naitang
|
ความคิดเห็นที่ 1185 เมื่อ 14 ก.ย. 18, 19:34
|
|
สำหรับการใช้ในเรื่องเกี่ยวกับสัตว์นั้น ผมไม่มีข้อมูลเลยเกี่ยวกับการใช้ใดๆเลย ก็เพียงแต่คิดว่า ดินขี้แดดนี้น่าจะเหมาะสำหรับสัตว์ในตระกูลที่โดยธรรมชาติแล้วต้องหากินดินโป่ง (วัว ควาย ...)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 1186 เมื่อ 15 ก.ย. 18, 17:42
|
|
แล้วเกลือสินเธาว์ที่ชาวบ้านแต่ก่อนเขาทำกันนั้น จะดีหรือแย่กว่าเกลืออื่นไหม ?
ในความเห็นบนพื้นฐานทางวิชาการของผม ผมเห็นว่าก็น่าจะดีกว่าเกลือผงที่ถูกทำให้มีความบริสุทธิ์มากขึ้น แต่กับเกลือสมุทรนั้นตอบยาก สำหรับส่วนที่ไม่ดีที่สุดของเกลือสินเธาว์ก็คงจะมีอยู่เรื่องเดียวคือเรื่องของไอโอดีน
เกลือสินเธาว์ที่ชาวบ้านทำกันแต่โบราณนั้น ใช้วิธีกวาดคราบเกลือ(ปนดิน)บนผิวดิน เอามาละลายน้ำ แยกตะกอนดินออกไป แล้วต้มเพื่อให้ได้ผลึกเกลือ เกลือที่ได้ก็แน่นอนว่าจะไม่ขาวสะอาด ซึ่งแสดงถึงมีสิ่งเจือปนอยู่มากมาย ก็น่าจึงสนใจอยู่ว่าสิ่งเจือปนเหล่านั้นจะมีคุณประโยชน์อยู่บ้างใหม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 1187 เมื่อ 15 ก.ย. 18, 18:10
|
|
คราบเกลือบนผิวดินนั้นได้มาจากน้ำเกลือที่ซึมผ่านชั้นดินขึ้นมา ซึ่งส่วนของชั้นเกลือที่สะสมอยู่ใต้ดิน(salt dome)ที่ละลายน้ำออกมานั้น มีเกลือของธาตุโปแตสเซียมรวมอยู่ด้วย (ก็เกลือโปแตสเซียมที่เราอยากจะเข้าไปเอามาทำเป็นปุ๋ยนั่นเอง) และในระหว่างการซึมก่อนจะขึ้นมาถึงผิวดินนั้นมันก็ยังมีโอกาสจะเกิดการสลับสับเปลี่ยนธาตุกัน (เช่น ระหว่าง โซเดียม โปแตสเซียม และแคลเซี่ยม)
ฝนฟ้าคะนอง ต้องขอหยุดก่อนครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 1188 เมื่อ 16 ก.ย. 18, 16:45
|
|
คงจะไม่เข้าไปในเรื่องทางเคมีมากกว่านี้แล้วนะครับ
ในอีกมิติหนึ่ง เมื่อโกยเอาขี้เกลือ(ผสมดิน)มาใส่ในน้ำเพื่อแยกเอาดินที่ตกตะกอนออกไปนั้น หากปล่อยทิ้งไว้ไม่นานพอ ก็จะยังคงมีตะกอนดินที่เป็นผงขนาดจิ๋วมากๆ(ระดับไมครอน)แขวนลอยอยู่ ซึ่งดินที่เป็นตะกอนแขวนลอยเหล่านั้นเป็นแร่ดิน (Clay minerals) โดยปกติจะมีธาตุโปแตสเซียม อลูมิเนียม และแมกนีเซียมเป็นองค์ประกอบ
ก็นำพามาถึงจุดที่ต่างคนคงจะต้องไปค้นหาความรู้ต่อไปในเรื่องของบทบาทหน้าที่และการทำงานของโซเดียมกับโปแตสเซียมในร่างกายเรา
หลายท่านอาจจะนึกถึงไปถึงเรื่องคนอิสานในบางพื้นที่เขากินดิน สำหรับผมนั้นเห็นไปว่ามันเป็นการกินในลักษณะเป็นยา เพื่อในเกิดความสมดุลย์ระหว่างสองธาตุที่กล่าวมา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 1189 เมื่อ 16 ก.ย. 18, 17:34
|
|
วันนี้ไปเดินเล่นและซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ต ได้เห็นเกลือสีชมพูจากแหล่งผลิตเกลือหินในภูเขาหิมาลัย บรรจุขวดและซองขายในราคาประมาณ 100 บาทต่อน้ำหนัก 100 กรัม (กรัมละบาท) เกลือหินสีชมพูของหิมาลัยนี้มีชื่อเสียงและขายดีในประเทศทางตะวันตก เรียกกันว่า Himalayan salt
และก็มีเกลือทะเลที่ขายดีและเป็นที่นิยมมากของผู้คนในประเทศทางตะวันตก เรียกกันว่า Celtic sea salt ซึ่งค่อนข้างจะมีความชื้น (เหมือนเกลือทะเลของบ้านเรา) เกลือทั้งสองดังกล่าวนี้ (และจากแหล่งผลิตอื่นๆ) ได้มีการนำมาวิเคราะห์หาปริมาณเกลือและสารประกอบอื่นๆ รวมทั้งปริมาณธาตุ trace elements มีการเผยแพร่กันอย่างเปิดเผยทั่วไป
เกลือสมุทรของไทยเราก็ต้องมีการวิเคราะห็กันอยู่แล้วเช่นกัน และก็น่าจะมีการแยกเป็นชุดตัวอย่างจากทางฝั่งชลบุรี กับชุดจากทางฝั่งสมุทรสงคราม เพชรบุรี ซึ่งทั้งสองพื้นที่นี้น่าจะต้องมีคุณสมบัติต่างกันอยู่บ้าง เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ต่างกัน (ต้นทางหรือปลายทางของกระแสน้ำที่หมุนอยู่ในอ่าวไทยส่วนหัว ก.ไก่)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 1190 เมื่อ 16 ก.ย. 18, 18:03
|
|
ก็น่าสนใจต่อไปว่า หากเอาคุณสมบัติของเกลือทะเลของเราที่ปราศจากการปรับหรือการปรุงแต่งใดๆไปเปรียบเทียบกับของที่เขามีชื่อเสียงโด่งดังอยู่นั้น มันจะเป็นเช่นใด ผมเชื่อว่า เรามีช่องทางที่จะเอาเกลือสมุทรของเราไปผูกพัน(ในเชิง a must)กับอาหารไทย และอาศัยความเด่นดังของอาหารไทยที่มีการกล่าวถึงกันอยู่แล้วทั่วไปในโลก ให้ช่วยเปิดตลาดและกระจายเกลือสมุทรของไทยให้กระฉ่อนไปทั่วโลกได้เช่นกันในเชิงของ umami เฉกเช่น Nampla และ Sriracha ที่ก้าวเข้าไปเป็นหนึ่งในของปรุงแต่งรสและกลิ่นในอาหารประเภท fusion foods (อาหารจานมั่วนิ่ม ?? )
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 1191 เมื่อ 17 ก.ย. 18, 20:17
|
|
ผ่านนาเกลือของสมุทรสงคราม ถึงสามแยกปากท่อแล้วเลี้ยวซ้ายตามถนนเพชรเกษมลงพื้นที่ภาคใต้ แต่เดิมนั้นจะต้องวิ่งผ่านเข้าไปในตัวเมืองเพชรบุรี ซึ่งผู้คนนิยมที่จะแวะซื้อพวกขนมหวานต่างๆ ที่โด่งดังจริงๆก็เห็นจะเป็นขนมหม้อแกงในรูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนโฉมไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง คือ ใช้วิธีการใส่ถาดเล็ก ผสมเผือกก็มี ผสมเม็ดบัวก็มี หรือจะไม่ผสมอะไรก็มี ต่างไปจากของดั้งเดิมที่นิยมใส่ถั่วเขียวบดหยาบ ทำในถาดใหญ่แล้วจึงตัดแบ่งเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็ก และมีหอมเจียวโรยหน้า
ผมเองก็ยังชอบแบบเดิมอยู่ หอมเจียวที่โรยหน้า ให้ทั้งกลิ่นและรสที่อร่อยยากที่จะบรรยาย แล้วก็ดูดีที่ใช้วิธีการห่อใบตองกล้วย ให้ความรู้สึกที่ดีกว่าการต้องตักออกมาจากถาดสังกะสี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
superboy
|
ความคิดเห็นที่ 1192 เมื่อ 17 ก.ย. 18, 20:38
|
|
หม้อแกงแบบเดิมพอหาซื้อที่ไหนได้บ้างไหมครับ ชอบหอมเจียวโรยหน้าเหมือนกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 1193 เมื่อ 18 ก.ย. 18, 18:24
|
|
ในเขตกรุงเทพฯคงจะหาได้ยากครับ จะพอหาได้ก็ในพื้นที่ชายขอบปริมณฑลและใน ตจว. โดยเฉพาะพวกรถสามล้อขายขนมหวานที่เร่ขายอยู่ตามชุมชนต่างๆ
คลับคล้ายคลับคลาว่า เคยเห็นมีทำขายอยู่ในตลาดนางเลิ้งครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 1194 เมื่อ 18 ก.ย. 18, 19:18
|
|
ขอย้อนกลับไปนิดนึงครับ
พูดถึงขนมจากแล้วก็ให้นึกถึงลูกจากที่เอามาทำลอยแก้วและเชื่อมน้ำตาล อร่อยทั้งสองอย่างเลยครับ ผมเองไม่ได้ทานมานานแล้ว แต่ก็เชื่อว่าน่าจะยังคงมีการทำขายกันอยู่ สำหรับลูกจากลอยแก้วนั้น น่าจะหาทานได้ในร้านอาหารที่อยู่ในพื้นที่ชายทะเลที่ยังคงมีป่าจาก ส่วนสำหรับลูกจากเชื่อมนั้น น่าจะพอหาได้ในร้านขายของฝาก
ก็มีของอร่อยอีกอย่างหนึ่งที่รูปร่างหน้าตาเมื่อดูแบบผิวเผินแล้วคล้ายกัน ก็คือลูกชิด ลูกชิดได้มาจากผลของต้นตาวซึ่งห้อยย้อยออกมาเป็นพวง(ทะลาย) ต้นตาวเป็นไม้ป่า พบอยู่ในป่าบริเวณที่เป็นตลิ่งสองฝากห้วยประเภทมีน้ำไหลไม่ตลอดทั้งปี (intermittent stream) พบมากในผืนป่าทางภาคเหนือโดยเฉพาะในผืนป่าต่อเนื่องย่านอุตรดิตถ์ แพร่ น่าน ซึ่งก็เลยกลายเป็นพื้นที่แหล่งผลิตที่สำคัญ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 1195 เมื่อ 18 ก.ย. 18, 20:17
|
|
เมื่อครั้งผมยังทำงานสำรวจทางธรณีฯอยู่ในผืนป่าย่านดังกล่าว (อีกปีเดียวก็จะครบ 50 ปีพอดี) เมื่อใดที่อาบน้ำในห้วยแล้วรู้สึกคันตามตัวขึ้นมา ก็เป็นที่รู้ว่าเหนือน้ำขึ้นไปนั้นมีชาวบ้านเข้ามาตัดทลายต้นตาวเอาไปทำลูกชิด
เมื่อครั้งกระโน้นนั้น เมื่อเดินไปถึงต้นตอของน้ำที่คัน ก็จะพบทะลายตาวที่ถูกเผาไฟแช่อยู่ในน้ำในห้วย ภายหลังก็ได้รู้ว่า เพื่อจะเอาเนื้อในของลูกตาวออกมานั้นเขาใช้วิธีการต้มแล้วผ่าปลิ้นเอาเนื้อในออกมา ก็เลยไม่รู้ว่าจะเป็นความต่างทางกรรมวิธีเอาเนื้อในลูกตาวออกมา หรือจะเป็นกระบวนการที่ดำเนินต่อเนื่องกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 1196 เมื่อ 18 ก.ย. 18, 20:33
|
|
คู่ที่ถูกโฉลกจริงๆของลูกชิดดูจะมีอยู่ 2 อย่าง คือ กับน้ำแข็งใส และกับไอติมแบบไทย (ไอซ์ครีม)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 1197 เมื่อ 19 ก.ย. 18, 16:37
|
|
ลูกชิด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 1198 เมื่อ 19 ก.ย. 18, 16:43
|
|
อีกอย่าง ที่หายากหน่อย คือลูกลาน ทำลอยแก้วหรือใส่ไอศกรีมได้อร่อยไม่แพ้ลูกชิด ลูกจากค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 1199 เมื่อ 19 ก.ย. 18, 19:27
|
|
ลูกลานนี้ เคยแต่เห็นผลของมันที่ยังห้อยอยู่กับต้น แต่ไม่คุ้นเคยในขั้นตอนวิธีการเอามาทำกินครับ
ผลของต้นไม้ตระกูลปาล์มนี้ เกือบทั้งหมดดูจะถูกนำไปใช้ทำอาหารประเภทของหวานเท่านั้น จะมีก็แต่เพียงมะพร้าวเท่านั้นกระมัง ที่มีการนำไปใช้ในการทำอาหารคาวด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|