เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์ไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 20, 16:58



กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 20, 16:58
เรียนคุณเทาชมพูู ผมไม่เคยได้ทราบหรืออ่านเกี่ยวกับทาสที่เคยมีในปรเทศไทย ไม่ทราบว่ามีสถานะเหมือนทาสในสหรัฐอเมริกาหรือในยุโรปหรือไม่ ขอความกรุณาเล่าให้ฟังบ้างครับ ขอบพระคุณมาก

มาตั้งกระทู้ใหม่ตามคำขอของคุณ pratab ค่ะ

เช็คชื่อตามระเบียบ


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: pratab ที่ 24 ก.ค. 20, 17:30
ขอบพระคุณมากมานั่งแถวหน้ารอฟังครับ


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: ninpaat ที่ 24 ก.ค. 20, 17:30
มาครับ

วันนี้ วันศุกร์ หยุดยาว แถมฝนตกอีกครับ


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: choo ที่ 24 ก.ค. 20, 18:27
ขอฟังด้วยคนครับ เคยได้ยินคุณตาคุณยายซึ่งท่านทันสมัยมีทาสเล่าให้ฟังบ้างนิดหน่อย เสียดายที่ฟังผ่านๆเลยไม่ได้ซักถามรายละเอียด


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 24 ก.ค. 20, 19:11
มาค่ะ ;D


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 24 ก.ค. 20, 21:00


      รายงานตัวเข้าฟังครับ


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 25 ก.ค. 20, 09:54
จากอเมริกามาสยาม ครับ

readthecloud.co


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.ค. 20, 11:29
ทาสคืออะไร  ทาสก็คือมนุษย์ที่ถูกลดฐานะลงไปเป็นสินค้า   สามารถถูกนำไปซื้อขาย  ใช้แรงงาน โดยไม่ต้องคำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล     จะว่าไปก็ไม่ต่างจากสัตว์ที่ถูกจับมาเพื่อใช้แรงงานให้มนุษย์ 
ในยุคที่โลกยังต้องพึ่งพาเกษตรกรรม  ก่อนมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป    แรงงานเป็นสิ่งสำคัญมาก  เพราะสังคมและเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนด้วยแรงมนุษย์   ยิ่งใช้คนมากเท่าใดผลผลิตที่ได้รับก็มากขึ้นเท่านั้น   เมื่อการว่าจ้างและการใช้แรงคนในครอบครัวมีไม่พอ   ต้องไปหาแรงงานจากที่อื่น   ระบบทาสจึงเกิดขึ้นตอบสนองความต้องการเช่นนี้ 

เมื่อเราเรียนประวัติศาสตร์   มักจะพบว่าอาณาจักรต่างๆมีการรบราขยายอำนาจกันไม่ได้หยุด    เมื่อฝายหนึ่งชนะ ก็มีการกวาดต้อนผู้คนจากฝ่ายแพ้ไปอยู่ในอาณาจักรของผู้ชนะ  เอากันไปเป็นจำนวนมาก   ให้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในบ้านเมืองของฝ่ายชนะ    ผิดกับสมัยนี้ที่การเข้าออกในประเทศอื่นๆ ต้องกวดขันกันเข้มงวด  มีข้อกำหนดเวลาให้อยู่สารพัดแบบ    เหมือนพยายามผลักดันให้กลับออกมาอยู่ตลอดเวลา
เหตุผลที่ตรงกันข้ามในสองยุค คือยุคก่อน อาณาจักรต้องการแรงงานจากถิ่นอื่นนั่นเอง   สมัยนี้ไม่ต้องการแล้ว

บนผืนแผ่นดินแหลมทอง  มีทาสมาตั้งแต่ยุคใด ยังไม่มีคำตอบชี้ชัดลงไปได้    แต่ที่รู้แน่ๆคือสมัยอยุธยามีทาสแล้ว  7 ชนิดด้วยกัน


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.ค. 20, 11:47
1.       ทาสสินไถ่- เป็นทาสจำนวนมากที่สุดในบรรดาทาสทั้งหมด   เป็นทาสเกิดจากบุคคลสมัครใจเข้าสู่ระบบทาส  คือขายตัวเป็นทาส   จะเป็นการขายตัวเอง หรือขายคนในครอบครัวเช่นลูกเมียก็ตาม   
         สาเหตุส่วนใหญ่ก็มาจากความยากจน ไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง  หรือมีหนี้สินรุงรัง  ไม่มีเงินใช้เจ้าหนี้  พ่อก็ขายลูกเป็นทาส  หรือผัวขายเมีย เพราะสังคมอยุธยาถือว่าผู้หญิงเป็นทรัพย์สินของสามี และลูกเป็นทรัพย์สินของพ่อแม่   ไม่ต่างจากวัวควายม้าลาในบ้านที่เจ้าของจะนำออกขายได้
        แต่ทาสประเภทนี้ไม่ต้องเป็นทาสจนตาย   ถ้าหาเงินมาใช้หนี้นายเงินได้ ก็หลุดเป็นไทแก่ตัว
        ในเรื่องขุนช้างขุนแผน   คงจำได้ว่าเมื่อขุนแผนปีนขึ้นเรือนขุนช้าง  ไปเจอนางแก้วกิริยาเข้า    นางเป็นลูกสาวเจ้าเมืองสุโขทัยที่พ่อขาดเงิน ไม่มีส่งให้หลวง(หมายถึงราชการ) จึงต้องขายลูกสาวมาให้ขุนช้าง  นางอยู่ในฐานะทาส  แต่ขุนช้างปรานีเลี้ยงดูเหมือนน้อง ไม่ได้กดต่ำลงเป็นบ่าวหรือเอาเป็นเมียน้อย      เมื่อขุนแผนรู้ ก็ถอดแหวนให้นางไปจ่ายใช้หนี้ให้ขุนช้าง    นางแก้วกิริยาจึงไถ่ตัวเองได้เป็นอิสระ 
        2.  ทาสในเรือนเบี้ย-  เมื่อนางทาสคลอดลูกออกมา ต่อให้พ่อเด็กไม่ใช่ทาส เป็นอิสรชน  แต่เด็กจะกลายเป็นทาสตามสภาพของแม่โดยอัตโนมัติ    ทาสชนิดนี้ไม่สามารถไถ่ถอนตนเองได้
        3.       ทาสที่ได้รับมาด้วยมรดก - ทาสนับเป็นมรดกตกทอด เหมือนที่ดิน ข้าวของ บ้านช่อง   เมื่อนายคนเก่าใกล้ตาย ก็สามารถยกทาสของตนให้ทายาทรับเป็นเจ้าของสืบต่อไปได้ 
       4.       ทาสท่านให้ - ทาสที่ได้รับมาจากผู้อื่น คล้ายกับข้อ 3  คือนอกจากยกทาสเป็นมรดกตกทอดแล้ว    ถึงเจ้าของยังไม่ตาย แต่ใจดียกทาสตัวเองให้ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงเอาไปใช้ต่อ ก็ทำได้


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.ค. 20, 11:55
          5.       ทาสที่ช่วยไว้จากทัณฑ์โทษ -  ในกรณีที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ทำผิดกฎหมายไม้ว่าเรื่องอะไร และต้องจ่ายค่าปรับ  แต่เขาหาเงินมาไม่ได้       หากมีผู้ใจดียื่นมือมาช่วยเหลือจ่ายค่าปรับให้  คนนั้นก็จะกลายเป็นทาสของผู้ให้ความช่วยเหลือในการชำระค่าปรับ
          6.       ทาสที่ช่วยไว้ให้พ้นจากความอดอยาก - ในช่วงข้าวยากหมากแพง บ้านเมืองเดือดร้อน   ผู้คนอดอยากทำมาหากินเลี้ยงตัวเองไม่ได้  ก็สามารถขายตัวเองเป็นทาสเพื่อจะได้ทำงานให้นาย  ก็จะมีข้าวปลากิน มีที่ให้อยู่ ไม่อดตาย
          7.       ทาสเชลย - ผู้แพ้จากการทำสงคราม  จะถูกกวาดต้อนไปอยู่ในบ้านเมืองผู้ชนะ  เรียกว่า "เชลย"    ผู้ชายก็ไปเป็นแรงงาน  ผู้หญิงก็จะกลายเป็นนางบำเรอของฝ่ายชนะ  พวกนี้ก็จะกลายเป็นทาสประเภทหนึ่ง
          ส่วนจะได้รับการปฏิบัติอย่างไร ดีหรือเลว   ก็แล้วแต่ความเมตตาปรานีของนาย


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: Naris ที่ 29 ก.ค. 20, 09:25
แอบๆ ย่องๆ กระเถิบๆ


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 29 ก.ค. 20, 09:32
ในสมัยอยุธยา ทาสเป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติยศ ผู้ที่มียศถาบรรดาศักดิ์หรือผู้ที่มีความมั่งคั่งเท่านั้นจึงจะมีทาส  ทาสมีหน้าที่รับใช้พวกเจ้านายภายในบ้าน และหน้าที่ในการผลิตซึ่งส่วนใหญ่เป็นการทำงานในภาคเกษตรกรรม อีกทั้งยังมีบทบาทเป็นฐานอำนาจในแง่จำนวนของกำลังคนภายในรัฐ

สำหรับทาสเชลย อันเป็นทาสที่ถูกกวาดต้อนมายังอยุธยาในวาระต่างกัน มีปรากฏในพงศาวดารหลายฉบับ บางส่วนพระมหากษัตริย์เก็บไว้เป็นของส่วนพระองค์ บางส่วนแจกจ่ายเป็นรางวัลแก่ข้าราชการ หรือแม่ทัพนายกอง การจับคนมาเป็นทาสจงมีนัยยะสำคัญทางการเมืองและเศรษฐกิจ ในแง่นามธรรมหมายถึงเกียรติยศ ส่วนรูปธรรมเจ้าของทาสก็ได้แรงงานบริการรับใช้ และหน้าที่ในการผลิตด้านเกษตรกรรม

ในทางกฎหมายเจ้าของทาสต้องเลี้ยงดูทาส การทอดทิ้งทาสจะทำให้เจ้าทาสสิ้นสุดการเป็นเจ้าของในตัวของทาสนั้น นอกจากนี้ กฎหมายก็ยังให้เจ้าของทาสสามารถลงโทษทาสได้ แต่หากกระทำรุนแรงมากไป เจ้าของทาสต้องจ่ายค่าตัวทาส หรือหากทำให้ทาสเสียชีวิต เจ้าของทาสจะต้องรับโทษถึงชีวิต

กิจกรรมการขายตัวเป็นทาสในอยุธยาดูเหมือนว่าจะเป็นกิจกรรมที่แพร่หลาย ซึ่งเรื่องนี้พบในบันทึกของชาวต่างชาติ การแพร่หลายดังกล่าวทำให้รัฐต้องออกมาควบคุมโดยออกกฎหมายพระไอยการทาส มีรายละเอียดอันรอบคอบเพื่อคุ้มครองทาส และควบคุมเกี่ยวกับการซื้อขายทาส พันธะของทาส และบทลงโทษต่าง ๆ

ภาพชีวิตของทาสอยุธยาที่กล่าวมาอาจดูสวยหรู แต่ความเป็นจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น เพราะคงเป็นไปได้ยากที่ทาสจะไม่โดนกดขี่หรือถูกทำร้ายร่างกายเลย

บางคนตั้งข้อสังเกตว่าดูเหมือนว่าเสรีภาพจะเป็นสิ่งที่หน้าเจ็บปวดกว่าการเป็นทาสเสียอีก กล่าวคือ คนที่มีเสรีภาพคือคนที่ไม่ใช่ทาส คนที่ไม่ใช่ทาสส่วนใหญ่เป็นไพร่  “เสรีภาพ” เป็นสิ่งที่เจ็บปวดสำหรับคนที่มีเสรีภาพ เป็นเพราะไพร่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน หรือสิ่งชดเชยให้รัฐหรือกษัตริย์เป็นเวลา ๖ เดือน  บันทึกของชาวต่างชาติที่กล่าวถึงทาสในทางบวก และกล่าวถึงไพร่ในทางลบและน่าสงสาร  ด้วยระบบไพร่ หรือการเกณฑ์ที่ใช้ในสมัยอยุธยาต่อจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์คือระบบที่ทำให้เสรีภาพ เป็นสิ่งที่น่า “เจ็บปวด”

การเกณฑ์แรงงาน ๖ เดือนต่อปีย่อมส่งผลต่อการผลิต โดยเฉพาะในยุคนั้นที่เป็นเศรษฐกิจแบบยังชีพ ประชากรทำนาเป็นหลัก ยิ่งเมื่อถูกเกณฑ์ไปช่วงฤดูทำนาหรือเก็บเกี่ยวก็ยิ่งส่งผลต่อการผลิต ขณะที่การจ่ายเงินแทนเข้าเวรเกณฑ์แรงงาน ๑๒-๑๕ บาทต่อปี ก็ดูเหมือนเป็นทางเลือกหนึ่ง แต่หากพิจารณาอัตราค่าเงินในเวลานั้น เงิน ๑๒ บาทเป็นจำนวนที่คนหนึ่งใช้ดำรงชีพได้ตลอดปี

เงินที่จะจ่ายแทนการเข้าเวรเกณฑ์แรงงานจำนวน ๑๒-๑๕ บาทต่อปี จึงเป็นอัตราที่สูงมาก จนชาวไร่ชาวนาธรรมดาคงยากที่จะหามาจ่ายได้ ในขณะที่ไพร่ชายมีภาระดังกล่าวนี้ ทาสกลับได้รับการยกเว้นจากการเกณฑ์แรงงาน

นี่เอง "เสรีภาพ" จึงเป็นสิ่งที่ "เจ็บปวด" กว่า


เก็บความจากบทความ “ทาสอยุธยาในประมวลกฎหมายรัชกาลที่ ๑" โดย ชาติชาย พณานานนท์ นิตยสารศิลปวัฒนธรรมปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๓๒

https://www.silpa-mag.com/history/article_46652

https://youtu.be/sMx--g3Sa50


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: Naris ที่ 29 ก.ค. 20, 10:24
เมื่อมองดูดีๆ ทาส ในสยาม มีเพียง 3 ประเภทเท่านั้นครับ
1. ทาสเชลย เกิดจากการทำศึกสงคราม
2. ทาสเงิน เกิดจากความยากไร้ขัดสน จึงต้องขายตัวเองลงเป็นทาส หรือมีผู้อื่นมาช่วยเหลือเมื่อขัดสน หรือเมื่อมีคดีความ จึงต้องเป็นทาส
3. ทาสโดยกำเนิด

สำหรับ ทาสท่านให้ และทาสมรดก ก็มาจากทาส 3 ประเภทดังกล่าวข้างต้น แต่มีการโอนเปลี่ยนตัวนายทาสเท่านั้นเองครับ 


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ก.ค. 20, 12:26
ขอบคุณที่สรุปให้ค่ะ


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: pratab ที่ 29 ก.ค. 20, 13:36
ที่เรียกว่า"ไพร่" ในที่นี้หมายถึงประชาชนคนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นทาสใช่ไหมครับ


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ก.ค. 20, 13:41
ใช่ค่ะ   หมายถึงชาวบ้านทั่วไป


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 29 ก.ค. 20, 14:22
มีทาสอีกหนึ่งกรณีพิเศษ อาจจะเรียกว่า ทาสโสเภณี

(ดัดแปลงจาก นิตยสาร ศิลปะวัฒนธรรม ว่า)

          จากจดหมายเหตุ ลา ลูแบร อัครราชทูตจากราชสำนักฝรั่งเศสที่เดินทางเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรีในแผ่นดิน
สมเด็จพระนารายณ์ฯ
          บันทึกว่า กรุงศรีฯ มีโสเภณี ๖๐๐ คน “ล้วนแต่เป็นบุตรีขุนนางที่ขึ้นหน้าขึ้นตาทั้งนั้น” นอกจากนี้
                     หัวหน้าซ่อง “ยังรับซื้อภรรยาที่สามีขายส่งลงเป็นทาสีด้วยโทษคบชู้สู่ชาย” มาเป็นโสเภณี
          สามีกรุงศรีฯ นั้นเป็นผู้ทรงอำนาจเด็ดขาดสามาถขายบุตรและภรรยาได้ ยกเว้นภรรยาหลวงแต่ผู้เดียวที่จะทำได้เพียง
ขับไล่ไปเสียให้พ้นเท่านั้น การลงโทษเมียและลูกสาวที่ “ขุนนาง” ไม่พอใจคือ ขายเข้าซ่อง


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 29 ก.ค. 20, 14:34
;D

ในหนังสือ จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม เขียนโดย มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร ตอนที่ ๒ บทที่ ๑๕ เขียนถึงที่มาของหญิงโสเภณีสมัยอยุธยาไว้ว่า

ถ้าบุตรีคนใดกระทำชั่ว ขุนนางผู้บิดาก็ขายบุตรีส่งให้แก่ชายผู้หนึ่งซึ่งมีความชอบธรรมที่จะเกณฑ์ให้สตรีที่ตนซื้อมานั้น เป็นหญิงแพศยาหาเงินได้ โดยชายผู้มีชื่อนั้นต้องเสียเงินภาษีถวายพระมหากษัตริย์ กล่าวกันว่าชายผู้นี้มีหญิงโสเภณีอยู่ในปกครองของตนถึง ๖๐๐ นาง ล้วนแต่เป็นบุตรีขุนนางที่ขึ้นขึ้นตาทั้งนั้น อนึ่ง บุคคลผู้นี้ยังรับซื้อภรรยาที่สามีขายส่งลงเป็นทาสี ด้วยโทษคบชู้สู่ชายอีกด้วย


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: Naris ที่ 29 ก.ค. 20, 14:36
ในสมัยอยุธยา (ผมเข้าใจว่าตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถกระมังครับ) สังคมอยุธยากำหนดชนชั้นของบุคคลออกเป็น พระมหากษัตริย์ - พระบรมวงษานุวงศ์ - ขุนนาง - ไพร่ - ทาส
และยังมีชนชั้นพิเศษอยู่ 1 ชนนั้น คือ ภิกษุ ครับ (ดังนั้น หากทาสได้รับอนุญาตให้บวช ความเป็นทาสก็สิ้นสุดลงทันทีครับ)

คำว่า ไพร่ จึงหมายถึงบุคคลธรรมดา เป็นชนชั้นที่เป็นไทแก่ตัว มีสิทธิถือครองทรัพย์สินต่างๆได้ ไพร่ มีหน้าที่รับใช้มูลนาย ตามแต่กรม-กองที่ตนสังกัด คำว่ารับใช้ ก็หมายถึงการช่วยเหลือดูแลในยามปกติ และการเป็นกำลังรบในเวลาสงคราม การช่วยเหลือดูแลมูลนายนี้ ไม่มีค่าตอบแทน ระบบการคุมคนในสมัยนั้น จึงกำหนดให้ไพร่ ต้องเข้าเวรรับใช้มูลนาย 1 เดือน และกลับไปทำมาหากิน ดูแลครอบครัวของตน 1 เดือน สลับกันไป เรียกว่าการ "เข้าเดือนออกเดือน" (ระบบนี้ยกเลิกไปพร้อมกับการปฏิรูประบบราชการในสมัยรัชกาลที่ 5)

ไพร่ จำแนกได้เป็น 3 พวก ได้แก่
ไพร่หลวง ก็คือไพร่สังกัดกรมกองต่างๆ เทียบกับข้าราชการส่วนกลาง ก็คงพอจะได้
ไพร่สม ก็คือไพร่ที่สังกัดมูลนาย เทียบกับราชการส่วนท้องถิ่น ก็ไม่ค่อยคล้ายเท่าไหร่ แต่ขอเทียบอย่างนี้ไปก่อนละกันครับ (ฮ่า)
ไพร่ส่วย ก็คือ ไม่ไพร่หลวง ก็ไพร่สม นั่นแหละครับ แต่มีเหตุบางประการ เช่นอยู่ห่างไกล มาเข้าเวรไม่สะดวก ทางการจึงผ่อนผันให้เสียเงินแทนการมาเข้าเวร

มี "คนธรรมดา" อยู่สองพวก ที่ไม่ได้อยู่ในระบบไพร่ คือ ข้าพระ และ เลกวัด ซึ่งก็คือไพร่ที่พระเจ้าแผ่นดินมอบหมายหน้าที่ให้ดูแลรักษาพระพุทธรูปสำคัญ หรือดูแลพระ หรือดูแลวัด เรียกรวมๆว่า เป็น ไพร่ในกิจการพระศาสนาก็ได้ครับ บุคคลใดได้รับมอบหมายให้เป็นข้าพระ หรือเลกวัดแล้ว ก็ไม่ต้องเข้าเวรอีก มีหน้าที่ทำนุบำรุงวัดหรือพระภิกษุส่วนที่ตนได้รับมอบหมายนั้นอย่างเดียวก็พอ

อ่อ มีไพร่อีกพวกหนึ่ง ไม่ต้องเข้าเวร คือพวก "ชาวด่าน" คือ ประชาชนที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเมืองที่เป็นด่านสำคัญ เช่น ทองผาภูมิ ศรีสวัสดิ์ ปากน้ำประสบ พวกนี้ จะได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ลาดตระเวนอยู่ในพื้นที่ของตน จึงไม่ต้องมาเข้าเวรยามเหมือนไพร่อื่นๆ ครับ

อาจจะนอกเรื่องทาสไปบ้าง แต่การแสดงให้เห็นว่า เป็นไพร่ ต้องทำอะไรบ้าง ก็พอจะสอดคล้องกับหัวข้อก่อนหน้าที่ว่า เป็นไพร่อาจสบายน้อยกว่าเป็นทาสได้กระมังครับ    


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: Naris ที่ 29 ก.ค. 20, 14:45
สำหรับ ทาสโสเภณี ของ อาจารย์ SILA ผมไม่มั่นใจจริงๆว่า จะเป็นอย่างที่บันทึกไว้นั้นหรือเปล่า เพราะโดยปกติของขุนนาง ถึงอย่างไรก็คงไม่ขาย บุตรี ลงเป็นหญิงโสเภณีแน่ แต่ที่น่าสงสัย (ผมสงสัยเองแหละครับ) คือ บุตรขุนนาง มีได้สารพัดแบบ ก็อย่างที่ว่า เมียขุนนาง ก็มีได้ทั้ง เมียพระราชทาน เมียกลางใน เมียกลางนอก และเมียทาส

เมียพระราชทาน หรือบุตรที่เกิดจากเมียพระราชทาน ใครที่ไหนจะกล้าขายเข้าซ่อง ส่วนเมียกลางใน กลางนอก ซึ่งตัวสู่ขอมาตามประเพณี เขาก็มีพ่อมีแม่ของเขา จะเอาลูกเอาหลานเขาไปขาย ก็มีหวังได้ทะเลาะกับตายายเป็นเรื่องเป็นราวกันแน่นอน ลูกสาวที่เกิดจากเมีย ที่หากไม่พอใจก็ขายได้ ก็น่าจะมีเฉพาะแต่ลูกเมียทาสนี่แหละครับ

ดังนั้น ถ้า "เด็กเชียร์แขก" สมัยอยุธยา จะแนะนำท่านราชฑูตว่า โอ้ยท่าน เด็กๆพวกนี้ เมีย (หรือลูกสาว) ขุนนางทั้งนั้น งืม มันก็ถูกแหละครับ แต่ก็ไม่ Noble เท่าไหร่อ่ะครับ  


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 29 ก.ค. 20, 16:24
ที่เรียกว่า"ไพร่" ในที่นี้หมายถึงประชาชนคนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นทาสใช่ไหมครับ

https://youtu.be/CeuTc94fbFs


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ก.ค. 20, 16:40
   ถ้าเทียบระหว่างทาสสยามกับทาสในอเมริกา ทาสสยามมีโอกาสดีกว่า ที่จะหลุดพ้นจากภาวะทาส  ตามที่กฎหมายเปิดช่องให้
   อย่างแรกคือเมื่อทาสสามารถนำเงินมาไถ่ถอนตัวเองได้  นายก็ต้องปล่อยเป็นอิสระ    จะมาทำไม่รู้ไม่ชี้ผูกขาดทาสอยู่ตามเดิมไม่ได้
   อย่างที่สองคือค่าตัวทาสนั้นไม่ได้คงที่เหมือนตอนแรกที่มาขายตัวเป็นทาส   เพราะกฎหมายบัญญัติให้มีการลดค่าตัวทาสลงตามระยะเวลาของการเป็นทาส ทำให้ทาสมีค่าตัวลดน้อยลง เปิดโอกาสให้ทาสหาเงินมาไถ่ตัวเป็นอิสระได้ง่ายขึ้น
   กฎหมายอยุธยาก็ดูจะเห็นอกเห็นใจ เปิดช่องทางให้ทาสหลุดพ้นจากสภาพทาสได้  ในหลายกรณีด้วยกัน
   1   ถ้าทาสสมัครใจบวช และนายอนุญาตให้บวช  ไม่ว่าบวชเณร บวชพระ หรือบวชชี    ทาสคนนั้นจะพ้นภาวะทาสทันที 
   ข้อนี้ดิฉันไม่รู้รายละเอียดว่าการลาบวชนั้นต้องบวชแล้วไม่สึก  หรือบวชไประยะหนึ่งก็สึกได้    ที่จริงข้อนี้ก็จำเป็น เพราะคนที่จะบวชเป็นพระจะต้องไม่มีหนี้สินทางโลกผูกมัดรุงรังอยู่      แต่ถ้าบวชเพื่อหนีความเป็นทาส  สามวันเจ็ดวันสึกหรือพรรษาเดียวสึก อย่างนี้นายเห็นท่าทีว่าจะหนี  คงไม่อนุญาตเสียตั้งแต่แรก
   2   ถ้านายเงินหรือลูกหลานนายเงินได้ทาสเป็นภรรยา และหญิงนั้นมีลูกก็ถือว่าหญิงนั้นเป็นไท  คือเลื่อนฐานะจากอีเย็นเป็นคุณนายลำดับท้ายของบ้าน
    3  เมื่อเกิดศึกสงคราม     นายมีหน้าที่ต้องเข้ากองทัพไปรบ แต่ทาสไปรบแทนนาย   ชนะศึกกลับมา  ทาสนั้นก็เป็นอิสระ
   นอกจากนี้ยังมีประเด็นปลีกย่อยอีก ที่หลายท่านอาจออกความเห็นได้เพิ่มเติม  คือ
   -ทาสขายฝากที่นายใช้ให้ไปรับโทษแทน
   - ทาสที่นายใช้งานจนได้รับอันตรายถึงพิการ   
   - ทาสที่มีเมียแล้วนายเป็นชู้กับเมีย   ทาสผู้เป็นสามีจะได้เป็นไท
   - ทาสขายฝาก ถูกนายเงินกล่าวหาว่าไปทำชู้กับคนของนายเงิน เมื่อพิสูจน์แล้วไม่เป็นความจริง ทาสคนที่ถูกใส่ความนี้เป็นอิสระ
    - ข้อนี้ กฎหมายให้ทาสช่วยสอดส่องพฤติกรรมนาย แทนที่จะเป็นกำลังซ่องสุมร่วมกับนาย     คือถ้านายเป็นกบฏ  ทาสเอาความไปฟ้องร้องต่อทางการบ้านเมือง   และผลออกมาว่าเป็นความจริง   ทาสคนนั้นเป็นอิสระ


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ส.ค. 20, 08:57
  ในทางปฏิบัติ   ทาสในอยุธยาน่าจะมาถึงจุดสิ้นสุด เมื่อเสียกรุงครั้งที่สองในพ.ศ. 2310  เพราะในเวลานั้น ระบบต่างๆในสังคมพังทลายลงไปโดยอัตโนมัติ   ไม่มีเจ้า ไม่มีนาย  ไม่มีข้า  ไม่มีทาส   ทุกคนถ้าไม่หนีเอาตัวรอดก็ถูกจับเป็นเชลย   เมื่อหนีเอาตัวรอดไปได้ ก็ไปรวมกับชุมชนที่ตัวเองเลือก  จะเป็นชุมชนในป่าในเขา หรือในเมืองใดเมืองหนึ่งก็ตามแต่
  ดังนั้น หลังจากกรุงแตก ถ้าไม่สมัครใจติดตามนายไปเอง   ทาสก็เป็นไทแก่ตัว     ส่วนระบบไพร่ก็จบลงไปเหมือนกัน เพราะไม่มีเจ้าขุนมูลนายไว้เกณฑ์แรงงานอีกแล้ว
  อย่างไรก็ตาม  เมื่อมีการสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นมา   ระบบทาสและระบบไพร่ก็กลับมาอีกครั้ง  เรื่อยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์
 
 


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 03 ส.ค. 20, 15:12
ท่านอาจารย์ใหญ่ครับ แล้วคุณภาพชีวิตของทาสในอเมริกานี่มีมากแค่ไหน นายทาสสามารถทำร้ายหรือฆ่าทาสได้โดยไม่มีความผิดเหมือนทาสเป็นสิ่งของหรือเปล่าครับ


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ส.ค. 20, 15:52
    ในหลายรัฐของอเมริกา ก่อนปี 1830 ซึ่งเป็นปีที่ประกาศอิสรภาพของทาส    นายงานมีสิทธิ์ฆ่าทาสของตนได้โดยกฎหมายไม่เอาเรื่องด้วยค่ะ
    ขึ้นชื่อว่า "ทาส" ไม่ว่าประเทศไหนก็คงคล้ายๆกัน  คือมนุษย์ที่เป็นทาสถูกลดฐานะลงไปต่ำกว่ามนุษย์ด้วยกันที่ไม่ใช่ทาส    สภาพพอๆกับสัตว์ที่ถูกนำมาใช้แรงงาน   ถูกซื้อขายแลกเปลี่ยนได้   เฆี่ยนตีได้   ทารุณได้  ละเลยทอดทิ้งก็ได้  หรือแม้แต่สังหารก็ได้   โดยไม่ถือว่าเป็นความผิดทางกฎหมาย 


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ส.ค. 20, 16:07
ทาสกับไพร่ ในอีกมุมหนึ่ง
https://pantip.com/topic/31831188


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 ส.ค. 20, 09:32
แก้ไข, ลบบทความซ้ำคห. ๑๑
 


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 04 ส.ค. 20, 09:39
คุณศิลาอ่าน ความคิดเห็นที่ ๑๑ (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=7143.msg173527#msg173527) แล้วหรือยัง  ;D


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 04 ส.ค. 20, 10:45
ละครดังแห่งยุคเรื่องบุพเพสันนิวาส นอกจากจะให้ความบันเทิงแล้ว ยังให้ความรู้ถึงผู้คนสมัยอยุธยาว่ามีความมั่นคงในชีวิตมากน้อยเพียงใด

ชีวิตไพร่

ในกระแสที่คนไทยบางส่วนนิยมแต่งตัวย้อนยุคในปัจจุบัน แต่เราก็แทบไม่เห็นคนไทยย้อนยุคไปแต่งตัวเป็นไพร่ แม้ว่า “ไพร่” จะเป็นประชากรส่วนใหญ่ของอยุธยาก็ตาม

นั่นเป็นเพราะชีวิตของ “ไพร่” ในอยุธยาก็ไม่น่าภิรมย์สักเท่าไรนัก

แม้ว่า “ไพร่” จะไม่ใช่ชนชั้นล่างสุดของสังคมอยุธยา และถือกันว่า “ไพร่” เป็นชนชั้นที่มี “อิสระ” ต่างจากทาสที่ปราศจากอิสระ

แต่การเป็นอิสระนั้นไม่ใช่ความเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ แต่ต้องแลกมาด้วยการทำงานให้ราชการที่เรียกว่า การเกณฑ์แรงงาน ไปทำงานในสภาพการทำงานที่ไม่ค่อยปลอดภัยนัก หรือไม่ก็ต้องส่งส่วยให้กับขุนนาง เจ้านาย หรือกษัตริย์

ในละครเราจะเห็นว่า ไพร่บางคนพยายามหลีกหนีการเกณฑ์แรงงานไปสร้างป้อมปราการ เมกะโปรเจ็คท์แห่งยุคขุนหลวงนารายณ์ ด้วยการมาขายตัวเป็นทาสที่บ้านออกญาโหราธิบดี เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่สามารถหาส่วยมาให้ขุนนาง (เช่น ออกญาโกษาธิบดี) ก็ยอมขายตัวเพื่อมาเป็นทาสเช่นกัน

นี่ยังไม่นับรวมการไร้ซึ่งสวัสดิการจากรัฐในยุคนั้น ไพร่บางคนจึงยอมขายอิสรภาพมาเป็นทาสในบ้านออกญาโหราธิบดี เพียงเพื่อจะได้รับมุ้ง เพื่อลดความเสี่ยงของตนและครอบครัวที่จะติดเชื้อไข้ป่านั่นเอง

ชีวิตทาส

ดังนั้น อิสรภาพในยุคอยุธยาจึงมีต้นทุนที่ต้องจ่าย และหากไม่สามารถจ่ายได้ การยอมเสียอิสรภาพและกลายมาเป็นทาสก็เป็นทางเลือกที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

เพราะการเป็นทาสก็ยังมีหลักประกันที่จะมีข้าวปลาอาหารทาน (แม้จะไม่สมบูรณ์) แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยอิสรภาพของตนเอง

ต้นทุนที่หนักที่สุดของการสูญเสียอิสรภาพไม่ใช่การทำงานหนัก แต่เป็นการถูกลงโทษลงทัณฑ์จากผู้เป็นนาย โดยไม่ต้องไถ่ถามความเป็นธรรม ดังเช่น แม่ปริก พี่ผิน พี่แย้ม จะต้องถูกแม่หญิงการะเกด (คนเดิม) ตบตี ด่าทอ ถูกใช้ให้ไปล่มเรือแม่หญิงจันทร์วาด

พี่แย้มจึงบอกกับแม่หญิงการะเกด (คนใหม่) ว่า การเป็นทาสจึงจำเป็นต้องลุ้นว่าจะได้นายที่มีเมตตาหรือไม่? และส่วนใหญ่คำตอบคือ ไม่ (ยึดตามคำพูดของพี่แย้ม)

หากพูดในภาษาปัจจุบันก็ต้องบอกว่า ชีวิตทาสเป็นการนำเอาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไปแลกเพื่อให้ได้ความจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต

นี่ยังไม่นับทาสเชลยที่ถูกจับมา และทาสในเรือนเบี้ยที่ไม่ได้เกิดจากการเลือกที่ตนเองจะเป็นทาสด้วยซ้ำไป

ชีวิตขุนนาง

ในชนชั้นขุนนาง ซึ่งเป็นตัวละครหลักของเรื่อง ที่ดูน่าจะชิลล์ ๆ เพราะการงานต่าง ๆ ก็มีบ่าวไพร่คอยบริการ แต่ในละครไม่ได้เล่าถึงเงื่อนไขในการเลี้ยงตน (และบ่าวไพร่) ของขุนนางมากนัก

ในอยุธยา ขุนนางมิใช่ได้รับเงินเดือนเช่นในปัจจุบัน แต่กษัตริย์หรือขุนหลวงจะพระราชทาน “เงินปี” ซึ่งก็มิได้มากนัก ดังนั้น การดำรงชีพของขุนนางจึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการใช้ตำแหน่งและสิทธิประโยชน์ (หรือศักดินา) ที่ตนมี อันหมายถึง ที่ดิน บ่าวไพร่ และหน้าที่การงาน ในการหาเลี้ยงตนและคนในเรือน

การใช้หน้าที่การงานเพื่อหาประโยชน์ของหลวงและของตนจึงดำเนินควบคู่กันไป (แบบที่ใคร ๆ ในอยุธยา) เขาก็ทำกัน ดังที่ในละคร เราได้เห็นขุนเหล็ก (ออกญาโกษาธิบดี) ได้นำของกำนัลเข้าบ้านเป็นจำนวนมาก

ดังนั้น ความทับซ้อนของผลประโยชน์ส่วนตนกับส่วนรวมจึงเป็นเรื่องที่แบ่งยากมากในสมัยนั้น และน่าจะส่งผลต่อความนึกคิดของเหล่าขุนนาง แม้กระทั่งในยุคหลัง ๆ ที่เวลาล่วงเลยมากว่า ๓๐๐ ปีด้วย

แต่การทำเช่นนั้น ไม่ใช่ไม่มีความเสี่ยง เพราะเส้นแบ่งที่เบลอนั้นเอง ขุนนางก็อาจถูกตัดสินให้มีความผิดได้ไม่ยาก เช่นในละครเราทราบดีว่า ในที่สุดขุนเหล็กก็ถูกลงโทษด้วยการโบยจนเสียชีวิต เพราะรับสินน้ำใจ (ในมุมมองของขุนเหล็ก) จากผู้ที่ไม่ต้องการให้มีการสร้างป้อมปราการ

แม้กระทั่ง ออกพระวิสูตรสุนทร (ขุนปาน) ซึ่งต่อมาก็ก้าวขึ้นมาเป็นออกญาโกษาธิบดี ขุนนางที่สำคัญอันดับ ๒ ของแผ่นดิน ตำแหน่งเดียวกับพี่ชาย สุดท้ายก็ถูกขุนหลวงเพทราชาลงโทษ และขุนปานก็ฆ่าตัวตายในที่สุด

ดังนั้น วิถีทางของความสบายของเหล่าขุนนางในอยุธยาจึงมีความเสี่ยงรออยู่ข้างหน้าเช่นกัน

ชีวิตของขุนหลวง

มาถึงขุนหลวงหรือกษัตริย์หรือเหล่าเจ้านายทั้งหลาย ผู้ซึ่งอยู่บนยอดสุดของปิรามิดและอำนาจในกรุงศรีอยุธยา

หากมองผิวเผินการอยู่บนยอดสุดของสังคมน่าจะมีความมั่นคงมาก แต่ในประวัติศาสตร์ การแย่งชิงอำนาจกันอย่างเข้มข้น ภายใต้กติกาที่คลุมเครือ (นอกจากกติกาที่ว่า ผู้ชนะคือผู้มีอำนาจ) ก็ได้ทำให้กษัตริย์หรือรัชทายาทถูกโค่นล้มและปลงพระชนม์ไปไม่น้อย

ตัวอย่างเช่น ก่อนที่พระเจ้าปราสาททอง (บิดาของขุนหลวงนารายณ์) จะก้าวขึ้นมาเป็นขุนหลวง ก็ต้องโค่นล้มพระเชษฐาธิราช (อายุ ๑๕ พรรษา) และพระอาทิตยวงศ์ (อายุ ๑๐ พรรษา) และก่อนที่ขุนหลวงนารายณ์จะครองราชย์ก็ต้องโค่นล้มเจ้าฟ้าไชย (พี่ชาย) และพระศรีสุธรรมราชา (อา) ก่อนทั้งสิ้น และทุกคนที่ถูกโค่นล้มก็มีจุดจบคือการถูกสำเร็จโทษทั้งสิ้น

เช่นเดียวกับพระปีย์ โอรสบุตรธรรมของขุนหลวงนารายณ์ก็จะถูกพระเพทราชาสำเร็จโทษ เพื่อก้าวขึ้นเป็นขุนหลวง และต่อมาเจ้าพระขวัญโอรสของพระเพทราชาก็ถูกลอบปลงพระชนม์เพื่อให้ออกหลวงสรศักดิ์ได้ก้าวขึ้นเป็นพระเจ้าเสือเช่นกัน

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ชีวิตของขุนหลวงและเจ้านาย จึงวางอยู่บนเส้นด้ายของการแย่งชิงอำนาจในหมู่เจ้านาย (ซึ่งก็คือพี่น้อง) และขุนนางชั้นสูง (ซึ่งก็คือ ลูกน้องคนสนิทหรือเพื่อน) เช่นกัน

ในมุมมองของคนรุ่นหลัง การกำหนดหลักเกณฑ์แห่งความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกัน (มากขึ้น)  และการเคารพในสิทธิที่ทุกชีวิตพึงมี จะสร้างความมั่นคงในชีวิตได้มากกว่า และสร้างความน่าอยู่และความเข้มแข็งของสังคมไปพร้อม ๆ กัน เราจึงเห็นแม่หญิงการะเกด (หรือเกศสุรางค์) ตกใจหลายครั้ง เมื่อทราบถึงกติกาและความสัมพันธ์ของผู้คนในอยุธยา และแม่หญิงก็พยายามสื่อสารกับชาวอยุธยาหลายครั้งว่า คนกับคนนั้นเท่ากัน

จากบทความเรื่อง "ความ (ไม่) มั่นคงของมนุษย์ในยุคอยุธยา (https://www.facebook.com/435721019966430/posts/776264259245436/) โดย อาจารย์ ดร.เดชรัต สุขกำเนิด ภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสต


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: ดาวกระจ่าง ที่ 04 ส.ค. 20, 15:42
เท่าที่อ่านดูในสมัยอยุธยาจะเป็นไพร่ ทาสก็มีฐานะไม่ต่างกันเลยนะคะ เพราะเป็นไพร่ก็ต้องไปทำงานให้นายและดูเหมือนจะไม่ได้เงินค่าแรงด้วยถูกไหมคะ


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 ส.ค. 20, 15:46
            วัด ดูจะเป็น ที่ไป(พึ่งได้) สำหรับไพร่และทาสในสมัยอยุธยา ที่น่าไปมากกว่า ป่า มากนัก หากจะหลบเลี่ยง
การไม่ถูกเกณฑ์เดือน ไม่ต้องรับใช้มูลนาย ไม่ต้องถูกเกณฑ์ไปรบ และ เพื่อเป็นไท

ข้อมูลหลักจาก  การบวชในสมัยอยุธยา
พระมหาทศพล จนฺทวํโส (มาบัณฑิตย์)

             เมื่อมีการสร้างวัดของราชสำนักจะมีการพระราชทานไพร่หลวง,ไพร่สมให้ไปรับใช้ดูแลพระในวัดเรียกว่า
เลกวัด(จากคําว่า สักเลก - การทําเครื่องหมายที่ข้อมือของชายฉกรรจ์ที่ถูกเกณฑ์แรงงานไพร่)
             ส่วนทาสจะมีโอกาสได้เป็น ข้าพระ เมื่อเจ้านาย,ขุนนาง หรือคหบดีสร้างวัดก็จะถวายทาสในเรือนให้เป็นแรงงานวัด
             อ.ศรีศักร วัลลิโภดม ได้วิเคราะห์ว่า "การสร้างวัดให้ลูกเล่นอีกด้านหนึ่งเป็นทางออกของสามัญชนที่เป็นขุนนางใหญ่
หรือ ผู้ดีเศรษฐีมีทรัพย์มหาศาล แต่สร้างเรือนชานที่อยู่ให้ใหญ่โตมโหฬารไม่ได้ เพราะเท่ากับทาเทียมวังพระเจ้าแผ่นดินและ
เจ้านายมีโทษหนักถึงตัดหัว บรรดาผู้ดีเศรษฐี มีทรัพย์เหล่านี้เลยพากันสร้างวัดอวดกัน วัดเลยมีจำนวนมากมาย"
      
(นอกจากนี้ ยังมีอีกที่หนึ่งซึ่งเป็นส่วนน้อย นั่นคือ โบสถ์คริสต์ ตามสัญญาทางศาสนาที่ว่าด้วยการให้มิชชันนารีรับคนไทย
ไว้ในโบสถ์เหมือนเป็นข้าวัด)

              เลกวัดและข้าพระ เป็นสมาชิกของ สมณครัว ที่ต่อมาน่าจะแปรเรียกเป็น สำมะโนครัว


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 ส.ค. 20, 15:51
            การบวชเป็นพระ ก็เป็นอีกโอกาสของการเปลี่ยนแปลงสถานภาพทางสังคม ทำให้ไพร่ไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน
และ ทาสเป็นไทหากนายทาสอนุญาตให้บวช แต่ต้องเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติผ่านพุทธบัญญัติและข้อห้าม  
           - ห้ามบวชคนของราชการ,ทาส,ไพร่ต้องสังกัดมูลนาย เมื่อจะบวชต้องขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากมูลนายที่
สังกัด นายบางคนในตอนแรกยินยอมให้บวช แต่ต่อมาเสียดายผลประโยชน์ที่สูญเสียไป ก็เรียกร้องหรือบังคับให้ไพร่หรือทาส
นั้นสึก ถ้าไพร่,ทาสไม่ยอมสึกจะมีการเรียกร้องให้ชดใช้เงินทอง ซึ่งในกรณีบังคับให้ลาสิกขานี้อาจจะเกิดขึ้นได้น้อยมากเพราะ
ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยเชื่อกันว่าการบวชนั้น ตัวเองจะบวชเองหรือจะให้ผู้อื่นบวชนั้นได้อานิสงส์ใหญ่
           - คนเป็นหนี้(ต้องได้รับการอนุญาตจากเจ้าหนี้ก่อน), บุรุษผู้ถูกเฆี่ยนด้วยหวาย(แล้วแผลยังไม่หาย) และผู้เป็นโรคติดต่อ
บางชนิด

            เมื่อพระสงฆ์มีจำนวนมากเกิน ในแผ่นดินพระนารายณ์จึงทรงโปรดให้มีการสำรวจสมณครัว และ การสอบไล่
            โดยให้คณะสงฆ์จัดการศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างเป็นระบบจริงจัง กำหนดว่าภิกษุที่บวชมากี่พรรษาจะต้องมีภูมิความรู้
ในธรรมะและภาษาบาลีขั้นไหน และจัดการสอบไล่
            ลาลูแบร์ได้บันทึกถึง การสอบไล่ของพระสงฆ์ตามนโยบายของสมเด็จพระนารายณ์เพื่อให้คนที่บวชหนีส่วย,เกณฑ์แรงงาน
แล้วไม่ผ่านสอบไล่ต้องลาสิกขาและถูกสักเลกให้สังกัดมูลนายว่า
            ตอนที่เขาเข้ามา (พ.ศ.๒๒๓๐) มีพระสงฆ์ถูกจับสึกหลายพันรูปเพราะสอบตก และคนที่เป็นแม่กองสอบพระสงฆ์ฝ่ายคามวาสี
ก็คือ ออกหลวงสุรศักดิ์ หรือพระเจ้าเสือในอนาคตนั่นเอง
            ส่วนมองซิเออร์ คอนซตันซ์ ฟอลคอน บันทึกเล่าว่า “...เคยเห็นพระเจ้าแผ่นดิน (สมเด็จพระนารายณ์) ให้พระสงฆ์สึกในวันเดียว
ตั้ง ๗๐๐ และให้ลูกศิษย์ออกจากวัดตั้ง ๑๐,๐๐๐ คนก็มี"


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 ส.ค. 20, 08:50
ถ้าเทียบกับทาสในอเมริกาก่อนมีกฎหมายเลิกทาส   ทาสในสยามดูจะมีทางออกมากกว่า   และกฎหมายก็คุ้มครองว่านายงานไม่อาจจะลงโทษถึงตายได้
ระหว่างอิสรภาพที่จะเป็นไพร่  มาทำงานให้หลวงในบางเดือน  กับเป็นทาส  อะไรดีกว่ากันคงยากจะชี้ชัดลงไปได้  เพราะเราไม่อาจเอาความคิดของคนปัจจุบันไปชี้วัด  แต่หลังจากเสียกรุงครั้งที่ 2   การเข้าเวรแรงงานของไพร่ลดน้อยลงเมื่อมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์  ขณะที่ทาสกลับมีจำนวนมากขึ้น   จนในรัชกาลที่ 3  พบว่าทาสมีจำนวนถึง 1 ใน 3 ของประชากร

   


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: ดาวกระจ่าง ที่ 06 ส.ค. 20, 21:28
 เห็นคุณเทาชมพูบอกว่า "อย่างที่สองคือค่าตัวทาสนั้นไม่ได้คงที่เหมือนตอนแรกที่มาขายตัวเป็นทาส   เพราะกฎหมายบัญญัติให้มีการลดค่าตัวทาสลงตามระยะเวลาของการเป็นทาส ทำให้ทาสมีค่าตัวลดน้อยลง เปิดโอกาสให้ทาสหาเงินมาไถ่ตัวเป็นอิสระได้ง่ายขึ้น"

พอจะมีรายละเอียไหมคะว่าส่วนใหญ่เขาซื้อขายทาสกันด้วยจำนวนเงินเท่าไร แล้วจำนวนเงินที่ลดลงตามระยะเวลาเขาคิดกันอย่างไง ลดเงินให้มากไหม


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ส.ค. 20, 20:14
เมื่ออาณาจักรรัตนโกสินทร์สถาปนาขึ้น จนถึงรัชกาลที่ 5 ระบบทาสก็มีอยู่ในสังคมไทยแบบเดียวกับสมัยอยุธยา  จำนวนทาสนั้นมีถึง 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด   
กฎหมายที่ใช้กันอยู่  ตีราคาลูกทาสในเรือนเบี้ย ชาย 14 ตำลึง หญิง 12 ตำลึง แล้วไม่มีการลด ต้องเป็นทาสไปจนกระทั่งชายอายุ 40 หญิงอายุ 30 จึงมีการลดบ้าง
คำนวณการลด  อายุทาสถึง 100 ปี ก็ยังมีค่าตัวอยู่ คือชาย 1 ตำลึง หญิง 3 บาท แปลว่า ผู้ที่เกิดในเรือนเบี้ย ถ้าไม่มีเงินมาไถ่ตัวเองแล้ว ก็ต้องเป็นทาสไปตลอดชีวิต

ระบบทาสมาถึงจุดสิ้นสุดในรัชกาลที่ 5   พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้ตราพระราชบัญญัติขึ้น เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2417 ให้มีผลย้อนหลังไปถึงปีที่เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ   พระราชบัญญัตินี้มีใจความสำคัญว่า ลูกทาสซึ่งเกิดเมื่อปีมะโรง พ.ศ. 2411 ให้มีสิทธิได้ลดค่าตัวทุกปี โดยกำหนดว่า เมื่อแรกเกิด ชายมีค่าตัว 8 ตำลึง หญิงมีค่าตัว 7 ตำลึง เมื่อลดค่าตัวไปทุกปีแล้ว พอครบอายุ 21 ปีก็ให้ขาดจากความเป็นทาสทั้งชายและหญิง

ต่อมาถึงปี พ.ศ. 2448 สยามออกพระราชบัญญัติเลิกทาสที่แท้จริงขึ้น เรียกว่า “พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124” (พ.ศ. 2448) เลิกเรื่องลูกทาส ในเรือนเบี้ยอย่างเด็ดขาด เด็กที่เกิดจากทาส ไม่เป็นทาสอีกต่อไป การซื้อขายทาสเป็นโทษทางอาญา ส่วนผู้ที่เป็นทาสอยู่แล้ว ให้นายเงินลดค่าตัวให้เดือนละ 4 บาท จนกว่าจะหมด


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 ส.ค. 20, 20:43
พ.ศ. 2448 สยามออกพระราชบัญญัติเลิกทาสที่แท้จริงขึ้น เรียกว่า “พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124” (พ.ศ. 2448) เลิกเรื่องลูกทาส ในเรือนเบี้ยอย่างเด็ดขาด เด็กที่เกิดจากทาส ไม่เป็นทาสอีกต่อไป การซื้อขายทาสเป็นโทษทางอาญา ส่วนผู้ที่เป็นทาสอยู่แล้ว ให้นายเงินลดค่าตัวให้เดือนละ 4 บาท จนกว่าจะหมด

พระราชบัญญัติฉบับนี้ ประกาศ ณ วันที่ ๑ เมษายน รัตนโกสินทรศก ๑๒๔ ซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่ของสยามในขณะนั้น

http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2448/001/9.PDF


(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5949.0;attach=47827;image)
(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5949.0;attach=47828;image)
(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5949.0;attach=47829;image)

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5949.0;attach=47830;image)


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: ดาวกระจ่าง ที่ 17 ส.ค. 20, 21:08
ขอบพระคุณคำตอบเรื่องเงินไถ่ตัวทาสด้วยนะคะ ขอบโทษที่ไม่ได้เข้ามาขอบคุณเสียนานค่ะ

เห็นหลานท่านว่าทาสไทยดีกว่าทาสอเมริกา ยุโรป แล้วถ้าเทียบกับชาติในเอเชียด้วยกันอย่างจีน เกาหลี ญี่ปุ่น ในสมัยก่อนถือว่าไทยดีกว่าเขาไหมคะ


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ส.ค. 20, 11:10
เรื่องทาสในจีน  ขอแนะนำให้เข้าไปอ่านในลิ้งค์นี้ค่ะ
ภาษาง่าย และเล่าได้กระชับค่ะ

https://china.mrdonn.org/slavery.html


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ส.ค. 20, 12:11
ภาพการเลิกทาสในรัชกาลที่ ๕ ค่ะ


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: ดาวกระจ่าง ที่ 19 ส.ค. 20, 12:24
ขอบคุณสำหรับบทความเรื่องทาสในจีนค่ะ ดิฉันจะไปอ่านดู


กระทู้: ทาสในสยาม
เริ่มกระทู้โดย: Naris ที่ 26 ส.ค. 20, 13:23
ปัจจุบัน เห็นจะเหลือแต่ ทาสแมว ละครับ
มีมากขึ้นทุกวัน ทุกหัวระแหงแล้ว