naitang
|
ความคิดเห็นที่ 300 เมื่อ 23 พ.ย. 15, 19:26
|
|
ปืนที่สะพายอยู่นั้น มิใช่เอาไว้ล่าสัตว์นะครับ มีไว้เพื่อป้องกันตัวจากสัตว์ป่าเป็นหลัก
กระบอกหนึ่งก็เป็นปืนลูกซอง ใช้ได้ดีกับบรรดางูร้ายทั้งหลาย โดยเฉพาะงูจงอาง ที่จะหวงไข่เป็นหนักหนาในช่วงประมาณเดือนเมษายน +/- เคยพบไล่รถครั้งหนึ่งแถว บ.วังลึก จ.ตาก หรือใช้เมื่อจ๊ะเอ๋กับหมีในช่วงฤดูเดินคู่กันในช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ +/- ก็ไม่แน่ใจนักว่าจะเป็นช่วงระยะเวลาหาคู่สืบพันธุ์หรือไม่ เคยจะเอ๋อยู่สองสามครั้ง ต่างคนต่างตกใจวิ่งกระเจิงกันทั้งสองฝ่าย ก็ยิงไปอย่างนั้นแหละ ถึงถูกก็ไม่เข้าหรอกครับ ขนและหนังมันหนา อ้อ แล้วก็เสือเผื่อว่าจ๊ะเอ๋กับมัน
อีกกระบอกหนึ่งเป็นปืนลูกเดี่ยว โดยหลักก็คือ เอาชีวิตให้รอดหากถูกช้างป่าชาร์จเอา ทั้งที่ก็ไม่รู้ด้วยว่าจะสู้กับมันไหวใหม อย่างน้อยก็เอาไว้เป็นเพื่อนเพื่อความอุ่นใจครับ
เมื่อจะแยกออกจากทางแล้วให้อีกสองคนเดินล่วงหน้าไป ก็เลยเอาปืนมาไว้ที่พวกผมสองคน ผมไม่ได้สะพายปืนทำงานหรอกครับ ปืนพกที่เอวก็ยังมักจะฝากคนอื่นใว้ในขณะทำงาน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 301 เมื่อ 23 พ.ย. 15, 19:47
|
|
ด้วยมื้อเย็นยังไม่รู้ว่าจะมีกับข้าวอะไร คู่หูของผมก็สนใจเข้าไปดูเก้งให้ชัด เมื่อเห็นว่ายังสดใหม่อยู่มากๆ ก็เลยหารือกัน ตกลงว่าจะเอาไปเป็นอาหาร เขาก็จัดการลากออกมายังที่ๆไม่รก นั่งพิจารณาดูซากเก้งกันว่ามันถูกล่าด้วยสัตว์อะไร เพราะว่าที่คอก็มีรอยขย่ำเป็นแผล ลักษณะนี้เป็นเสือกัดแน่ๆ แต่เอ..ทำใมที่แก้มก้นทั้งสองข้างก็มีรอยงับเป็นแผลเหวอะเช่นกัน ลักษณะนี้มิใช่เสือแน่ แต่ควรจะเป็นการล่าโดยหมาป่า
ตกลงเก้งตัวนี้ถูกล่าด้วยเสือหรือหมาป่ากันแน่ ก็เห็นตรงกันว่า หมาป่าคงจะเริ่มล่าก่อน ต่อมาถูกเสือแย่งเอาไปกิน โดยลากเอาไปใว้ที่กอไผ่ (ทั้งนี้หมาป่าคงจะได้กินตับใตใส้พุงไปแล้ว จึงไม่เห็นเลือดเปื้อนใบไม้แถวๆโคนกอไผ่) ซึ่งระหว่างที่เสือกำลังจะลงมือกิน ก็เกิดมีฝูงลิงลงมาตอแยเสือ เสือก็เลยจะล่อจับลินกินอีก ก็พอดีผมและคู่หูเดินเข้าไป สัตว์ทุกฝ่ายก็เลยหลบฉากไป
ทั้งหมดนี้เป็นภาพมโนที่ผมสองคนค่อนข้างจะเห็นตรงกัน
เป็นภาพวิถีของสัตว์ที่เป็นธรรมชาติดีนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 302 เมื่อ 23 พ.ย. 15, 21:01
|
|
ดูท่าทีว่านะจะปลอดภัยจากเสือแล้ว (เสือไปแล้ว) ก็จัดการหาไม้ไผ่มาทำคานหาม มีดที่พกติดกระเป๋าในสมัยนั้นเป็นมีดที่เรียกว่ามีดโบวี่ ด้ามเขาสัตว์ ใบมีดยาวประมาณหนึ่งคืบ แต่ไม่มีความคมเอาเลย ฟันไม้ไผ่ก็ไม่เข้า ริตากิ่งไผ่ก็ไม่ออก ไม่มีทั้งน้ำหนักและความคมเอาเสียเลย มารู้เอาตอนหลังว่า ฝรั่งเขาใช้ในเรื่องของการอยู่การกินเสียมากกว่า เขาไม่มีกิ่งไม้ต้องตัด ต้องถาง ต้องฟัน
ครับ ตั้งแต่บัดนั้นมา ผมไม่เคยใช้มีดพกพาของฝรั่งอีกเลย หันมาใช้มีดไทยทำ เป็นมีดพร้า รูปทรงแบบที่ชาวบ้านเขาใส่ฝักหวายเหน็บใว้ด้านหลังตัวเรา คาดรัดด้วยผ้าขะม้า มีดทรงนี้แหละครับดีที่สุดสำหรับการใช้งานแบบเอนกประสงค์ ส่วนสำหรับมีดเหน็บหรืออีเหน็บแบบไทยที่มีปลายแหลมขนาดเขื่องๆก็ใช้ได้ดีเหมือนกัน แต่ไม่ดีเท่ามีดพร้าหัวตัดธรรมดานี่แหละ
มีดโบวี่ที่มีอยู่นั้น แทบจะไม่ได้ช่วยเกลาลำไม้ไผ่ให้มีลักษณะเป็นคานหามเลย ยังคงมีกิ่งอยู่ระเกะระกะ ก็เพียงใช้มือหักให้มันสั้นลงเท่าที่จะทำได้เท่านั้น จากนั้นก็หาเถาไม้มามัดขาเก้งคู่หน้าและคู่หลัง เอาคานสอดแล้วก็ช่วยกันหาม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 303 เมื่อ 23 พ.ย. 15, 21:13
|
|
กระบวนการผิดผี และการกระทำที่มิถูกมิควรต่อเจ้าที่เจ้าทาง เทพยดาฟ้าดิน เทพาอารักษ์ และสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำถิ่นของผมสองคนได้สำเร็จสมบูรณ์ไปแล้ว จากนี้ไปก็จะเป็นผลที่จะได้รับตามต่อมา (consequences)
ลองเดาดูนะครับว่ามีการกระทำใดที่ไม่ควรจะกระทำ มิบังควรจริงๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 304 เมื่อ 24 พ.ย. 15, 18:38
|
|
แบกหามกันมาได้ระยะทางประมาณค่อนสนามฟุตบอล ทั้งคู่ก็บ่นกันว่าทำไมมันจึงรู้สึกหนักมาก สลับคานหาบระหว่างไหล่ซ้ายกับไหล่ขวาไปๆมาๆได้สักพักเดียว คู่หูของผมก็บอกว่าหนักมาก ผมก็เลื่อนเก้งเข้ามาใกล้ตัวผม จนในที่สุดแทบจะจ่ออยู่ที่หน้า สุดท้ายก็ต้องวางหาบ นั่งพักกัน แล้วก็ตัดสินใจลดน้ำหนัก ก็เอามีดทื่อๆนั้นแหละครับ บั่นคอเอาหัวแยกแขวนเอาไว้กับกิ่งไผ่ข้างทาง ว่าอาจจะเดินกลับมาเอาทีหลัง (ยังหวงก้างอยู่)
ค่อยเบาลงหน่อย แต่เรื่องก็ซ้ำรอยเดิม คราวนี้ บั่นมันครึ่งตัวเลย เอาส่วนอกและขาหน้าแขวนไว้กับกิ่งไผ่ข้างทางอีก มีดทื่อๆนี้กว่าจะบั่นให้ขาดจากกันได้นี้ ต้องใช้เวลานานอยู่เหมือนกันเลยทีเดียว แล้วก็เอาคานสอดสองขาหลังหามกันต่อไป เดินต่อไปได้อีกไม่ไกลนัก คู่หูของผมก็บอกว่าเหนื่อยมากไปไม่ไหวแล้ว ท้องฟ้าก็กำลังมืดลงอย่างรวดเร็ว
พอดี ณ จุดที่นั่งพักนั้นอยู่ติดกับตัวลำห้วยขาแข้ง ก็เลยคิดว่าคงจะต้องค้างคืนกันที่นี่ จะไปต่อก็คงจะไม่ไหว ไฟฉายก็ไม่มี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 305 เมื่อ 24 พ.ย. 15, 18:57
|
|
ทั้งคู่มีไฟแช็กอยู่ เนื่องจากสูบบุหรี่กันทั้งสองคน เขาน่ะม่อยกะรอกไปแล้ว คงหมดแรงจริงๆ ผมก็จัดการหากิ่งไม้แห้งมาก่อกองไฟ และไปหาท่อนไม้แห้งท่อนใหญ่ๆเท่าที่จะพอหาได้ เอากองรวมเพื่อจะได้ใช้ได้ตลอดทั้งคืน และเผื่อไล่สัตว์ใหญ่ประเภทไม่กลัวใคร ครับ..ก็ช้างนั่นแหละ
รู้ว่ามีช้างก็เพราะเห็นรอยของมัน ซึ่งที่น่าหวาดเสียวก็คือมันเป็นรอยช้างตัวเดียว ครับ..สีดอครับ (ช้างตัวผู้รุ่นหนุ่มที่ถูกกันให้แยกออกจากโขลง) สีดอเป็นช้างตัวผู้ มีงาสั้น (ที่เรียกว่า ขนาย) เดินเดี่ยวๆ ไม่เกรงกลัวอะไร นิสัยออกไปทางเกเร การพบกับสีดอนี้อันตรายมากกว่าการพบกับช้างทั้งโขลง ช้างโขลงนั้นจะเดินหนีหรือยืนอยู่เฉยๆ แต่สีดอนั้นจะเดินเข้ามาหาเรา (มาหาเรื่อง)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 306 เมื่อ 24 พ.ย. 15, 19:11
|
|
พอประมาณ 2 ทุ่ม ก็ได้ยินเสียงเก้งเขก (ส่งเสียงร้อง) อยู่รอบๆจุดที่นั่งพัก หลายตัวเลยทีเดียว คราวนี้ก็พอจะแน่ใจได้แล้วว่าพื้นที่แถวนี้มีเสือแน่ๆ
แล้วก็ได้ยินเสียงหมาป่าส่งเสียงหอนรับต่อกันตามลำห้วย ซึ่งก็คงจะอยู่ห่างจากเราไปพอสมควร แต่ก็เสียวๆอยู่เหมือนกันว่า หากมันเข้ามาหาเราเป็นฝูงแล้วจะรับมือกับมันอย่างไรดี เป็นครั้งเดียวในชีวิตเดินป่าเดินดงของผมที่ได้ยินเสียงหมาป่าหอนเสียงดังต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ จำได้ว่าเป็นวันที่พระจันทร์ใกล้เต็มดวง (หรือจะเต็มดวง ก็ไม่แน่ใจนัก) ยังกะนิยายเลยนะครับ เสียงหมาป่าหอนนี้ ผมรู้สึกว่ามันเขย่าขวัญได้มากเลยทีเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 307 เมื่อ 24 พ.ย. 15, 19:26
|
|
นั่งอยู่ได้ราวๆชั่วโมง ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียก ก็ยังไม่กล้าตะโกนตอบกลับ เพราะยังมีเรื่องเสือสมิงลึกๆอยู่ในใจ จนกระทั่งเห็นแสงไฟฉายวอบแวบ ก็รู้ในทันทีเลยว่าที่แคมป์เขาส่งคนมาตามหาเรา เจอกันก็เล่าเรื่องให้ฟังว่ายังมีเก้งอีกส่วนหนึ่งแขวนไว้ขางทาง เขาก็เดินไปเอากัน ไม่นานก็กลับมา
คนที่มาตามเราเขาหิ้วเก้งด้วยมือข้างเดียวในความรู้สึกแบบเบา ในขณะที่ผมกับคู่หูช่วยกันหาม หนักแทบตาย มันก็แปลกดีนะครับ
แต่ผลจากการกระทำของผมกับคู่หูยังไม่จบนะครับ พอรุ่งเช้าแต่ไก่โห่เลยก็เกิดอีกเรื่องหนึ่งอย่างระทึกต่อเนื่องมาอีก 24 ชม.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Anna
|
ความคิดเห็นที่ 308 เมื่อ 24 พ.ย. 15, 20:42
|
|
นั่งอยู่ได้ราวๆชั่วโมง ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียก ก็ยังไม่กล้าตะโกนตอบกลับ เพราะยังมีเรื่องเสือสมิงลึกๆอยู่ในใจ จนกระทั่งเห็นแสงไฟฉายวอบแวบ ก็รู้ในทันทีเลยว่าที่แคมป์เขาส่งคนมาตามหาเรา เจอกันก็เล่าเรื่องให้ฟังว่ายังมีเก้งอีกส่วนหนึ่งแขวนไว้ขางทาง เขาก็เดินไปเอากัน ไม่นานก็กลับมา
คนที่มาตามเราเขาหิ้วเก้งด้วยมือข้างเดียวในความรู้สึกแบบเบา ในขณะที่ผมกับคู่หูช่วยกันหาม หนักแทบตาย มันก็แปลกดีนะครับ
แต่ผลจากการกระทำของผมกับคู่หูยังไม่จบนะครับ พอรุ่งเช้าแต่ไก่โห่เลยก็เกิดอีกเรื่องหนึ่งอย่างระทึกต่อเนื่องมาอีก 24 ชม.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Jalito
|
ความคิดเห็นที่ 309 เมื่อ 24 พ.ย. 15, 22:35
|
|
แต่ผลจากการกระทำของผมกับคู่หูยังไม่จบนะครับ พอรุ่งเช้าแต่ไก่โห่เลยก็เกิดอีกเรื่องหนึ่งอย่างระทึกต่อเนื่องมาอีก 24 ชม.
ทิ้งท้ายเหมือนละครโทรทัศน์"ล่องไพร" ช่อง4 บางขุนพรหม ยุค50กว่าปีโน้น (ผู้จัดคือคุณสรรพสิริ วิริยะศิริ) กว่าจะได้ดูตอนต่อก็ต้องรอเดือนหน้ากันเลย เพราะจัดเดือนละหน แต่ "ล่องไพร"ของนายตั้ง ค่อยยังชั่วหน่อย รอแค่ข้ามคืนเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 310 เมื่อ 25 พ.ย. 15, 17:50
|
|
ทิ้งท้ายเหมือนละครโทรทัศน์"ล่องไพร" ช่อง4 บางขุนพรหม ยุค50กว่าปีโน้น (ผู้จัดคือคุณสรรพสิริ วิริยะศิริ) กว่าจะได้ดูตอนต่อก็ต้องรอเดือนหน้ากันเลย เพราะจัดเดือนละหน แต่ "ล่องไพร"ของนายตั้ง ค่อยยังชั่วหน่อย รอแค่ข้ามคืนเอง
ขอบคุณที่ตามอ่านครับ แล้วก็เข้าใจใช้กลยุทธในการเร่งให้เรื่องเดินดีครับ ชอบใจ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 311 เมื่อ 25 พ.ย. 15, 17:59
|
|
วันนี้วันลอยกระทง คงจะมีสมาชิกเข้ามาในเรือนไทยน้อยกว่าปรกติ ผมเองไม่ได้ออกไปใหนเพราะมีภาระดูแลหลาน แล้วก็ไม่รู้สึกอยากจะออกไปใหนด้วย ขยาดคนล้นหลามและรถติดครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 312 เมื่อ 25 พ.ย. 15, 18:18
|
|
พอฝ้าเริ่มสว่างพอมองเห็นกันได้ คนในคณะของผมคนหนึ่งตื่นขึ้นมาแล้วก็เดินไปฉี่ ก็ดันไปฉี่รดโคนต้นไม้ใหญ่หลายโอบ ซึ่งเป็นต้นไม้ที่พวกกะเหรี่ยงเอาไม้ไผ่ยาวประมาณ 3 เมตรนับเป็นสิบท่อนไปวางพิงไว้ แน่นอนว่าการกระทำของพวกกะเหรี่ยงชาวบ้านนั้นต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับเจ้าที่เจ้าทาง เทพาอารักษ์ แน่นอน และต้นไม้ต้นนี้ก็น่าจะต้องขลังเอาการอยู่เหมือนกัน
พอฉี่รดโคนต้นเท่านั้นเอง ก็ผงะถอยออกมา ทรุดตัวลงแล้วก็ชักเลยในทันใด ทำอย่างไรดีละครับ กลางป่า ห่างไกลจากผู้คน สิ่งแรกที่ทำก็คือ เอาช้อนใส้ปากเพื่อกันงับลิ้นตัวเอง ชักได้ประมาณ 5 นาทีก็หยุด แต่ยังไม่รู้ตัว
ที่คิดได้อย่างฉับไวก็คือ ต้องเอาออกจากป่าไปโรงพยาบาลให้ได้เร็วที่สุด ซึ่งก็ต้องหามออกไปด้วย จะต้องไปกันกี่คน ? จะจัดการอย่างไรกับแคมป์ ? จะต้องขนย้ายหรือทิ้งร้างไว้ ? ข้าวปลาอาหารก็ต้องมีติดตัวไปด้วย ไม่อย่างนั้นก็จะอดหมดแรงกันทั้งหมด จบเห่กันทั้งยวงแน่ๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 313 เมื่อ 25 พ.ย. 15, 18:45
|
|
ตั้งสติได้ก็เห็นทางเดิน หม้อข้าวก็ตั้งอยู่บนสามขาสุมด้วยกองฟืนแล้ว กำลังร้อนใกล้จะเดือด ก็ให้รีบทำกับข้าวแบบฉุกเฉิน
เรื่องกับข้าวฉุกเฉินนี้ ผมต้องเตรียมไว้เสมอ ประติก็จะมีกุนเชียง 1 กก. ปลากระป๋องสามสี่กระป๋อง แฟง (ฟักลูกยาว) 1 ลูก นอกจากนั้นก็แล้วแต่ บางครั้งก็ปลาสลิดแห้ง แบบปลาสลิดหอมที่เขาเรียกกันในปัจจุบัน (คือทำโดยการหมักเกลือ แล้วตากหลายแดด) บางครั้งก็มีเครื่องกระป๋องของ อสร. (องค์การอาหารสำเร็จรูป) เช่น เนื้อกระเทียมพริกไทย ซึ่งทำคล้ายๆ corn beef (เอามายำอร่อยดีครับ) หรือแกงกระป๋อง ฯลฯ
ทุกคนต่างก็ช่วยกันคนละไม้ละมือในทุกเรื่อง คน 7 คนนี้ ดูว่าจะมีหลายคนและมากก็จริง แต่หากแยกกันแล้วก็จะทำอะไรไม่ได้เลย
ลองดูสภาพความเป็นจริงนะครับ ควาญช้าง 2 คนออกไปตามจับช้างเพื่อเอามาบรรทุกของ จะให้ควาญช้างเอาของขึ้นบรรทุกบนหลังช้างเองนั้นเป็นไปไม่ได้ จำเป็นต้องใช้คนอีกอย่างน้อยสองคนช่วยในการส่งของขึ้นหลังช้าง เก็บผ้าเต็นท์ผืนกว้างประมาณ 4x5 เมตร คนเดียวก็ไม่ไหว ต้องช่วยกันอย่างน้อยก็สองคน มีอยู่สองผืน ทำหลังคาผืนหนึ่ง ปูนอนผืนหนึ่ง โชคดีที่มีผืนเล็กที่ใช้ปูนั่งทำครัวและกินข้าว ก็จะใช้ผืนนี้แหละทำเปลหาม ก็ให้คนไปตัดไม้ไผ่มาทำเป็นคานหาม กะว่าจะใช้ 4 คนช่วยกัน แต่พอเดินเข้าจริงๆ ต้องใช้วิธีหาบสองคนเท่านั้น จะหามแบบเปลสนามด้วยคนสี่คนนั้น เดินไม่ได้เลยเพราะเป็นทางป่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 314 เมื่อ 25 พ.ย. 15, 19:06
|
|
ระหว่างทำอะไรต่อมิอะไรกัน คนไข้ก็ชักขึ้นมาอีกเป็นระยะๆ ทุกๆประมาณ 10 นาที หมดปัญญาที่จะช่วยเหลือใดๆ มีแต่ใช้ช้อนใส่ปากกันกัดลิ้นเท่านั้น คนไข้ก็หมดสติ นิ่งอย่างเดียว ทุกอย่างต้องเร่งมือและคับขันไปหมด ก็พอจะรู้อยู่ว่าคนไข้อาจขาดอากาศหายใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร กลัวใหม ? กลัวครับ กลัวจริงๆ น่ากลัวทีเดิยว คอยสังเกตอยู่ตลอดเวลาว่าเขายังหายใจอยู่หรือไม่
พอเรื่องเกี่ยวกับแคมป์พอจะเข้าที่ ก็เอาคนมา 4 คน มาพร้อมกับคนป่วย เหลืออีกสามคนอยู่กับช้างเดินตามหลังมา
ผลัดกันหามคนป่วยตั้งแต่เช้า จนบ่ายแก่ๆก็พบกะเหรี่ยงเดินสวนมา คำถามแรกของผมคือ อยู่หมู่บ้านใหน? มีหมอผีหรือไม่? โชคดีที่กะเหรี่ยงคนนั้นเป็นหมอผีและอยู่บ้านไก่เกียง ก็เลยตกลงให้แกทำพิธีไล่ผี แต่ห้ามให้กินอะไรโดยเด็ดขาด เราก็เราหามคนไข้เข้าบ้านไก่เกียง ส่วนผมกับอีกคนหนึ่งต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 2 ชม.เพื่อไปหาพวกโอวัลติน ซึ่งโชคดีที่มีติดบ้านของคนนำทางที่ตั้งอยู่ปากลำขาแข้งนั้น แล้วก็ส่งคนเดินกลับมาหาคนป่วยเผื่อว่าจะพอกินอะไรได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|