เรือนไทย

General Category => ศิลปะวัฒนธรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: นกข. ที่ 05 ก.พ. 02, 04:51



กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 05 ก.พ. 02, 04:51
วันก่อนนี้ดูหนังลิเกฝรั่งเรื่องอะไรก็จำไม่ได้ เป็นหนังเรื่องอิงพงศาวดารยุโรป มีฉากหนึ่งที่ตัวละครกลับจากภาคพื้นทวีปยุโรปมาอังกฤษ พอเห็นหน้าผาขาวที่โดเวอร์ก็เป็นอันรู้ว่ากำลังจะถึงฝั่งอังกฤษแล้ว สำหรับคนที่จากแผ่นดินอังกฤษไปไกลไปนาน หน้าผาขาวริมทะเลนั้นคือสัญลักษณ์ของการกลับมาถึงบ้าน

เมื่อสมัยก่อนโน้นการเดินทางระหว่างประเทศยยังต้องใช้เรือ จะเป็นเรือสำเภา เรือสำปั้น เรือกำปั่น หรือต่อมาจะเป็นเรือกลไฟก็ตามแต่ พี่น้องตระกูลไรท์ยังไม่ได้คิดเครื่องบิน และลักษณะของบ้านเมืองต่างๆ ที่จะปรากฏแก่ตาผู้เดินทางก็มักจะเป็นความประทับใจที่ได้จากมุมมองจากในเรือเป็นครั้งแรก

ที่ปากประตูเข้าสู่โลกใหม่ คือสหรัฐฯ สมัยที่ผู้อพยพจากโลกเก่าในยุโรปยังหลั่งไหลมาโลกใหม่โดยทางเรือ ภาพประทับใจภาพแรกที่ผู้อพยพเหล่านั้นเห็น คืออนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพที่ปากอ่าวหน้ามหานครนิวยอร์ก ซึ่ง "ยืนชูประทีปแห่งความหวังอยู่หน้าปากประตูทอง"  แต่ถ้าเข้าเมืองสหรัฐฯ ทางอีกด้านหนึ่งของทวีปคนละฝั่งมหาสมุทร คือที่ซานฟรานซิสโก ก็จะผ่าน "ประตูทอง"  อีกบานหนึ่ง คือสะพานโกลเด้น เกท

สมัยก่อน สยามได้ชื่อว่าเป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ เขียวชะอุ่มชุ่มชื้นไปด้วยต้นไม้นานาชนิด ขนาดที่ว่าคนจีนที่หนีความลำบากและความกันดารมาจากเมืองจีน ลงเรืองหัวเขียวหรือเรือหัวแดงมาจากซัวเถา พูดกันต่อๆ มาว่า พอล่องเรือมาจนเห็นชายฝั่งเขียวๆ มีต้นไม้เขียวไปหมด ก็นั่นแหละถึงสยามแล้ว เป็นอันเย็นใจได้ว่ารอดตายแล้ว แผ่นดินนี้อุดมสมบูรณ์ ไม่อดตายแน่ นอกจากความเขียวขจีของพืชพรรณสมัยโน้น ที่ปากน้ำสมุทรปราการยังมีสัญลักษณ์ที่แสดงว่าเรือกำลังจะเข้ามายังสยาม ดินแดนของพระพุทธศาสนา คือพระสมุทรเจดีย์ องค์สีขาวมีผ้าแดงพันเด่น เห็นพระเจดีย์นี้ก็แปลว่ากำลังจะพ้นจากมหาสมุทรเข้าแน่น้ำ เข้าเมืองไทยแล้ว

สมัยนี้พวกเราเดินทางด้วยเครื่องบิน ประเดี๋ยวเดียวก็ไปได้รอบโลก การรอนแรมไปในเรือนานๆ กว่าจะถึงที่หมายไม่ค่อยมีแล้ว และสัญลักษณ์ที่หมายของบ้านเมืองต่างๆ ที่เห็นได้จากทางเรือก็ค่อยๆ ลดความสำคัญลงไป ตัวผมเองไปต่างประเทศมาหลายครั้ง กลับจากต่างประเทศมาเมืองไทยก็หลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็นั่งเครื่องบินมาลงสนามบินดอนเมือง ไม่เคยได้เห็นพระเจดีย์ปากน้ำเลย (ยกเว้นเวลาไปเที่ยวเมืองสมุทรปราการ ซึ่งก็ไม่เกี่ยวกับการกลับมาถึงเมืองไทยจากเมืองนอก)

แต่ถึงกระนั้นก็ดี ทุกครั้งที่เครื่องบินตีวง ลดระดับลงมาตำกว่าระดับเมฆ เตรียมร่อนลงจอดที่ท่าอากาศยานกรุงเทพฯ ผมได้เห็นภาพท้องทุ่งนาสีเขียวขจีสดใสเบื้องล่าง หรือบางทีก็เป็นสีทองอร่ามจากหน้าต่างเครื่องบินทีไรก็เต็มตื้นด้วยความสบายใจว่า เรามาถึงบ้านแล้ว ทุกครั้งทุกหนไป

... ตราบเท่าที่ยังมีทุ่งข้าวเขียวขจีให้ผมเห็นจากเครื่องบิน ภาพวิวภาพนี้จะยังมีให้ผมเห็นได้อีกถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ประการแรก ความเจริญของบ้านเมืองกำลังค่อยๆ แผ่ออกไปกลืนทุ่งนาสีเขียวให้หดลงๆ ทุกที ประการที่สอง ถ้าเขาทะเลาะกันเรื่องหนองงูเห่าเสร็จและย้ายสนามบินไปแล้ว ผมก็ยังไม่ทราบว่าวิวจากเครื่องบินที่กำลังจะร่อนลงที่สนามบินแห่งใหม่จะเป็นอย่างไร


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: คุณพระนาย ที่ 08 ม.ค. 02, 04:03
สำหรับผม นั่งเครื่องบินไปลงที่ไหน ก็ไม่รู้สึกว่าอบอุ่นที่สุด เท่าเวลาที่เครื่องบินตีวงร่อนลงที่สนามบินดอนเมืองเลยครับ อยู่ที่เมกามาก็ปีที่ 5 แล้ว กลับบ้านไป 2 ครั้ง แต่ทั้งสองครั้งที่เครื่องบินร่อนลงแล้วออกมาก็รู้สึก ขึ้นมาในใจทุกครั้งว่าเรากลับบ้านแล้ว


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: B ที่ 08 ม.ค. 02, 18:13
When I saw BKK. from the plane the first time I went back home, I realized the saying "There's no place like home."



Khun NKK. ka, Tan Suang U in "Letters From Thailand" by Khun Botan wrote to his mother that when he looked over the Thai coastline from the ship, BKK. (in 1945) had a great many trees; many of them were coconut palms.


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: เปี้ยว ที่ 08 ม.ค. 02, 18:41
ตอนที่เครื่องร่อนลงที่ดอนเมือง มันจะมีตึกทรงไทยอยู่หลังนึงครับ ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นทรงหลายเหลี่ยมด้านเท่า อยู่ใกล้ถนนไปรังสิต ผมจะเห็นประจำตอนเครื่องร่อนลง แต่ก็ไม่เคยรู้ว่าเป็นตึกอะไร แต่วินาทีที่รู้สึกว่าถีงเมืองไทยจริงๆคือตอนที่ล้อเครื่องบินแตะพื้นครับ ช่วงที่กำลังร่อนใกล้ๆพื้น เหมือนจะหยุดหายใจไปชั่วขณะ รอทำหน้ายิ้มแป้นตอนวินาทีที่ล้อแตะพื้น

กัปตันไทยนำเครื่องลงได้นิ่มที่สุดในโลก ขอบอก :) ตอนโผล่หน้าออกจากตีกไปนั่งแทกซี่นี่จะร้อนวูบทันที ทำให้มั่นใจขี้นว่าลงไม่ผิดประเทศ เย้ ! ผมว่าทุ่งนาเมืองไทยมันเขียวแบบเขียวขจีอย่างที่คุณ นกข. ว่าครับ ประเทศทางยุโรปจะเขียวปนน้ำตาลหรือปนส้มเป็นส่วนใหญ่


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: เรไร ที่ 08 ม.ค. 02, 23:57
เอาเพลงมาฝากคนใกล้ฝั่ง เอ๊ย!  คนไกลบ้าน ที่ได้เห็นฝั่ง ค่ะ

บ้านเรา

บ้านเรา... แสนสุขใจ
แม้จะอยู่ที่ไหน ไม่สุขใจเหมือนบ้านเรา
คำว่าไท ซึ้งใจเพราะใช่ทาสเขา
ด้วยพระบารมีล้นเกล้าคุ้มเราร่มเย็นสุขสันต์
รุ่งทิพย์ ฟ้าขลิบทอง
พริ้วแดดส่องสดใส งามจับใจมิใช่ฝัน
ปวงสตรีสมเป็นศรีชาติเฉิดฉัน
ดอกไม้ชาติไทยยึดมั่นหอมทุกวันระบือไกล
บุญนำพากลับมาถึงถิ่น
ทรุดกายลงจูบดิน ไม่ถวิลอายใคร
หัวใจฉันใครรับฝาก เอาไว้
จากกัน แสนไกล ยังเก็บไว้หรือเปล่า
เมฆจ๋า ฉันว้าเหว่ใจ
ขอวานหน่อยได้ไหม  ลอยล่องไปยังบ้านเขา
จงหยุดพักแล้วครวญรับฝากกับสาว
ว่าฉันคืนมาบ้านเก่า
ขอยึดเอาไว้เป็นเรือนตาย ....


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 09 ม.ค. 02, 00:48
ขอบคุณครับ

ว่าแต่ว่าหัวใจผมน่ะ ใครที่รับฝากเอาไว้ ห่างกันแสนไกล ยังเก็บไว้หรือเปล่า????? หรือว่า รับฝากไว้นาน ไม่ได้มาเอา ตั๋วฝากหมดอายุ เลยเลหลังหัวใจผมไปแล้ว????

เอ ไอ้เราก็เพ้อเจ้อ ยังไม่ได้กลับบ้านเราสักหน่อย แล้วสาวที่จะให้เมฆไปครวญรักฝากไปก็หายังไม่ได้ด้วย เอาหัวใจกลับมาไว้ในอกตัวเองก่อนแล้วกันครับ

ผมนึกว่า ตึกทรงไทยๆ ที่คุณเปี้ยวพูดถึง จะใช่อนุสรณ์สถานแห่งชาติหรือเปล่าก็ไม่รู้ อนุสรณ์สถานแห่งชาติก็อยู่แถวๆ รังสิตเลยดอนเมืองไป เป็นอนุสาวรีย์ที่ทางการทหารสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงวีรชนที่เสียสละชีพในหน้าที่ สร้างมาทีหลังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (ซึ่งมีวัตถุประสงค์เดียวกัน) แต่ดูเหมือนอนุสาวรีย์ชัยฯ จะเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากกว่ามาก

ใครมีเรื่องอะไรเกี่ยวกับสัญลักษณ์ของประเทศต่างๆ มาเล่าอีกครับ เชิญครับ

สลับฉากด้วยโจ๊ก ไหนๆ ก็เปลี่ยนสมัยไปเป็นสมัยเรือบินไม่ใช่สมัยเรือสำเภาแล้ว โจ๊กเรื่องนี้จึงเกิดขึ้นบนเครื่องบิน เป็นโจ๊กเก่าครับ หลายปีแล้ว

บนเครื่องบินลำหนึ่ง ผู้นำสหรัฐฯ ผู้นำไทย กับผู้นำโซเวียตรัสเซียนั่งอยู่ เครื่องบินฝ่าเข้าไปในเมฆหนาทึบ มองไม่เห็นอะไรเลย สักพัก ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็เปิดหน้าต่างยื่นแขนออกไปนอกหน้าต่าง แล้วก็ประกาศว่า ไอรู้ว่าตอนนี้เครื่องกำลังบินอยู่เหนือน่านฟ้าสหรัฐฯ
อีกสองคนถามว่า - รู้ได้ไง?
ประธานธิบดีสหรัฐฯ ดึงมีอกลับเข้ามาในเครื่องบิน ปรากฏว่ามีขนนกอินทรีติดเต็มไปหมด
เลขาธิการพรรคโซเวียตเอาบ้าง พอเครื่องบินบินไปสักพักก็ยื่นมือออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบิน แล้วก็ประกาศด้วยความมีชัยว่า - กะร้าชโช่ - ไอก็รู้เหมือนกันว่าตอนนี้เรากำลังบินอยู่เหนือน่านฟ้าโซเวียต -
อีกสองคนถามว่า รู้ได้ไง?
เลขาธิการพรรคคอมมิวนิต์โซเวียตแบมือออกมาให้ดู ปรากฏว่ามีขนหมีขาวเต็มอุ้งมือไปหมด
นั่งมาได้สักพัก นายกไทยก็เอาบ้าง ยื่นมืออกไปนอกหน้าต่างที่ยังมีเมฆขาวคลุ้มมองไม่เห็นอะไรเหมือนเดิมแล้วก็บอกว่า อาฮ้า- ผมรู้แล้วว่าตอนนี้เราเข้าเขตไทยแล้ว
อีกสองคนถามว่า รู้ได้ไง?
ท่านนายกฯ ตอบว่า รู้สิ ก็นาฬิกาโรเล็กซ์ของผมถูกปลดไปแล้ว....


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: อำแดงริน ที่ 09 ม.ค. 02, 21:05
ถึงบ้าน....เป็นความรู้สึกร่วมของคนส่วนใหญ่จริงๆค่ะ
...อยู่ที่ไหนไม่สุขใจเหมือนบ้านเรา....

หลายปีแล้วตอนที่ดิฉันไปทำpart time ที่กทม.ช่วงเสาร์อาทิตย์
ส่วนใหญ่เลิกงานตอนเย็น กว่าจะมาถึงบ้านก็ใกล้ค่ำ
หรือไม่ก็ค่ำไปแล้ว
ทุกครั้งที่ขับรถมาถึงสี่แยกบางแพ(แยกใหญ่ที่จะเลี้ยวกลับบ้าน)
ดิฉันจะรู้สึกสบายใจ คลายความเหนื่อยความเกร็งที่ต้องขับรถ
มาเป็นระยะทางเกือบ100กม. เมื่อนึกว่าอีกเดี๋ยวก็จะได้กลับไปอยู่
ที่ที่คุ้นเคยอีกแล้ว...^_^


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: ส้มหวาน ที่ 10 ม.ค. 02, 00:14
เอามาฝากค่ะ ถ่ายเองเมื่อตอนกลับบ้านปีที่แล้วแล้วบินไปเชียงใหม่ ภาพนี้ตอนเครื่องกำลังขี้นจากดอนเมืองจะบินไปเชียงใหม่ค่ะ แม่เจ้าพระยาของเรา คิดถึงจังเลย


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: ส้มหวาน ที่ 10 ม.ค. 02, 00:17
เวลาเห็นตึกนี้จากหน้าต่างเครื่องบินจะดีใจเป็นที่สุด ถึงบ้านแล้ว คงเหมือนชาวอังกฤษเห็นหน้าผาขาวที่โดเวอร์ค่ะ


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: ส้มหวาน ที่ 10 ม.ค. 02, 00:23
อ่าเรื่อง บูรพา อาจาร์ย ว วินิจฉัยกุลบรรยายฉากตอนเรือที่พาเจ้าชายสยามและแหม่มแคทรีนเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยา มีค้นลำภูเรียงรายเป็นทิวแถว ไม่ทราบว่าต้นลำภูเป็นยังไงคะ ไม้ดอกหรือไม้ผลคะ ใครมีภาพให้ดูบ้างคะ


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 10 ม.ค. 02, 03:58
ผมก็ไม่ค่อยรู้จักต้นลำภูครับ รู้แต่ว่า เป็นต้นไม้ยืนต้นอย่างหนึ่ง แต่ก่อนแถวบางลำพูมีอยู่มาก และเป็นต้นไม้ที่หิ่งห้อยชอบมาเกาะทำให้สว่างวอมแวมตอนกลางคืน

ใครมีภาพต้นลำภู/ลำพู ? บ้างครับ


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: โกโบริ ที่ 10 ม.ค. 02, 11:00
ต้นลำภูหรือครับ สงสัยต้องไปดูในหนังเรื่องคู่กรรมครับ


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ม.ค. 02, 11:04
หาในเน็ตแล้วไม่มีภาพต้นลำพูเลยค่ะ  
เป็นไม้ยืนต้น  มีผลเล็กๆแต่กินไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่เคยเห็นใครกินกัน    ชอบขึ้นริมน้ำ   เป็นที่อาศัยของหิ่งห้อย
บางลำพูได้ชื่ออย่างนี้เพราะเมื่อก่อนมีต้นลำพูมาก  ตอนนี้เหลืออยู่ต้นเดียว  อยู่ทางถนนพระอาทิตย์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ถ้าอยากดูภาพคล้ายๆกับในเรื่อง"บูรพา" ก็มีการนำชมต้นลำพูที่สมุทรสาคร   นักท่องเที่ยวนั่งเรือไปดูหิ่งห้อยบนต้นลำพูริมคลองค่ะ  อาจจะไม่มากเท่าในหนังสือ  แต่ก็พอจะวาดภาพตามไปได้


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: Gi ที่ 10 ม.ค. 02, 14:31
มาต่อขำขัน คุณ นิลฯ
ช่างไหนๆ ก็ไม่เท่าช่างไทยหรอก...

3 สหายวิศวกรจาก อเมริกา ฝรั่งเศส และ ญี่ปุ่น นัดกันมาเที่ยวแวะพักผ่อนที่เมืองไทย
ร่วมกันเรียกรถ Limousine ของโรงแรมไปส่งที่ downtown ใช้เส้นทางถนนพหลโยธินมุ่งหน้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

อเมริกา - ช่างก่อสร้างประเทศไอ เก่งที่สุดในโลก อย่างสะพานโกลเด้นเกต นะ 6 เดือนก็สร้างเสร็จแล้ว

ฝรั่งเศส - ทำเป็นคุย หอคอยไอเฟล ของไอนะ 3 เดือนเอง

ญี่ปุ่น - อะไร พวกลื้อไม่ใช้เทคโนโลยีเลย  ใช้คอมพิวเตอร์จัดการอย่างประเทศอั้วสิ  หอคอยโตเกียว เดือนเดียว ก็เสร็จแล้ว

เอี๊ยดดดดด..............
ไม่ทันขาดคำของคนญี่ปุ่น รถ Limousine ก็หยุดกระทันหันจากการกระทืบเบรกอย่างแรง ก่อนจะเข้าแยก อนุสาวรีย์ชัยฯ

3 ชาติ - เฮ้ย ไดร์เวอร์ ขับรถประสา อะไรหว่า

พนักงานขับรถโรงแรม - ซอรี่ ๆๆ คือว่า เมื่อเช้านี้ ผมขับผ่านตรงนี้ อนุสาวรีย์ ข้างหน้านี้ ยังไม่มี เลย นี่น่า....


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: สตาร์ ที่ 10 ม.ค. 02, 18:00
ขอชี้จุดที่น่าสนใจทางประวัติศาสตร์ในภาพของคุณส้มหวาน

เป็นภาพคุ้งน้ำเจ้าพระยาบริเวณปากเกร็ด มีเกาะเกร็ด และวิวไกลออกไป  แต่วัดพระนางเรือล่มโดนปีกเครื่องบินบังอยู่

กรมชลประทานนั้น อาจกำหนดบริเวณกว้างเกิน แต่ความยาวจากถนนจรดแม่น้ำแน่นอนค่ะ


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: lilycu ที่ 10 ม.ค. 02, 20:29
มีอยู่ครั้งนึง ฟ้าเปิดมาก เครื่องบินบินให้เห็นตั้งแต่ หาดทะเลของเวียดนามเข้ามาจนถึงดอนเมือง มองดูอย่างมีความสุขมากเลยค่ะ


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: ส้มหวาน ที่ 11 ม.ค. 02, 00:39
คุณสตาร์ ขา  เจํงมากเลยค่ะ ไม่เคยรู้เลยว่า เกาะเกร็ดอยู่ในรูปถ่ายด้วย อยากไปนานแล้วที่บ้านชวนบ่อยๆแต่กลับไปทีไรไม่ค่อยมีเวลาไปเลยค่ะ

คุณเทาขา ทริปล่องเรือดูหิ่งห้อยใต้ต้นลำภูนั้น เริ่มที่ไหนคะ ก็ต้องเริ่มมืดๆใช่ไหมคะ เคยไปแต่ตลาดน้ำดำเนินสะดวก(แถวเดียวกันไหมนี่)  อยากไปทริปดูหิ่งห้อยจังค่ะ พอจะมีลายละเอียดไหมคะ คงโรแมนติกน่าดู

ยังไงก็ยังอยากเห็นต้นลำภูค่ะ ใครมีภาพกรุณาสงเคราะห์ช่วยมาลงด้วยนะคะ


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: ส้มหวาน ที่ 11 ม.ค. 02, 00:51
แก้คำผิดค่ะ  รายละเอียดค่ะ ไม่ใช่ลายละเอียด


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: ฝอยฝน ที่ 11 ม.ค. 02, 09:13
มีคนเล่าให้ฟังว่า  บริเวณริมน้ำเจ้าพระยา ตรงพระที่นั่งสันติไชยปราการ(ไม่แน่ใจว่าสะกดผิดไหม) ถนนเลียบแนวแม่น้ำ  เลยจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปทางบางลำพู มีเหลืออยู่ต้นหนึ่งค่ะ เท็จจริงประการใด ก็ไม่ยืนยันนะคะ เพราะไม่รู้จักต้นลำพูค่ะ ก็ได้ยินมาอีกแหละค่ะ เขาว่ากันว่า  หิ่งห้อย จะเป็นตัวช่วยวัดว่า อากาศบริเวณนั้น ยังดีอยู่หรือไม่ ถ้าอากาศแย่หิ่งห้อย ที่เป็นสัตว์ขนาดเล็ก จะดำรงชีวิตอยู่ตรงนั้นก็ไม่ไหวค่ะ


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: สายลม ที่ 11 ม.ค. 02, 14:59
.   .   .สมัยก่อน ในกรุงเทพฯ บริเวณชานเมือง ไม่ต้องไปไกล แถวสุขุมวิทซอยต้นๆนี่เอง  พอตกค่ำจะเห็นหิ่งห้อยบินอยู่ทั่วไป  แลเห็นแสง แว้บๆตามจังหวะการกระพือปีก  เด็กๆมักชอบวิ่งไล่จับมันมาไว้ในอุ้งมือโดยที่มันไม่เป็นอันตราย เพราะไม่ได้ไปบี้มัน  จับได้แล้วก็ปล่อยให้บินต่อไป  ถ้าหิ่งห้อยตัวที่ต้องการจับบินอยู่สูงเกินกว่าจะเอื้อมจับถึง ก็จะพูดว่า ทิ้งถ่วงหนักๆ เพื่อให้มันบินต่ำลงมาจะได้จับถึง  ถ้ามันบินต่ำเรี่ยดินก็จะพูดว่า ทิ้งถ่วงเบาๆ เพื่อให้มันบินสูงขึ้นจะได้จับได้ง่ายในทำนองเดียวกัน
.   .   .ผมไม่ทราบว่าหิ่งห้อยได้หายไปจากกรุงเทพฯเมื่อใด  แต่เมื่อมีโอกาศไปพักแรมในป่าที่มีลำห้วยอยู่ก็ยังเห็นมีหิ่งห้อยอยู่ชุกชุม ซึ่งบริเวณนั้นไม่น่าจะมีต้นลำพูอยู่ เช่นป่าแถวเมืองกาญจนบุรี หรือสระบุรี  ไม่ใช่แถวสมุทรสาคร หรือสมุทรสงครามอย่างที่มีทัวร์ชมหิ่งห้อยที่เป็นอยู่ปัจจุบัน


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: คนบนภู ที่ 13 ม.ค. 02, 12:18
เมื่อตอนสมัยยังเด็กอยู่ แถวบ้านซึ่งล้อมรอบไปด้วยภูเขา พอตกตอนค่ำจะยังพอมีหิ่งห้อยมาให้เห็นอยู่เสมอ และมักจะพากันหวาดกลัววิ่งหนีให้วุ่นวาย เพราะผู้ใหญ่มักจะบอกเสมอว่า ถ้าปล่อยให้เจ้าหิ่งห้อยเข้าไปในจมูกได้ล่ะก็ คนๆนั้นก็จะกลายเป็นผีกระสือไป  พวกเราเด็กๆ ก็เชื่อกันเป็นตุเป็นตะวิ่งหนีกับชุลมุนทีเดียว
เมื่อกลับไปที่บ้านบนภูอีกครั้ง กลับหาหิ่งห้อยไม่เจอแล้วคะ ความเจริญที่เข้ามา การตัดไม้ทำลายป่ามากขึ้น การใช้ยาฆ่าแมลงของชาวไร่ชาวสวนชาวนา ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยที่ทำให้หิ่งห้อยหายไปหรือก็ไม่ทราบ


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: สายลม ที่ 14 ม.ค. 02, 11:12
.   .   .น่าสนใจมากครับที่คุณคนบนภูบอกว่า แถวบ้านที่ล้อมรอบด้วยภูเขามีหิ่งห้อย เป็นการยืนยันว่าหิ่งห้อยมีอยู่ทั่วไป ไม่เฉพาะแต่ที่ป่าชายเลนริมแม่น้ำ เช่นที่บางลำพู หรือริมทะเลเช่นที่ท่าจีน และแม่กลอง
.   .   .ที่คุณคนบนภูเขาบอกว่าสมัยนั้นกลัวหิ่งห้อยเพราะผู้ใหญ่บอกว่าเมื่อเข้าจมูกใครแล้วจะกลายเป็นผีกระสือ น่าจะมีที่มา เพราะเชื่อกันว่า ผีกระสือนั้นจะออกหากินในเวลากลางคืน มีลักษณะเป็นดวงไฟกลม ลอยไปในอากาศเรี่ยๆดิน
.   .   .จากประสบการณ์ของผมที่ซับปลาก้าง แก่งคอย นานมาแล้ว ผมไปกางเต้นท์นอนอยู่ริมห้วย ตื่นขึ้นมากลางดึก เห็นแสงวาบๆ มีลักษณะเป็นลูกไฟกลมใหญ่ประมาณผลส้มเขียวหวาน ลอยอยู่ริมห้วย ความจริงแล้วแสงนั้นอาจเป็นแสงหิ่งห้อย เนื่องจากขณะนั้นมืดสนิท ชนิดที่ยื่นมือออกไปสุดแขนแล้วมองไม่เห็นนิ้วมือตนเอง ประกอบกับเพิ่งตื่นนอนจึงแลเห็นว่าสว่างมาก และมีขนาดโตกว่าปกติ
.   .   .ผมไม่ได้ออกป่ามานานแล้ว จึงไม่ทราบว่าแม้ในป่าเขาในสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ปัจจุบัน หิ่งห้อยได้หายไปหมดแล้ว น่าเสียดายจริงๆ


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: สตาร์ ที่ 14 ม.ค. 02, 22:53
มีภาพจากการนำไปชมหิ่งห้อย เข้าใจว่าน่าจะใช่ต้นลำพู สมัยก่อนบางลำพูอาจคล้ายๆ แบบนี้ เดาจ้า

http://www.natureandlife.com/eco/klung.htm

http://www.natureandlife.com/



เคยถ่ายภาพต้นลำพูหนึ่งเดียวที่สวนสันติชัยปราการ ในงานริมน้ำ จัดเมื่อต้นปีที่แล้วไว้หลายภาพ แต่ตอนนี้ยังหาไม่พบค่ะ


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: แจ้ง ใบตอง ที่ 15 ม.ค. 02, 00:09
ไม่ได้เจอหิ่งห้อยมาหลายปีแล้วครับ  เมื่อก่อนแถวบ้านผมก็มีค่อนข้างเยอะ ส่วนมากจะอยู่ตามต้นไม้แถบตลิ่งริมคลอง ในความรู้สึกตอนนั้นก็ไม่เห็นแปลก แต่ปัจจุบันหาดูหิ่งห้อยได้ยาก  มาอยู่แถวอีสานนี่ยิ่งไม่เคยเจอเลยครับ ถ้าได้กลับบ้านตอนนี้ก็ยังพอเห็นบ้าง..

เมื่อก่อนหิงห้อยเป็นของเล่นชั้นดีสำหรับเด็กๆ อย่างผมครับ บ้านผมไม่เรียกหิงห้อย จะเรียกว่า "ทิ้งถ่วง" ไม่ทราบว่าใครเป็นคนบัญญัติขึ้นมา  วันดีคืนดีก็มี  ทิ้งถ่วง บินเข้ามาในบ้าน พ่อก็สอนให้พวกเราเรียกมันว่า ถ่วงหนักๆๆๆ นัยว่าจะทำให้มันบินไม่ไหว แล้วพวกเราจะได้ไปจับกันง่าย ๆ แต่ความจริงแล้วการจับทิ้งถ่วงไม่ใช้เรื่องยาก  ไล่ตะครุบเดี๋ยวเดียวก็ได้  

สมัยเด็กๆ ผมทำบาปกับทิ้งถ่วงไว้เยอะครับ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่ามันมีแสงได้ยังไง ก็ไปเด็ดตูดมันดู มาพิจารณา  จักจั่นก็เหมือนกัน ผมอยากรู้ว่ามันร้องตรงไหนก็เด็ดมันทิ้งไปทีละส่วน เด็ดหัวก็ยังร้องอยู่ เด็ดปีกก็ยังร้องอยู่ เด็ดขาก็ยังมีเสียง เลยสันนิษฐานเอาว่า มันเปล่งเสียงร้องออกมาจากตัวนั่นเอง.

ทำบาปมากอย่างนี้ ชาติหน้าคงมีหวังได้เกิดเป็นหิ่งห้อย อยู่ตามต้นลำพูแน่ครับ


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: เบิ้ม ที่ 01 ก.พ. 02, 17:36
เคยมาเมืองไทยทางเรือ จุดแรกที่เห็นก็เกาะสีชังครับ เรือเดินทะเลส่วนใหญ่จะจอดถ่ายของที่สีชัง
จากนั้นพอเรือเข้าแม่น้ำมาคลองเตย จุดเด่นที่สองก็สะพานพระรามเก้าครับ
จากนั้นพอขึ้นบกจุดเด่นที่สามก็คือความร้อนและฝุ่นครับ


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.พ. 02, 18:00
เพิ่งไปล่องแม่น้ำนครไชยศรีมา เห็นต้นลำพูใหญ่ ๒ ต้นริมน้ำด้วยค่ะ
เป็นไม้ใหญ่มาก  ใบค่อนข้างเรียวเล็ก  ทำให้กิ่งก้านดูโปร่งไม่ทึบอย่างมะม่วง  ยอดจะอ่อน เอนไหวได้  ปีนขึ้นไปได้ไม่มากค่ะ

เวลากลับมาเมืองไทย มักจะได้กลับมาถึงช่วงกลางคืน   ไม่เห็นทิวทัศน์  เห็นแต่แสงไฟริบหรี่ไม่ค่อยสว่างมากนัก   เมื่อเทียบกับอเมริกาหรือเมืองใหญ่ๆในยุโรป
แต่ความรู้สึกแรกคือใจชื้นที่กลับมาถึงบ้านแล้ว  ดีใจทุกครั้งที่กลับมาถึงเมืองไทย แม้จะร้อนรถติดยังไงก็ตาม


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: สายลม ที่ 03 ก.พ. 02, 13:49
.   .   .   เวลาเดินทางโดยเครื่องบิน มักขอที่นั่งริมหน้าต่าง เพื่อจะได้ชมวิวข้างนอก แต่ก็ได้บ้างไม่ได้บ้างเอาแน่ไม่ได้นอกจากครั้งใดได้ไปชั้นธุรกิจและชั้น ๑ ก็จะไม่พลาด  นอกจากนั้นเวลาไปและเวลากลับในแต่ละทิศทาง แต่ละสายการบิน และแต่ละยุคสมัยก็อาจไม่เหมือนกัน ผมเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกด้วยเครื่องบินแบบใบพัดครับ
.   .   .   ในกรณีที่ราต้องการชมทัศนียภาพของแผ่นดินไทยจากเครื่องบินก็น่าจะมองได้สองแบบ แล้วแต่โอกาศจะอำนวย คือมองจากขาเข้ามา หรือมองจากขาออกไป เพราะหลายครั้งก็เป็นอย่างที่คุณเทาชมพูกล่าวไว้ในความเห็นที่ ๒๕ ว่ามักจะกลับมาเวลากลางคืน มองไม่เห็นอะไร เห็นแต่เพียงแสงไฟเท่านั้น และผมขอเพิ่มเติมว่า แม้จะเป็นเวลากลางวัน หลายครั้งก็มองไม่เห็นอะไร เพราะมีเมฆปกคลุมอยู่หนาแน่น
.   .   .   เมื่อเราเดินทางออกจากประเทศไทยตอนกลางวันและอากาศปลอดโปร่ง มุ่งหน้าไป ฮ่องกง ไทเป ปักกิ่ง โซล และโตเกียว เพื่อจะไปลงที่นั้นๆหรือเเพื่อที่จะต่อไปยัง สหรัฐฯ หรือ แคนาดา สมัยหนึ่งเราต้องบินอ้อมแหลมญวนก่อน แล้วจึงจะบินตรงไปยังจุดหมายปลายทาง ในกรณีนี้ เมื่อออกจากดอนเมืองแล้วไม่นาน  ก็จะออกสู่อ่าวไทย เราก็จะเห็นชายทะเลฝั่งตะวันออกของอ่าวไทยพอสมควรก่อนที่จะเห็นแต่น้ำกับฟ้า
.   .   .   สมัยต่อมา เมื่อไม่มีข้อจำกัดในเรื่องการผ่านแดนของบางประเทศ ในเส้นทางดังกล่าวแล้วเราก็จะบินผ่านแผ่นดินไทยไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อเข้าสู่พื้นที่าคอิสาณ จะเห็นความแตกต่างของพื้นที่ภาคกลางกับภาคอิสาณได้ชัดเจน ถ้าเป็นเครื่องบินขนาดเล็กบินไม่สูงนัก จะมีความรู้สึกว่าแผ่นดินดูสูงขึ้น เพราะต้องบินข้ามภูเขาสูงหลายลูกที่มีความสูงมากกว่า ๑๐๐๐ เมตรขึ้นไป และเมื่อจะออกจากดินแดนไทยทางด้านนี้ก็จะรู้ได้โดยการบินข้ามแม่น้ำโขง ชึ่งจะมองเห็นได้ชัดเจน
.   .   .   ถ้าไปทางด้านตะวันตก ไป พม่า อินเดีย รัสเซีย และประเทศในยุโรป เมื่อบินข้ามภูเขาตะนาวศรีก็รู้ว่ากำลังออกนอกประเทศไทยแล้ว ถ้าไปย่างกุ้ง เมื่อข้ามทิวเขาแล้วเห็นทะเลที่เป็นอ่าวอันดามันอยู่ทางซ้ายมือ
.   .   .   สำหรับด้านอื่นๆหรือรายละเอียดอื่นๆเอาไว้คราวหน้าครับ ขอฟังท่านอื่นบ้างเพื่อช่วยกันเติมให้เต็ม


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: สตาร์ ที่ 04 ก.พ. 02, 02:51
ขาเข้าถ้ามาถึงเป็นตอนสว่างแล้ว เข้าทางด้านเมียนม่าห์ กัปตันมักจะบอกให้ดูพระเจดีย์ชะเวดากองเสมอ มองเห็นเด่นในดงไม้เขียวๆ เดี๋ยวนี้ไม่ทราบว่าสภาพเป็นอย่างไรแล้ว


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ก.พ. 02, 15:31
ผมเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกด้วยเครื่องบินแบบใบพัดครับ
เครื่องบินแบบใบพัด เป็นยังไงคะ ?


กระทู้: เห็นฝั่งเมืองไทยแล้ว ....
เริ่มกระทู้โดย: สายลม ที่ 05 ก.พ. 02, 16:51
.   .   . ผมคิดว่าคุณเทาชมพูน่าจะทันเห็นเครื่องบินแบบใช้ใบพัดนะครับ เครื่องบินไอพ่นเข้ามาแทนที่นานเท่าใดแล้วผมก็ไม่ทันได้จดจำเอาไว้
.   .   .  จากข้อมูลในเว็บไซต์หอมรดกไทย www.heritage.thaigov.net/ ในกลุ่มชาติ หัวข้อ สงครามมหาเอเซียบูรพา เครื่องบินขับไล่ และเครื่องบินทิ้งระเบิด ของฝ่ายสัมพันธมิตรที่มาทิ้งระเบิดในประเทศไทย ล้วนเป็นเครื่องบินใบพัดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น B-24 หรือ B-29 ในสงครามเกาหลีก็ยังใช้เครื่องบินแบบใบพัดอยู่ มาเป็นเครื่องบินแบบไอพ่นในสงครามเวียดนาม แต่ก็ยังมีแบบใบพัดผสมอยู่ เช่น C-123 และ C-130 แม้ปัจจุบัน  C-130  ก็ยังมีใช้กันอยู่
.   .   .  ตอนผมไปสหรัฐฯ ครั้งแรกเป็นครื่องบินสี่เตรื่องยนต์แบบใช้ใบพัด ออกจากประเทศไทยบินไปไม่ถึงสหรัฐฯ ต้องแวะที่เกาะกวมกลางมหาสมุทรแปซิฟิคก่อน แล้วจึงบินเข้า ซานฟรานซิสโก ตอนผ่านเส้นเขตวันกลางมหาสมุทรแปซิฟิค ยังมีการฉลองและแจกประกาศนียบัตรกันเป็นที่ครึกครื้น ผมยังเก็เอาไว้จนถึงทุกวันนี้