้าราชการประจำ ทหารเขาจะเปลี่ยนตัวพวกนักการเมือง เราก็ไม่เกี่ยว จะเปลี่ยนกี่รัฐบาลเราก็ข้าราชการประจำอยู่นั่นเอง เรื่อยไปจนถึง ประชาชนเกลียดรัฐบาล หนังสือพิมพ์ด่าแม่อยู่เรื่อย ถ้าเรารบกับทหารเพื่อป้องกันรัฐบาล จะหาความนิยมจากประชาชนได้อย่างไร
ดังนั้นพล.อ.อดุล ในฐานะผู้บัญชาการทหารบกจึงได้ทราบเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
ก่อนหน้าปฏิวัติประมาณสามเดือน มีงานสังคมสวมหน้ากากงานหนึ่ง เปล่าครับ ไม่ใส่งานบันเทิงที่ต้องแต่งแฟนซีสวมหน้ากากอย่างที่ท่านเคยเห็นในละครทีวีหร็อก แต่เป็นงานพระราชทานเพลิงศพพระยาพหลพลพยุหเสนา อดีตหัวหน้าคณะราษฎร จึงมีพวกผู้ใหญ่ๆที่เป็นตัวละครสำคัญในเรื่องนี้ไปกันครบ ต่างฝ่ายต่างทักทายกันสนิทสนม ทั้งที่ข่าวลือเรื่องทหารจะปฏิวัติหึ่งไปหมด ทุกคนก็ซ่อนใบหน้าอันแท้จริงไว้ภายใต้หน้ากากเปื้อนรอยยิ้มจอมปลอม ที่เสแสร้งให้ดูจริงใจ ปากก็พล่ามคำพูดที่ฟังดูดี มีความสนิทสนม และมิตรภาพ หลังจากนั้น จอมพล ป.ก็ได้เจอกับพล.ร.ต.ถวัลย์อีกในงานเลี้ยงที่บ้านของขุนนิรันดรชัย เศรษฐีที่ดินรายใหญ่ จอมพล ป.ถามหยั่งเชิงว่า ท่านทราบข่าวมาว่าทหารจะปฏิวัติ แล้วนายกทราบบ้างหรือเปล่า พล.ร.ต.ถวัลย์ตอบว่าทราบอยู่เหมือนกัน กำลังคิดจะลาออกอยู่พอดี อาจจะเป็นหลังวันที่11พฤศจิกายนให้ลงนามแก้ไขสนธิสํญญาที่ทำกับอังกฤษเสร็จก่อน
การหยั่งเชิงกันเช่นนี้ มีผลทำให้เกิดปฏิวัติขึ้นจริงๆในสามวันต่อมา
เอาภาพยนต์ข่าวเหตุการณ์ตอนนั้นมาฝากครับ