กระทู้: ขอความรู้เกี่ยวกับกรมพระยานริศฯ เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 29 มี.ค. 10, 14:06 8)
หากท่านใดมีข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับนายช่างใหญ่แห่งกรุงรัตนโกสินทร์พระองค์นี้ กรุณาช่วยแบ่งปันความรู้หน่อยค่ะ ดิฉันได้อ่านพระประวัติของพระองค์ท่านคร่าวๆ รู้สึกนับถือพระอัจฉริยภาพของพระองค์มาก อยากตามหาอ่านต่อโดยละเอียดก็ไม่ว่าจะไปหาที่ไหน และสนใจวังท่าพระกับวังปลายเนินมาก ทราบมาว่ามีการจัดงานรำลึกถึงพระองค์ท่านที่วังปลายเนิน ไม่ทราบว่าจัดทุกปีหรือไม่ วันอะไร และคนนอกสามารถ จะเข้าร่วมงานได้หรือไม่คะ กระทู้: ขอความรู้เกี่ยวกับกรมพระยานริศฯ เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 29 มี.ค. 10, 23:41 ดีใจที่มีคนเห็นค่ากรมพระยานริศครับ
เคยมีการพูดกันเล่นๆในวงอาหาร ว่าถ้าอะไรก็ตามที่ชื่อ 'ศิลปากร' เปลี่ยนแก่นความคิด จากยึดถือเอาหลวงวิจิตร คุณธนิต และกรมพระยาดำรงเป็นมาตรฐานมาเป็นกรมพระยานริศได้(คนเดียวก็พอ) ประเทศไทยจะสงบสุขขึ้นอีกโขเชียวครับ ปล. แนะนำให้ลองหา บันทึกความรู้เรื่องต่างๆ 5 เล่ม สาส์นสมเด็จ และ จดหมายเหตุระยะทางทั้ง 3 เล่มอ่านดูครับ ลองหาจากเวบห้องสมุดมหาวิทยาลัยใหญ่ๆดูเพิ่มเติมได้ครับ กระทู้: ขอความรู้เกี่ยวกับกรมพระยานริศฯ เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 30 มี.ค. 10, 01:26 ขอบพระคุณค่ะ ที่บอกทางให้แกะรอยต่อไปได้ถูก ดิฉันตั้งใจไว้ว่าจะแต่งนิยายที่โยงไปพูดถึงอัจฉริยภาพของพระองค์ท่านค่ะ
คงไม่ถือเป็นการบังอาจที่นักเขียนขั้นเตาะแตะคนหนึ่ง จะคิดการใหญ่ เพราะคิดการใหญ่แต่ใฝ่ดี ไม่ถือว่าผิด จริงไหมคะ :P กระทู้: ขอความรู้เกี่ยวกับกรมพระยานริศฯ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 มี.ค. 10, 07:56 อ้างถึง เคยมีการพูดกันเล่นๆในวงอาหาร ว่าถ้าอะไรก็ตามที่ชื่อ 'ศิลปากร' เปลี่ยนแก่นความคิด จากยึดถือเอาหลวงวิจิตร คุณธนิต และกรมพระยาดำรงเป็นมาตรฐานมาเป็นกรมพระยานริศได้(คนเดียวก็พอ) ประเทศไทยจะสงบสุขขึ้นอีกโขเชียวครับ ถึงแม้ว่าเป็นการพูดเล่นในวงอาหาร คนนอกอย่างดิฉันได้ยินก็รู้สึกว่าไม่สมควร การยกย่องบุคคลหนึ่งโดยเหยียบอีกคนหนึ่งหรือหลายคนลงไป ไม่ใช่วิสัยของปัญญาชน โดยเฉพาะถึงขั้นว่า "ประเทศไทยจะสงบสุข" ถ้าทำตามนี้ละก็ ฟังแล้วยิ่งรับไม่ได้ ถ้าสองคนและหนึ่งองค์ที่วงอาหารของคุณเหยียบลงไป ก่อความเสียหายถึงขนาดนั้น คุณก็น่าจะชี้แจงด้วยเหตุผลว่า ท่านทำอะไรลงไปบ้าง สมควรจะถูกประณาม คนที่เขาอยู่ในวง "ศิลปากร" จะได้มีโอกาสชี้แจงแสดงเหตุผลบ้าง หากว่าเขาผ่านมาเห็นกระทู้นี้ กระทู้: ขอความรู้เกี่ยวกับกรมพระยานริศฯ เริ่มกระทู้โดย: Kurukula ที่ 30 มี.ค. 10, 08:31 กรมนริศนั้น พระองค์ก็ทรงมีผลงานทางการช่างมากเหลือเกิน เสียดายที่ท่านไม่มีบทบาททางการเมือง ใครต่้อใครจึงหลงลืมพระองค์ไป
แต่อีกประการหนึ่งก็คือ กรมศิลปากรดำรงอยู่ได้ และมีบทบาทการจัดการทางวัฒนธรรมในแนวที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่ว่าไปยึดมั่นถือมั่นในคนใดหรือพระองค์ใด หรือเอาอะไรเป็นมาตรฐาน แต่ไปอยู่ที่คนส่วนหนึ่งที่ "ไม่เคยยึดถือใครเลยเป็นมาตรฐาน" ยกเว้นตัวเขาเอง เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอัตตาหรือความถือดีใดๆ แต่เป็นเรื่องน่าสงสารกว่านั้น บุคคลทั้งสามท่านที่คุณติบอออกชื่อมานั้น เขาไม่เคยพยายามเข้าไปสัมผัส หรือทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเลย ไม่ใคร่เห็นด้วยถึงการพาดพิงทั้งสามท่าน เพราะไม่เคยเห็นใครในสมัยนี้ยกย่องท่านขึ้นมาเป็นมาตรฐานจริงๆ กระทู้: ขอความรู้เกี่ยวกับกรมพระยานริศฯ เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 30 มี.ค. 10, 23:17 ผมคงต้องขอโทษท่านอาจารย์เทาชมพูและผู้อ่านท่านอื่นๆที่รู้สึกว่าวงอาหารของผมเหยียบลงบนปราชญ์สองท่านและเสด็จในกรมอีก 1 องค์นะครับ
โดยส่วนตัวสิ่งที่การสนทนาในวันนั้นของผมพูดถึงไม่ได้อยู่ที่คนที่ตายไปแล้ว เพราะท่านลุกขึ้นมาแก้ต่างให้คนปัจจุบันไม่ได้ แต่อยู่กับคนปัจจุบันที่ไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลให้แน่ชัดก่อนนำออกมาใช้ และไม่ใช่แต่เพียงอะไรก็ได้ที่มีชื่อว่าศิลปากร แต่หมายถึงคนไทยทั่วๆไปทั้งประเทศ ที่มีทั้งกรมศิลปากรและมหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นผู้นำส่วนหนึ่งในสังคมกลุ่มนี้(ยกเว้นว่าเขาจะไม่อยากเป็นผู้นำนะครับ) สำหรับผมเองปราชญ์ทั้งสามท่านรวมทั้งกรมพระยานริศก็ฝากผลงานไว้ให้เป็นครูของผมทั้งนั้นครับ เช่นเดียวกับอาจารย์ผู้ใหญ่อีกหลายท่าน ผมไม่เคยมีจุดประสงค์จะล่วงเกินตัวบุคคลแม้แต่น้อย แต่ก็คงต้องเรียนเพิ่มเติมอีกว่า ผมเชื่อว่าการเคารพครูโดยพูดตามครูอย่างมิได้ไตร่ตรองให้รอบคอบก็มิใช่วิสัยของปัญญาชนเช่นกัน เพราะครูแต่ละท่านที่ทำงานทิ้งไว้ให้เราอ่านท่านก็มีเหตุผลและข้อมูลสนับสนุนเท่าที่เวลาของท่านจะเอื้ออำนวย องก์ความรู้เมื่อร้อยปีก่อนกับความรู้ในปัจจุบันก็แตกต่างกันมากขึ้นทุกวินาที และถ้าใครรู้จักกับงานเขียนของปราชญ์ทั้ง 4 ท่านมากพอ ก็คงจะเห็นได้ในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าข้อความของกรมพระยานริศเป็นส่วนที่ได้รับการอ้างอิงน้อยกว่าส่วนอื่นๆอย่างที่คุณ kurukula ว่าไว้ ทั้งๆที่พระวินิจฉัยของท่านในหลายๆเรื่องยังคงไม่ล้าสมัยอยู่ในทุกวันนี้ หากสังคมไทยจะหยิบยกขึ้นมาใช้(ไม่ใช่สักแต่พูดๆไปอย่างยอพระเกียรติ) ก็จะเป็นสิ่งที่ดีขึ้นอีกมากครับ ผมขออนุญาตถือวิสาสะยกข้อความบางส่วนจากลายพระหัตถ์ส่วนพระองค์ที่กรมพระยานริศทรงมีไปถึงหม่อมเจ้าหญิงพิลัยเลขา ลงวันที่ 18 เมษายน 2479 ขึ้นมาสนับสนุนคำพูดของอาจารย์เทาชมพูว่า "...เธอตัดสินฝีมือช่างพะม่ากับช่างไทยว่าไทยดีกว่านั้น เปนการตัดสินอย่างไม่เข้าใครออกใครอยู่หน่อย... ...แท้จริงจะเอาช่างต่องช่างเข้าเทียบฝีมือกันนั้นไม่ได้ ช่างไทยดีที่สุดก็มี เลวที่สุดก็มี พะม่าก็เช่นเดียวกัน แล้วจะจับคู่เข้าแข่งขันกันฉันใดเล่า..." ถ้าลองมองย้อนมาดูสังคมไทยปัจจุบันกัน ทำไมความคิดทางศิลปศาสตร์ที่ถูกปลูกฝังไว้กับสังคมไทยตั้งแต่เป็นเยาวชนยังเห็นว่า "พระสุโขทัยนั้นงามที่สุด" หรือ "บทเห่ของเจ้าฟ้ากุ้งนั้นไพเราะที่สุด" อยู่ล่ะครับ ? แล้วถ้าเป็นไปเช่นนี้ไทยจะไม่ดีกว่าพม่าอย่างที่เสด็จท่านทรงเตือนไว้หรือครับ ? หวังว่าอาจารย์เทาชมพูและสมาชิกท่านอื่นๆที่ได้อ่านมาถึงตรงนี้จะเข้าใจผมบ้าง เพราะผมไม่เคยมีจุดประสงค์จะเหยียบลงบนคนคนไหน แต่กำลังพูดถึงชิ้นงานที่แต่ละท่านได้ทำออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่คนไทยทุกวันนี้กำลังผลิดขึ้นอยู่โดยมีชิ้นงานของท่านเป็นพื้นฐานทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวนะครับ ส่วนผู้อ่านท่านไหนมิได้เป็นอย่างที่ผมพูดถึงไว้โดยรวมๆ ผมเชื่อว่าแม้ท่านจะทำงานอยู่ในองค์กรที่ผมได้ออกชื่อไปแต่ความไม่เหมาะไม่ควรในคำพูดของผมก็ไม่สามารถหมายถึงท่านอยู่แล้วครับ หวังใจว่าท่านจะให้อภัยในข้อความทั้งหมดนี้นะครับ เพราะผมเชื่อว่าเมื่อท่านมีความคิดอย่างรอบคอบในการดำเนินชีวิตมาแล้วท่านก็ย่อมจะมีจิตใจที่กว้างขวางเป็นพื้นฐานครับผม กระทู้: ขอความรู้เกี่ยวกับกรมพระยานริศฯ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 มี.ค. 10, 10:35 คุณติบออาจจะต้องใช้เวลา ทบทวนความคิดของตนเองและผู้อื่นอีกหลายๆปี แล้วจะค่อยๆเข้าใจขึ้นเอง ว่าความคิดอย่างรอบคอบในการดำเนินชีวิต มาถึงตามประสบการณ์เมื่อใด คุณก็ย่อมจะมีจิตใจที่กว้างขวางเป็นพื้นฐานขึ้นมาเอง
เช่นอย่าไปด่วนตัดสินว่า การยึดสมเด็จกรมฯนริศขึ้นมาแทนคุณหลวงวิจิตร คุณธนิต และสมเด็จกรมฯดำรง แล้วจะประเทศชาติจะสงบสุขกว่า ก็ตัวอย่างที่คุณยกมาจากสมเด็จกรมฯนริศ ท่านเองก็ยังไม่เหมารวมเลยว่า งานช่างไทยดีกว่าพม่า หรือพม่าดีกว่าไทย ท่านไม่อยากให้เปรียบเทียบ อ้างถึง "...เธอตัดสินฝีมือช่างพะม่ากับช่างไทยว่าไทยดีกว่านั้น เปนการตัดสินอย่างไม่เข้าใครออกใครอยู่หน่อย... ...แท้จริงจะเอาช่างต่อช่างเข้าเทียบฝีมือกันนั้นไม่ได้ ช่างไทยดีที่สุดก็มี เลวที่สุดก็มี พะม่าก็เช่นเดียวกัน แล้วจะจับคู่เข้าแข่งขันกันฉันใดเล่า..." ฉันใดก็ฉันนั้น นักปราชญ์ทั้ง ๒ ท่านและ ๒ องค์ที่คุณยกมาเปรียบว่าสามสู้หนึ่งไม่ได้ ก็คงมีบางเรื่องที่ใครคนหนึ่งมีผลงานดีกว่าอีกคน และด้อยกว่าอีกคนก็ย่อมจะมีเรื่องไหนสมเด็จกรมฯนริศท่านเลิศกว่าใครเพื่อน ก็ยกขึ้นมาให้เห็นกัน อย่างนี้จะเป็นการเชิดชูท่านดีกว่าไปเปรียบเทียบเหวี่ยงแห ดิฉันก็อยากจะอ่านเหมือนกัน ส่วนเรื่องพระพุทธรูปสุโขทัยหรือพระนิพนธ์เจ้าฟ้ากุ้งที่คุณยกมา ในส่วนตัวดิฉันก็เห็นตามนั้น จะเอาไปซักถามที่ไหนดิฉันก็ยังเห็นพระพุทธรูปสุโขทัยงามกว่ายุคอื่นจริงๆ พระนิพนธ์เจ้าฟ้ากุ้งดิฉันก็ว่าไพเราะกว่ากาพย์เห่เรือของทุกยุค สมมุติว่ามีคนจำนวนมากในประเทศเห็นอย่างดิฉัน มากกว่าคนที่เห็นต่างจากดิฉัน แล้วจะไม่ให้แสดงความคิดแบบนี้ออกมาหรือ หรือต่อให้ใจคิดยังไงก็ต้องยืนยันว่า "เปรียบเทียบกันไม่ได้" อยู่ดี งั้นศิลปะมันก็เท่ากันไปหมดน่ะซีคะ กระทู้: ขอความรู้เกี่ยวกับกรมพระยานริศฯ เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 01 เม.ย. 10, 01:45 กราบขอบพระคุณอาจารย์เทาชมพูครับ ที่ยังเห็นว่าโรคคิดไม่รอบคอบของผมใช้เวลาพิจารณาอีกหลายปีอาจจะมีทางรักษาหาย
ขออนุญาตเรียนชี้แจง 2 เรื่องครับ (ที่คิดว่าผู้อ่านอาจจะรำคาญที่จะรับฟัง) เนื่องจากสำหรับผม งานวิชาการกับการเสพความงามทางศิลปะเป็นคนละเรื่องกัน ถ้าความคิดตามระเบียบวิธีวิจัย คือการตั้งสมมุติฐาน รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์และอภิปรายผลตามลำดับ นักวิชาการแต่ละท่านก็ย่อมมีบทวิเคราะห์ที่มีอคติต่อชิ้นงานไม่เท่ากันครับ และเมื่อลองเปรียบเทียบดูแล้วในแต่ละเรื่องแต่ละบทแต่ละตอน ก็อาจจะทราบได้ว่าท่านไหนมีความคิดที่รอบคอบมากกว่าท่านไหนไม่ยากนัก ที่ผ่านมากรมพระยานริศเป็นปราชญ์ที่ถูกสังคมไทย(ส่วนใหญ่)ละเลยครับ งานเขียนและคำสอนที่ผ่านมาจากสถานศึกษาสองสามแห่งที่มีประวัติขึ้นกับกรมศิลปากรเป็นหลัก มักจะยึดเอาแนวคิดตามทางเดินที่อดีตอธิบดีธนิต และหลวงวิจิตรวาทการปูพื้นไว้ให้เป็นใหญ่ (ลองคิดดูง่ายๆว่าที่กรมศิลปากรถูกตั้งขึ้นมาก็เนื่องจากรัฐบาลยุบกรมมหรสพหลวงทิ้งไปนี่ครับ) ส่วนแบบเรียนประวัติศาสตร์จากกระทรวงศึกษาธิการและสังคมไทยก็จะไปตกอยู่กับกรมพระยาดำรงเป็นหลักเช่นกัน และหลายเรื่องก็ไม่เป็นจริงไปในปัจจุบันแล้ว เช่น เรื่องที่ว่าพระปฐมเจดีย์เป็นเจดีย์องค์แรกของประเทศไทย เพราะอย่างน้อยที่สุด แค่ย้อนกลับไปเพียงยุคปลายกรุงศรีอยุธยาพระปฐมเจดีย์ก็ไม่ได้ชื่อพระปฐมเจดีย์เสียแล้วครับ ในเมื่อแก่นทางความคิดเดิมมีวี่แววว่าจะง่อนแง่นในการดำเนินต่อไปในอนาคต เราก็อาจจะต้องหาแก่นทางความคิดอื่นมาปรับใช้เพื่อให้แก่นเดิมยังดำเนินต่อไปได้ ซึ่งผมก็ยังไม่เห็นว่าในรอบร้อยปีที่ผ่านมาจะมีปราชญ์องค์ไหนหรือท่านไหนทิ้งบทวิเคราะห์ที่มีค่าไว้ให้เรามากเท่าเจ้าฟ้านริศครับ เรื่องที่สอง การเสพความงามทางศิลปะเป็นเรื่องของอัตตวิสัยครับ ความประทับใจในชิ้นงานไหนๆก็เป็นความประทับใจส่วนบุคคล ไม่สามารถนำของใครมาเป็นตัวแทนกันได้ ศิลปะถูกสร้างขึ้นจากการแสดงออกของมนุษย์ โดยมีข้อจำกัดหลวมๆจากบริบททางสังคม ศิลปะในสังคมแต่ละยุคสมัยก็มีหน้าตาแตกต่างกันไปตามภาวะแวดล้อมทางสังคมอื่นๆ แต่ถ้ามองลงไปถึงเนื้องานแล้ว ไม้แกะสลักก็ย่อมเป็นไม้แกะสลัก หรือบทกวีก็ยังเป็นบทกวีครับ จะแตกต่างชั่วดีก็อยู่ที่ความคิดที่รอบคอบ และความตั้งใจในการทำงานเป็นหลัก (ดังที่กรมพระยานริศท่านว่าช่างที่ชั่วที่สุดก็มี ดีที่สุดก็มีครับ) ในเมื่องานที่ดีที่สุดจากต่างยุคสมัยกันมีรูปลักษณ์ไม่เหมือนกัน เพราะสภาพสังคมนั้นแตกต่างกัน ก็คงไม่สามารถจะไปตัดสินได้นี่ครับว่างานชิ้นไหนดีกว่ากันครับ การจะลุกขึ้นเอาเสียงส่วนมากมาเป็นตัวแทนของทั้งหมด ก็ย่อมจะเท่ากับเป็นการปฏิเสธว่าเสียงส่วนน้อยที่เหลือมีตัวตนอยู่นะครับ โดยส่วนตัวผมมองว่าการทำเช่นนี้ก็ย่อมจะเท่ากับการถือเอาระบบเป็นใหญ่ แล้วลุกขึ้นมาผูกขาดทางความคิด และแสดงให้เห็นว่าระบอบประชาธิปไตยนั้นล้มแหลวนับแต่ขั้นพื้นฐานที่สุด คือการสร้างคนในระบบการศึกษาครับ เพราะแทนที่ผู้เข้ามาพึ่งระบบจะได้วิธีคิดและการทำความเข้าใจในสิ่งรอบตัว เขาก็จะได้โฆษณาชวนเชื่อจากระบบไปแทน แต่ถ้าจะปรับคำพูดเสียใหม่เป็นการอธิบายว่าสำหรับผู้พูดนั้นชื่นชมศิลปินคนไหนมากที่สุด เพราะเหตุใด ผมก็ยังเห็นว่าเหมาะและควรครับ เพราะเป็นการอธิบายความรู้สึกของตนเองเช่นที่นักเสพศิลปะที่ดีพึงกระทำ โดยไม่ไปถือครองเอาความคิดของคนส่วนใหญ่เป็นตัวแทนคนทั้งหมดครับ เพราะถ้าทำเช่นนั้นไปแล้วก็เท่ากับว่าระบบได้สร้างคนชายขอบขึ้นด้วยความคับแคบของระบบเองครับ จะดีกว่าไหมครับถ้าระบบจะมีพื้นที่ไว้ให้กับความแตกต่างทางสังคมด้วย ลองคิดดูเล่นๆว่า ถ้าเราจะถือเอาเสียงส่วนมากเป็นตัวแทนของสังคมแล้ว ละครโทรทัศน์ก็คงจะเหลือแต่น้ำเน่า และข่าวก็น่าจะมีแต่รายการนินทาดาราหรือคนดังในสังคม แทนที่ข่าวอื่นๆ เพราะมีเรตติ้งคนดูที่สูงที่สุดมิใช่หรือครับ ขอบพระคุณสำหรับพื้นที่ที่เรือนไทยยังเปิดไว้ให้กับคำชี้แจงของคนชายขอบเช่นผม ครับผม กระทู้: ขอความรู้เกี่ยวกับกรมพระยานริศฯ เริ่มกระทู้โดย: Kurukula ที่ 01 เม.ย. 10, 08:55 ผมคิดว่าการตัดสินว่าศิลปะชิ้นไหนงามที่สุด ก็ไม่ได้เป็นผลงานของกระทรวงศึกษาเสมอไปนะครับ ถ้าเอาตัวเองเป็นที่เปรียบ ผมเองก็ไม่เคยถูกสอนมาว่าศิลปะสุโขทัยงามที่สุด ตรงกันข้าม ตอนที่ผมเรียนศิลปะในชั้นมัธยมต้น ครูท่านกลับยกย่องพระอวโลกิเตศวรที่ไชยาด้วยซ้ำไป
ส่วนบทกวีนั้น ผมไม่เคยเรียนเจ้าฟ้ากุ้งเลยครับ (หรืออาจจะหลงลืมไปตามกาลเวลา) แต่จำได้ว่าช่วงเวลาที่เรียนภาษาไทย อาจารย์ภาษาไทยของผมกลับยกย่องลิลิตเตลงพ่าย และผมเชื่อว่าเราเรีัยนภาษาไทยในหลักสูตรมาสิบกว่าปี มีบทกวีหลากหลายในอ่าน ไม่มีใครบังคับได้แน่ๆว่าจะต้องชอบเจ้าฟ้ากุ้ง เวลาสิบกว่าปีมันมากเหลือเกิน ฟุ่มเฟือยเกินกว่าการจะสอนแบบยัดเยียดครับ คุณติบอบอกว่าตัวเองเป็นคนชายขอบ อาจจะทางความคิดหรือสัมปชัญญะก็แล้วแต่ หมายความว่าคุณเลือกจุดยืนของตัวเองแล้ว ก็เป็นเรื่องที่คุณควรจะรักษาตำแหน่งแห่งที่ของตัวเองไว้ อย่าให้ใครมาเป็นตัวเราได้ กระทู้: ขอความรู้เกี่ยวกับกรมพระยานริศฯ เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 เม.ย. 10, 09:50 ทฤษฎีปรัชญาที่ว่าความงามเป็นอัตวิสัย หรือภววิสัย ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ตั้งแต่เพลโตมาจนถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกับคำถามว่า สัจธรรมเป็นอัตวิสัยหรือภววิสัย
ส่วนในสาขาวิจิตรศิลป์ ซึ่งรวมวรรณคดีด้วย มีการจัดระดับงานชั้นเยี่ยมและงานชั้นรอง มาแต่ไหนแต่ไร ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ การประกวดงานศิลปกรรมคงเกิดไม่ได้ ศิลปินที่ได้รางวัล ก็จะไม่มี มติของกรรมการซึ่งถือเสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก ก็จะใช้ไม่ได้ เพราะเท่ากับปฏิเสธเสียงกรรมการส่วนน้อย คุณติบอต้องแยกให้ออกระหว่างการประทับใจเป็นส่วนบุคคล กับการตัดสินโดยเสียงส่วนใหญ่ ถ้าคุณจะชื่นชมงานสลักไม้แถวถนนประชาราษฎร์ ว่าสวยสุดๆ ก็ไม่มีใครค้านความชื่นชมส่วนตัวของคุณได้ แต่ถึงขั้นบอกว่า ไม่อาจยกย่องตู้พระธรรมวัดเซิงหวายว่าดีกว่า เอามาเปรียบไม่ได้ งานศิลปะแต่ละชิ้นก็ดีกันคนละอย่าง อย่างนี้ดิฉันว่าไม่ถูกแล้วค่ะ ย้อนกลับมาเรื่องสมเด็จกรมพระยานริศฯ ไหนๆคุณก็ถือหลักว่า จะเสพความยอดเยี่ยมในพระอัจฉริยภาพของท่าน ก็ควรเจริญรอยตามหลักการของสมเด็จฯ ที่ว่าศิลปะไทยกับพม่า ไม่ควรเอามาเปรียบว่าใครดีกว่ากัน คืออย่าเอาท่านไปเปรียบกับนักปราชญ์อื่น ว่าใครดีกว่าใคร ใครผิดที่ยกองค์ไหน ท่านไหนขึ้นมาเป็นแบบเรียน มากกว่าท่าน เสียเวลาเปล่า จะอ้างคนชายขอบหรืออะไรก็อยู่นอกเส้นทางมากไป ถ้าสนใจก็ทำกระทู้นี้ให้เป็นตัวอย่างผลงานดีๆของท่าน อธิบายมาให้คนอื่นๆเขาได้รู้บ้างดีกว่า บอกแต่สั้นๆว่าท่านเก่ง คนนอกเขาก็ไม่เข้าใจมากกว่านี้หรอกค่ะ กระทู้: ขอความรู้เกี่ยวกับกรมพระยานริศฯ เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 02 เม.ย. 10, 06:42 ขอบพระคุณสำหรับคำตอบครับอาจารย์ มีเรื่องต้องเรียนเพิ่มเติมสำหรับคนอ่านกระทู้สองสามเรื่องครับ
เรื่องแรกสำหรับผม ผมเรียนไปแล้วในความคิดเห็นก่อน ว่าชิ้นงานประกอบด้วยความสามารถในเชิงช่างของผู้ประดิษฐ์ชิ้นงาน กับความประทับใจส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวกัน ถ้าจะเปรียบเทียบชิ้นงาน สำหรับประการแรกก็ไม่ยาก แต่ประการหลังคงเป็นไปไม่ได้ การประกวดงานศิลปกรรมประเภทไหนๆก็คงตัดสินไม่ได้อีกเช่นกันครับ เพราะถ้าไม่วัดกันแบบนี้แล้วกรรมการหลักสูตรจะยอมให้การเรียนการสอนศิลปะหลักสูตรผ่านได้หรือครับ ? ดังนั้นศิลปะฝีมือเอกๆจะเอาไปเปรียบเทียบกับฝีมืออ่อนๆก็ใช่ที่ เพราะอยู่กันคนละชั้น เป็นต้นว่าเพลงยาวของเจ้าฟ้ากุ้งก็คงจะเอาไปเปรียบกับกลอนฝีมืออ่อนๆที่ไหนไม่ได้ เพราะฝีมืองานห่างชั้นจนเกินไป แต่หากจะเปรียบเทียบกับอุรรุทร้อยเรื่องของคุณสุวรรณ สำหรับผม(ซึ่งไม่เคยคิดว่าท่านเสียสติ) ผมเห็นว่ามีฝีมือไม่ย่อหย่อนกว่ากัน ถึงกระนั้นก็ยังเปรียบเทียบความงามกันไม่ได้ เพราะกลอนจีบสาวเพ้อๆ กับกลอนนินทานางในเล่นเพื่อน ที่แฝงมาในรูปของกลอนบทละครตลกๆ ก็ยังมีจุดประสงค์ในการแต่งคนละอย่างกันครับ สำหรับงานเขียนของสมเด็จฯ กรมพระยานริศ ถ้าจะพูดถึง คงต้องเริ่มต้นที่การเมืองไทยในยุคที่ผ่านมา ตั้งแต่หลังยุคล่าอาณานิคมจนราวๆ พ.ศ. 2500 ต้นๆ การแทรกแทรงทางการเมืองเกิดขึ้นตลอดเวลาครับ เมื่อปราชญ์แต่ละท่านจะผลิตชิ้นงานขึ้นเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ออกไป ท่านก็จะต้องระวังตัวกันแจ เป็นต้นว่า ถ้าต้องการให้นครปฐมเก่าถึงสมัยพระเจ้าอโศกจริง กรมพระยาดำรงอาจจะต้องปฏิเสธพงศาวดารบางฉบับของภาคเหนือ ที่อ้างถึงพระเจ้ากาฬวรรณดิศราชสร้างเมืองโบราณนครปฐมหลัง พ.ศ. 1000 มาแล้ว เป็นต้น ถ้าพูดกันแบบนี้ ฝีมืองานของกรมพระยานริศก็อยู่คนละชั้นกับปราชญ์ท่านอื่นๆครับ เพราะท่านไม่ได้เขียนหนังสือเพื่อนำมาตีพิมพ์ ในขณะที่ผลงานของอีก 3 ท่านเขียนเพื่อตีพิมพ์เป็นหลัก (อาจจะเทียบกับกรมพระยาดำรงบ้าง ในสาส์นสมเด็จ เพราะท่านเขียนจดหมายคุยกัน) แต่คนในรุ่นหลัง พ.ศ. 2500 ลงมาโชคดีมากนะครับ ที่ลูกหลานของท่านนำงานเขียนของท่านออกมาตีพิมพ์ เพราะฉะนั้น สำหรับผมถ้าจะไม่เปรียบเทียบฝีมืองานระหว่างปราชญ์ทั้ง 3 ท่าน ก็ไม่ใช่เพราะความประทับใจครับ แต่เป็นเพราะว่าฝีมืองานและกรอบทางสังคมที่ล้อมตัวท่านไว้ในงานแต่ละชิ้นกว้าง-แคบไม่เท่ากัน แล้วถ้าเป็นอย่างนี้.... เมื่อไหร่สังคมไทยยุคที่ปฏิเสธว่าเราไม่มีกรอบทางสังคมมาบังคับการผลิตงาน จะลุกขึ้นหยิบงานเขียนฝีมือเอกๆขึ้นอ่านซะทีล่ะครับ ? เรื่องสุดท้าย ผมเห็นว่ากระทู้นี้มีคนอ่านค่อนข้างมาก (แต่ประเด็นอาจจะร้อนไปหน่อย เลยไม่ค่อยมีคนเข้ามาตอบกัน) ขออนุญาตเรียนว่างานเขียนก็เหมือนงานศิลปะประเภทหนึ่ง ผมจึงขออนุญาตไม่หยิบเอางานของเจ้าฟ้านริศขึ้นมาเล่าใหม่นะครับ เพราะต้องการให้ผู้สนใจได้เสพอรรถรสของชิ้นงานด้วยตัวของท่านเองจะดีกว่า แต่หากผู้อ่านท่านไหนมีเรื่องที่สนใจอยู่แล้วเป็นพิเศษ เช่น ดนตรี ละคร สถาปัตยกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม งานพระบรมศพ หรือ งานประณีตศิลป์อื่นๆ และนึกไม่ออกว่าควรจะอ่านงานเขียนของท่านเล่มไหนส่วนไหน (เพราะทั้งหมดที่ตีพิมพ์ออกมา ถ้าไม่ใช่จดหมายถาม-ตอบ ก็จะเป็นบันทึกส่วนพระองค์) ผมอยากขอเรียนว่าท่านสามารถเข้ามาถามคำถามทิ้งเอาไว้ได้ครับ เนื่องจากสมาชิกเรือนไทยที่เป็นนักอ่านมีอยู่หลายท่านครับ และจากกระทู้ที่ท่านเขียนทิ้งไว้ให้พวกเราได้อ่านกัน ผมอ่านแล้วก็เชื่อว่าแต่ละท่านก็ไม่ใช่คนใจคอคับแคบแต่อย่างใด เชื่อว่าท่านจะได้คำแนะนำว่าควรอ่านในส่วนไหนในเวลาไม่นานนัก เพราะอย่างน้อยผมก็เป็นคนหนึ่งที่พยายามจะหาคำตอบให้ท่านเท่าที่ทำได้ (ถ้านึกออก) แต่ถ้านึกไม่ออกผมก็หวังแต่ว่าจะมีคนอื่นๆพอจะนึกให้ท่านได้บ้างครับ ขอบพระคุณครับ |