กระทู้: เรียนถามคุณ V_Mee เรื่องพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 06 มิ.ย. 08, 12:33 หวังพึ่งคุณ V_Mee ค่ะ
อยากทราบที่มาดั้งเดิมของพระราชนิพนธ์เรื่อง "รัฐสภาในอนาคต" ว่าอยู่ในหนังสืออะไร ตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในปีอะไร เรื่องนั้นได้อ่านแล้วเป็นเรื่องที่สนุกสนาน โดยเฉพาะผู้ที่คุ้นเคยกับบทความของ ก.ศ.ร.กุหลาบและ นายวรรณจะเข้าใจในพระปรีชาสามารถ ที่บังอาจมาถาม ณ ที่นี้ก็หวังว่าคงมีประโยชน์กับผู้อื่น ตั้งใจจะเก็บหลักฐานไว้อ้างอิงสืบต่อไป กระทู้: เรียนถามคุณ V_Mee เรื่องพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 06 มิ.ย. 08, 18:10 เรื่องนี้ผมไม่เคยผ่านตาเลยครับ ขออนุญาตสอบค้นกับหอวชิราวุธานุสรณ์ในวันจันทร์อีกทีครับ ได้ผลประการใดจะเรียนให้ทราบอีกครั้งครับ
กระทู้: เรียนถามคุณ V_Mee เรื่องพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 06 มิ.ย. 08, 22:08 ขอบพระคุณค่ะ
วงนักเลงหนังสือสมัยก่อนมักจะทดลองภูมิปัญญากัน โดยไม่แจ้งที่มาของเอกสารหรือบทความ ต่อมาท่านผู้ใหญ่ก็หลงลืมไป ผู้นำไปใช้ก็ไม่มีทางค้นเสียแล้ว กระทู้: เรียนถามคุณ V_Mee เรื่องพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 11 มิ.ย. 08, 12:17 ตรวจสอบจากทะเบียนเอกสารที่หอวชิราวุธานุสรณ์แล้วไม่พบเอกสารชื่อนี้เลยครับ
ในความเห็นส่วนตัว คำว่า "รัฐสภา" ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ก็ไม่พบว่ามีการใช้คำนี้ หากจะใช้คำในความหมายเดียวกันนี้ก็จะใช้ว่า "ปาเลียร์เมนท์" เป็นการทับศัพท์คำว่า Paliarment ดังนั้นเรื่อง "รัฐสภาในอนาคต" จึงไม่น่าจะใช้พระราชนิพนธ์ แต่มีที่ทรงพระราชวิจารณ์ถึงรัฐมนตรีสภา ซึ่งกล่าวถึงใน "ประวัติต้นรัชกาลที่ ๖" และพระราชหัตถเลขาที่พระราชทานไปยังสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ซึ่งสามารถติดตามอ่านได้ใน http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K6609496/K6609496.html นอกจากนั้นก็มีที่ทรงพระราชวิจารณ์ระบอบการปกครองเปรียบเทียบในสมุดจดพระราชบันทึกรายวันส่วนพระองค์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ หม่อมเจ้าชัชวลิต เกษมสันต์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ ในพระราชบันทึกดังกล่าวทรงเปรียบเทียบระบอบการปกครองแบบบอลเชวิกที่กำหนดให้ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของรัฐ และรัฐเป็นผู้เลี้ยงดูเยาวชนว่า เป็นระบบที่ไม่สามารถเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เพราะไม่เกิดแรงจูงใจให้เกิดการผลิต ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาก็ทรงชี้ให้เห็นผลร้ายของการเลือกสมาชิกผู้แทน หากมีผู้สมัครเป็นผู้แทนใช้เงินหรือทรัพย์สินหรืออิทธิพลจูงใจให้ประชาชนเลือกเข้าไปเป็นผู้แทนแล้ว ผู้แทนนั้นย่อมใช้อำนาจที่ได้รับมาแสวงหาประโยชน์ใส่ตน ส่วนระบอบราชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้ทศพิธราชธรรมนั้น เป็นระบอบปกครองที่เหมาะกับคนไทย เพราะพระมหากษัตริย์ต้องทรงคำนึงถึงประโยชน์สุขของประชาชนเป็นสำคัญ ยามใดที่พระมหากษัตริย์ทรงละทิ้งทศพิธราชธรรม ประชาชนก็จะถอดถอนพระมหากษัตริย์พระองค์นั้นดังเช่นที่เกิดมาแล้วในอดีต เรื่อง "รัฐสภาในอนาคต" นั้น น่าจะเป็นการตัดตอนมาจากพระราชบันทึกทรงพระราชวิจารณ์เรื่องการปกครองดังกล่าวนี้หรือเปล่าครับ กระทู้: เรียนถามคุณ V_Mee เรื่องพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 11 มิ.ย. 08, 21:37 ขอบพระคุณในความกรุณาของ คุณ V_Mee ค่ะ
ขอเรียนว่า ตอนนี้คิดว่าเป็น ทวีปัญญา ค่ะ บทความบอกใบ้ไว้แล้วอ่านไม่ตีความเอง แต่ไม่ทราบว่าเล่มใด เป็นหัสนิยายเรื่องสั้นประมาณ ๘ หน้า ผู้เล่าเรื่องคือ ข้าพเจ้า ได้รับคำสั่งท่านสาราณียกร ให้ไปฟังการประชุมในปาลิเมนต์เรื่องงบประมาณทหาร เรื่องนี้ เมมเบอร์สองรายคือนายเกศร์ได้ลุกขึ้นพูดอ้างอิงประวัติศาสตร์ยาวเหยียด และนายทวนได้กล่าวสุนทรกถาหลายสิบข้อ ที่ขึ้นต้นว่า เราต้องการที่สุด เป็นเรื่องล้อเลียน ก.ศ.ร.กุหลาบกับนายวรรณอย่างสนุกสนาน คนที่เคยผ่านตาสำนวนของก.ศ.ร.กุหลาบ และ นายวรรณ จะนึกขำในใจ ผู้ที่ไม่คุ้นก็คงขบขัน เมมเบอร์หัวก้าวหน้าอยู่ดี คำศัพท์มี ศิวิไลซ์ ปาลิเมนต์ ไปรมีนีสเตอร์ ประธาน(สปีเกอร์) ฮีสตอเดรอยนารายณ์ ออโตโมไบต์ ขอเวลาไปตามหาหนังสือก่อนค่ะ ท่านผู้ใดได้มาก่อนกรุณาบอกเล่ม และปีพิมพ์ด้วยนะคะ กระทู้: เรียนถามคุณ V_Mee เรื่องพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 31 มี.ค. 10, 09:59 ชื่อเรื่องคือ "รายงานการประชุมปาลิเมนต์สยาม" (ตอบโต้งานของเทียนวรรณ เรื่อง ความฝันละเมอแต่มิใช่นอนหลับ ที่เรียกร้องให้ประเทศไทยมีการปกครองแบบรัฐสภา) ลงพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือทวีปัญญา ไม่ทราบเล่ม และปีที่พิมพ์
เมื่อเร็ว ๆ นี้ข้าพเจ้าอ่านหนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่งพบ "เมื่อไรหนอ" ต่าง ๆ ข้าพเจ้าเป็นคนชอบอ่าน "เมื่อไรหนอ" เพราะธรรมดาคนที่รู้สึกตนว่าโง่ ย่อมพอใจชมบุญผู้ฉลาด ข้าพเจ้าเชื่อแน่นอนอยู่ว่าท่านผู้ถาม "เมื่อไรหนอ" นั้นต้องเป็นคนฉลาด ถ้ามิฉะนั้นที่ไหนจะคุ้ยหาข้อความเก่งๆมาถามได้มากมายเช่นนั้น ข้อที่จับใจข้าพเจ้าที่สุด คือข้อที่ถามว่า "เมื่อไรหนอเราจะมีปาลิเมนต์" จริงทีเดียว ทำไม เราก็ศิวิไลซ์แล้ว จะมีปาลิเมนต์บ้างไม่ได้ทีเดียวหรือ แต่ญี่ปุ่นยังมีได้ ... วันนั้นเป็นวันร้อนมาก ข้าพเจ้านอนอ่านหนังสือพิมพ์เรื่อยสบายอยู่ก็พอได้รับคำสั่งท่านสาราณียกรให้ไปฟังการประชุมในปาลิเมนต์ เรื่องงบประมาณทหาร ข้าพเจ้าก็รีบเตรียมตัวไป เมื่อข้าพเจ้าออกจากบ้านนั้นบ่ายสัก ๕ โมงแล้ว เพราะฉะนั้น ต้องรีบร้อนมาก ที่ประชุมเปิดตั้งแต่บ่าย ๓ โมงแล้ว ข้าพเจ้าไปก็ตรงไปที่เฉลียงสำหรับพวกหนังสือพิมพ์ เห็นแผ่นกระดาษวางอยู่บนโต๊ะทุก ๆ โต๊ะ เขียนชื่อหนังสือพิมพ์ไว้ ข้าพเจ้าตรงไปที่มีกระดานเขียนชื่อ "ทวีปัญญา" แล้วนั่งลง เมื่อข้าพเจ้าไปถึงท่านอัครมหาเสนาบดี (ไปรม์มีนิสเตอร์) กำลังชี้แจงเรื่องงบประมาณนั้นอยู่ ข้าพเจ้าบันทึกคำพูดของท่านพวกเมมเบอร์ต่าง ๆ ไว้ดังต่อไปนี้ อัครมหาเสนาบดี.- "ตั้งแต่ดั้งเดิมมา การทหารนับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะเป็นธรรมดาชาติใดที่มีความประสงค์จะเป็นไท ย่อมต้องคิดการป้องกันบ้านเกิดเมืองบิดร โบราณราชประเพณีท่านจึงได้จัดให้บรรดาชายฉกรรจ์เป็นทหารทั้งสิ้นไม่เว้นหน้า ..." นายเกศร์.- "ข้าพเจ้าขอรับรองในข้อที่ท่านอัครมหาเสนาบดีกล่าว ข้าพเจ้าอาจชักจูงสิ่งซึ่งจะให้เห็นเป็นพยานได้ดังนี้คือ เมื่อครั้งสมเด็จพระนารายณ์ ..." ประธาน.- (สปีเกอร์) "รอก่อน รอก่อน ยังไม่ถึงเวลาที่ท่านจะแสดงโวหาร" อัครมหาเสนาบดี.- "ข้าพเจ้ากล่าวอยู่ว่าบรรดาชายฉกรรจ์ต้องเป็นทหารทั่วหน้า ก็เมื่อแต่โบราณกาลยังเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมในกาลบัดนี้เราจะยับยั้งอยู่หรือ ก็การทหารซึ่งเป็นการสำคัญครั้งนั้น ครั้งนี้ไม่สำคัญหรือ ก็สำคัญเหมือนกัน ถ้าเราตกลงเห็นเช่นนี้แล้ว เราจะควรทำอะไรก็ควรต้องคิดอ่านบำรุงการทหารให้เจริญเทียมทันชาติอื่นเขาบ้างจึงจะถูก แต่ก่อนอำนาจเป็นใหญ่ จะจัดการสิ่งใดก็ล้วนจะสำเร็จได้เพราะอำนาจ เดี๋ยวนี้อะไรเป็นใหญ่ เงินเป็นใหญ่ไม่ใช่หรือ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วที่ประชุมคงจะเห็นได้ว่า ถ้าประสงค์ความเจริญของทหารซึ่งเป็นความเจริญของบ้านเมืองแล้ว ก็ต้องช่วยให้รัฐบาลได้จัดการทหารให้ดำเนินไปโดยสะดวกตามที่ได้กะไว้ แลได้อ่านให้ท่านฟัง แล้วขอให้ที่ประชุมพร้อมกันอนุญาตให้รัฐบาลใช้เงินแผ่นดินสำหรับการทหารตามที่ขอนั้นเถิด" นายเกศร์.- "ข้าพเจ้าขอกล่าวแสดงให้แจ้งเหตุผลว่า เหตุไรข้าพเจ้าจึงรับรองลงเนื้อเห็นด้วยกับท่านอัครมหาเสนาบดีในที่นี้ ข้าพเจ้าจะขอเล่าเรื่องราวของสมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราชเจ้า สมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราชเจ้า คือเป็นพระเจ้าอยู่หัวครองสิริราชสมบัติอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา คือกรุงเก่า กรุงเก่าคือสมเด็จพระเจ้ารามาธิบดีทรงสร้าง สมเด็จพระเจ้ารามาธิบดี คือที่เรียกกันว่า พระเจ้าอู่ทอง พระเจ้าอู่ทองนี้เสด็จมาจากเมืองเทพนคร เพื่อเสด็จมาหาที่สร้างพระนครใหม่ พระนครใหม่นี้คือกรุงศรีอยุธยา กรุงศรีอยุธยาคือกรุงเก่า สมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราชนั้น เป็นพระเจ้าแผ่นดินเสวยราชสมบัติ ณ กรุงเก่าองค์หนึ่ง ข้อนี้มีหลักฐานแน่นอน คือ ได้ความจากจดหมายเหตุของเจ้าแม่วัดดุสิต เจ้าแม่วัดดุสิตได้จดหมายเหตุเรื่องราวไว้พิสดารเป็นราชประวัติกรุงเก่า มีข้อความแปลกประหลาดดียิ่งกว่าข้อความที่มีอยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ที่ตีพิมพ์ไว้แล้วนั้นหลายพันหลายหมื่นส่วน ประวัตินี้แต่งโดยเจ้าแม่วัดดุสิต เมื่อจุลศักราช ๙๙๒ ปี ต้นฉบับเดิมของจดหมายเหตุนั้นอยู่ที่เราเอดิเตอร์ โอย ขอรับประทานโทษ เผลอไป ... อยู่ที่ข้าพเจ้า ไม่ใช่แต่เท่านั้น ข้าพเจ้ายังมีสมุดภาษาฝรั่งเศสอีกเล่มหนึ่ง เรื่องสมเด็จพระนารายณ์ เรียกชื่อตามภาษาฝรั่งเศสดังนี้ คือ "ฮิศตอเดรอยนารายณ์" ดังนี้ หนังสือเล่มนี้แต่งโดยคนชาวชาติฝรั่งเศสคนหนึ่ง ซึ่งได้มาอยู่ด้วยกับท่านเจ้าพระยาวิไชยเยนทร์ เจ้าพระยาวิไชยเยนทร์คือคนชาวชาติฝรั่งเศส ชื่อเดิมชื่อ "ฟอลคอน" ดังนี้ ชายชาวชาติฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้แต่งหนังสือชื่อ ฮิศตอเดรอยนารายณ์นั้นเป็นคนชอบพอคุ้นเคยกับท่านเจ้าพระยาวิไชยเยนทร์ ฟอลคอน หนังสือซึ่งแต่งโดยชายชาวชาติฝรั่งเศสนั้น เป็นหนังสือฝรั่งเศส แปลโดยท่านสังฆราชปัลละกัวบิฉบ เป็นภาษาไทย หนังสือชื่อ "ฮิศตอเดรอยนารายนณ์" ซึ่งแต่งโดยชายชาวชาติฝรั่งเศส ซึ่งเป็นคนชอบพอกับเจ้าพระยาวิไชยเยนทร์นั้น มีข้อความพิสดารน่าอ่านน่ารู้น่าฟังยิ่งกว่าที่มีในพระราชพงศาวดารกรุงเก่าหลายร้อยเท่า ในหนังสือจดหมายเหตุแต่งโดยเจ้าแม่วัดดุสิตกับหนังสือภาษาฝรั่งเศสนั้น มีกล่าวข้อความพิสดารถึงการเสด็จประพาสของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าพระนารายณ์ราชกุมาร มีสิ่งน่าอ่านน่าฟังอยู่มาก แต่ที่น่าประหลาดนักคือมีเรื่องกล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าพระนารายณ์ราชกุมารเสด็จเที่ยวทรงขับยานชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นที่น่าพิศวงแก่ชาวกรุงเก่าแลชาวลพบุรีมาก คือสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าพระนารายณ์ราชกุมารนั้น ได้ทรงโปรดฯ ให้ชายชาวชาติฝรั่งเศสผู้หนึ่งเข้าเฝ้า ชายชาวชาติฝรั่งเศสนี้เป็นพ่อค้า มาตั้งห้างค้าขายอยู่ที่ตำบลท่ากระโหมกรุงเก่า ชายชาวชาติฝรั่งเศสคนที่ดังได้กล่าวมาแล้วนี้ ได้นำยานอย่างใหม่มาถวายสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าพระนารายณ์ราชกุมาร เรียกตามภาษาฝรั่งเศสว่า ดังนี้ คือ "ออโตโมไปล์" ดังนี้ ยานชนิดที่ฝรั่งเศสเรียกว่า "ออโตโมไปล์" นี้ คือเป็นรถชนิดหนึ่งซึ่งเดินไปด้วยไม่อาศัยแรงม้าเลย ใช้อาศัยน้ำมันมะพร้าวทำให้เกิดเป็นแก๊สขึ้น เดินไปเปรียบคล้ายรถไฟที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ รถชนิดที่ฝรั่งเศสเรียกว่า ออโตโมไปล์นี้ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าพระนารายณ์ราชกุมาร ได้ทรงประพาสพอพระทัยเสด็จไปเที่ยวแต่จำเพาะข้าหลวงเดิม ๙ คน คุณเล็ก ๑ คุณปาน ๑ ทั้งสองคนนี้เป็นบุตรหม่อมเจ้าบัว พระนมเอก นายทองคำบุตรเปรม พระนมรอง ๑ นายสัง บุตรเจ้าพระยาพิษณุโลก ๑ นายเรือง มอญ บุตรเจ้าพระยารามจัตุรงค์ ๑ นายหวาน แขก บุตรเจ้าพระยาไทรบุรี ๑ นายน้อย ยะทิปะ แขก บุตรพระยาราชวังสัน แขก ๑ นายเผื่อนบุตรพระยามหาอำมาตย์ ๑ นายบุนนาค บุตรพระยาเพ็ชรพิไชย ๑ รวมข้าหลวงเดิมที่พอพระทัย ๙ นายด้วยกัน แต่ข้าหลวงเดิม ๙ คนนี้ล้วนเป็นเด็กมีอายุคล้ายๆ กันกับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าพระนารายณ์ราชกุมารทั้งนั้น ..." ผู้ส่งข่าวของเราไม่ได้จดคำพูดของนายเกศร์ต่อไป เพราะแลไม่เห็นว่ามีข้อความเกี่ยวข้องกับงบประมาณทหารอย่างไร ส่วนนายเกศร์นั้นพูดเรื่อยไปประมาณเกือบชั่วโมงหนึ่ง ประธาน.- "ข้าพเจ้าฟังท่านสมาชิกมานานแล้ว ก็ยังไม่เห็นกล่าวข้อความอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กำลังปรึกษากันอยู่เลย" นายเกศร์.- "ถ้าท่านยอมให้ข้าพเจ้ามีเวลาอีกหน่อย ข้าพเจ้าก็จะได้ตั้งใจพยายามที่จะกล่าวถึงทหาร เมื่อครั้งสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้าตามที่มีกล่าวถึงในประวัติ แต่งโดยเจ้าแม่วัดดุสิตกับ ..." เสียงจากหลังประธาน.- "เลิกที เลิกที" นายเกศร์.- "ข้อความในประวัติแต่งโดยเจ้าแม่วัดดุสิตกับหนังสือภาษาฝรั่งเศสชื่อ ..." เสียงจากหลังประธาน.- "พอแล้ว พอแล้ว" ประธาน.- "เงียบ เงียบ" นายเกศร์นั่งลง แสดงกิริยาไม่สู้พอใจนัก ต่อไปนี้มีเมมเบอร์แสดงโวหารอีกหลายท่าน แต่จะเป็นเพราะเหตุไรไม่ทราบ ผู้ส่งข่าวของเราจำไม่ได้ หรือลืมจดอะไรอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นมาได้อีกต่อมาเมื่อฝ่ายพวกคัดค้านพูดดังต่อไปนี้ นายทวน.- "ข้าพเจ้าจะขอกล่าวสุนทรกถาแต่พอสมควรแก่เวลาดังต่อไปนี้" ข้อ ๑ เราต้องการที่สุด ขอให้เจ้านายของเราทรงพระราชดำริถึงตัวข้าพเจ้าผู้มีอายุมาก ข้อ ๒ เราต้องการที่สุด เพื่อให้ชนทั้งหลายเข้าใจว่า เราเป็นผู้มีสติปัญญากตัญญูต่อแผ่นดิน ข้อ ๓ เราต้องการที่สุด เพื่อให้เปิดทางให้ผู้มีสติปัญญากตัญญูต่อแผ่นดินเช่นตัวเรา ออกตัวออกหน้าอาสาแสดงสติปัญญาความดีได้โดยสะดวก มิให้มีที่กีดขวางจนไม่ต้องแลดูเสียก่อนว่าลมพัดมาทางไหน ข้อ ๔ เราต้องการที่สุด ในการที่เปิดปากมนุษย์ให้แสดงโวหารอธิบายได้ตามสติปัญญา โดยไม่ต้องกลัวติดคุก ข้อ ๕ เราต้องการที่สุด ในตัวบุคคลสามารถ คือ เสนาบดีแลอธิบดี เจ้ากรม ปลัดกรม ผู้ช่วย แม่ทัพนายทหาร พลทหารที่รู้จักหน้าที่ของตน คือรู้จักว่าใครเป็นผู้มีสติปัญญากตัญญูต่อแผ่นดินแล้ว แลฟังเสียงผู้นั้น ข้อ ๖ เราต้องการที่สุด ในผู้ที่ตั้งอยู่ในยุติธรรม เพื่อเป็นความสุขแก่มนุษย์ คือเป็นต้นว่าผู้พิพากษาตุลาการ เมื่อถูกติเตียนโดยผู้มีสติปัญญากตัญญูต่อแผ่นดิน อย่าตัดสินกักขังผู้ตักเตือน ๗ วัน ฐานหมิ่นประมาทศาล ข้อ ๗ เราต้องการที่สุด ในท่านผู้มีสติปัญญาแลรู้วิชาเก่าแก่กว่าผู้อื่นจริง สำหรับเป็นผู้ช่วยแนะนำในราชการบ้านเมืองทั่วไปให้มีความเจริญโดยฉับไวทันเวลา ข้อ ๘ เราต้องการที่สุด ในพวกเราให้รู้วิชาลึกซึ้งจริงๆ ทุกคนควรตั้งใจเรียนให้มีความรอบรู้ แม้อย่างน้อยเพียงเสมอตัวเรา ข้อ ๙ เราต้องการที่สุด ให้ตัวเรามีความนับถือแม่หญิงทุกคน แลให้แม่หญิงมีความรู้วิชา แลมีความดีเท่าแก่บุรุษทั้งหลาย ข้อ ๑๐ เราต้องการที่สุด ให้พวกเรามีความรู้สึกในความรักชาติ ศาสนาแลประเทศที่เกิดของตน แลให้มีความอายแก่ชาติชาวต่างประเทศ แลอย่าอวดดีเย่อหยิ่งว่าเรารู้มากแล้วพอแล้ว ไม่ต้องฟังเสียงใครอีก ข้อ ๑๑ เราต้องการที่สุด ที่จะให้คนทั้งหลายเห็นว่าเราเป็นคนกล้าหาญ หมั่นเพียรแลกตัญญูต่อชาติ แลเต็มใจที่จะรับหน้าที่ทำการใหญ่ทุกอย่างทุกสิ่ง ข้อ ๑๒ เราต้องการที่สุด เพื่อให้ประเทศบ้านเมืองอันเป็นที่เกิดของเราเป็นศิวิไลซ์โดยไม่ต้องอาศัยผู้อื่น นอกจากผู้มีสติปัญญากตัญญูต่อชาติ ศาสนา แลบ้านเมืองของเราเอง ข้อ ๑๓ เราต้องการที่สุด ในการที่คนเราจะไม่ไว้ใจคนที่ดีแต่พูดอ้างตำรับตำราฝรั่งโดยไม่มีจริงเลยนั้น ข้อ ๑๔ เราต้องการที่สุด ให้ท่านทั้งหลายเห็นว่ามีแต่ผู้ปกครองก็ไม่ได้ มีแต่ไพร่พลเมืองก็ไม่ได้ ต้องมีทั้งสองจำพวกต้องอาศัยกันแลกัน ข้อ ๑๕ เราต้องการที่สุด เพื่อให้ท่านทั้งหลายเห็นว่าทั้งผู้ปกครอง ทั้งไพร่พลเมือง ต้องอาศัยผู้มีสติปัญญากตัญญูต่อชาติ ช่วยแนะนำให้เดินไปในมรรคาอันถูกต้อง ข้อ ๑๖ เราต้องการที่สุด ที่จะให้ท่านทั้งหลายเห็นว่า ร่างกายของมนุษย์ก็ดี สัตว์เดียรัจฉานก็ดี ถ้าไม่บริบูรณ์ก็ย่อมไม่เป็นที่เจริญตา ข้อ ๑๗ เราต้องการที่สุด ให้ท่านทั้งหลายเห็นว่าในสมัยนี้เมืองเรายังมีข้อบกพร่องสำคัญอยู่ คือยังไม่ได้ฟังคำแนะนำตักเตือนแห่งผู้มีวิชาจริงเช่นตัวเรา ข้อ ๑๘ เราต้องการที่สุด เพื่อให้ท่านผู้มีหน้าที่ปกครองพวกเราทอดพระเนตรเห็นความดีความสามารถของผู้มีความดีความสามารถ ข้อ ๑๙ เราต้องการที่สุด ที่จะให้ผู้มีความดีความสามารถจริง ได้มีโอกาสจัดการงานทั่วไปแม้อย่างน้อยสัก ๓ วัน ข้อ ๒๐ เราต้องการที่สุด ให้ผู้ที่มีทรัพย์ใช้เงินค่าหนังสือของเรา ข้อ ๒๑ เราต้องการที่สุด ให้ผู้ที่ยังไม่ได้ซื้อหนังสือของเราคิดอ่านลงชื่อซื้อทันที ข้อ ๒๒ เราต้องการที่สุด เพื่อให้ที่ประชุมนี้มีความเห็นตามเราผู้มีสติปัญญากตัญญูต่อบ้านเมือง ข้อ ๒๓ ............. เสียงจากหลังประธาน.- "ยังมีอีกกี่ข้อ" นายทวน.- "ยังมีอีกสองสามข้อ ข้อ ๒๓ ...... " เสียงจากหลังประธาน.- "เราต้องการที่สุดที่จะฟังคนอื่นพูด" นายทวน.- "ข้าพเจ้าขอให้ท่านผู้เป็นประธาน ได้โปรดใช้อำนาจให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสพูดให้จบ" ประธาน.- "ได้ แต่ขอให้ท่านพูดในประเด็น" นายทวน.- "ข้าพเจ้าก็พูดในประเด็นอยู่แล้ว" เสียงจากหลังประธาน.- "เถียงนายก เถียงนายก" ประธาน.- "เงียบ เงียบ" นายทวน.- "ข้อ ๒๓ เราต้องการที่สุด ..." เสียงจากหลังประธาน.- "ไม่จริง เราไม่ต้องการเลย" เสียงจากที่อื่นๆ.- "เลิกที เลิกที" ประธาน.- (ตบโต๊ะ) "เงียบ เงียบ" อัครมหาเสนาบดี.- "ข้าพเจ้าขอแนะนำว่าให้งดการแสดงโวหารเสียที มิฉะนั้นจะเสียเวลามากไป" นายทวน.- "อะไร ท่านอัครมหาเสนาบดีจะปิดปากเมมเบอร์ไม่ให้พูดทีเดียวหรือ นี่อิสรภาพแห่งที่ประชุมนี้ไปอยู่ที่ไหน นี่จะเอาคนพูดถูกๆ เข้าคุกอย่างแต่ก่อนหรือ" เสียงพวกฝ่ายขวา.- "เลิก เลิก" เสียงพวกฝ่ายซ้าย.- "ว่าไป ว่าไป" ประธาน.- "เงียบ เงียบ" เสียงพวกฝ่ายขวา.- "หยุด หยุด" เสียงพวกฝ่ายซ้าย.- "พูดไป พูดไป" เสียงพวกจีน.- "ลักทะบางฉิบหาย" ประธาน.- "เงียบ เงียบ" เสียงพวกจีน.- "ลักทะบางข่มเหงอ้า" ต่อนี้ไป ต่างคนต่างพูดกันอึงเต็มเสียง จนจับเนื้อความไม่ได้ อัครมหาเสนาบดีลุกขึ้นพูด แต่ไม่ได้ยินว่าพูดว่ากระไร ได้ยินแต่ "เลิก เลิก" บ้าง "ว่าไป ว่าไป" บ้าง กับเสียงพวกจีนร้องตะโกนโล้เล้ ๆ ต่าง ๆ ลงปลายประธานลุกขึ้นยืนกวักมือ พลตระเวนรูปร่างล่ำสัน พากันเข้ามาอุ้มพวกเมมเบอร์จีนออกไป คนอื่นเปล่งเสียงอื้อราวกับจะตีกัน เอะอะเหลือเกิน แล้วข้าพเจ้าก็ตกใจตื่น หัวเราะเสียพักใหญ่ ;D กระทู้: เรียนถามคุณ V_Mee เรื่องพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 31 มี.ค. 10, 19:18 อ่านรายละเอียดที่ท่านอาจารย์เทาชมพูคัดลอกมาแล้ว คิดว่าบทความเรื่องนี้น่าจะพิมพ์ใน "ชวนหวว" มากกว่า "ทวีปัญญา" ครับ เพราะลองค้นดูในทวีปัญญาแล้วไม่พบครับ เลยขออนุญาตคัดลอกพระราชบันทึกซึ่งทรงพระราชวิจารณ์เรื่องระบอบประชาธิปไตย ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในสมุดจดหมายเหตุรายวันส่วนพระองค์ภายหลังเกิดกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ มาได้ไม่นานครับ
เนื้อความใดงนี้ มีนาคม .....เรื่องราวของผู้อื่นก็จะเห็นฃันอยู่บ้าง คือจะเห็นฃันว่าคนยังมีความฤศยาหยุมหยิมอยู่ฉนี้ฤา จะเปนผู้ที่จัดการปกครองชาติบ้านเมืองอย่างริปับลิคได้ อย่าว่าแต่ริปับลิคเลย ถึงแม้จะปกครองอย่างลักษณเจ้าแผ่นดินมีคอนสติตูชั่นก็ไม่น่าจะทำไปได้ ยังไม่รู้จักเอาความรักชาติเข้าฃ่มความฤศยาในใจตนเองแล้ว จะทำการให้เปนประโยชน์แก่ชาติฝ่ายเดียวอย่างไร ถ้ามีผู้ต้องการ “คอนสติตูชั่น” จริงๆ และเปนไปได้จริง จะเปนคุณอย่างใดฤาไม่ แต่ถ้าแม้ต่างว่ามีคนอยู่จำพวก ๑ ซึ่งตั้งใจดีจริง มีความมุ่งดีต่อชาติจริง จะมาร้องฎีกาขึ้นโดยตรงๆ ขอให้มีคอนสติตูชั่น เราเองจะไม่มีความแค้นเคืองเลย ตรงกันข้าม เราจะยอมพิจารณาดูว่า จะสมควรยอมตามคำขอร้องของคนนั้นฤาไม่ ถ้ายิ่งมีคอนสติตูชั่นได้จะยิ่งดี เพราะเรารู้สึกอยู่แล้วเหมือนกัน ว่าการที่มอบการปกครองไว้ในมือเจ้าแผ่นดินคนเดียวผู้มีอำนาจสิทธิ์ฃาดนั้น ดูเปนการเสี่ยงบุญเสี่ยงกรรมอยู่ ถ้าเจ้าแผ่นดินเปนผู้ที่มีสติปัญญาสามารถและมีความตั้งใจมั่นอยู่ว่า จะทำการให้บังเกิดผลอันดีที่สุดแก่ชาติบ้านเมืองฉนี้แล้วก็จะเปนการดีที่สุด จะหาลักษณปกครองอย่างใดมาเปรียบปานได้โดยยาก แต่ถ้าแม้เจ้าแผ่นดินเปนผู้ที่โฉดเขลาเบาปัญญา ฃาดความสามารถ ฃาดความพยายาม เพลิดเพลินไปแต่ในความศุขส่วนตัว ไม่เอาใจใส่ในน่าที่ของตน ฉนี้ก็ดี ฤาเปนผู้ที่มีน้ำใจพาลสันดานหยาบดุร้ายและไม่ตั้งอยู่ในราชธรรม เห็นแก่พวกพ้องและบริวารอันสอพลอและประจบ ฉนี้ก็ดี ประชาชนก็อาจจะได้รับความเดือดร้อน ปราศจากความศุข ไม่มีโอกาศที่จะเจริญได้ ดังนี้จึงเห็นได้ว่าเปนการเสี่ยงบุญเสี่ยงกรรมอยู่ แสดงคุณแห่งลักษณปกครอง โดยมี “คอนสติตูชั่น” ส่วนการมีคอนสติตูชั่นนั้น เปนอันตัดความไม่แน่นอนไปได้มาก เพราะอำนาจมิได้อยู่ในมือคนๆ เดียว ซึ่งถึงแม้ว่าจะดีฤาชั่วปานใดก็เปลี่ยนไม่ได้ ประชาชนได้มีเสียงในการปกครองชาติบ้านเมืองของตนเอง เสนาบดีผู้รับตำแหน่งน่าที่ปกครองก็รับผิดรับชอบต่อประชาชน จำเปนต้องทำการให้เปนไปอย่างดีที่สุดที่จะเปนไปได้ เพราะถ้าแม้ว่าทำการในน่าที่บกพร่อง ประชาชนไม่เปนที่ไว้วางใจต่อไป ก็อาจจะร้องขึ้นด้วยกันมากๆ จนเสนาบดีต้องลาออกจากตำแหน่ง คนที่ประชาชนไว้วางใจก็จะได้มีโอกาศเฃ้ารับตำแหน่งน่าที่ ทำการงานให้ดำเนินไปโดยทางอันสมควรและถูกต้องตามประสงค์แห่งประชาชน เช่นนี้เปนการสมควรอย่างยิ่ง และถ้าแม้จะกล่าวไปแต่โดยทางว่าเปนแบบแผนดีฤาไม่คงไม่มีใครเถียงเลย คงต้องยอมรับว่าดีทั้งนั้น แต่แบบอย่างใดๆ ถึงแม้ว่าจะดีที่สุดเมื่อเขียนอยู่ในกระดาษ เมื่อใช้จริงเฃ้าแล้วบางทีก็มีที่เสียหายปรากฏขึ้น ดังปรากฏอยู่แก่ผู้ที่ได้ศึกษาและรู้เหตุการณ์ที่เปนไปในนานาประเทศ เพราะเหตุหลายประการ จะยกมาว่าแต่พอเปนสังเขปก็มีอยู่คือ แสดงโทษอันอาจจะมีมาได้ แม้เมื่อใช้ลักษณปกครองมี “คอนสติตูชั่น” ๑. ประชาชนยังไม่มีความรู้พอที่จะทำการปกครองตนเองได้ เพราะฉนั้นอาจที่จะใช้อำนาจอันอยู่ในมือตนในหนทางที่ผิดวิปลาศ บางทีสิ่งซึ่งต้องการให้มีขึ้นฤาให้เปนไป จะไม่เปนสิ่งที่ซึ่งนำประโยชน์มาสู่ชาติ ฤากลับจะให้โทษ แต่ประชาชนมีความเห็นพร้อมๆ กันมาก ก็ต้องเปนไปตามความเห็นของพวกมาก ต่อเมื่อกระทำไปแล้วจึ่งแลเห็นว่าให้ผลร้ายเพียงใด จะยกอุทาหรณได้อย่าง ๑ คือต่างว่ามีสาเหตุเกิดวิวาทบาดหมางกันกับชาติอีกชาติ ๑ ซึ่งถ้าแม้ทำความเฃ้าใจกันเสียแล้วก็อาจจะเปนที่เรียบร้อยไปได้ แต่ประชาชนพากันเห็นไปว่า ถ้าแม้ยอมผ่อนผันให้จะเปนการเสียเกียรติยศเสียรัศมีของชาติ ก็อาจจะพากันร้องเซ็งแซ่ให้ทำสงครามได้ การทำสงครามนั้นในขณที่กำลังรบพุ่งกันอยู่ไม่สู้จะกระไรนัก เพราะใจประชาชนกำลังฮึกเหิม คิดแต่ถึงส่วนการต่อสู้และหวังเอาไชยแก่สัตรูเท่านั้น ต่อเมื่อสงบศึกแล้ว จึ่งจะรู้สึกโทษแห่งการสงคราม คือการทำมาหาเลี้ยงชีพจะฝืดเคือง การค้าขายซึ่งต้องงดไว้ในระหว่างสงครามนั้น มาจับลงมือทำขึ้นอีกก็ย่อมจะไม่สดวกเหมือนแต่ก่อน เปรียบเหมือนเครื่องกลไกอันจักร์และใยเคลื่อนที่เสียหมดแล้ว กว่าจะแก้ไขให้เดินดีและเรียบร้อยอย่างเดิมก็เปนการยากนัก ทั้งการปกครองท้องที่ก็ต้องจัดการเอาลงระเบียบอีก เมื่อแลเห็นผลแห่งสงครามฉนี้แล้ว ประชาชนจึ่งรู้สึกตัว ถ้ายิ่งในกาลสงครามนั้นได้พ่ายแพ้แก่สัตรูภายนอกด้วย ความลำบากยากเข็ญต่างๆ อันจะมีมาเปนเครื่องตามหลังก็จะยิ่งมากขึ้นเปนทวีคูณเปนแน่แท้ ที่กล่าวมาแล้วนี้เปนโทษแห่งการที่ประชาชนอันไม่รู้จักใช้อำนาจจะใช้เองในที่ผิด แต่ยังมีอยู่อีกประการ ๑ ซึ่งควรคำนึงและพิจารณาดูเหมือนกันคือ กระทู้: เรียนถามคุณ V_Mee เรื่องพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 31 มี.ค. 10, 19:18 ๒. ประชาชนรู้สึกตนว่าไม่มีความสามารถพอที่จะถืออำนาจและใช้อำนาจทุกๆ คน จึ่งไว้ใจมอบอำนาจให้บุคคลบางคนถืออำนาจและใช้อำนาจนั้นแทน บุคคลเหล่านี้คือที่เลือกสรรให้เฃ้าไปนั่งในรัฐสภา (ปาร์ลิย์เมนต์) เปนผู้แทนประชาชน ผู้แทนเช่นนี้ ถ้าแม้ว่าประชาชนรู้จักจริง รู้แน่นอนว่าเปนคนดีจริงแล้ว จึ่งเลือกเฃ้าไปเปนผู้แทนตน ดังนี้จะไม่มีที่เสียหายจะบังเกิดขึ้นได้เลย แต่ตามความจริงหาเปนเช่นนั้นไม่ ตามความจริงนั้น ประชาชนโดยมากก็มีกิจธุระทำมาหาเลี้ยงชีพอยู่ด้วยกันทุกคน จะมัวสละเวลาเพื่อกระทำความวิสาสะกับผู้ที่จะเปนผู้แทนตนในรัฐสภาก็ไม่ได้อยู่เอง เพราะฉนั้นแบบธรรมเนียมจึ่งมีอยู่ว่า เมื่อถึงเวลาจะต้องเลือกผู้แทนเฃ้านั่งในรัฐสภา ก็มีคน๒ คน ฤา ๓ คน มายืนขึ้นให้เลือก ว่าจะชอบคนไหนใน ๒ ฤา ๓ คนนั้น เมื่อชอบคนไหนก็เลือกคนนั้นโดยต่างคนต่างให้คะแนนของตน ใครได้คะแนนมากก็ได้เฃ้าไปนั่งในรัฐสภาดังนี้ แต่ถ้ามีผู้ที่มารับเลือกแต่คนเดียว ก็นับว่าไม่เปนปัญหา ประชาชนไม่ต้องลงคะแนน คนๆ นั้นเปนอันได้เฃ้านั่งในรัฐสภาทีเดียว ส่วนการที่จะจัดให้มีคนมารับเลือกนั้น ตามคอนสติตูชั่นว่า ให้มีผู้ใดผู้ ๑ ในเขตรนั้นๆ เปนผู้นำขึ้นว่าผู้ใดควรได้รับเลือก ถ้าไม่ผู้อื่นนำเสนอนามใครขึ้นอีกคน ๑ แล้ว คนที่ ๑ ก็เปนอันได้เฃ้ารัฐสภาอยู่เอง แต่ถ้ามีผู้เสนอนามบุคคลขึ้นอีกคน ๑ จึ่งต้องนัดวันให้ประชาชนในเขตร์นั้นลงคะแนนในระหว่างคน ๒ คน ที่ได้มีผู้เสนอนามขึ้น ดูเผินๆ เพียงนี้ก็ยังดีอยู่ แต่ตามความจริงนั้น ไม่ใช่ว่าใครๆ สักแต่เปนมนุษย์แล้วก็จะมีโอกาศได้รับเลือกได้ ผู้ที่หยิบยกตัวบุคคลมาให้ราษฎรเลือกนั้น คือคณะฤาปาร์ตี ซึ่งมีแบ่งกันอยู่ตั้งแต่ ๒ ขึ้นไป การที่ต้องมีปาร์ตีนั้น เพราะถ้าแม้ผู้ที่เฃ้าไปนั่งประชุมในรัฐสภา ต่างคนต่างพูดไป แสดงความเห็นไปตามอัตโนมัตของตนๆ ทุกคน ก็คงจะไม่มีความตกลงกันได้ในเรื่องใดเลยสักเรื่องเดียว จึ่งต้องเกิดใช้วิธีจัดรวมเปนคณะ คือผู้ที่มีความเห็นพ้องกันในปัญหาสำคัญๆ รวมกันเฃ้าเปนคณะฤาปาร์ตี เพื่อจะได้ช่วยกันลงความเห็นเหมือนๆ กันมากๆ ในเมื่อเฃ้าที่ประชุมรัฐสภา ดังนี้เปนที่ตั้ง ครั้นเมื่อเวลาจะมีการเลือกสมาชิกเฃ้ามาใหม่ ต่างคณะก็ย่อมจะต้องมีความประสงค์ที่จะให้ผู้มีความเห็นพ้องกับคณะตนได้รับเลือก ต่างคณะจึ่งต่างจัดหาบุคคลอันพึงประสงค์ไปให้รับเลือก และต่างคณะจึ่งต่างคิดดำเนินการให้คนของตนได้รับเลือก วิธีดำเนินอันถูกต้องตามกฎหมายนั้น คือแต่งสมาชิกแห่งคณะไปเที่ยวพูดจาเกลี้ยกล่อมราษฎรให้แลเห็นผลอันดีที่จะพึงมีมา โดยทางที่ให้คณะได้มีโอกาสทำการโดยสดวก เมื่อกล่าวมาถึงแค่นี้แล้ว ก็ยังไม่มีสิ่งไรที่นับว่าเสียหายอันจะบังเกิดมีมาได้จากการใช้วิธีเช่นนี้ และถ้าความจริงเปนไปแต่เพียงเท่านี้ ก็เปนอันไม่มีที่ติ แต่ความจริงมิได้หมดอยู่เพียงแค่นี้ คือการเกลี้ยกล่อมมิได้ใช้แต่เฉพาะทางเที่ยวพูดจา ไม่ได้ใช้ฬ่อใจราษฎรแต่ด้วยถ้อยคำเท่านั้น ยังมีฬ่อใจโดยทางอื่นๆ อีก ตั้งแต่ทางเลี้ยงดู จัดยานพาหนะให้ไปมาโดยสดวกและไม่ต้องเสียทุนทรัพย์ จนถึงติดสินบนตรงๆ เปนที่สุด คณะใดมีทุนมากจึ่งได้เปรียบมากอยู่ ก็ตกลงรวบรวมใจความว่า ราษฎรไม่ได้เลือกผู้แทนของตน เพราะรู้แน่ว่าเปนคนดี สมควรจะเปนผู้แทนตนด้วยประการทั้งปวงฉนี้เลย ตามจริงเลือกบุคคลผู้นี้เพราะมีผู้บอกให้เลือกฤาติดสินบนให้เลือกเท่านั้น เมื่อเปนเช่นนี้แล้ว ก็นับว่าผิดความมุ่งหมายเดิมของคอนสติตูชั่นแล้ว คืออำนาจไม่ได้อยู่ในมือประชาชนจริงๆ แต่ไปอยู่ในมือแห่งคนส่วน ๑ ซึ่งเปนส่วนน้อยแห่งชาติเท่านั้น แต่ถ้าคนเหล่านี้มีความตั้งใจดีอยู่ และเปนผู้ที่มีความรักชาติบ้านเมืองของตน ก็คงจะอุส่าห์พยายามกระทำการงานไปตามน่าที่อันได้รับมอบไว้นั้นโดยสุจริต แต่ผู้ที่มีความคิดซื่อตรงต่อชาตืฝ่ายเดียว ไม่คิดถึงตนเองฤาผลประโยชน์ของตนเองมีอยู่บ้างฤาเฃ้าใจว่าถึงจะมีก็จะไม่มากปานใด คนโดยมากถึงว่าจะรักชาติบ้านเมืองก็มักจะมีความคิดถึงประโยชน์ส่วนตัวเจือปนอยู่เปนอันมาก คงยังมีความต้องการอำนาจและต้องการผลอันจะพึงมีมาแต่การเปนผู้มีอำนาจต้องการโอกาศที่จะได้อนุเคราะห์แก่ญาติพี่น้องฤาคนชอบพอกันบ้างเปนธรรมดาอยู่ ความประสงค์อันนี้ทำให้เกิดมีผลอัน ๑ ซึ่งเชื่อว่าผู้ที่ริเริ่มคิดวิธีปกครองด้วย “คอนสติตูชั่น” มิได้ตั้งใจไว้ว่าจะให้มี คือ
กระทู้: เรียนถามคุณ V_Mee เรื่องพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 31 มี.ค. 10, 19:19 ๓. เกิดมีคนจำพวก ๑ ซึ่งเอาการบ้านเมือง (ปอลิติค) เปนทางหาชื่อเสียง เอาเปนงานประจำสำหรับทำ เอาเปนทางเลี้ยงชีพทีเดียว ที่มีบุคคลทำเช่นนี้ได้ถนัดก็เพราะเหตุผลอันได้กล่าวมาแล้วในข้อ ๒ คือโดยเหตุที่ประชาชนโดยมากมีธุระและกิจการประจำต้องกระทำอยู่ ไม่มีเวลาพอที่จะดูแลฤาดำริหในทาง “ปอลิติค” จึ่งยอมให้ผู้ที่เฃามีเวลาจะดำริห์ทาง “ปอลิติค” นั้น นึกแทนพูดแทนไป การที่มีบุคคลจำพวก ๑ ซึ่งทำการคิดการทาง “ปอลิติค” ขึ้นนี้ ถ้าจะว่าไปตามตำราก็ต้องว่าไม่สมควร เพราะตำราว่าการบ้านเมืองให้เปนไปตามแต่ประชาชนจะเห็นชอบพร้อมกันต่างหาก การที่มีบุคคลจำพวก ๑ ซึ่งหาชื่อทาง “ปอลิติค” มาเปนผู้คิดแทนดังนี้ ก็กลายเปนอำนาจอยู่ในมือคนจำพวกนี้โดยเฉภาะ จำพวกอื่นถึงจะต้องการอะไรๆ ก็ไม่ได้สมประสงค์ นอกจากที่ความปรารถนาจะไปตรงเฃ้ากับพวกนักเลงปอลิติค ถ้าจะเถียงว่า การที่เปนเช่นนี้มีทางแก้ได้ง่ายๆ คือจัดหาคนที่ไม่ใช่พวก “ปอลิติเชียน” เฃ้าไปรับเลือกเสียบ้างก็แล้วกัน ฉนี้ไซร้ก็ต้องตอบว่า ขอให้ดูความเปนจริงว่าเปนไปได้ฤาไม่ บุคคลที่เรียกตนว่า “อิศระ” (อินดิเปนเดนท์) คือไม่ได้อยู่ในปาร์ตีใดปาร์ตี ๑ นั้นนานๆ จะหลุดเฃ้าไปนั่งเปนสมาชิกแห่งรัฐสภาได้สักคน ๑ ฤา ๒ คน แต่ถึงเฃ้าไปได้แล้วก็ไม่เฃ้าไปทำประโยชน์อะไร เพราะการงานใดๆ ที่จะบรรลุถึงซึ่งความสำเร็จได้ก็โดยปรากฏว่าคนโดยมากเห็นชอบพร้อมกัน คือเมื่อตั้งเปนปัญหาขึ้นในที่ประชุมปาร์ลิยเมนต์แล้ว เมื่อถึงเวลาลงคะแนนกัน ก็ต้องเปนไปตามความเห็นของคะแนนฃ้างมากเสมอ ก็ผู้ที่จะลงคะแนนนั้น โดยมากก็คงจะลงคะแนนตามๆ กัน สุดแต่หัวน่าแห่งคณะฃองตนจะบอกให้ลงทางไหน ผู้ที่เรียกตนว่า “อิศระ” นั้น ไม่มีพวกมีพ้องที่จะนัดจะแนะกัน เพราะฉนั้นถึงแม้ว่าจะมีความคิดความเห็นดีปานใดก็ตาม แต่ก็คงไม่สามารถจะบันดาลให้การเปนไปตามความคิดความเห็นของตนได้ เมื่อการเปนอยู่เช่นนี้แล้ว จะหาผู้ที่สมัคเฃ้าไปเปนสมาชิกอิศระเช่นนั้นก็ยาก ผู้ที่ประสงค์เฃ้าปาร์ลิยเมนต์โดยมากจึ่งมักแสดงตนว่าเปนผู้เห็นพ้องด้วยปาร์ตีใดปาร์ตี ๑ แล้วแต่จะเปนการสดวกและตรงความเห็นของตนในขณะนั้น ลักษณะปกครองเช่นนี้จึ่งมีนามปรากฏว่า “ปาร์ตี สิสเต็ม” (ลักษณะปกครองด้วยคณะ) คณะผลัดเปลี่ยนกันเฃ้ารับน่าที่ปกครอง ฤาเรียกตามภาษาของเขาว่าเปน “รัฐบาล” (เคาเวอร์นเมนต์) อีกคณะ ๑ เรียกว่าเปน “ผู้คัดค้าน” (ออปโปสิชั่น) คณะที่เปนรัฐบาลนั้นคือคณะที่มีพวกมากในที่ประชุมปาร์ลิย์เมนต์ สามารถที่จะเชื่อใจได้อยู่ว่าการใดๆ ที่จะคิดจัดขึ้น แม้ว่าจะเกิดเปนปัญหาขึ้นในที่ประชุมบ้าง ก็สามารถที่จะท้าให้ลงคะแนนกันได้ โดยไม่ต้องวิตกว่าจะต้องแพ้กันในทางจำนวนคะแนน พอเมื่อใดไม่มีความเชื่อได้แน่นอนในข้อนี้แล้ว ฤาเมื่อท้าลงคะแนนกันแล้วแพ้ฃ้างฝ่ายผู้คัดค้าน ฝ่ายรัฐบาลก็ลาออกจากตำแหน่ง ผู้คัดค้านเฃ้ารับตำแหน่งแทนต่อไป กลับกันไปมาอยู่เช่นนี้ อีกประการ ๑ ในขณะเมื่อปาร์ตีใดได้รับน่าที่ปกครอง ฤาพูดตามศัพท์อังกฤษว่า “ถืออำนาจ” (อินเปาเวอร”) ปาร์ตีนั้นก็เลือกเอาแต่คนที่มีความเห็นพ้องกับตนไปตั้งแต่งไว้ในตำแหน่งน่าที่ต่างๆ ในรัฐบาล เปนทางรางวัลผู้ที่เปนพวกพ้องและที่ได้ช่วยเหลือปาร์ตีในเมื่อกำลังพยายามหาอำนาจอยู่นั้น พอเปลี่ยนปาร์ตีใหม่ได้เฃ้าถืออำนาจ เจ้าน่าที่ต่างๆ ก็เปลี่ยนไปด้วยทั้งชุด ตั้งแต่ตัวเสนาบดีลงไป การเปลี่ยนเจ้าน่าที่ทำการงานของรัฐบาลทั้งชุดเช่นนี้ ถ้ายิ่งเปลี่ยนบ่อยเท่าใดก็ยิ่งชอกช้ำมากเท่านั้น การงานก็อาจที่จะเสียหายไปได้มากๆ เพาะบางทีคนพวก ๑ ได้เริ่มคิดไว้แล้ว แต่ยังมิทันจะได้กระทำไปให้สำเร็จก็มีคนอื่นเฃ้ามารับน่าที่เสียแล้ว จึ่งต้องจัดให้มีคนจำพวก ๑ ซึ่งเรียกว่า “ฃ้าราชการประจำ” (“เปอรมะเนนต์ ออฟฟิเชียล”) ไว้ในกระทรวงและกรมต่างๆ ทุกแห่ง เพื่อเปนผู้ดำเนินการงานของรัฐบาลไปตามระเบียบเรียบร้อย ซึ่งไม่ผิดอะไรกันกับวิธีจัดระเบียบราชการในรัฐบาลแห่งเมืองอันพระเจ้าแผ่นดินมีอำนาจเต็มเปนผู้ปกครองนั้นเอง เสนาบดีฤาพวกหัวน่ากรมกระทรวงที่ผลัดกันเฃ้าออกอยู่นั้น เปนแต่ผู้คิดทางการที่จะดำเนินต่อไปอย่างไร เมื่อคิดแล้วก็ต้องมอบให้พวกฃ้าราชการประจำเปนผู้ทำต่อไป จะทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น พวกฃ้าราชการประจำเหล่านี้คือผู้ที่ต้องเหน็จเหนื่อยจริง กรากกรำลำบากจริง นั่งออฟฟิซจริง ทำการงานของรัฐบาลจริง แต่พวกเหล่านี้ฤาได้รับบำเหน็จรางวัลลาภยศฤาถานันดรศักดิ์ หามิได้เลย ผู้ที่ได้รับบำเหน็จรางวัลคือผู้ที่มาขี่หลัง คือผู้ที่เฃ้ามาครอบ คือผู้ที่เปนพวกพ้องของหัวน่าปาร์ตีที่ถืออำนาจ ถ้าแม้ว่าใครๆ ที่มีความรู้พอและพยายามพอที่จะอ่านหนังสือพิมพ์ต่างประเทศอยู่เนืองๆ และหมั่นตรวจดูอยู่ว่าผู้ที่ได้รับบำเหน็จมีเลื่อนยศ รับยศใหม่ รับตรา เปนต้นเหล่านี้ คือใครบ้าง แล้วและสืบสาวดูว่าบุคคลนั้นๆ ได้กระทำความชอบแก่บ้านเมืองอย่างไร คงจะได้แลเห็นว่า ในจำพวกที่รับบำเหน็จนั้น มีผู้ที่ปรากฏว่าได้ทำประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองจริงๆ เปนส่วนน้อย (และทหารบกทหารเรือนานๆ จะมีนามอยู่ในหมู่ผู้รับบำเหน็จสูงๆ สักคราว ๑) โดยมากเปนผู้มีทรัพย์เท่านั้น ซึ่งเห็นได้ว่าการมีทรัพย์นั้นแลเปนเครื่องที่จะบันดาลให้คนได้รับบำเหน็จ ดูๆ ไปก็คล้ายๆ ซื้อบำเหน็จกันได้ วิธีซื้อนั้น ไม่ใช่ซื้อกันตรงๆ มักเปนไปทางอ้อม คือทางส่งเงินไปเฃ้าเรี่ยรายในเงินกองกลางของปาร์ตี ปาร์ตีใช้เงินกองกลางนี้สำหรับใช้จ่าย ในเมื่อจัดให้คนพวกของตนไปรับเลือกเปนเมมเบอร์ปาร์ลิยเมนต์ นับว่าเปนอันได้ช่วยโดยทางอ้อมเพื่อให้ปาร์ตีได้ถืออำนาจ ยกเอาว่าเปนความชอบแก่รัฐบาล จึ่งให้บำเหน็จเพื่อแสดงความพอใจของปาร์ตี เมื่อเปนเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ผิดอะไรกันกับเจ้าแผ่นดินบำเหน็จรางวัลแต่พวกพ้องของตนที่ประจบประแจง บำเหน็จรางวัลก็คงเปนอันไปได้แก่คนหัวประจบอีก ไม่ใช่ได้แก่ผู้ที่ทำการงานจริงๆ คราวนี้ก็จะต้องแก้ขึ้นว่าถึงแม้ว่าจะเปนไปได้เช่นนั้นก็ตาม แต่ถ้าเมื่อใดปรากฏขึ้นว่าคณะซึ่งเปนรัฐบาลมีความลำเอียงฤาประพฤติไม่เปนยุติธรรม ราษฎรก็อาจจะร้องขึ้นได้ และอาจที่จะร้องให้คณะนั้นออกจากน่าที่รัฐบาลเสียได้ เพราะฉนั้น คณที่เปนรัฐบาลจำจะต้องระวังอยู่ ข้อนี้จริงและถูกต้องทุกประการตามตำรา แต่ตามความจริงนั้นเปนอยู่อย่างไร? ประชาชนจะร้องทักท้วงขึ้นได้ก็โดยอาไศรยปากแห่งผู้แทนซึ่งได้เลือกให้เข้าไปเปนสมาชิกแห่งรัฐสภาอยู่แล้ว ก็ในที่ประชุมปาร์ลิยเมนต์นั้น แล้วแต่คะแนนมากและน้อยมิใช่ฤา พวกรัฐบาลเฃามีอยู่มาก ถึงใครๆ จะร้องจะว่าเฃาอย่างไรๆ เมื่อท้าลงคะแนนกันเฃ้าเมื่อใดก็ต้องแพ้เฃาเมื่อนั้น อีกประการ ๑ การให้บำเหน็จรางวัลผู้ที่ให้เงิน “ลงขัน” กองกลางของปาร์ตีนั้น มิใช่ว่าจะกระทำอยู่แต่เฉภาะปาร์ตีเดียว ย่อมจะกระทำอยู่ด้วยกันทุกปาร์ตี เพราะฉนั้นปาร์ตีใดจะร้องติเตียนอีกปาร์ตี ๑ ก็ไม่ใคร่ถนัด เปนเรื่อง “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” อยู่ฉนี้ จึ่งเปนการยากที่จะแก้ไขให้หายไปได้ ข้อที่แสดงมาแล้วนี้ ก็นับว่าร้ายอยู่แล้ว แต่ยังมีต่อไปอีกขั้น ๑ คือ
กระทู้: เรียนถามคุณ V_Mee เรื่องพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 31 มี.ค. 10, 19:20 ๔. คณะฤาปาร์ตีทั้ง ๒ ฝ่ายต่างตกลงกันเสียว่าจะผลัดเปลี่ยนกันเฃ้าเปนรัฐบาล ผลัดเปลี่ยนกันมีโอกาศได้อุดหนุนพวกพ้องของตน เมื่อได้ตกลงกันเช่นนี้แล้วเมื่อใด ก็แปลว่าถึงที่สุดแห่งความเลวทราม เพราะเปนอันหมดทางที่แก้ไขได้ ในระหว่างที่ปาร์ตี “ก” เปนรัฐบาล ก็อุดหนุนพวกพ้องของตนเสียเต็มที่ ฝ่ายปาร์ตี “ข” ก็ไม่คัดค้านจริงจังอันใด จะคัดค้านบ้างก็แต่พอเปนกิริยา เพราะนึกอยู่ว่าไม่ช้าก็จะถึงคราวฝ่ายตนได้เฃ้าไปนั่งกินบ้าง ความเสียหายอันนี้มีอยู่แก่ปาร์ลิยเมนต์แทบทุกเมือง แม้แต่ที่เมืองอังกฤษซึ่งนิยมกันว่าเปนประเทศซึ่งมีปาร์ลิย์เมนต์อันดีที่สุด ก็ยังมีคนอังกฤษเองร้องติอยู่ว่า ในเรื่อง “ฃายบำเหน็จ” นั้น ถึงแม้ใครๆ จะร้องขึ้นในปาร์ลีย์เมนต์ก็ไม่เปนผลอันใด เพราะทั้งคณะลิเบอรัลและคอนเซอร์วะติฟพากันตัดรอนปัญหาเสีย มิได้ทันต้องถึงได้ปฤกษากันฤาลงคะแนนกันเลย ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินนั้น ถึงแม้ว่าจะทรงทราบเรื่องนี้ ก็ไม่มีอำนาจจะทรงแก้ไขอย่างใดได้ การที่จะประทานบำเหน็จรางวัลแก่ผู้ใด ก็ต้องเปนไปตามความแนะนำของเสนาบดีเปนพื้น จะมีที่เลือกประทานเองได้บ้างก็แต่พวกฃ้าราชการในราชสำนักนี้เท่านั้น ก็เมื่อในประเทศอังกฤษเปนเช่นนี้แล้ว ในประเทศอื่นจะเปนอย่างไร
การมีปาร์ลีย์เมนต์ ฤาเปนรีปับลิคไม่ตัดการฉ้อโกงฤาการไม่สม่ำเสมอให้หมดได้ แต่ว่า-ข้อความที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ ก็เปนแต่หัวข้อบางข้อ ซึ่งตามความเห็นของเราเห็นว่าเปนสำคัญ และโทษทั้งปวงที่ได้แสดงมาแล้วนั้น อาจจะมีได้ไม่เฉภาะแต่ที่ในประเทศซึ่งใช้ลักษณปกครองเปน “ลิมิเต็ดมอนาร์คี” ถึงในประเทศที่ใช้ลักษณปกครองเปน “รีปับลิค” ก็มีได้เหมือนกัน การมีปาร์ลิยเมนต์ก็ดี ฤาถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนลักษณปกครองเปนรีปับลิคไปทีเดียวก็ดี ไม่ตัดการฉ้อโกงฤาการไม่สม่ำเสมอให้หมดไปได้เลย ถ้าผู้ถืออำนาจยังมีทางที่เลือกให้บำเหน็จรางวัลแก่ใครๆ ได้ตามใจอยู่ตราบใด คนสอพลอและหัวประจบก็คงยังต้องมีอยู่ตราบนั้น จะผิดกันก็แต่ชื่อที่เรียกผู้มีอำนาจเท่านั้น แต่ว่ามันก็มีข้อที่ควรคำนึงต่อไปอยู่บ้าง และถึงแม้ว่าจะเปนข้อที่ไม่พึงใจก็จำจะต้องมองดูตรงๆ คือ “เสียงประชาคือเสียงของเทวดา” ความนิยมของคนโดยมากในสมัยนี้ทั่วไปมีอยู่ว่า การที่มอบอำนาจไว้ในมือบุคคลคนเดียว ให้เปนผู้จัดการปกครองชาติบ้านเมืองคนเดียวนั้น ต้องได้คนที่ ดีจริง เก่งจริง สามารถจริง จึ่งจะควรไว้ใจให้เปนผู้ครอบครองได้ โดยไม่ต้องเกรงว่าบุคคลผู้นั้นจะใช้อำนาจในที่ผิดและไม่เปนประโยชน์ฤาความศุขแห่งประชาชน แต่การที่จะหาคนเช่นนี้ก็มิใช่ง่าย และถ้าพระเจ้าแผ่นดินไม่เปนผู้ที่เหมาะแก่น่าที่แล้ว จะเปลี่ยนตัวก็ยาก นอกจากที่เจ้าแผ่นดินนั้นเองจะมีความรู้สึกว่าตนไม่มีความสามารถพอที่จะทำน่าที่ได้ และมีความรักชาติพอ มีใจเด็ดเดี่ยวพอที่จะสละอำนาจ สละลาภยศและราไชสวรรย์จึ่งหลีกไปเสีย เพื่อให้ผู้ที่ประชาชนนิยมมากกว่าได้มีโอกาศทำการเพื่อบังเกิดผลอันใหญ่ยิ่งขึ้นแก่ชาติบ้านเมือง แต่เจ้าแผ่นดินที่จะรู้สึกตัวว่าไม่สามารถนั้นก็หายาก และถึงแม้ว่าจะมีบ้าง การที่จะออกจากน่าที่ก็ใช่ว่าจะทำไปได้โดยง่าย อาจจะมีเครื่องขัดขวางอยู่หลายประการ เมื่อเปนเช่นนี้แล้ว มหาชนจึ่งได้พากันค้นหาทางแก้ไขความไม่แน่นอนแห่งลักษณปกครองโดยมีเจ้าแผ่นดินถืออำนาจสิทธิ์ฃาดนั้นโดยวิธีใดวิธี ๑ บางเมืองก็แก้ไปทางมี “คอนสติตูชั่น” ขึ้น และตัดอำนาจเจ้าแผ่นดินเสียทั้งหมด คงเหลือให้ไว้แต่อำนาจที่จะห้ามกฎหมาย (“วีโต”) บางครั้งบางคราว กับการทำสงครามและเลิกสงคราม แต่ถึงแม้อำนาจทั้ง ๓ นี้ ก็ไม่ได้ใช้โดยลำพัง คงต้องใช้ได้ด้วยความแนะนำของคณะเสนาบดีโดยมาก แต่ถึงแม้ตัดอำนาจเจ้าแผ่นดินลงไปปานนี้แล้ว บางชาติก็เห็นไม่พอ จึ่งเลยเปลี่ยนเปนรีปับลิคไปอีกชั้น ๑ จึ่งเห็นได้ว่า ความนิยมของมหาชนเวลานี้เดินไปหาทางประชาธิปตัย คือทางให้อำนาจอยู่ในมือของประชาชนเอง ต้องการที่จะมีเสียงฤามีส่วนในการปกครองชาติบ้านเมืองของตนเองให้มากที่สุดที่จะเปนไปได้ และเมื่อความเห็นของคนมากๆ ตรงกันเฃ้าแล้ว ก็ยากที่จะทัดทานฤาคัดค้านไว้ได้ คงจะต้องเปนไปตามความเห็นอันนั้นคราว ๑ จะผิดกันก็แต่เวลาจะช้าฤาเร็วเท่านั้น นักปราชญ์โรมันจึ่งได้แสดงเปนภาษิตไว้ว่า “Vox populi vox dei” แปลว่า “เสียงประชาคือเสียงเทวดา” ขยายความว่าเทวดาเปนผู้ที่นิยมกันว่ามีอานุภาพใหญ่สามารถจะบันดาลให้สิ่งทั้งปวงเปนไปตามปรารถนาทุกประการ อันประชาชนซึ่งมีความประสงค์ตรงกันอยู่แล้วโดยมาก และได้แสดงความประสงค์อันนั้นให้ปรากฏชัดแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดจะสามารถทัดทานได้ จึ่งนับว่ามีอานุภาพเปรียบด้วยเทวดาฉนี้ เมื่อปรากฏอยู่เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีข้อควรสงไสยเลยว่า เมืองไทยเรานี้คงจะต้องเปนไปอย่างประเทศอื่นๆ ได้เปนมาแล้ว คงจะต้องมี “คอนสตูติชั่น” อัน ๑ เปนแน่แท้ ถึงแม้การมี “คอนสตูติชั่น” จะมีโทษเช่นที่กล่าวมาแล้วก็ตาม แต่ลักษณะปกครองโดยมอบอำนาจไว้ในมือพระเจ้าแผ่นดินผู้เดียวก็มีโทษอยู่เหมือนกัน (ซึ่งในเวลาบัดนี้มีผู้แลเห็นและรู้สึกอยู่หลายคน!) จึ่งตกอยู่ในปัญหาว่าจะเลือกเอาอย่างไหน และคำตอบปัญหาอันนี้ ก็มีอยู่ว่าแล้วแต่ประชาชนจะเห็นชอบและประสงค์ทั่วกันเถิด ส่วนตัวเราเองนั้นย่อมรู้สึกอยู่ดีว่า การเปนเจ้าแผ่นดินมีความลำบากปานใด คับใจเพียงใด ที่ยังคงอุส่าห์ทำการไปโดยเต็มสติกำลังและความสามารถก็โดยหวังใจให้บังเกิดผลอันดีที่สุดแก่ชาติบ้านเมืองของเราเท่านั้น การใดๆ ที่เราจะทำไปให้บรรลุถึงซึ่งความสำเร็จได้ ก็ด้วยอาไศรยความพร้อมใจแห่งฃ้าราชการอันเปนผู้รับน่าที่ทำการงานของรัฐบาล ตั้งแต่เสนาบดีลงไปจนถึงผู้มีตำแหน่งน่าที่น้อยๆ อาไศรยความไว้ใจแห่งท่านเหล่านี้อันมีอยู่ในตัวเรา ไว้ใจว่ามีความมุ่งดีและมีความสามารถพอที่จะเปนหัวน่าเปนนายเหนือเฃาทั้งหลายได้ ถ้าเมื่อใดความไว้ใจอันนี้เสื่อมถอยลงไป ฤาสิ้นไปแล้ว ตัวเราก็เท่ากับท่อนไม้อัน ๑ ซึ่งบุคคลได้ทำขึ้นไว้เปนเตว็ดตั้งไว้ในศาล จะมีผู้เคารพนับถือก็แต่ผู้ที่มีปัญญาถ่อยปราศจากความคิดเท่านั้น. กระทู้: เรียนถามคุณ V_Mee เรื่องพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 31 มี.ค. 10, 21:38 อยู่ในทวีปัญญา ฉบับที่ ๑๘ เดือนกันยายน ร.ศ. ๑๒๔ ค่ะ
สารบัญ แจ้งว่า ผู้เขียนคือ น้อยลา ค่ะ นายเกศร์นั้น ล้อเลียน นายกุหลาบค่ะ เพราะนายกุหลาบเขียนย้ำครึ่งประโยคแรกอยู่เรื่อยๆ น้อยลา ปรีชาชาญยิ่งนัก เถือนายกุหลาบได้หลายจุด เช่น เรื่องเจ้าแม่วัดดุสิต กับหนังสือฝรั่งเศสชื่อ............... เรื่องนายทวนก็เหมือนกัน เพราะมีสมาชิกท่านอื่นๆประท้วงกลายๆอยู่เบื้องหลัง นายวรรณ หรือ เทียนวรรณท่านเขียนแบบนี้จริง กระทู้: เรียนถามคุณ V_Mee เรื่องพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 31 มี.ค. 10, 22:11 หนังสือสนุก
พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ทรงพระนิพนธ์คำนำ ส. ศิวลักษณ์ รวบรวมและคำอธิบาย สำนักพิมพ์สังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย พิมพ์ครั้งที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๔๐ "การที่ข้าพเจ้าไม่บอกต้นตอของเรื่องที่นำมาลงพิมพ์ไว้ใน หนังสือสนุกนั้นก็เพราะ (๑) หมั่นไส้พวกนักวิชาการจากต่างประเทศ โดยเฉพาะก็พวกสำนักสหรัฐอเมริกา ที่เขียนข้อความอะไรสักประโยค ๑ วรรค ๑ ก็ต้องลงเชิงอรรถ และ (๒) คนไทยแต่ก่อน เขาชอบลองภูมิปัญญากันโดยไม่บอกให้รู้ว่า ข้อเขียนชิ้นนี้มาจากไหน เพื่อให้ทายกันในวงนักเลงหนังสือ แต่ก็ต้องขอยอมรับ ว่าบางทีก็ผิดพลาด เพราะหนักเข้า เจ้าตัวเองก็ลืม หาต้นตอไม่พบ ดังเช่น พระราชนิพนธ์ล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๖ เรื่อง "รัฐสภาในอนาคต"นั้น นายชัยอนันต์ สมุทวณิชคัดตัดตอนไปลงต่อไว้ในเอกสารการเมืองของเขา เขาถามว่าข้าพเจ้าได้มาจากไหน ตอบเขาไม่ได้ เขาก็เลยเอาไปลงต่อไว้ โดยไม่ทราบที่มาชั้นเดิมเหมือนกัน รู้แต่ว่า ทรงพระราชนิพนธ์เพื่อ "ถอนรัศมี" นายเทียนวรรณ และนายก.ศ.ร. กุหลาบ แสดงจุดยืนต่อต้านประชาธิปไตยของพระองค์ท่าน แต่ที่ทรงพยากรณ์ไว้นั้น ก็มีส่วนถูกไม่น้อย" กระทู้: เรียนถามคุณ V_Mee เรื่องพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 31 มี.ค. 10, 22:23 เคยอ่าน รัฐสภาในอนาคต ฉบับก่อนมาแล้ว
เข้าใจว่าพิมพ์ใน ทวีปัญญา แน่นอน แต่หา ทวีปัญญาไม่ได้ในเวลานั้น ต่อมา ตามเก็บ ทวีปัญญารวมเล่มที่ มูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถ้มภ์ จัดพิมพ์ ได้มาเพียงเล่ม ๑ - ๔ เท่านั้น กำลังค้นข้อมูลจากคลังหนังสือแห่งหนึ่งอยู่ ว่าจริงแล้ว ทวีปัญญามีกี่เล่ม และมีเรื่องสนุก ๆ ทวีปัญญาอะไรบ้าง ทราบเพียงเท่านี้ค่ะ กระทู้: เรียนถามคุณ V_Mee เรื่องพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เริ่มกระทู้โดย: luanglek ที่ 01 เม.ย. 10, 08:14 ต่อมา ตามเก็บ ทวีปัญญารวมเล่มที่ มูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถ้มภ์ จัดพิมพ์ ได้มาเพียงเล่ม ๑ - ๔ เท่านั้น กำลังค้นข้อมูลจากคลังหนังสือแห่งหนึ่งอยู่ ว่าจริงแล้ว ทวีปัญญามีกี่เล่ม และมีเรื่องสนุก ๆ ทวีปัญญาอะไรบ้าง ทวีปัญญาที่มูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถ้มภ์พิมพ์ มีทั้งหมด ๖ เล่มครับ 8) แถมอีกนิด ดุสิตสมิต ที่มูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถ้มภ์ มีทั้งหมด ๑๑ เล่มครับ กระทู้: เรียนถามคุณ V_Mee เรื่องพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 01 เม.ย. 10, 10:41 ขอบคุณค่ะ คุณหลวง
คำแนะนำของคุณหลวงมีประโยชน์จริง ๆ กระทู้: เรียนถามคุณ V_Mee เรื่องพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เริ่มกระทู้โดย: luanglek ที่ 02 เม.ย. 10, 08:28 เรื่อง รายงานการประชุมปาลิเมนต์สยาม เขียนโดย น้อยลา (พระนามแฝงของรัชกาลที่ ๖) ปรากฏอยู่ในทวีปัญญา ฉบับพิมพ์รวมเล่ม เล่มที่ ๓ โดยมูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถ้มภ์ อยู่หน้า ๓๙๕ - ๔๐๓
ในทวีปัญญา ยังมีบทความอื่นที่น่าสนใจ เช่น บทความขนาดยาวหลายตอนจบ เรื่อง รัตนศัพท์สงเคราะห์ ผู้เรียบเรียง คือ ตวันสาย ซึ่งผมสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นนามแฝงของเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) เพราะท่านอธิบายเรื่องศัพท์ภาษาอังกฤษได้ละเอียดดี พร้อมกับเล่าเรื่องลางเรื่องที่มาจากประสบการณ์ตรงของท่านเอง ซึ่งมีประสบการณ์บางอย่างที่ท่านเล่า บ่งบอกว่า คนเขียนต้องเคยเดินไปอังกฤษและได้พบปะกับบุคคลสำคัญหลายคนที่เคยเข้ามาติดต่อราชการกับราชสำนักสยามในสมัยรัชกาลที่ ๓ - ๕ การติดต่อกับอังกฤษในระยะดังกล่าวทำให้ไทยได้รับเอาคำภาษาอังกฤษบางคำมาใช้ในราชการไทย อย่าง กวีน กัดฟันมันหรือคอแวนเมนต์ เกราน์ปรินศ์ สี้ป่ายห์ นอกจากนี้ คนเขียนยังได้แทรกประวัติการคิดคำไทยเทียบใช้แทนคำภาษาอังกฤษเหล่านี้ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงการใช้คำนั้นๆ ในเวลาต่อมา อ่านเถิดสนุกมากได้ความรู้ด้วย อ้อ บทความเรื่อง รัตนศัพท์สงเคราะห์ นี้ เริ่มลงในทวีปัญญาฉบับเดียวกันกับที่ลงเรื่องรายงานการประชุมปาลิเมนต์สยาม จากนั้นก็ลงต่อไปอีกจนถึงในทวีปัญญาฉบับรวมเล่ม เล่มที่ ๕ ;D กระทู้: เรียนถามคุณ V_Mee เรื่องพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 02 เม.ย. 10, 16:57 ขอบพระคุณคุณหลวงที่กรุณาตรวจสอบให้ครับ ผมเงก็เปิดทวีปัญญาเล่ม ๓ ดูเหมือนกัน แต่คงจะรีบเกินไปเลยหลุดรอดสายตายไปได้ ขอรับความผิดพลาดทุกประการ
หนังสือที่มหามกุฎราชวิทยาลัยนำไปพิมพ์เผยแพร่ทุกๆ ปีนั้น ได้ต้นฉบับไปจากหอวชิราวุธานุสรณ์ พอพิมพ์ดึสิตสมิตมาถึงเล่มที่ ๑๑ ให้เกิดเหตุการณ์ที่น่าเสียใจ คือ มีคนร้ายแฝงตัวเข้าไปอยู่ในหอวชิราวุธฯ แล้วรอจนปิดทำการจึงโจรกรรมหนังสือดุสิตสมิตที่มีตัวเล่มอยู่ที่หอวชิราวุธฯ รวม ๑๕ เล่ม กับต้นฉบับลายพระราชหัตถ์อีกจำนวนหนึ่ง ต่อมาคนร้ายลงต้นฉบับลายพระราชหัตถ์กลับมาทางไปรษณีย์ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตามสืบย้อนกลับไปจนจับกุมตัวคนร้ายได้ ปรากฏว่าหนังสือดุสิตสมิคนั้นถูกส่งออกไปต่างประเทศแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถขยายผลจนทราบว่า คนร้ายร้ายนี้เคยไปขโมยพระไตรปิฎกที่วัดพระเชตุพนหมดไปทั้งตู้มาก่อนแล้ว ต่อมาทางหอวชิราวุธานุสรณ์ได้รับมอบดุสิตสมิตมาอีกชุดหนึ่ง แต่จะเป็นจำนวนกี่เล่มนั้นไม่ได้ติดตามข่าว คงทราบจากเพื่อนคนหนึ่งที่ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้วว่า ญาติของท่านคนหนึ่งเป็นผู้เก็บรักษาหนังสือดุสิตสมิตของบรรณาธิการไว้ครบชุด คั้งแค่เล่ม ๑ - ๒๒ ปัจจุบันเพื่อนผมคนนั้นเสียชีวิตไปแล้วเลยไม่ทราบส่าจะตามสืบหาได้ที่ไหนเหมือนกัน |