^
คุณร่วมฤดีถามเหมือนทราบคำตอบ ผมขอให้ท่านอาจารย์เทาชมพูเป็นผู้ขยายก็แล้วกัน ส่วนผมจะตอบคำถามของท่านอาจารย์เทาชมพู
.
.
คนเราเกิดมาตั้งแต่เล็กจนโต ตั้งแต่เด็กจนแก่นั้น ทางพระพุทธศาสนากล่าวว่ามีการเกิดและดับทุกขณะจิต เพียงแต่กระบวนการนั้นเร็วมากจนคนที่ไม่ได้ฝึกมาจะไม่รู้สึก เห็นแต่สันตติ(ความต่อเนื่อง) อันนี้ทางวิทยาศาสตร์อธิบายได้ด้วยการเอาฟิมล์ภาพยนต์มาส่องดู จะเห็นว่าเป็นภาพแต่ละภาพจะมีความแตกต่างกันอยู่ทีละนิดๆ แต่พอฉายเรากลับเห็นแต่ความต่อเนื่อง เพราะเราจับช่วงที่มันขาดตอนไม่ทันนั่นเอง จิตของคนนั้นเมื่อดับไปแล้วเกิดจิตดวงใหม่อย่างรวดเร็วกว่าที่เห็นจากภาพยนต์มาก และจิตดวงใหม่จะมีการเปลี่ยนแปลง ผิดแผกไปกับจิตดวงเดิมเสมอ มีเพียงบางอย่างที่ถ่ายทอดมา บางอย่างก็เลิกละไป ด้วยอิทธิพลของกรรมในขณะนั้น
ลองพิจารณาทบทวนดูให้ดี เราเมื่อตอนเด็กๆมีความแตกต่างกับเราในปัจจุบัน แทบจะว่าเป็นคนละคนกันเลยก็ย่อมได้ รูปธรรมนั้นเปลี่ยนแน่ แต่นามธรรม บางอย่างเท่านั้นที่อาจจะสืบเนื่องไป เช่นความจำบางเรื่อง ซึ่งก็ไม่แน่นอนอีกว่าจะจำได้ตลอดไปหรืออีกนานแค่ไหน ส่วนความคิดความอ่านนั้นต่างกันแน่
จึงเป็นไปได้เรื่องผู้ร้ายกลับใจ หรือผู้ทรงศีลกลายเป็นผู้ทุศีล ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ผู้นั้นนำตนเข้าไปดูดซับอยู่
จึงไม่แปลกว่าหลวงพิบูลกับจอมพลป.จะเป็นคนละคนกันได้ด้วยเหตุนี้ สิ่งแวดล้อมในตอนแรกได้สร้างหลวงพิบูลที่ทะเยอทะยาน เป็นทหารที่ต้องฆ่าศัตรูเพื่อตนจะได้เป็นขุนศึก เป็นนักการเมืองที่ไม่กลัวบาปในการขจัดผู้ที่อยู่ตรงกันข้ามเพื่อตนจะได้เป็นใหญ่ เมื่อหลวงพิบูลกลายเป็นจอมพลป. เกมเดิมๆที่เคยเล่นแล้วได้ผลดีอยู่ ก็ชักจะไม่เที่ยงเสียแล้ว ศัตรูที่จะทำลายจอมพลป.ได้มิใช่คนอื่นไกลเช่นแต่ก่อน แต่เป็นพวกเดียวกันเองที่บางคนอยู่เคียงข้างกายด้วยซ้ำ แน่นอนว่าสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ จิตของคนก็ย่อมเปลี่ยนไป ไม่น้อยก็มาก
โชคดีที่จอมพลป.หันเข้าหาพระ จนมีความคิดที่จะสร้างพุทธมณฑลมาจากพระเจ้าอโศกมหาราช ที่ล้างมืออันเปื้อนเลือดของพระองค์หันมาเป็นพุทธศาสนูปถัมภก นอกจากนั้นแล้ว จอมพลป.ยังมีความคิดที่จะสร้างหนังเรื่ององคุลีมาล เป็นนัยว่าจะบอกใบ้ให้คนไทยทราบว่า ฆาตกรฆ่าคนมาเป็นพันก็ยังสามารถเป็นพระอรหันต์ได้ ท่านไม่ใช่ฆาตกรอย่างนั้นด้วยซ้ำไป โปรเจคนี้ผมไม่ได้ว่าเรื่อยเปื่อย ท่านมีความคิดที่จะส่งอาจารย์กรุณา กุศลาสัยไปทำการวิจัยเพื่อเขียนบทเรื่องนี้ที่อินเดียด้วย เพียงแต่ยังทันได้ดำเนินการเท่านั้น
ผู้ที่ขี่หลังเสืออยู่ เมื่อเหนื่อยล้า ย่อมหาจังหวะที่จะกระโดดหนี แม้จะต้องโดนเสือกัดบ้างก็ขออย่าให้ถึงตาย คนส่วนมากอาจจะดูว่าจอมพลป.ท่านรอดมาแล้วย่อมไม่อยากกลับไปรนหาที่อีก แต่ผมเชื่อว่าถ้าท่านรู้แพ้รู้ชนะ รู้ละ แล้ววาง ใจเป็นเด็ดเป็นขาดตั้งแต่ตอนขับรถลงจากเวทีไม่ได้คิดกลับไปลุ้นให้บ้านเมืองวุ่นวายอีก
อยากฟังความเห็นของคุณนวรัตน ว่าในสายตาคุณ จอมพลป.เป็นผู้ร้ายหรือพระเอก
ชีวิตคือละครโรงใหญ่ ผู้ที่เล่นเป็นนักการเมืองมีบทให้แสดงอยู่ 8 ประเภทในความเห็นของผม
1 มาอย่างพระเอก ไปอย่างพระเอก
2 มาอย่างพระเอก ไปอย่างจืดๆ
3 มาอย่างพระเอก ไปอย่างผู้ร้าย
5 มาอย่างจืดๆ ไปอย่างจืดๆ
6 มาอย่างผู้ร้าย ไปอย่างพระเอก
7 มาอย่างผู้ร้าย ไปอย่างจืดๆ
8 มาอย่างผู้ร้าย ไปอย่างผู้ร้าย
จอมพลป.ท่านได้รับบทให้โน้มน้าวใจคนดูว่า
มาอย่างผู้ร้าย ไปอย่างพระเอกส่วนจอมพลสฤษดิ์ได้รับบทให้โน้มน้าวใจคนดูว่า
มาอย่างพระเอก ไปอย่างผู้ร้ายส่วนจริงๆแล้ว ชีวิตของท่านทั้งสองที่อยู่นอกบทอาจจะเป็นอีกเรื่องนึง ในฐานะที่เป็นปุถุชนที่มีทั้งความชั่วและความดีเหมือนกับคนอื่น และอาจมีอีกหลายเรื่องที่ผมไม่ทราบ จึงไม่สามารถฟันธงว่าสรุปบวกลบคูณหารกันแล้ว ใครเป็นพระเอกหรือผู้ร้าย
เป็นหน้าที่ที่ท่านผู้อ่านจะใช้วิจารณญาณส่วนบุคคล วินิจฉัยกันเอาเองนะครับ