ในที่สุด ต้องลงคะแนนกัน ชนะกันไม่ห่างนักด้วยคะแนนโหวต 64 ต่อ 57 ให้มีคำว่า ย ต่อท้าย ไท
เหตุผลก็คือ
"ไทยมี ย เปรียบเหมือนผู้หญิงที่ดัดคลื่นแต้มลิปสติค เขียนคิ้ว ส่วนไท ไม่มี ย นั้นเปรียบเหมือนหญิงที่งามโดยธรรมชาติ แต่ไม่ได้ตกแต่ง"
จิตร ภูมิศักดิ์ให้ความเห็นดังนี้
ข้อนี้ดูเหมือนจะเป็นที่รู้กันทั่วไปแล้วว่า เกิดขึ้นจากความเฟื่องในภาษาไทยบาลีและสันสกฤต
ในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงเขียน ไท เฉย ๆ ไม่มี ย แต่พอถึงจารึกสมัยพญาลือไท เราก็ได้พบว่าเริ่มเขียน ไทย ขึ้นปะปนกับ ไท เป็นสองรูป สาเหตุก็เพราะไทยยุคพญาลือไทนั้นกำลังเฟื่องภาษาบาลี ภาษาบาลีนั้นไม่มีสระ ไอ เมื่อจะเขียน ไท ด้วยภาษาบาลี ก็ต้องแผลงเป็น เทยฺย อย่างชื่อพญาลือไทย ก็เขียนเป็น ลีเทยฺย (ซึ่งเดี๋ยวนี้เราถอดออกมาเป็นลิไท ไม่รู้ว่าจะยอมเพ้อคลั่งบาลีกันไปด้วยถึงไหน) ฉนั้นเวลาเขียนเป็นภาษาไทยก็เลยเอา ย พ่วงท้ายเข้าให้ด้วยเป็น ไทย แต่ที่บางแห่งในจารึกหลักเดียวกันนั้นเองก็ยังเขียน ไท, ลืมใส่ ย ของสำคัญเสียก็มี ! จารึกรุ่นหลัง ๆ ลงมาที่แก่วัดมาก ๆ ถึงกับใช้ เทยฺย ปนกับ ไทย ก็มี เช่นจารึกวัดช้างค้ำ จังหวัดน่าน พ.ศ. ๒๐๙๑ เขียนว่า :
"จุลศักราชได้ ๙๑๐ ตัว ในปีวอกขอมภิเสยฺย, เทยฺยภาสาว่าปีเปลิสัน, ในเดือนมาฆะ ไทย ว่าเดือน ๕....."
(วารสารศิลปากร ปีที่ ๔ เล่ม ๔ พ.ย. ๒๕๐๓ น. ๕๓)
ความคลั่งไคล้ภาษาบาลีเช่นนี้เอง จึงทำให้ ไทย เขียนมี ย ติดมาจนถึงทุกวันนี้
จาก
หนังสือ "ความเป็นมาของคำสยาม, ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ" โดย จิตร ภูมิศักดิ์ หน้า ๖๑๐-๖๑๑
ถ้าเปรียบเทียบโดยใช้เหตุผลของจิตร ภูมิศักดิ์น่าจะเป็นว่า
"ไทยมี ย เปรียบเหมือนผู้ชายที่บวชเรียน ชำนาญภาษาบาลีสันสกฤต ส่วนไท ไม่มี ย นั้นเปรียบเหมือนผู้ชายที่ยังไม่ได้บวชเรียน"