เรือนไทย

กระทู้ยาวมากแล้ว
ต่อจากกระทู้ สัตว์ประหลาด 2
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=5645.msg131263;topicseen#msg131263

http://www.youtube.com/watch?v=IdALWz2WGjs

"วาฬ" ของคุณเทาชมพูมาเป็นเที่ยวที่ ๒ ในกระทู้ใหม่ คราวนั้นเสียงในฟิล์มภาษาเขมรชัดเชียว



(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

เห็บมรณะระบาด คร่าแล้ว 21 ชีวิตในญี่ปุ่น

ตามรายงานจากเว็บไซต์เจแปนทูเดย์ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2557 ระบุว่า ผู้ป่วยโรค SFTS จะมีอาการไข้สูง อาเจียน ท้องเสีย ที่อาการหนักก็จะมีภาวะเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดต่ำ การทำงานของอวัยวะภายในล้มเหลว จนกระทั่งเสียชีวิตในที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้น ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่สามารถป้องกันโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน และกระทรวงสวัสดิการสังคม จึงเตือนให้ประชาชนเลี่ยงการเดินลุยในพื้นที่มีหญ้าขึ้นรกสูง เลี่ยงการเดินป่า และให้สวมใส่เสื้อผ้สมิดชิดไม่เผยผิวให้ง่ายต่อการถูกเห็บกัด ทั้งนี้ ตามข้อมูลจากศูนย์เฝ้าระวังโรคติดต่อ เห็บมรณะดังกล่าวสามารถพบได้ใน 23 จังหวัดของญี่ปุน ตั้งแต่เกาะฮอกไกโดทางตอนเหนือจรดเกาะคิวชูทางตอนใต้

สาเหตุของโรคเป็น "ไวรัส" ที่ถูกต้องน่าจะเรียกว่า "ไวรัสมรณะ" มากกว่า เพราะเห็บเป็นพียงตัวนำเชื้อ โรคนี้มีอัตราการตาย ๑๒-๓๐ % พบได้ใน จีน เกาหลี และญี่ปุ่น  ;D

หน้าตาเหมือนลูกอมมีขาเลยครับ บรื๋อ ตัวอย่างนี้ไม่มีในบ้านเราใช่ไหมครับ

เห็บที่เป็นตัวนำเชื้อของไวรัสตัวนี้คือ เห็บโค Rhipicephalus microplus มีในบ้านเรา (ซ้าย ตัวเมีย ขวา ตัวผู้)

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/5/54/Rhipicephalus-microplus-female-male.jpg)

ที่เห็นในภาพประกอบของคุณเทาชมพูน่าจะเป็น เห็บสุนัข Rhipicephalus sanguineus ตัวเมียที่กำลังดูดเลือดตัวเป่งเชียว มีในบ้านเราเช่นกัน (รูปข้างล่าง ซ้าย ตัวเมีย  ขวา ตัวผู้)

ที่ไม่มีคือไวรัสตัวที่ทำให้เกิดโรคนี้  ;D

เจ้าตัวโปร่งใสตัวนีั้จับได้จากทะเลทางเหนือของเกาะเหนือของนิวซีแลนด์เมื่อต้นปีนี้เอง

มันเป็น แมงกะพรุน กุ้ง ปลา หรือตัวอะไรกันแน่  ;D

เป็นสัตว์ชนิดเดียวกับเจ้าตัวนี้

http://www.youtube.com/watch?v=MMxbew5__PY

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

อย่างเดียวกับเจ้าตัวนี้หรือเปล่า

สัตว์ประหลาดของคุณเทาชมพูมีอยู่สองชนิด ตัวในเป็นแพลงตอนพวก amphipod (http://en.wikipedia.org/wiki/Amphipoda) ส่วนตัวนอกเป็นสัตว์ในวงศ์เดียวกับตัวที่จับได้ที่นิวซีแลนด์

แอมฟิพอดตัวนี้ชื่อว่า Phronima sedentaria ถึงแม้ว่าตัวจิ๋วขนาดนี้ แต่นิสัยใจคอโหดเหี้ยมนัก มันจะจัดการสัตว์ตัวนอกที่มีลักษณะเหมือนถุง แล้วเข้าไปอาศัยอยู่ภายใน ลักษณะเดียวกับปูเสฉวนที่อาศัยอยู่่ในเปลือกหอย  ;D

http://www.youtube.com/watch?v=xr0SyL0YilU

แล้วที่เรียกว่า salp คือตัวไหน  เป็นสัตว์ประเภทใดคะ

เป็น salp (http://en.wikipedia.org/wiki/Salp) ทั้งคู่ แต่คนละช่วงของชีวิต ทางซ้ายเป็น "แซลป์" ในช่วงที่อยู่เป็นตัวเดี่ยว ๆ  มันจะแบ่งตัวได้เป็นร้อยเป็นพันตัวจนมีลักษณะเป็นสายยาว ๆ ลอยละล่องในท้องทะเล เหมือนตัวทางขวา

ถึงแม้ว่าแซลป์จะมีตัวใสเหมือนกับแมงกะพรุน แต่มันก็มีอวัยวะภายในเหมือนกับสัตว์น้ำพวกปลาเหมือนกัน มันจะดูดน้ำทะเลเข้าไปผ่านท่อภายในร่างกายเพื่อกินแพลงตอนแล้วปล่อยน้ำทะเลออกทางส่วนท้าย ทำให้มันเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้

แซลป์อยู่ในวงศ์ Salpidae มีหลายสกุล หลายชนิด  ตัวข้างล่างนี้คือ  Salpa fusiformis

ส่วนตัวที่จับได้ที่นิวซีแลนด์

http://www.youtube.com/watch?v=LTUXaVVFUi4

คือ Salpa maggiore

รายละเอียดอ่านได้ที่ เดลิเมล (http://www.dailymail.co.uk/news/article-2543194/Fisherman-plucks-bizarre-shrimp-like-creature-water-New-Zealand-thats-completely-through.html)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

ใสเหมือนแก้ว
ตัวเดี่ยวๆของมันน่ารักดีนะคะ  ไม่แพ้ตัวฟอสซิลที่คุณประกอบสะสม   
ตัวพรรค์นี้เขากินกันเหมือนแมงกะพรุนใส่เย็นตาโฟหรือเปล่า  เซนเซเพ็ญ?

^
แซลป์ประกอบด้วยน้ำถึง ๙๕ % หากนำมารับประทานแนะนำให้เชื่อมทำเป็นของหวานใส่น้ำแข็ง ราดน้ำแดง คงอร่อยน่าดู  ;D  ;D

คลิปต่อไปนี้ถ่ายที่อ่าว Bristol ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ว่าอาจจะเป็นเจ้าแซลป์ของเรา ไม่งั้นก็เป็นแมงกะพรุนเรืองแสง หรือหมึกเรืองแสง

ไม่ทราบว่าคุณประกอบอยู่ใกล้ไกลจากที่นั่นมากน้อยเพียงใด คุณประกอบ คุณเทาชมพู รวมทั้งชาวเรือนไทยทุกท่านเชื่ออย่างนั้นหรือไม่

http://www.youtube.com/watch?v=v1qGmNjEOGU

ถ้าไม่ มันเป็นตัวอะไรหนอ   ;)

กาลครั้งหนึ่ง ประมาณเกือบยี่สิบปีมาแล้ว ผมมีหน้าที่จะต้องไปเกี่ยวข้องกับงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่บริเวณแหลมพระนาง จังหวัดกระบี่ร่วมกับสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่แห่งประเทศไทย ขณะนั้นได้ไปปักหลักอยู่ที่ชายหาดหน้าถ้ำพระนาง มีโปรเฟสเซอร์สูงอายุชาวเยอรมันคนหนึ่งร่วมคณะมาด้วย ท่านผู้นี้ทำงานอยู่ในองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือด้านวิทยาการแก่สถาบันดังกล่าวอยู่

เย็นวันนั้น หลังจากเสร็จงานเราก็ลงไปเล่นน้ำทะเลกัน สมัยโน้นนักท่องเที่ยวแทบจะนับหัวได้ น้ำทะเลของกระบี่ ณ บริเวณที่ว่าใสราวกับสระว่ายน้ำของรีสอร์ทระดับห้าดาว ยืนอยู่ที่น้ำระดับอกจะก้มลงไปนับนิ้วเท้าได้เลย แต่วันแรกบรรดาคนไทยต่างชะงักนิดนึง เพราะมีเจ้าตัวใสๆขนาดลูกชิดอยู่เต็มทะเลไปหมด กลัวน้ำจะคันด้วยฤทธิ์ของมัน
แต่ท่านโปรเฟสเซอร์ตื่นเต้นมาก ลงไปลอยคอดำผุดดำว่าย สั่งลูกศิษย์คนไทยให้หาภาชนะมาเก็บตัวอย่างเป็นการใหญ่ ผมถามท่านว่า ผมมาเล่นน้ำที่นี่หลายครั้งแล้วไม่เคยเห็นตัวอะไรเช่นนี้เลย มันเป็นสัญญาณไม่ดีด้านสิ่งแวดล้อมหรือเปล่าครับ
ท่านมองหน้าผมแล้วบอก โน.. ยูรู้ไหม นี่แสดงว่าทะเลที่นี่ยังสะอาดบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ หาไม่แล้ว สิ่งมีชีวิตที่อ่อนไหวมากๆอย่างตัวนี้ จะไม่ปรากฏให้เราเห็นได้เลย
ผมถามว่า มันเป็นแมงกะพรุนขนาดจิ๋วหรือครับ
ม่ายช่าย มันคือ “g2jj9;s—jyujkW” (ตัวอะไรก็ไม่รู้ ผมจำชื่อภาษาละตินไม่ได้) แล้วท่านหันไปส่งภาษาเยอรมันกับศิษย์คนไทยของท่าน คงให้ช่วยอธิบายกับผม  มันเป็นญาติกับพวกหอยตระกูลหนึ่งน่ะพี่ อ้าว แล้วหอยนี่ไม่มีเปลือกหรือครับ ใช่ หอยบางชนิดยังมีวิวัฒนาการไม่ถึงขั้นจะมีเปลือกเหมือนกัน

ผมไม่ทราบว่าความจำที่ติดสมองของผม จะขัดกับเจ้าตัวแซลป์ของคุณเพ็ญชมพูหรือเปล่า ทราบว่าท่านเป็นเซียนทางวิชาการด้านนี้ตัวจริงเสียงจริง แต่เจ้าตัวที่ผมเคยเห็นนี้เล็กขนาดปลายนิ้วเท่านั้น และมันโผล่ขึ้นมาวันเดียว วันหลังหาแทบจะไม่เจอ ชาวประมงแถวนั้นบอกว่ามันเกิดมาเป็นอาหารของปลาหมึก ปีไหนเห็นตัวนี้มาก ปีนั้นปลาหมึกจะชุมเป็นพิเศษ

ลูกชิดที่ไม่ได้ใส่น้ำแข็งไสของท่านนวรัตน เป็นแบบนี้หรือเปล่าคะ

คล้ายๆกับตัวทางขวาครับ แต่จำไม่ได้ว่ามันมีตาเห็นเป็นจุดดำชัดขนาดนั้นหรือเปล่า

ตรงที่เห็นเหมือนเป็นตานั้นคือ "ลำไส้"

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5920.0;attach=47337;image)

ลูกชิดที่อ่าวนางที่คุณนวรัตนพบอาจเป็น "แซลป์" ก็เป็นไปได้ แต่ติดตรงที่ว่าศิษย์ของโปรเฟสเซอร์บอกว่ามันเป็นญาติกับหอยนี่ซิ เลยคิดถึงสัตว์ที่ตัวหนึ่งซึ่งอยู่ในไฟลัมเดียวกันกับหอย (Mollusca) คือ "ทากทะเล" หรือ "ทากเปลือย" (sea slug หรือ nudibranch) ปรกติทากเปลือยพวกนี้จะ มีสีสันฉูดฉาดสวยงามทีเดียว (https://www.google.co.th/search?hl=th&site=imghp&tbm=isch&source=hp&biw=1600&bih=775&q=nudibranch+transparent&oq=nudibranch+transparent&gs_l=img.12...2687.15882.0.17862.22.5.0.17.17.0.719.1694.2-4j6-1.5.0....0...1ac.1.37.img..11.11.1723.RO_Pbvy6fR8#hl=th&q=nudibranch+&tbm=isch&imgdii=_) แต่ที่ตัวใส ๆ เหมือนแซลป์ก็มีเหมือนกัน

ตัวอย่างเช่นเจ้าสองตัวข้างล่างนี้  ;D

ยังคิดว่าลูกชิดทะเลของท่านนวรัตนเป็นตัวนี้มากกว่าค่ะ    ทากทะเลรูปร่างมันไม่เหมือนลูกชิด

ขยายให้ดูใกล้ๆ

ถ้าไม่ติดคำว่า "เป็นญาติกับหอย" จะไม่นึกถึงทากทะเลเลย  ;)

ลูกชิดทะเลที่คุณเทาชมพูนำมาแสดง พบที่อ่าว Matauri ซึ่งอยู่ทางเหนือของเกาะเหนือของนิวซีแลนด์ บริเวณเดียวกับที่ชาวประมงพบ "แซลป์" ในข่าวข้างบน แต่ครั้งนั้น (พ.ศ. ๒๕๕๔) พบเกลื่อนชายหาดไปหมด

เป็นได้ไหมว่าลูกศิษย์ท่านโปรเฟสเซอร์จำผิด     หรือไม่ก็พูดผิด
ถ้าเจ้าลูกชิดทะเล salp ไม่ได้เป็นญาติกับหอย   มันเป็นญาติกับกุ้ง ปู หรือปลาคะ

ลูกชิดทะเลที่นิวซีแลนด์ อาจจะเป็นแซลป์หรืออาจจะเป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "กูสเบอรรีทะเล" (sea gooseberry) Pleurobrachia bachei ซึ่งก็ไม่ได้เป็นญาติกับหอยเช่นกัน  หน้าตาเหมือนลูกชิดมาก  ;D

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/d/d5/Pleurobrachia_pileus_%28Sea_gooseberry%29%2C_Kijkduin%2C_The_Netherlands.jpg/800px-Pleurobrachia_pileus_%28Sea_gooseberry%29%2C_Kijkduin%2C_The_Netherlands.jpg)

เมื่ออยู่ในน้ำทะเล มีลีลาแหวกว่ายสวยงามดี

http://www.youtube.com/watch?v=zsMUeo4qJjk

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

ผมพยายามจะเค้นความทรงจำออกมาใหม่ มันก็ได้แค่นี้ อ้อ รู้สึกว่าวันนั้นเราพูดถึงเพรียงด้วย แต่จำบริบทไม่ได้ว่ามันเกี่ยวข้องเป็นญาติกับหอย หรือกับลูกชิดมากกว่ากันน่ะครับ

กูสเบอร์รี่ทะเลสวยมาก   น่าจะเรียกว่าลูกปัดทะเล   ธรรมชาติออกแบบมาเหมือนลูกปัดร้อยสายสร้อย

เพรียงหน้าตาน่าเกลียดมาก   ขอส่งลูกคืนให้คุณเพ็ญชมพูรับไปวิเคราะห์ต่อว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่ค่ะ

พูดถึงเพรียง ปรกติเราจะนึกถึงเพรียงอยู่ ๒ ชนิดคือเพรียงที่เกาะตามหิน (Barnacle) พวกนี้เป็นญาติกับพวกกุ้ง พวกปู  กับเพรียงที่เจาะไม้ (shipworm) พวกหลังนี่เป็นญาติกับหอย

แต่มีเพรียงอีกพวกหนึ่งเป็นญาติกับแซลป์ อยู่ในไฟลัมย่อยเดียวกันคือ Urochordata คุณวิกกี้ (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B2) อธิบายไว้ดังนี้

ยูโรคอร์ดาตา มีชื่อสามัญว่า Tunicate เป็นสัตว์มีแกนสันหลังที่เป็นสัตว์น้ำเค็ม ไม่มีกะโหลกศีรษะ ไม่มีขากรรไกร มักแตกหน่อแล้วอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม บางชนิดอยู่โดดเดี่ยว มีการสร้างสารคลุมตัว เป็นสารประกอบพวกเซลลูโลส ที่เรียกว่าทูนิซินเพื่อให้คงรูปร่างอยู่ได้ ซีลอมไม่ชัดเจนเนื่องจากมีอวัยวะภายในบรรจุอยู่เต็ม ระบบหมุนเวียนเลือดเป็นแบบเปิด ไม่แยกเพศ การเจริญมีตัวอ่อนมีหางยาวใช้ว่ายน้ำ มีโนโตคอร์ดไขสันหลังบริเวณหาง เมื่อเจริญเป็นตัวเต็มวัยหางจะค่อย ๆ สลายไปจนไม่มีหาง เหลือโนโตคอร์ดและไขสันหลังบริเวณลำตัวบ้างเท่านั้น เช่น เพรียงลอย เพรียงสาย เพรียงหัวหอม

โปรเพสเซอร์อาจพูดถึงเพรียงพวกนี้ก็ได้

นี่คือหน้าตาของเพรียงหัวหอม (sea squirt) ชนิดหนึ่ง สวยงามกว่าที่คุณเทาชมพูคิด  ;D

ตามไปดูลูกชิดทะเลของคุณนวรัตนเสียไกล ยกสัตว์ประหลาดแห่งอ่าว Bristol ประเทศอังกฤษ ข้ามหน้ามาหาคำตอบ


(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

ดูไม่ออกจริงๆ  แต่ปลาเผือกหายากตัวนี้คุณเพ็ญชมพูคงดูออกนะคะ

บลูมาร์ลินเผือกแห่งคอสตาริกา

http://www.youtube.com/watch?v=TNcLeIHTkNg


(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

ยกข้ามหน้ามาหาคำตอบ อีกที  ;D

หลังจากทำให้ชาวบ้านและนักวิทยาศาสตร์งุนงง วิเคราะห์ไปต่าง ๆ นานา ความจริงก็ถูกเปิดเผย เจ้าสัตว์ประหลาดเรืองแสงตัวนี้เป็นเพียงสิ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อโฆษณารายการทีวีแนวเกี่ยวกับเรื่องประหลาดเหลือเชื่อ ชื่อ  ‘The Happenings’

รายละเอียดทั้งเรื่องและรูป หาอ่านได้ที่ เดลิเมล (http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-2519475/The-alien-jellyfish-WAS-hoax-Glowing-creature-Bristol-harbour-turns-publicity-stunt-TV-programme.html)

โฉมหน้าที่แท้จริงของมันเป็นดังนี้  ;D

สว่างเหมือนนีออนเลยค่ะ

เมื่อต้นเดือนนี้เอง (มีนาคม ๒๕๕๗) ครอบครัวหนึ่งในสวีเดนตกอกตกใจเมื่อได้พบกับหนูยักษ์ในห้องครัว ที่ตัวใหญ่จนกลายเป็นข่าวดังไปทั่วประเทศ (ตอนนี้คงดังไปทั่วโลกแล้ว)
   
หนูยักษ์ตัวนี้ไปโผล่ในห้องครัวของบ้านครอบครัวโครซาส ย่านโซลนาของกรุงสตอกโฮล์ม แอบเข้ามาทางท่อแอร์ มุดเข้าไปแอบกินอาหารใต้ท่อน้ำทิ้งและถุงขยะอยู่นานหลายวัน กับดักหนูแบบธรรมดาขนาดมาตรฐานก็จับหนูตัวนี้ไม่ได้ ลูกชายของบ้านเริ่มสงสัยและติดต่อบริษัทกำจัดหนูให้มาช่วย โดยนำเอากับดักหนูไซส์ยักษ์มาวางในครัว ก่อนจะดักหนูตัวนี้ได้ในที่สุด เมื่อคนในบ้านมาเห็นผลงานก็ต้องตกตะลึง เพราะหนูตัวนี้มีความยาวลำตัวถึง ๓๘ เซนติเมตร ไม่นับหางที่ยาวอีกหลายสิบเซนติเมตร

รายละเอียดหาอ่านได้จาก เดลิเมล (http://www.dailymail.co.uk/news/article-2589961/Monster-15-inch-rat-terrorises-Swedish-family-chewing-CONCRETE-wall-make-home-kitchen.html)

เจ้าหนูยักษ์ตัวนี้น่าจะได้ฉายาว่า "Ratzilla"  ;D

ขอถามซายาเพ็ญ
๑ หนูตัวนี้เจริญเติบโตอย่างผิดปกติ   พูดอีกทีคือเป็นหนูตัวเดียวที่โตขนาดนี้ พ่อแม่พี่น้องมันเป็นหนูตัวเล็กๆธรรมดาๆ
หรือ
๒  หนูพวกนี้เป็นพันธ์ุที่สามารถเติบโตได้ถึงขนาดเท่าหมา    จึงเป็นไปได้ที่คนจะเจอหนูโตเท่านี้ได้อีก

เห็นแล้วน่าทำหนังสยองขวัญมากๆ

มีนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนหนึ่งชื่อ ดอกเตอร์ Jan Zalasiewicz  (http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-2551024/Rats-one-day-bigger-COWS-Super-size-rodents-evolve-larger-mammals-extinct-claims-scientist.html) บอกว่าในสภาวะที่เหมาะสม หนูบ้านอาจจะโตเท่ากับวัวเสียด้วยซ้ำ

(http://i.dailymail.co.uk/i/pix/2014/02/03/article-2551024-1B2D2A7F00000578-933_634x306.jpg)

ชาวเรือนไทยจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่วิจารณญาณ แต่ที่เป็นเรื่องจริงที่เห็นประจักษ์แก่สายตาแล้วก็คือในสภาวะที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์ มันสามารถโตจนมีขนาดเท่ากับสุนัขตัวย่อม ๆ ทีเดียว

แร็ตซิลลาสวีเดนไม่ใช่เป็นตัวแรกที่พบ สองปีที่แล้วก็มี ข่าวพบที่เมืองจีน  (http://www.dailymail.co.uk/news/article-2440190/Metre-long-5kg-RAT-captured-Chinese-farmers-Shaoyang-Hunan.html) ครั้งนั้นบอกว่ายาวเกือบเมตร ดูภาพแล้วคงรวมส่วนหางไปด้วย

แร็ตซิลลาสวีเดน VS แร็ตซิลลาเมืองจีน ดูแล้วก็ตัวพอ ๆ กัน  ;D

ป.ล. จะคอยดูหนังสยองขวัญสร้างจากนวนิยายของ "แก้วเก้า" เรื่อง "หนู หนู หนู"  (http://www.reurnthai.com/Smileys/modern/wink.gif)

ทราบหรือไม่ว่า มีนกเพนกวินพันธุ์หนึ่งที่บินได้   ;)

http://www.youtube.com/watch?v=9dfWzp7rYR4

นำแสดงโดย เภ็ณย์ฌร์มภูว์ เรือนไทย   และ   ดร. เจ้าวิรุศฑ์ษมาศร์ ณ ปางฟ้า

เคยดูหนังสยองขวัญของฝรั่งเรื่อง "The Food of the Gods"  (http://en.wikipedia.org/wiki/The_Food_of_the_Gods_(film)) สร้างจากเค้าเรื่องนวนิยายของ H.G. Wells "The Food of the Gods and How It Came to Earth" ในหนังไม่ใช่มีแต่หนูยักษ์ แต่มีสารพัดสัตว์ยักษ์ทีเดียว

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/3/30/Food_of_the_gods.jpg)

http://www.youtube.com/watch?v=FUAgtRR5szI

หนังเรื่อง "หนู หนู หนู" จากนวนิยายของ "แก้วเก้า" คงน่าสนุก ตื่นเต้น  ยิ่งได้ "ดาราดังแห่งยุค" ทั้งสองท่านมาแสดงนำ น่าจะมีควรค่าแก่การติดตามชมเป็นอย่างยิ่ง

เอ! ว่าแต่ว่าวันนี้วันอะไรหนอ

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม16.png)

เชื่อว่าสองท่านจะเล่นได้เนียนกว่าดาราในฉากนี้   เลือดมันเหมือนซอสมะเขือเทศมากไปหน่อย

http://www.youtube.com/watch?v=dSnKaiiFhXI

ขอเฉลยความจริง นกเพนกวินไม่ว่าพันธุ์ไหนก็บินไม่ได้ดอก

เรื่องในคลิปนี้ บีบีซีทำขึ้นเพื่อ April Fools' Day ปี ๒๐๐๘


ใครโดนต้มซะสุกบ้างหนอ  ;D

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=3697.0;attach=29382;image)

หมดวัน April Fool's Day แล้วหนอ

เอา "งูยักษ์" มาฝากหนึ่งตัวค่ะ

http://www.oknation.net/blog/newclip/2014/04/01/entry-1

ถ้า "งูยักษ์ไทย" ฉลาดเท่า "จูเลียส-งูยักษ์ฝรั่ง" ตัวนี้  เห็นทีจะน่ากลัวทีเดียว เพราะว่างูเหลือมเผือกตัวนี้สามารถเปิดประตูเข้ามาในบ้านเองได้

http://www.youtube.com/watch?v=xdBh0Iso-8Y

สำหรับคนรักงู ต้องแสดงความเสียใจด้วย เพราะว่า "จูเลียส" เสียชีวิตแล้วเมื่อ ๒ ปีก่อน (พ.ศ. ๒๕๕๕) ด้วยโรคติดเชื้อ  :'(

แต่ถ้าเจองูเหลือมตัวนี้ เห็นจะแย่ที่สุด

จ้าหน้าที่ท้องถิ่นรัฐฟลอลิด้าจับงูเหลือม
มีความยาว 48 ฟุต 8 นิ้ว (14.833 เมตร)น้ำหนัก 780 ปอนด์ (353.80 กิโลกรัม)
งูเหลือมตัวนี้ถูกแขวนอยู่บนรถตีนตะขาบ(ตักดิน)
มีประชาชนหลายร้อยคนไปมุงดูงูยักษ์ตัวนี้
ในรายงานเว็ปไซด์ Guinness Book of World Records

http://www.oknation.net/blog/ravio/2014/04/08/entry-1

เรื่องนี้เห็นจะเป็นมุขตกค้างมาจาก April Fools' Day

ภาพนี้ไม่ได้ถ่ายที่ฟลอริดา แต่เป็น ภาพถ่ายที่อินโดนีเซียเมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๕ (http://bangka.tribunnews.com/index.php/2012/11/27/heboh...-beredar-foto-ular-dan-alat-berat)

งูไม่ได้ยาวอย่างที่เห็นดอก แต่เป็นการใช้เทคนิคถ่ายภาพแบบ  Forced perspective  (http://www.chillpainai.com/scoop/195/%E0%B8%96%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%82%E0%B8%B3%E0%B9%86-%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84-Forced-Perspective/) ทำให้งูดูมีขนาดใหญ่กว่าความเป็นจริง

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม16.png)

ต่อไปนี้เป็นการสาธิต วิธีทำให้งูเหลือมที่มีความยาวไม่ถึงเมตร กลายเป็นงูที่ดูแล้วยาวเกือบ ๒ เมตรได้  ;D

๑. อุปกรณ์ช่วยคือไม้จับงูยาวประมาณ ๑ เมตร

๒. ถ่ายภาพด้านหน้าใกล้เข้า และใกล้เข้า

๓. งูก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้น และใหญ่ขึ้น 

ภาพจาก http://www.kingsnake.com/blog/archives/345-Forced-perspective-or-Giant-Rattlesnake-shots.html

ควันหลงจาก April Fools' Day อีกหนึ่งเรื่อง

อังกฤษเพาะพันธุ์แกะ ๖ ขา ออร์แกนิกสำเร็จ โดยไม่ต้องตัดต่อพันธุกรรม เร่งขยายพันธุ์หวังช่วยให้ราคาเนื้อแกะในตลาดถูกลง

วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๗ เว็บไซต์มิร์เรอร์ของอังกฤษ รายงานว่า นายไซมอน เบนเน็ตต์ เจ้าของไร่ริเวอร์ไซด์ ออร์แกนิกส์ เมืองเชสเชียร์ของอังกฤษ เปิดเผยว่า ประสบความสำเร็จในการผสมพันธุ์แกะ ๖ ขา  

รายงานระบุว่า แกะ ๖ ขาทั้ง ๒ ตัว มีชื่อว่า คัพเค้ก และ สปริงเคิลส์ มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ดีและได้ใบรับรองด้านสุขภาพ รวมทั้งกำลังเข้าสู่ช่วงจับตามองเพื่อตรวจความบริสุทธิ์ของสายพันธุ์ ที่อาจนำไปสู่การขยายพันธุ์พวกมันต่อไป

ทางด้าน นายเบนเน็ตต์ เผยว่า ทีมงานที่ช่วยกันผสมพันธุ์แกะ ๒ ตัวนี้ขึ้นมาเป็นชาวไร่ พวกเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือจากนักพันธุศาสตร์แต่อย่างใด นอกจากนี้ พวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะผสมพันธุ์พวกมันให้ออกมาเป็นแบบนี้อีกด้วย ดังนั้น พวกมันจึงเกิดจากธรรมชาติล้วน ๆ และไม่มีอันตรายจากการตัดต่อพันธุกรรม ทั้งนี้ แกะ ๖ ขานี้เนื้อของมันจะมีมันน้อยลง แต่เชื่อว่า เนื้อของมันจะหวานฉ่ำกว่าแกะทั่วไป

ด้านสมาคมปศุสัตว์อังกฤษ กล่าวว่า ขณะนี้พวกเขากำลังร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์และสัตวแพทย์ในการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะขยายพันธุ์แกะดังกล่าว เนื่องจากแกะที่เกิดมาแข็งแรงพอที่จะดำเนินตามขั้นตอนการขยายพันธุ์ได้ ซึ่งหากขยายพันธุ์แกะชนิดนี้ได้สำเร็จจะทำให้ราคาเนื้อแกะในอังกฤษถูกลง

ข่าวนี้มาจาก เว็บกะปุก (http://hilight.kapook.com/view/100196) ซึ่งแปลข่าวมาจาก เว็บ Mirror  (http://www.mirror.co.uk/news/weird-news/six-legged-lambs-produced-increase-food-3320559) อีกทีหนึ่ง

เว็บฝรั่งลงข่าวนี้ตั้งแต่เช้าวันที่ ๑ เมษายน และยังเฉลยตอนหลังว่าเป็นมุข April Fools' Day  ส่วนเว็บไทยลงข่าวแปลวันที่ ๒ เมษายนช้าไปหนึ่งวัน แถมยังไม่เฉลยอีกว่าเป็นเรื่อง "เมษาโกหก"

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม16.png)

ลูกแกะ ๖ ขาในธรรมชาติก็สามารถเกิดขึ้นได้ อาจเป็นฝาแฝดที่ตัวหนึ่งเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์ อย่างในกรณีเมื่อ ๒ ปีที่แล้ว (พ.ศ. ๒๕๕๕) ลูกแกะ ๖ ขาเกิดที่ฟาร์มแห่งหนึ่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจอร์เจีย มีอวัยวะเพศทั้งเพศผู้และเพศเมียในตัวเดียวกัน เจ้าของฟาร์มบอกว่าเลี้ยงแกะมา ๒๕ ปีแล้วไม่เคยพบไม่เคยเห็นแกะมี ๖ ขา แต่แท้จริงแล้วโอกาสที่จะพบเห็นแกะ ๖ ขาก็ไม่ได้ยากเย็นเสียทีเดียว เมื่อ ๘ ปีที่แล้ว (พ.ศ. ๒๕๔๙) ก็มีรายงานกรณีเช่นนี้ในเบลเยียม

แกะ ๖ ขา คงไม่มีเนื้อหนังดีเท่าแกะปรกติ เพราะ ๖ ขาจะเดินคล่องสู้ ๔ ขาได้อย่างไร  ;D

http://www.youtube.com/watch?v=ArsA4rHypMU

ติดตามรายละเอียดได้ที่ เดลิเมล (http://www.dailymail.co.uk/news/article-2092064/Six-legged-lamb-Village-farmer-proudly-shows-new-piebald-lamb-Georgia.html)

ตัวอะไรเอ่ย
(ห้ามถามกูเกิ้ล)

๏ ต้วมเตี้ยมตอนไต่เต้า         ติดตาม
เงียบเงียบเงางดงาม             ง่ายแง้ม
รักรักเรื่องรักลาม               รักโลก
หอยทากตัวน้อยแย้ม           รักล้อมโลกเรา ๚ะ๛

ภาพถ่ายโดย Vyacheslav Mishchenko ช่างภาพชาวยูเครน (http://www.boredpanda.com/snail-macro-photography-vyacheslav-mishchenko/)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

๏ หอยทากตัวนิดน้อย        พบพา
เจ้ากบตาต่อตา               จับจ้อง
ต่างพงศ์ใช่ปัญหา             มิตรภาพ เรานา
สัตว์โลกล้วนเพื่อนพ้อง       ร่วมฟ้าเดียวกัน๚ะ๛

ภาพถ่ายโดย Nordin Seruyan ช่างภาพชาวอินโดนีเซีย (http://www.dailymail.co.uk/news/article-2262675/Cheeky-frog-hops-shell-snail-hitches-ride.html)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley01.png)

เจ้าหอยบอกว่า "ลงไปไวๆ ฉันหนัก"  ;D

เจ้าหอยบอกไปว่า         ลงเถิดหนาฉันหนักจัง
กบน้อยเมื่อได้ฟัง          ลงหมอบนั่งตั้งท่ารอ

หอยน้อยตาเธอแล้ว      หอยเพื่อนแก้วขึ้นบ้างหนอ
สองสัตว์ต่างหยอกล้อ    เป็นเพื่อนกันมั่นยืนยง

ภาพถ่ายโดย Lessy Sebastian ช่างภาพชาวอินโดนีเซีย (http://www.dailymail.co.uk/news/article-2358218/Incredible-moment-snail-makes-way-sleeping-frog-slowest-game-leapfrog-ever.html)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม16.png)

นานวันรักแนบแน่น          สุขใจแสนเรารักกัน
กบหอยแสนสุขสันต์         ทุกคืนวันสุขมิคลาย  

ภาพถ่ายโดย Lessy Sebastian ช่างภาพชาวอินโดนีเซีย (เจ้าเก่า) (http://www.dailymail.co.uk/news/article-2615088/Incredible-pics-Snail-wins-worlds-slowest-game-leapfrog.html)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley21.png)

คุณเพ็ญชมพูวิเคราะห์ออกมาได้ไหมว่า ทำไมงูตัวนี้กินหางตัวเอง

http://www.nationchannel.com/main/content/foreign/378404774/

รายการตีสิบ วันอังคารที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๖

http://www.youtube.com/watch?v=2f87sDRk0KU

ทำไมงูจึงกินหางตัวเอง

ก. คิดว่าเป็นศัตรู   ข. งูติ๊งต๊อง   ค. ถูกทุกข้อ

ชาวเรือนไทยมีคำตอบในใจแล้วกระมัง

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม16.png)

อะไรเอ่ย?

ปุจฉา


วิสัชนา  ;D

เต่าดำแฮมมิลตัน หรือ เต่าบึงดำลายจุด หรือ black pond turtle Geoclemys hamiltonii อยู่ใน บัญชีแนบท้าย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องกำหนดชนิดสัตว์ป่าและซากของสัตว์ป่าที่ห้ามนำเข้าหรือส่งออก  (http://www.fishquarantine.org/papers/2553law.pdf) ลำดับที่ ๗๑๙ หน้า ๕๘

http://www.youtube.com/watch?v=3wTU59UTE80

ยังจำ "มัมเบิล" ไก่เพนกวินของอาหลูที่ได้ชื่อตามชื่อของนกเพนกวินตัวเอกในเรื่อง "Happy Feet" ได้ไหม


พบไก่เพนกวินที่จีนอีกตัวหนึ่งแล้ว เศรษฐีคนหนึ่งซื้อจากเกษตรกรในราคาถึงห้าหมื่นกว่าบาทแล้วยกให้สวนสัตว์เพื่อให้ชาวบ้านได้ดูของแปลกกัน

http://www.youtube.com/watch?v=9BKEQpEo-9M

ใจบุญจริง ๆ หนอ ทั้งอาหลูและอาเสี่ย  ;D

สาธุกับสองอา

มหาสฟิงซ์แห่งกิซ่า มีฝาแฝดใหม่อยู่ที่จีนเสียแล้ว

http://www.youtube.com/watch?v=sNwcoBX1sMY

"สฟิงซ์ที่เมืองจีน" ยังไม่แปลกเท่า "สฟิงซ์ที่ดาวอังคาร"

ภาพข้างล่างเป็นภาพพาโนรามา ๓ มิติ (ใครมีแว่น ๓ มิติลองเอามาใส่ดู) ถ่ายโดยยานสำรวจดาวอังคาร Mars Pathfinder เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ ในบริเวณที่เรียกว่า "Twin Peaks" (http://www.starryskies.com/solar_system/mars_html/3d-gallery/2.html) ในวงสีขาว นักมนุษย์ต่างดาววิทยาเชื่อว่าเป็น "สฟิงซ์" ฝีมือชาวอังคาร  ;D

ลองเปรียบเทียบดูว่าสฟิงซ์บนดาวอังคารกับที่อียิปต์เหมือนกันอย่างไร

เรื่องนี้มีขยายไว้ที่ Mars Pathfinder Landing Site ...A Sphinx Revisited? By Mike Bara (http://www.enterprisemission.com/Path-sphinx.html)  ;D

พาเพื่อนระดับบิ๊ก มาหาคุณเพ็ญชมพูอีกตัวหนึ่ง

ตัวนี้มันของจริงหรือนี่  คุณเพ็ญชมพู

แล้วตัวนี้ล่ะคะ

มันคือตุ๊กตาฝีมือสาวน้อยชาวรัสเซียนาม Santani (http://www.boredpanda.org/creepy-cute-fantasy-dolls-santani/) วัย ๒๓ ปี ผลงานของเธอส่วนมากจะออกมาคล้ายสัตว์ประหลาดในหนังเรือง เกรมลินส์ (https://www.google.co.th/search?q=gremlins&hl=th&gbv=2&tbm=isch&ei=58yCU5ahAYnmrAeYs4G4BA&start=20&sa=N) มีตัวนี้หน้าตาออกไปทางหมึกน้อยน่ารัก ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลลึกซึ่งมีอยู่จริงคือ หมึกดัมโบ


ลีลาการแหวกว่ายในท้องทะเลสวยงามยิ่ง

http://www.youtube.com/watch?v=G9KAUb960bM#ws (http://www.youtube.com/watch?v=G9KAUb960bM#ws)

ชมผลงานอื่น ๆ ของ Santani ได้ที่ เว็บเบื่อแพนด้า (http://www.boredpanda.org/creepy-cute-fantasy-dolls-santani/)  ;D

ปลาหน้าแมวตัวข้างบนเป็นผลงานโฟโต้ช็อป ของจริงก็มีเหมือนกันแต่หน้าออกไปทางหมา



(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม16.png)

ไม่น่าเชื่อเลยว่ามีตัวจริง

ตัวนี้ก็ไม่น่าเชื่อ

ตัวแรก^(๑)นั้นคืองู            เกล็ดสุดหรูประดับกาย
ตัวสอง^(๒)นั้นดูคล้าย        นำมาทายไว้แล้วนา  


(๑) งูพิษเกล็ดสวยจากแอฟริกา Atheris hispida (http://en.wikipedia.org/wiki/Atheris_hispida)  

(๒) กิ้งก่าอาร์มาดิลโล Cordylus cataphractus (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3296.msg75071#msg75071) จากแอฟริกาเช่นกัน

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

สองตัวนี่น่าจะอยู่ใน Sesame Street   ตัวจริงหรือตัวปลอมคะ คุณเพ็ญชมพู

ก่อนตอบขอถามคุณเทาชมพูว่า

นกสองตัวนี้พันธุ์เดียวกันหรือเปล่าหนอ  ;)

ตัวขวา  นกโดโดมันสูญพันธุ์ไปนานแล้วนี่คะ
เอามาฝากอีกตัว  อยู่ในสกุล photoshop ใช่ไหมหนอ

ตัวสาม ^(๓) คือวิหค         ปากตลกรูปเหมือนพลั่ว
ตัวสี่ ^(๔) นั้นหนูชัวร์         เคยมาทายไว้เช่นกัน

(๓) นกกระสาปากพลั่ว  (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7) Balaeniceps rex จากแอฟริกา

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/4/42/Balaeniceps_rex_2.jpg)

(๔) "กระตู๋โจ้" Gobi Jerboa  (http://en.wikipedia.org/wiki/Gobi_jerboa) Allactaga bullata


(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

แปลว่ามีตัวจริง นึกว่าสังกัดโฟโต้ช็อปเสียอีกค่ะ
ข้างล่างนี้  เหมือนปู   เคยเอามาเข้าคอลเลคชั่นหรือยังคะ

Peacock mantis shrimp หรือ Harlequin mantis shrimp หรือ Painted mantis shrimp  Odontodactylus scyllarus

ที่กระทู้ "สัตว์ประหลาด" เรียก "กั้งนกยูง"


ที่กระทู้ "สัตว์น่ารัก" เรียก "กั้งตั๊กแตนเจ็ดสี"


(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

ตัวนี้มาหรือยังคะ

ตัวหกคือนิ่มเกราะ        ชมพูเหมาะน่ารักดี
ขอบอกเจ้าตัวนี้          มาหลายทีแล้วนะเออ


(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

สัตว์ที่คุณเทาชมพูพามา หลายตัวเคยมาเยี่ยมกระทู้ "สัตว์ประหลาด" แล้ว

ตัวนี้ก็เช่นกัน คุณเทาชมพูจำเจ้าตัวนี้ได้ไหมเอ่ย  ;D

จำได้เอ่ย
หมูน้ำ ต้องใช้กล้องจุลทัศน์ส่อง

ภาพใช่ แต่คำบรรยายยังไม่ถูกต้อง  ;)

re-exam
หมีน้ำ tardigrade  ไม่ใช่หมูน้ำ
 เป็นซูเปอร์แอนิมอล เนื่องจากมีชีวิตอยู่ได้ในน้ำเดือด อยู่ได้ในที่ที่หนาวเย็นที่สุดของโลก รับแรงดันมหาศาลในทะเลที่ลึกที่สุดได้สบาย และทนรังสีเอ็กซ์ที่รุนแรงได้มากกว่ามนุษย์หลายร้อยเท่า อยู่ได้เป็นร้อยปี มีอยู่ทุกที่ทั้งหนองน้ำมหาสมุทร
แต่ขนาดเล็กมาก ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องถึงจะเห็น

ถูกต้องที่สุด หมีน้ำคือ "ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี" ตัวจริง  ;)

http://www.youtube.com/watch?v=cjV2WP0wkvo#ws (http://www.youtube.com/watch?v=cjV2WP0wkvo#ws)

หมีน้ำอยู่ในไฟลัมทาร์ดิเกรดา (Tardigrada) จึงมีชื่อแบบเป็นทางการว่าทาร์ดิเกรด (tardigrade) ซึ่งแปลว่า “เดินช้า”

"อยู่ได้เป็นร้อยปี" เรื่องนี้อาจไม่ถูกต้อง

ในหนังสือและเว็บไซต์หลายแห่งได้กล่าวถึงความอัศจรรย์ของหมีน้ำว่า "หมีน้ำสามารถอยู่ได้นานถึง ๑๐๐ ปีในสภาพพักตัว" คำกล่าวอ้างนี้มาจากงานวิจัยในปี พ.ศ. ๒๔๙๑ โดยนักชีววิทยาชาวอิตาลีชื่อ Tina Franceschi เธอได้ซากหมีน้ำในตัวอย่างมอสที่ถูกเก็บเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๑ หรือเมื่อ ๑๒๐ ปีก่อนในพิพิธภัณฑ์ของอิตาลี เมื่อเธอเอาน้ำใส่ก็พบว่าร่องรอยการมีชีวิตของหมีน้ำตัวนี้  ซึ่งเป็นการขยับเขยื้อนของขาหน้าข้างเดียวเท่านั้น ในปี ๒๕๔๔ นักวิทยาศาสตร์ได้ปฏิเสธคำกล่าวอ้างนี้แล้ว แล้วมันมีอายุมากที่สุดเท่าไหร่ล่ะ? ในหมีน้ำที่อยู่ในสภาวะปกติ อายุของพวกมันจะอยู่ได้นานเพียงสองสามเดือนถึงสามปีเท่านั้น ในหมีน้ำสกุล Macrobiotus และ Hypsibius ที่อาศัยอยู่ในน้ำจืดจะมีอายุนานประมาณ ๑-๒ ปี ในขณะที่หมีน้ำในสกุลเดียวกันที่อาศัยอยู่ตามมอสจะมีอายุอยู่ได้ ๔-๑๒ ปี  การพักตัวในหมีน้ำจะช่วยยืดอายุได้นานขึ้น ระยะเวลาการอยู่ในสภาวะนี้ก็ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและความชื้นตลอดช่วงเวลาดังกล่าว จากข้อมูลที่น่าเชื่อถือพบว่า อายุที่มากที่สุดของหมีน้ำจะแตกต่างกันในแต่ละชนิด หมีน้ำชนิด Microbiotus sp. จะมีชีวิตอยู่ได้นานเกือบ ๗ ปีในภาวะขาดน้ำ จากหมีน้ำ ๓ ชนิดที่เก็บตัวอย่างมาจากทวีปแอนตาร์กติกแล้วแช่เย็นที่อุณหภูมิ -๒๒ องศาเซลเซียสเป็นเวลา ๘ ปีพบว่ายังมีอัตราการรอดชีวิตสูงถึง ๘๐ % แต่บางชนิดก็พบว่ามีอายุค่อนข้างสั้นเช่น หมีน้ำบางชนิดที่อาศัยอยู่ในระบบนิเวศกึ่งบก (semi-terrestrial) จะมีอายุเพียง ๑-๒ เดือนเท่านั้น นอกจากตัวเต็มวัยแล้ว ไข่ของหมีน้ำ Ramazzottius oberhaeuseri จำนวน ๔ ฟองที่อยู่ในตัวอย่างไลเคนที่ถูกเก็บรักษานาน ๙ ปีสามารถฟักออกมาเป็นตัวได้หลังจากให้น้ำแก่ไข่เหล่านี้

ข้อมูลจาก เว็บ siamensis (http://www.siamensis.org/article/7003)  ;D

ตัวใหม่ (อาจจะหน้าเก่า)

คุณเทาชมพูว่ามันคือตัวอะไร มีให้เลือก ๒ ชื่อ  ;)

๑. ลามะ llama หรือ  ๒. อัลปาก้า alpaca

น่าจะอัลปาก้านะคะ

เจ้าสัตว์สองตัวนี้มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ทั้งคู่ แต่เดิมคนไทยคงรู้จักลามะมาก่อนจึงเห็นเรียกอัลปาก้าเป็นลามะบ่อย ๆ


ข้อพิสูจน์อีกประการหนึ่งคือ ลองถาม คุณกุ๊ก  (https://www.google.co.th/search?q=%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B0&hl=th&gbv=2&prmd=ivns&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ei=T_SXU6mROtOUuAT4rIKABA&ved=0CAUQ_AU) ว่า ตัวลามะ หน้าตาเป็นอย่างไร คำตอบหน้าแรกที่ได้กลับเป็น "ตัวอัลปาก้า" ทั้งสิ้น (เห็นมีลามะแท้อยู่ตัวเดียว)   ;)

ว้า ! ผิด

เรียกอัลปาก้าถูกแล้ว  ตอนนี้คนไทยคงรู้จักกับเจ้าขนปุยคอยาวมากขึ้นเพราะตามสถานที่ท่องเที่ยวแต่ก่อนเรียกความสนใจด้วย "ฟาร์มแกะ" จนนักท่องเที่ยวรู้สึกเป็นเรื่องธรรมดาเสียแล้ว จึงต้องปรับให้แปลกใหม่โดยหลายแห่งหาเจ้าอัลปาก้ามาดึงดูดความสนใจ  

ที่ปากช่อง ใกล้ ๆ เขาใหญ่ก็มีอยู่ฝูงหนึ่ง รูปนี้ขี้เหร่หน่อยเพราะเพิ่งถูกโกนขน ;D

อ้าว ถูก

ตัวใหม่หรือตัวเก่าในกระทู้คะ

อัลปาก้าที่เขาใหญ่ รูปนี้ขนยังอยู่ ค่อยยังชั่วหน่อย
ดูรูปร่างมันแล้วเป็นสัตว์เมืองหนาว  นำมาเพาะเลี้ยงพันธุ์ในประเทศไทยจะได้ผลดีแค่ไหนคะ
นอกจากนี้  มันเป็นสัตว์เศรษฐกิจหรือว่าเลี้ยงเอาไว้ดูเล่นงั้นเอง

ฝูงของคุณเทาชมพูน่าจะอยู่ที่ สวนผึ้ง ราชบุรี (http://www.iurban.in.th/highlight/alpacahill)  

ที่เมืองนอกเขาเลี้ยงเอาไว้ตัดขนขายเหมือนกับแกะ แต่ที่บ้านเราจุดประสงค์หลักตอนนี้คงเพื่อเป็นจุดขายนักท่องเที่ยว  ;D

Hummingbird hawk moth (http://en.wikipedia.org/wiki/Macroglossum_stellatarum) ตัวเก่าเก๋ากึ๊ก  ;D


(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%A116.png)

สัตว์ประหลาด ถูกจับมาใส่กระทู้ หมดโลกแล้วมั้ง
ลองอีกที

เก๋าพอกัน

Japanese spider crab Macrocheira kaempferi

วันศุกร์ที่ผ่านมา (๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๗) มีข่าวฮือฮาในอินทรเนตรว่ามีสัตว์ประหลาดหน้าตาคล้ายมังกรจีนหล่นมาจากท้องฟ้าตอนฝนตก  แถมระบุบ้านเลขที่เสียด้วย ;)

อิทธิพลของข่าวลือในโลกออนไลน์ ทำให้เจ้าของบ้านตัวจริงเดือดร้อน  :o

http://www.youtube.com/watch?v=7cZR69GvNDc#ws (http://www.youtube.com/watch?v=7cZR69GvNDc#ws)

สตอรี่เดียวกับที่เมืองจีนเปี๊ยบเลย 

Thursday, June 19, 2014 | By: Nargiz Koshoibekova

Images of  a bizarre “dragon” found in a man’s backyard have been rapidly doing the rounds on Weibo and other social media.  Chinese people  (and others) have long been obsessed with knowing whether or not dragons exist, well finally there is some absolute, bona fide, concrete proof.

The man found the dragon when he  heard weird bird noises in his yard during the rain. On thinking a bird might be hurt, he dashed outside to see the rather scary looking beast. And of course, like any normal person in the 21st century he promptly posted the pictures on social media. Well, you would wouldn’t you?

Naysayers have dared claim that it is not a real dragon, but some kind of a joke. But the man who found the dragon is adamant it is the real deal, even going so far as to claim that the beast is still alive, just very injured, and the man is now requesting advice on how he might treat the poor devil. Presumably vets across the nation are scratching their heads as we speak.

Those that say that this is not a dragon, suggest it is, in fact, some weird alien from space that simply took the form of a dragon, or even an odd stuffed toy, or perhaps some creative photo-shopping, but here at TWOC, high-minded journalists that we are, we only seek the truth: it is definitely a dragon, 100 percent.

ข่าวจาก theworldofchinese.com (http://www.theworldofchinese.com/2014/06/man-finds-dragon-in-his-backyard/)

ข่าวลือข่าวลวงเดี๋ยวเดินทางข้ามประเทศใช้เวลาเพียงลัดนิ้วมือเดียว  ;D

เบื้องหลังมังกรจีนก็เป็นเพียงหุ่นที่ปั้นขึ้นมา  ;D

กำลังจะเข้ามาบอกว่า น่าจะเป็นเพื่อนเล่นของเด็กชายปลาบู่ซะละมั้ง

ภาพนี้เป็นภาพจาก NASA ว่ากันว่ามีเพื่อนของเด็กชายปลาบู่กำลังเหินเวหาอยู่


(http://eol.jsc.nasa.gov/sseop/images/ISD/highres/STS105/STS105-703-38_3.JPG)

หาเจอกันไหมหนอ

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%A116.png)

ตัวไส้เดือนในวงกลมใช่ไหมคะ

ฮันน่าห์ เฟรเซอร์เป็นนักว่ายน้ำอาชีพ   งานที่ทำชื่อเสียงมาให้เธอมากที่สุดคือแต่งเป็นนางเงือกลงไปว่ายอยู่ใต้น้ำ
ภาพนี้เธอว่ายอยู่กับฉลามวาฬ ในฟิลิปปินส์

Hannah Mermaid swims with Whale Sharks (http://www.youtube.com/watch?v=A0NLPYMxqRk#ws)

คลิปนี้ ฮันน่าห์ใจกล้ากว่าคลิปแรก   ลงไปว่ายน้ำอยู่กับฉลามที่อาจจะงับเธอเข้าไปในท้องได้ในนาทีเดียว

Real-Life Mermaid Swims With the Sharks (http://www.youtube.com/watch?v=Sd175WPBjJk#ws)

น่าเศร้ามาก  ตัวอะไรหนอ

วาฬบรูด้า หรือ วาฬแกลบ (Bryde's whale หรือ Eden's whale) Balaenoptera brydei เกยตื้นที่สมุทรปราการ (http://www.krobkruakao.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/96049/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%AC%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87.html)

http://www.youtube.com/watch?v=TA83pYuvwIk#ws (http://www.youtube.com/watch?v=TA83pYuvwIk#ws)

อนิจจา วต สังขารา
อุปปาทวยธัมมิโน
อุปปัชชิตวา นิรุชชันติ
เตสัง วูปสโม สุโข

สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
มีความเกิดขึ้นแล้ว มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ครั้นเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป
ความเข้าไปสงบระงับสังขารทั้งหลาย เป็นสุขอย่างยิ่ง

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

คลิปของเงือกฮันนาห์ข้างบน ยังไม่ใคร่ประหลาดเท่าไร ต้องเงือก Iara Mandyn ที่คุณเทาชมพูเคยนำมาแสดงเมื่อปีที่แล้ว น่าประทับใจกว่า กลั้นหายใจอยู่ใต้น้ำได้นานกว่า ๓ นาที แล้วยังแสดงสีหน้าได้เป็นปรกติเสียด้วย


http://www.youtube.com/watch?v=1gz5_aCEGSE#ws (http://www.youtube.com/watch?v=1gz5_aCEGSE#ws)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

ถ้าไส้เดือนของคุณเทาชมพูไม่ใช้เศษผงที่ติดอยู่หน้าเลนส์กล้องของนาซ่า ก็น่าจะเป็นสัตว์ประหลาดประเภทมังกรจีนเหินเวหาอยู่นั่นแหละ

http://www.youtube.com/watch?v=iJxnD5tYKOc#ws (http://www.youtube.com/watch?v=iJxnD5tYKOc#ws)

ซูมเข้ามาใกล้ ๆ  บอกได้เลยว่าส่วนไหนเป็นส่วนหัว ส่วนไหนเป็นส่วนหาง  ;D

ทำขึ้น ชัวร์

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

สงสารมันเหมือนกัน (เพราะไม่ใช่ความผิดของมัน) ที่จะต้องบอกว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียดและน่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา  แม้แต่จระเข้ก็ยังชิดซ้าย
ถ้าเจอมันบนบก   แม้ในระยะห่างหลายร้อยเมตร คงวิ่งไม่เหลียวหลัง

ญาติของเจ้าตัวนี้เคยมาเยือนที่ "สัตว์ประหลาดสีชมพู" แล้ว


ตัวนี้เป็นซาลามานเดอร์ยักษ์จีนแถมยังเผือกอีกด้วย ค่อยน่ารักขึ้นมาหน่อย  ;)

ส่วนที่คลานดุ๊กดิ๊กอยู่นี้เป็นซาลามานเดอร์ยักษ์ญี่ปุ่น Andrias japonicus

http://www.youtube.com/watch?v=kVoBlJwmaAo#ws (http://www.youtube.com/watch?v=kVoBlJwmaAo#ws)

ผู้อ่านข่าวข้างบนรายงานผิด เจ้าตัวนี้พบที่เกียวโต ไม่ใช่โตเกียว  ;D

ในขณะที่ชาวเกียวโตและชาวเรือนไทย (บางส่วน) ตระหนกตกใจกับเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้

ที่หมู่บ้าน Yubara Onsen จังหวัด Okayama กลับคุ้นเคยกับเจ้าสัตว์ตัวนี้เป็นอย่างยิ่ง ทุกวันที่ ๘ เดือน ๘ ของทุกปีจะมีเทศกาลที่เรียกว่า HANZAKI (半裂・はんざき) ซึ่งเป็นคำเรียกซาลามานเดอร์ยักษ์ของชาวบ้านที่นั่น หมายถึง "แม้ตัดให้เหลือครึ่ง ก็ยังงอกใหม่ได้อีกครา"

และนี่คือตราของเทศกาลนี้  ;D

กิจกรรมในเทศกาลนี้คือการแห่เจ้าตัวซาลามานเดอร์ยักษ์ ๒ ตัว ตัวผู้สีดำ ตัวเมียออกน้ำตาลแดง ไปรอบ ๆ เมือง เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับนักท่องเทียวเป็นอย่างยิ่ง

เหลือเวลาอีก ๑ เดือนพอดีที่จะถึงเทศกาลนี้ หากใครมีโปรแกรมไปเที่ยวญี่ปุ่นแวะทักทายเจ้าสองตัวนี้ก็น่าจะดี  ;D

คลิปนี้ปะหน้าด้วยขบวนแห่ในเทศกาลซาลามานเดอร์ยักษ์ เป็นเรื่องเกียวกับการดำรงอยู่มันในสภาวะปัจจุบัน  ;D

http://www.youtube.com/watch?v=VN60DCHHQ50#ws (http://www.youtube.com/watch?v=VN60DCHHQ50#ws)

คุณเพ็ญชมพูรู้จัก "ปลาช่อนงูเห่า" ไหมคะ  
เจ้าของภาพบรรยายว่า
เหมือนปลาช่อนงูเห่าครับ ลำตัวยาว สังเกตที่ปากมีเขี้ยว 2 เขี้ยว หัวจะเล็กกว่าปลาช่อน ธรรมดา มีพิษเหมือนงูเห่า ถูกกัดถึงตาย เพราะพิษร้ายเหมือนงูเห่า ถ้ารักษาไม่ทัน ต้องดูตรงเกล็ดด้วยครับปกติ
ปลาช่อนธรรมดาเกล็ดย้อนมาข้างหน้า ปลาช่อนงูเห่าเกล็ดย้อนไปข้างหลัง ภาพถ่ายผมพยายามจะขยายแต่มองเกล็ด ไม่ชัดเจน ปกติในประเทศไทยมีปลาชนิดนี้ อาศัยอยู่ในห้วย หนอง คลองบึง ตามป่าเขาลำเนาไพร คนไทยตายเพราะปลาชนิดนี้ไม่น้อยแต่เหมา
ว่าตายเพราะงูเห่าเพราะรอยกัดและพิษเหมือนกันครับ

คุณเทาชมพูคงได้ข้อมูลเรื่องนี้มาจาก คุณนิยม ศรีทวีทูล (https://www.facebook.com/photo.php?fbid=543810155723465&set=a.520388751398939.1073741828.100002834554370&type=1) ซึ่งผิดทั้งหมด

๑. ภาพนี้คือ ปลาตูหนา หรือ ปลาไหลหูดำ Anguilla bicolor (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B9%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2)  ยาวได้ถึงเมตรครึ่ง  ;D

๒. คำบรรยายของคุณนิยมที่บอกว่าปลาช่อนงูเห่ามีพิษเหมือนงูเห่าและกัดถึงตาย ข้อมูลนี้ไม่เป็นความจริงเป็นเพียงความเชื่อที่เล่าต่อ ๆ กันมา

ปลาช่อนงูเห่ามีอยู่ ๒ พันธุ์ คือ Channa aurolineatus เป็นปลาพื้นเมืองของไทย โตเต็มที่ยาวประมาณ ๙๐ เซนติเมตร (บน) และ  Channa marulius เป็นปลาพี้นเมืองของอินเดีย โตเต็มที่ที่เคยพบยาว ๑๘๓ เซนติเมตร (ล่าง)

ชื่อปลาช่อนงูเห่ามาจากลักษณะหัวและลำตัว และนิสัยที่ดุร้ายพุ่งฉกได้เหมือนงู สังเกตที่โคนหางยังมีลายกลมเหมือนที่หัวของงูเห่าที่เรียกว่า "ดอกจัน" บางทีจึงเรียกว่าปลาช่อนดอกจัน  ;D

(http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2011/11/J11350783/J11350783-11.jpg)

ดิฉันได้มาจากใน FB ที่คนแชร์มาอีกทีหนึ่งค่ะ        ตามไปอ่านในลิ้งค์ที่คุณเพ็ญชมพูทำให้   ความเห็นเป็นร้อยเลย
ความเข้าใจผิดเรื่องหนึ่งในนี้คือการอ้างวิกิพีเดียว่าเป็นแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้มากที่สุด  ซึ่งไม่จริง  เพราะในวิกิใครจะเข้าไปเขียนก็ได้  

ปลาช่อนงูเห่า เอามากินได้เหมือนปลาช่อนทั่วๆไปไหมคะ

ปลาช่อนงูเห่าเป็นปลาหายาก หากพบที่ไหนก็คงเอาต้มยำรับประทานได้เหมือนปลาช่อนทั่วไป  การนำปลาชนิดนี้มาใช้ประโยชน์ส่วนมากเน้นในเรื่องเป็นปลาสวยงาม  และใช้สำหรับกีฬาตกปลา  ;D

ปลาช่อนยักษ์?

วันที่ 23 ก.ค.57 ชาวบ้านยโสธร เจอปลาช่อนขนาดยักษ์ยาว 3 เมตร

ชาวบ้าน อำเภอค้อวัง จ.ยโสธร ทำการหาปลา แล้วไปเจอปลาคล้ายปลาช่อน ไม่เหมือนปลาไทย คล้ายไปทางปลาแถวลุ่มน้ำอเมซอน อเมริกาใต้ ขนาดยาว 3 เมตร หนักราว 100 กิโลกรัม ไม่มีใครกล้าซื้อ หรือทำกิน

เจ้าตัวนี้คุณชายประกอบเทพรู้จักดี


กินได้ อร่อยด้วย

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม16.png)

คนสั่งเข้ามาเลี้ยงคงเลิกเลี้ยงแล้วกระมัง เลยปล่อยลงน้ำไป

ปลาช่อนอเมซอน ชื่อว่า ปลาช่อน แต่ไม่ใช่ปลาช่อน เป็นปลาอยู่ในวงศ์เดียวกับปลาตะพัด (Osteoglossidae (http://th.wikipedia.org/wiki/Osteoglossidae)) เป็นปลาสวยงาม ราคาแพง ที่หลุดไปในแหล่งน้ำคงโดยบังเอิญมากกว่า ซึ่งก็ไม่มีปํญหาต่อระบบนิเวศของเรามากนัก ผิดกับ "ปัญหาปลาช่อน" ที่เกิดในอเมรืกา

เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๕ ชาวบ้านคนหนึ่งในรัฐแมรีแลนด์ซื้อปลาช่อนมา ๒ ตัว เพื่อไปต้มซุปให้ญาติกิน แต่ตัวหนึ่งหนีลงสระน้ำในเมืองครอฟตัน รัฐแมรีแลนด์ ออกลูกออกหลานในสระกว่า ๘๐ ตัว และแพร่พันธุ์กระจายไปในรัฐต่าง ๆ กว่า ๗ รัฐ ปลาช่อนตัวนี้คนละพันธุ์กับปลาช่อนบ้านเรา (Channa striata) ชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า northern snakehead  (http://en.wikipedia.org/wiki/Northern_snakehead) (Channa argus) รู้สึกจะมีชื่อไทยว่า "ปลาช่อนจีนลายจุด"  

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/0/0f/Northern_snakehead.jpg)

มีแหล่งกำเนิดแถว ๆ รัสเซีย จีน และเกาหลี  ปลาช่อนเป็นสัตว์กินเนื้อ เมื่อไปอยู่ทีในแหล่งน้ำของอเมริกา จึงถือเป็น "เอเลียน สปีชีส์"  เช่นเดียวกับปลาช่อนอเมซอนบ้านเรา ที่ร้ายแรงคือเมื่อไปอยู่ที่นั่นไม่มีศัตรูผู้ล่าโดยธรรมชาติคืออยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร จึงระรานและรับประทานปลาพื้นเมืองของอเมริกาจนร่อยหรอไปเรื่อย ๆ  อีกอย่างหนึ่งซึ่งคนอเมริกันตกใจกันมากคือมันสามารถแถกไปตามดินจากแหล่งน้ำหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่งได้  (คนไทยรู้เรื่องนี้มานานแล้ว  ;))

http://www.youtube.com/watch?v=nmU7etSYYqI#ws (http://www.youtube.com/watch?v=nmU7etSYYqI#ws)

นาทีที่ ๑.๓๕-๑.๔๕ ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เป็นเรื่องของความดุร้ายของ "ปลาชะโด" ของไทย  ;D

พาสัตว์ประหลาดตัวใหม่มาเข้าคอลเลคชั่นคุณเพ็ญชมพู

สุนัขปีศาจญี่ปุ่น หรือ ทานุกิ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 27 ก.ค. มีรายงานว่า นายธนะรัตน์ วดีศิริศักดิ์ อดีตกรรมการองค์การสวนสัตว์ พร้อมด้วย นายกาญจน์ชัย แสนวงศ์ ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ ร่วมกันเป็นประธานเปิดส่วนจัดแสดง แรคคูน สุนัข ที่ได้ฉายาว่า สุนัขปิศาจ ที่สามารถแปลงร่างได้ ท่ามกลางนักท่องเที่ยวชาวเชียงใหม่ที่แห่กันเข้าชมกันอย่างเนืองแน่น โดนทางสวนสัตว์เชียงใหม่ได้จัดจำลองบรรยากาศแบบญี่ปุ่น
http://www.thairath.co.th/content/439255 (http://www.thairath.co.th/content/439255)

เสริมความรู้เรื่องทะนุกิ ที่ญี่ปุ่นตามวัด ศาลเจ้า และหน้าร้านอาหารมักจะมีรูปปั้นของทะนุกิตั้งไว้ ถือเป็นสัตว์มงคล ทำนองช่วยเสริมดวงเจ้าของ  ;D

จากญี่ปุ่น ขออนุญาตลัดฟ้าไปอเมริกา ต่อเรื่อง "ปลาช่อนมหาภัย" ในอเมริกา

มีการตั้งฉายาปลาช่อนจีนในอเมริกาว่า "Fishzilla" แสดงถึงความกลัวปลาช่อนจีนของคนอเมริกัน มีการออกฏหมายห้ามนำเข้าปลาในสกุลปลาช่อน Channa sp. (ซึ่งรวมปลาช่อนพื้นบ้านของไทยด้วย) จำนวน ๒๘ ชนิดใน ๑๓ รัฐ  ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุก ๖ เดือน ปรับสูงสุด ๑ หมื่นดอลลาร์ นอกจากนี้ยังมีการทำลายปลาช่อนจีนด้วยยาพิษกันขนานใหญ่  

http://www.youtube.com/watch?v=GPHzH--b_Vg#ws (http://www.youtube.com/watch?v=GPHzH--b_Vg#ws)

แก้ปัญหาด้วยการจับมารับประทาน จะดีกว่าไหม   ;)

ปลาช่อนเป็น "เอเลี่ยน" ตัวร้ายที่อเมริกาแต่ที่บ้านเรา "เอเลี่ยน" ตัวร้ายคือเจ้าปลาตัวนี้


เจ้านี่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ ถูกนำเข้ามาในบ้านเราเมื่อประมาณกว่า ๓๐ ปีมาแล้วคือประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๐ จุดประสงค์เพื่อเลี้ยงในตู้ปลาเพื่อเก็บกินพวกตะไคร่น้ำและเศษอาหารที่เหลือ ผู้เลี้ยงปลาส่วนมากไม่ทราบหรอกว่า เจ้าปลาตัวเล็ก ๆ ที่ซื้อมานี้ เมื่อโตเต็มที่จะยาวได้ถึง ๕๐ เซนติเมตร ถึงเวลานั้นเวลานั้นจะฆ่าก็กลัวบาป จึงทำบุญด้วยการปล่อยลงสู่แม่น้ำลำคลอง โดยไม่ทราบซ้ำสองว่านั่นเป็นการทำบาปเสียยิ่งกว่า เอเลี่ยนตัวนี้ขยายพันธุ์เร็ว กินทุกสิ่งที่ขวางหน้า ที่สำคัญคือมันชอบกินไข่ปลาที่เกาะติดตามวัสดุต่าง ๆ เช่นขอนไม้ จนปลาพันธุ์พื้นเมืองลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว

ทุกวันนี้เอเลี่ยนตัวร้ายนี้มีอยู่เต็มไปหมดตามแหล่งน้ำ

http://www.youtube.com/watch?v=zdnLnxnJE9U#ws (http://www.youtube.com/watch?v=zdnLnxnJE9U#ws)

อเมริกาตื่นตัวเร็วมากับปัญหา "ปลาช่อนมหาภัย" แต่ไทยเรายังคงหลับใหลกับปัญหา "ปลาซัคเกอร์มหาภัย" สักวันหนึ่งเมื่อเราตื่นขึ้น อาจจะพบว่าสายไปแล้วก็ได้  :o

วิธีแก้ไขปัญหาการระบาดของปลาเอเลี่ยนพวกนี้ วิธีที่ยั่งยืนและน่าจะได้ผลมากที่สุดเห็นจะเป็นการจับมารับประทาน


ส่งเสริมให้รับประทานปลาซัคเกอร์กันเถิด เพื่ออนาคตของปลาพื้นเมืองของไทย

ถึงเนื้อจะน้อยสักหน่อย แต่ก็อร่อยทีเดียว 

http://www.youtube.com/watch?v=en9Je5gNWoY#ws (http://www.youtube.com/watch?v=en9Je5gNWoY#ws)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley36.png)

กำจัดปัญหาแบบเดียวกับตั๊กแตนปาทังก้ากระมัง หนอ

แม่นแล้ว   ;D

แต่ต้องเพิ่มเทคนิคการประชาสัมพันธ์เข้าไปหน่อย เริ่มต้นที่ชื่อ ต้องตั้งใหม่ให้ดูดี มีสกุล  ;)



ตั๊กแตน เรียกว่า "กุ้งฟ้า"  ปลาเทศบาล ก็ต้องเรียกใหม่ว่า "ปลาเสวย"

ความนิยม "ปลาเสวย" อาจจะพุ่งขึ้นมาสูสีกับ "กุ้งฟ้า" ก็เป็นได้

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley16.png)

ตั๊กแตนปาทังก้า Patanga succincta (http://www.malaeng.com/blog/?p=7842)

(http://www.malaeng.com/blog/tmp/2010/01/patanga2.jpg) (http://www.malaeng.com/blog/tmp/2010/01/patanga1.jpg)

เคยระบาดในบ้านเราเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว จนเมื่อคนไทยหันมานิยมจับมาทอดเป็นอาหารรับประทาน ทุกวันนี้ในเมื่องไทยหาปาทังก้าตัวเป็น ๆ ยากเต็มที่ ที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันนี้ส่วนใหญ่มาจากเมืองไพลิน ที่เขมรโน่น

 http://www.youtube.com/watch?v=R4uFfU3XSFY#ws (http://www.youtube.com/watch?v=R4uFfU3XSFY#ws)

เป็นข้อพิสูจน์ว่า การจับมารับประทานเป็นวิธีกำจัดศัตรูพืชและสัตว์จากต่างถิ่นที่ได้ผลและยั่งยืนที่สุด  ;D

ตัวนี้สงสัยจะทอดกินไม่ได้

ฮือฮา! พบแมลงประหลาดที่พะเยา ลำตัวมีสีเขียว ลักษณะเป็นใบไม้ คล้ายใบฝรั่ง เคลื่อนไหวได้เหมือนแมลงทั่วไป เจ้าของวอนผู้รู้ช่วยตรวจสอบ...

เมื่อเวลา 15.45 น. วันที่ 6 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก นายเทียนชัย เมืองแก้ว อายุ 57 ปี อดีต ส.ท.เทศบาลตำบลเชียงคำ อยู่บ้านงุ้น เลขที่ 104 หมู่ 9 ต.หย่วน อ.เชียงคำ จ.พะเยา ว่าพบแมลงชนิดหนึ่งลักษณะแปลกประหลาด อยากให้ร่วมตรวจสอบ

โดยพบว่า แมลงดังกล่าวมี 6 ขา ทุกสัดส่วนของร่างกายมีลักษณะเป็นใบไม้ มีสีเขียวทั้งตัว ส่วนหัวมีหนวดงอกออกมาราวครึ่ง ซม. ช่วงท้องมีลายขวางเป็นเส้นตรงเหมือนซี่โครงมนุษย์ ลำตัวด้านในสีขาวยาว 4 ซม. มีเยื่อใบไม้หุ้มเป็นเกราะ มีปีกสีขาวอ่อน 2 ปีก รวมทั้งปีกบนปีกล่าง ลักษณะคล้ายใบฝรั่ง 2 คู่ รวมเป็น 4 ปีก ความยาวจากหัวถึงหาง 9 ซม. เคลื่อนไหวได้เหมือนแมลงทั่วไป

จากการสอบถาม นายเทียนชัย ทราบว่า แมลงตัวดังกล่าวบินมาเกาะราวตากผ้าในบ้าน ตอนแรกคิดว่าใบไม้หล่น พอจับมาดูปรากฏเป็นแมลงที่มีชีวิต เคลื่อนไหวได้ บินได้ด้วย ซึ่งไม่เคยพบเห็นมาก่อน จึงนำมาให้ช่วยตรวจสอบว่าเป็นแมลงชนิดใด มีพิษหรือไม่

http://www.thairath.co.th/content/441637 (http://www.thairath.co.th/content/441637)

พบแมลงประหลาดคล้ายใบไม้ (http://www.youtube.com/watch?v=s3n43_Ulkyg#ws)

ขอสื่อความไปถึง "ไทยรัฐ"  

ในฐานะสื่อมวลชนที่มีเครื่องมืออยู่ทั้งหนังสือพิมพ์ สื่อออนไลน์ และโทรทัศน์ เมื่อเสนอข่าวเกี่ยวกับเรื่องแปลกประหลาดควรเจาะลึกรายละเอียดของเรื่องเหล่านั้น เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ให้พ้นจากความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ พ้นจากการจุดธูปเทียนบูชาเพื่อขอเลขเด็ดเมื่อพบสัตว์หรือพืชแปลกประหลาด  ;)

ดังตัวอย่างข่าว "แมลงใบไม้" นี้ คุณนักข่าวเพียงแต่ไปสอบถามคุณกุ๊กด้วยคำว่า "leaf insect" ข้อมูลก็จะหลั่งไหลพรั่งพรูมาเหมือนสายน้ำ หรือเข้ามาที่เรือนไทยนี้ ค้นหาคำว่า "แมลงใบไม้" ก็จะพบคำตอบโดยฉับไว  

และนอกจากเรื่องแมลงเลียนแบบใบไม้แล้ว ยังจะทราบเรื่องการเลียนแบบ (mimicry) และการพรางตัว (camouflage) ของสัตว์อื่น ๆ อีกมากมาย  ;D


http://www.youtube.com/watch?v=3O4KllC3TpA&feature=player_embedded#ws (http://www.youtube.com/watch?v=3O4KllC3TpA&feature=player_embedded#ws)

ประเด็นข่าว "แมลงประหลาด" ของไทยรัฐ เหมือนดั่งบูมเมอแรงที่เหวี่ยงไปแล้วย้อนกลับมาหาตัวเอง กลายเป็นเรื่อง "นักข่าวประหลาด" (ที่ไม่รู้จักแมลงใบไม้) ในโลกออนไลน์เสียแล้ว

https://th-th.facebook.com/DramaAdd/posts/10152623795118291 (https://th-th.facebook.com/DramaAdd/posts/10152623795118291)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley16.png)

เมื่อพ.ศ. 2553 ไทยรัฐก็เคยลงข่าวเจอตั๊กแตนแบบนี้มาแล้ว     ผ่านมา 4 ปี  ยังไม่เคยหาคำตอบเลย

http://www.thairath.co.th/content/100320 (http://www.thairath.co.th/content/100320)

พบแมลงประหลาดรูปร่างเหมือนใบไม้
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 31 ก.ค. 2553 17:27


ชาวบ้าน จ.กระบี่ พบแมลงประหลาดรูปร่างเหมือนใบไม้ มี 6 ขา ลำตัวยาวประมาณ 4 นิ้ว คาดตระกูลเดียวกับตั๊กแตน...

เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2553 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนางละม้าย ทองเคร็ง อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 114 หมู่ 6 ต.อ่าวลึกเหนือ อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ ว่า พบแมลงประหลาดรูปร่างเหมือนใบไม้ จึงเดินทางไปตรวจสอบ

ที่บ้านของนางละม้าย พบต้นมะม่วงหิมพานสูงประมาณ 2 ฟุต ปลูกอยู่ข้างบ้าน สังเกตบนต้นไม้มีแมลงตัวสีเขียวตัวแบนเรียบ เหมือนกับใบไม้ เกาะอยู่ที่ใต้ใบมะม่วงหิมมะพานท์ ลำตัวยาวประมาณ 4 นิ้ว มี 6 ขา มีปีกด้านหลังซ้อนทับกัน 2 ชั้น ส่วนหัวมีลักษณะกลม มีหนวด 2 เส้น ชาวบ้านที่ทราบข่าวแมลงประหลาดพากันมามุงดูเป็นจำนวนมาก

นางละม้าย เล่าว่า ประมาณ 3 วันก่อน ขณะที่ตนยืนอยู่หน้าบ้าน แมลงตัวดังกล่าวตกลงมาบนฝาถังใส่น้ำแข็ง ตอนแรกคิดว่าเป็นใบไม้ แต่พอเห็นมันเคลื่อนไหวจึงหยิบขึ้นมาดู ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเป็นแมลง นำไปให้ใครดูก็ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน

นายบุญส่ง ยวนเศษ อายุ 58 ปี ชาวบ้านหมู่ 2 ต.อ่าวลึกเหนือ กล่าวว่า คาดว่าแมลงชนิดนี้น่าจะเป็นแมลงตระกูลเดียวกับตั๊กแตน เคยเห็นตอนสมัยเด็กๆ หลังจากนั้นก็ไม่เห็นอีกเลย แต่แมลงตัวที่นางละม้ายพบนั้น มีลักษณะเหมือนใบไม้มาก ถ้าเกาะบนใบไม้จะแยกไม่ออกเลยว่าเป็นแมลงหรือใบไม้.

หากไทยรัฐลงข่าวอย่างนี้ตั้งแต่ครั้งแรก ก็คงไม่ถูกต่อว่าในโลกออนไลน์รุนแรงอย่างนี้

http://www.thairath.co.th/content/441916 (http://www.thairath.co.th/content/441916)

จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น ประกอบกับได้เปรียบเทียบภาพแมลงดังกล่าวและสอบถามความคิดเห็นจากนักวิชาการด้านกีฏวิทยาสามารถบ่งชี้ได้ว่า แมลงที่พบในครั้งนี้ น่าจะเป็นตั๊กแตนใบไม้ชนิดหนึ่ง แต่ไม่ได้พบเห็นได้ในพื้นที่ทั่วไป  

น.ส.เบญจคุณ แสงทองพราว ผู้ช่วยหัวหน้าภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า ตั๊กแตนใบไม้กลุ่มใหญ่ ๆ ในอันดับพาสมาโตเดีย (Phasmatodea) จากนั้นแยกออกเป็น ๒ กลุ่มคือ กลุ่มของตั๊กแตนใบไม้กับกลุ่มตั๊กแตนกิ่งไม้ ตั๊กแตนใบไม้ สามารถพบได้ทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย สถานที่จะพบจะต้องมีความอุดมสมบูรณ์ ไม่ใช่เป็นป่าละเมาะที่ถูกบุกรุก

ทั้งนี้ ตามปกติแล้วตั๊กแตนกลุ่มนี้จะกินพืชเป็นอาหาร โดยเฉพาะใบฝรั่งหรือตะแบก รูปร่างจะคล้ายกับใบฝรั่ง อายุที่พัฒนาจากไข่เป็นตัวเต็มวัยจะไม่ถึงปี ปกติแล้วจะเป็นอาหารของสัตว์อื่น เมื่อหายไป ก็จะสูญเสียแหล่งอาหารของสัตว์ไป แต่ที่ตั๊กแตนพรางตัวนั้น ลักษณะมีการเคลื่อนที่ช้ามาก ไม่สามารถกระโดดได้แบบตั๊กแตนทั่วไป เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการพรางตัวเหมือนใบไม้ จะได้ไม่ถูกศัตรูกินไปในระบบนิเวศ

ด้าน นายสมชาย ธนสินชยกุล จากศูนย์วิจัยและพัฒนากีฏวิทยาอุตสาหกรรม สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ศึกษานิเวศวิทยาของแมลงหายากจำพวกตั๊กแตนกิ่งไม้ ตั๊กแตนใบไม้ รู้จักในชื่อของแมลงกลุ่ม "Phasmids" พบกระจายอยู่ทั่วโลก พบมากในเขตร้อน และเขตอบอุ่น ยกเว้นตั๊กแตนใบไม้ที่จัดว่าเป็นแมลงหายากในประเทศไทย และ พบกระจายอยู่เฉพาะแถบเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ และใน New Guinea เท่านั้น

แมลงกลุ่มนี้มีความสำคัญในแง่ของการศึกษากระบวนการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ที่ใช้เทคนิคการพรางตัว เพื่อความอยู่รอด คำว่า Phasma มาจากภาษาละติน แปลว่า ผี ซึ่งมาจากกลไกที่ใช้ในการหลบหลีกศัตรูของแมลงกลุ่มนี้ การศึกษาแมลงกลุ่มนี้มีมาตั้งแต่ ศตวรรษ ที่ ๑๘ จนถึงปัจจุบันมีรายงานว่า พบชนิดพันธุ์ทั้งสิ้นประมาณ ๓,๐๐๐ ชนิด

นายสมชาย กล่าวต่อว่า ในประเทศไทยมีข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับตั๊กแตนกิ่งไม้ และตั๊กแตนใบไม้น้อยมาก พฤติกรรมของตั๊กแตนกิ่งไม้ จะวางไข่ในดิน บนใบพืช ลักษณะของไข่แตกต่างกันตามชนิด ตัวอ่อนในระยะแรกจะอาศัยการพรางตัวโดยใช้สีที่กลมกลืนกับกิ่งไม้แห้ง การเปลี่ยนสีของตั๊กแตนกิ่งไม้ และตั๊กแตนใบไม้ขึ้นกับอุณหภูมิ ความชื้น และความเข้มของแสง โดยเซลล์ epidermis ที่อยู่เหนือผิว cuticle จะมีเม็ดสี (pigment granules) เคลื่อนที่เข้าในเซลล์เพื่อตอบสนองกับสิ่งแวดล้อม จากการศึกษานี้จะพัฒนาเพื่อนำไปใช้สู่กระบวนการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยใช้แมลงเป็นต้นแบบ อีกทั้งมูลของตั๊กแตนกิ่งไม้บางชนิดสามารถนำมาใช้เป็นยาแผนโบราณในการรักษาโรคกระเพาะอาหาร สมานแผลในระบบทางเดินอาหาร

นายสมชาย กล่าวอีกว่า จากการศึกษานิเวศวิทยาและความหลากชนิดของตั๊กแตนกิ่งไม้ และตั๊กแตนใบไม้ในประเทศไทย ภายใต้โครงการอุทยานแมลงเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สถาบันวิจัยและพัฒนา แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผลการศึกษาแสดงในตารางที่ ๑ พบว่าตั๊กแตนกิ่งไม้และใบไม้มีจำนวนชนิดทั้งหมด ๓๒ ชนิด มีความสัมพันธ์กับพืชอาหาร ในกลุ่มของพืชสกุลกุหลาบ ตั๊กแตนใบไม้มีชนิดพันธุ์เพิ่มขึ้น ๑ ชนิดพันธุ์ และพืชอาหารคือ มะยมป่า และมะม่วง ซึ่งจากจำนวนทั้งหมดนี้ทำการเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ได้แล้วกว่า ๑๕ ชนิด

อ้างอิง: http://www.rdi.ku.ac.th/exhibition/Year2548/01-KasetNational/Project/index_87.htm (http://www.rdi.ku.ac.th/exhibition/Year2548/01-KasetNational/Project/index_87.htm)

ลงข่าวเสียยาวเชียว   ;D

เป็นวิธีเขียนข่าวที่ได้ผล  2 ข้อคือ
1 ข่าวแรกที่เน้นความแปลกประหลาดโดยยังไม่มีคำเฉลย  จะดึงความสนใจของคนอ่านได้ดีกว่าเฉลยในคราวเดียวกัน 
เพราะถ้าเฉลยแต่แรก  มันก็ไม่เป็นข่าว เพราะตั๊กแตนก็กลายเป็นแมลงธรรมดาๆไป

2 เล่นข่าวนี้ได้ถึง 2 วัน แทนที่จะเป็นวันเดียว     
อาจเป็นเพราะตอนนี้หาข่าวน่าสนใจได้ยากมั้ง

ตัวอย่างการเสนอข่าวของ เดลิเมล (http://www.dailymail.co.uk/news/article-2702702/Unbe-leaf-able-The-insect-master-disguise-transforms-look-like-rotten-dead-leaf-tell-are.html#v-3692407818001) ที่ ไทยรัฐควรนำมาใช้

Unbe-leaf-able! The insect master of disguise that transform itself to look like a rotten dead leaf... but can you tell where it is?

คำเฉลยอยู่ในเนื้อข่าวเดียวกัน เมื่อมองจากภาพก็คงทายได้ไม่ยาก แต่หากเมื่อพบในธรรมชาติจริง ๆ ก็คงยากที่จะบอกได้เหมือนกัน  ;D

ตื่น! นกยักษ์โผล่กลางตลาด  ;D

(http://image.ohozaa.com/i/31f/Mg9jMO.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/xLOzNaAdJF5cRL47)

หน้าตาเหมือนเครื่องปั้นดินเผา

มาดูนางเงือกรายล่าสุดกันค่ะ  เพิ่งโผล่ที่เมกซิโกเมื่อ 9 สิงหาคม 2557 นี้เอง

MERMAID FOUND IN MEXICO AND BELGIUM? AUGUST 9, 2014 (EXPLAINED) (http://www.youtube.com/watch?v=DD3axzMLZtc#ws)

คลิปนางเงือกของคุณเทาชมพูเฉลยเสียแล้วว่าเป็นของปลอม

ถ้าจะให้ตื่นเต้นเห็นจะต้องลงคลิปนี้ก่อน ให้คาดเดาว่าเป็นของจริงหรือปลอม 

http://www.youtube.com/watch?v=qb5o12V5rLE#ws (http://www.youtube.com/watch?v=qb5o12V5rLE#ws)

แล้วจึงค่อยลงคำเฉลย   ;)

รูปปั้นนี้ไม่ใช่นกยักษ์ดอก แต่เป็น "ไดโนเสาร์" พันธุ์หนึ่ง

เชื่อหรือไม่  ;)

เห็นมีลวดหรือเชือกผูกเหมือนเครื่องร่อน
พันธุ์นี้น่าจะหลงมาจาก Jurassic Park III

ลักษณะเหมือนไดโนเสาร์พวก Pterosaur (http://en.wikipedia.org/wiki/Pterosaur) นอกจากใน Jurassic Park  ยังมีรายงานการพบอยู่บ้าง อย่างในภาพข้างล่างนี้


ไดโนเสาร์ยังคงมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบัน

เชื่อหรือไม่  ;)

ถ้ายังไม่เชื่อ ยังมีให้ดูอีกภาพหนึ่ง

โคบาลและไดโนเสาร์บิน (Cowboys and Pterodactyl)  ;D

http://civilwarhorror.blogspot.com/2012/09/another-photo-of-cowboys-with.html (http://civilwarhorror.blogspot.com/2012/09/another-photo-of-cowboys-with.html)

ถ้าเป็นนกจริง  แล้วเผ่าพันธุ์มันหายไปไหนหมดล่ะคะ  ไม่เหลือมาให้เห็นอีก
หรือจะบอกว่าเป็นนกตัวสุดท้าย   บังเอิญยิงได้ ถ่ายรูปไว้เป็นใบสุดท้าย ?

http://www.youtube.com/watch?v=FR-r3WoDqDw#ws (http://www.youtube.com/watch?v=FR-r3WoDqDw#ws)

ถ้าคลิปนี้เป็นของจริง ในภาพถ่ายก็คงไม่ใช่ตัวสุดท้าย  ;)

ยังจำได้ไหม ตัวอะไรเอ่ย  มนุษย์ต่างดาว นางเงือก หรือสัตว์ล้านปี ;D

เป็นพวกเดียวกับสัตว์ประหลาดที่ชาวประมงรัสเซียในคลิปนี้จับได้

http://www.youtube.com/watch?v=6tfTMjYsS-U#ws (http://www.youtube.com/watch?v=6tfTMjYsS-U#ws)

ตัวอะไรเอ่ย  ;D

ตัวนี้สิของจริง

ชื่อภาษาอังกฤษชวนฝันยิ่งกว่าชื่อไทย By the Wind Sailor = แมงกะพรุนเรือใบ

แมงกะพรุนเรือใบนับพันล้าน เกยตื้นยาวริมหาดสหรัฐฯ-แคนาดา (http://hilight.kapook.com/view/106967)

นักท่องเที่ยวที่หมายจะไปเที่ยวพักผ่อนตามชายหาดทางตะวันตกของสหรัฐฯ มีอันต้องล้มเลิกโครงการไปโดยปริยาย เมื่อพบเจอกับปรากฏการณ์แมงกะพรุนเรือใบจำนวนมากลอยฟ่องในน้ำ บางส่วนถูกพัดขึ้นมาเกยหาด โดยปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเป็นแนวยาวตามชายฝั่งทางตะวันตกของสหรัฐฯ ตั้งแต่ทางตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ยาวไปจนถึงบริติชโคลัมเบียของแคนาดา เชื่อว่าอาจมีจำนวนนับพันล้านตัว

เว็บไซต์เดลี่เมลรายงานเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๗ ว่า ชาวบ้านรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่พบเห็นมาก โดยปกติสิ่งมีชีวิตชนิดนี้จะลอยน้ำไปตามกระแสลม และถูกพัดมาเกยฝั่งในช่วงเวลานี้ของปีเป็นประจำ แต่ปีนี้มีจำนวนมากเป็นพิเศษ

ด้านนักชีววิทยา เควิน รัคส์ออฟ จากมอนเทอรี เพนนินซูลา คอลเลจ เผยกับสถานีวิทยุท้องถิ่นแคลิฟอร์เนียใต้  ว่า ปรากฏการณ์นี้เริ่มพบเห็นได้ตั้งแต่วันที่ ๑๓ กรกฎาคมที่ผ่านมา จนในตอนนี้จำนวนยิ่งมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ลูกศิษย์เขาช่วยกันสำรวจพบว่ามีเหล่าแมงกะพรุนเรือใบเกยหาดอยู่เฉลี่ยตารางเมตรละ ๑,๐๐๐ ตัวเลยทีเดียว

ทั้งนี้ แมงกะพรุนเรือใบ (By the Wind Sailor) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Velella velella และไม่ใช่แมงกะพรุน แต่เป็นสัตว์ในกลุ่มไฮโดรซัว ไฟลัมไนดาเรีย ขนาดตัวประมาณ ๗-๑๐ เซนติเมตร มีพิษเหมือนแมงกะพรุน แต่ไม่ร้ายแรง และถึงแม้จะเป็นสัตว์ที่พบได้ทั่วไปในทะเล แต่กลับนักวิทยาศาสตร์กลับมีข้อมูลเกี่ยวกับมันน้อยมาก

อ่านเพิ่มเติมที่ เดลิเมล (http://www.dailymail.co.uk/news/article-2730616/No-room-beach-towel-BILLIONS-mysterious-jelly-fish-like-creatures-wash-beaches-west-coast-U-S.html) จะได้เห็นว่า

หนังสือพิมพ์ฝรั่งเขียนข่าวให้ความรู้กับคนอ่านดีอย่างไร  ;D

ตัวนี้ก็ของจริงหนอ  ;D

อ้าว นึกว่าของปลอมหนอ

เมื่อ ๓ ปีที่แล้ว


คำเฉลย  ;D

ครูเพ็ญชอบเอาข้อสอบเก่ามาออก

เป็นการทดสอบว่า นักเรียนในห้องนี้พอจะจำสัตว์ประหลาด "ร้อยแปดพันเก้า" ที่พาเหรดเข้ามาโชว์โฉมตลอด ๔ ปีที่ผ่านมา (เริ่มตั้งแต่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๓) ได้บ้างหรือเปล่า  ;D

ตกกลิ้ง

จาก "สัตว์น่ารัก ภาค ๒"


แกะที่มีขนหนักที่สุดในโลก (จริงหรือ)   ;)

แกะตัุวนี้อายุ ๖ ปี เป็นแกะพันธุ์เมอริโน (Merino) ชื่อว่า ชอว์น Shaun ตามชื่อตัวการ์ตูนในเรื่อง "Shaun the Sheep" (http://en.wikipedia.org/wiki/Shaun_the_Sheep) อยู่ที่ฟาร์มแกะในรัฐแทสมาเนีย ออสเตรเลีย

เมื่อวานนี้ (๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๗) เจ้าชอว์นถูกนำมาตัดขน แล้วนำมาชั่งน้ำหนักได้ ๒๓.๕ กิโลกรัม

http://www.youtube.com/watch?v=KkooYMBZVCY#ws (http://www.youtube.com/watch?v=KkooYMBZVCY#ws)

ยังไม่เป็นแชมป์แกะที่มีขนหนักที่สุดในโลก

ตัดขนแล้วดูน่าสงสารเชียว  ;D

พอตัดขนออกหมด เจ้าแกะขนฟูกลายเป็นเฒ่าชราแห้งเหี่ยวไปเลย  น่าสงสาร

คุณเพ็ญชมพูเคยไปชมน้องบรูด้าหรือยัง   ถ้ายัง ปีนี้จะไปไหมคะ

วาฬบรูด้า ในอ่าวไทย (http://www.youtube.com/watch?v=mClRtRTGelg#)

ฝูงวาฬบรูด้าพวกนี้เป็นสัตว์ประจำถิ่นอยู่ในอ่าวไทย  นักวิชาการประมงศึกษาลึกซึ้งจนสามารถทำแผนที่การแพร่กระจายและตั้งชื่อให้วาฬแต่ละตัวเสียด้วยซ้ำ

สำหรับผู้สนใจศึกษาเรื่องนี้สามารถอ่านรายละเอียดเรื่องวาฬบรูด้าได้ใน หนังสือ "ปลาวาฬบรูด้าในประเทศไทย" (http://www.dmcr.go.th/elibrary/elibraly/book_file/Book20120301122404.pdf) ของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม   ;D

เคยชมวาฬบรูด้าครั้งแรก (อย่างใกล้ชิด) ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยม ตัวใหญ่เชียวตั้งไว้ในโรงยิมของโรงเรียน

หน้าตาประมาณนี้ บน อยู่ที่วัดกระซ้าขาว สมุทรสาคร  ล่าง อยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ  ;D

แกะที่เป็นแชมเปี้ยนมีขนหนักที่สุดในโลก เป็นพันธุ์เมอริโนเช่นเดียวกับเจ้าชอว์น ชื่อว่า เชร็ค Shrek อยู่ที่เกาะใต้ของนิวซีแลนด์ หลบหนีการตัดขนไปเป็นเวลา ๖ ปี (เจ้าชอว์นเดินตามรอยเจ้าเชร็คนี่เอง) หลังจากจับตัวได้ เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๗ เชร็คถูกนำมาตัดขนและชั่งน้ำหนักได้ถึง ๒๗ กิโลกรัม และได้รับการบันทึกไว้เป็นสถิติโลก

เชร็คได้รับการยกย่องเป็นสัญลักษณ์แห่งชาติของนิวซีแลนด์ เป็นที่รักของคนทั้งประเทศ เป็นเซเลบปรากฏตัวตามงานกุศลต่าง ๆ  มีการแต่งนิทานสำหรับเด็กโดยมีเชร็คเป็นพระเอก ได้รับเกียรติให้เข้าพบนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ

เมื่อเชร็คอายุได้ ๑๖ ปี สุขภาพของมันทรุดโทรมลงมากยากที่จะเยียวยา ดังนั้นในวันที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๔ สัตวแพทย์จึงตัดสินใจการุณยฆาต (euthanasia-ฝรั่งถือว่าการฆ่าสัตว์ที่ช่วยตัวเองไม่ได้หรือเจ็บไข้ได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัส เป็นความกรุณา) ด้วยการฉีดยาให้มันตายอย่างสงบ  เจ้าของจัดงานศพให้มันอย่างยิ่งใหญ่ ท่ามกลางความโศกเศร้าของคนทั้งประเทศ  เถ้ากระดูกของเชร็คถูกโปรยไว้ที่บนยอดเขา แม้เชร็คจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่เรื่องราวของมันคงเป็นที่จดจำของชาวนิวซีแลนด์ต่อไปอีกนานแสนนาน
 
http://www.youtube.com/watch?v=1hSYJP42rH8#ws (http://www.youtube.com/watch?v=1hSYJP42rH8#ws)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

แอลลิเกเตอร์ยักษ์ ใหญ่ที่สุดเท่าที่ถูกจับได้ หนัก 1000 ปอนด์
ในข่าวภาษาไทยบอกว่าแอลลิเกเตอร์ไม่ใช่จระเข้
เลยเพิ่งรู้ว่า alligator ไม่ใช่จระเข้    นึกว่าเป็นจระเข้อีกพันธุ์หนึ่ง ที่ไม่ใช่ crocodile   เสียอีกค่ะ
ถ้างั้นภาษาไทยเรียกว่าอะไรคะ

1000 POUND Alligator caught by hunters after 10 hour stake out breaks Records Largest ever captured (http://www.youtube.com/watch?v=rtCttH9hLxE#ws)

เห็นบางทีเรียกว่า "จระเข้ตีนเป็ด"


(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

๑,๐๐๐ ปอนด์ ก็ประมาณ ๔๕๓ กิโลกรัม ยังตัวเล็กนักเมื่อเทียบกับจระเข้น้ำเค็มที่ใหญ่ที่สุดในโลก   ;)


http://www.youtube.com/watch?v=nd7NJltQp_4&feature=related#ws (http://www.youtube.com/watch?v=nd7NJltQp_4&feature=related#ws)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

หัวหายเพราะส่ายหัว        หัวนกมัวเพราะเคลื่อนไหว
แค่นี้ไม่เท่าไร               จำได้ไหม "ไก่ไร้หัว"

ยังจำ "ไมค์" ไก่ไร้หัว ตัวนี้ได้ไหม  ;D

สำหรับคนที่ยังจำไมค์ไม่ได้

ประวัติ "ไมค์ ไก่ไร้หัว" โดยย่อ


ข้างล่างเป็นประวัติโดยย่อจริง ๆ (ย่อมากกว่าข้างบน) ที่พิพิธภัณฑ์ริปลีย์ ฟลอริดา  ;D

"ไมค์" ตัวจริงเป็นไก่สีขาว แต่ที่พิพิธภัณฑ์ริปลีย์ทุกแห่ง "ไมค์" สีออกน้ำตาล แดง ดำ

เชื่อหรือไม่  ;)

พบสัตว์ประหลาดตัวเล็กสีขาวคล้ายผงแป้งเดินยั้วเยี้ยเต็มรูหูของเด็กนักเรียนหญิง ใน จ.แพร่ แพทย์บอกไม่เคยเจอสัตว์ประหลาดนี้มาก่อน

http://www.youtube.com/watch?v=MMFCdZYD7-U#ws (http://www.youtube.com/watch?v=MMFCdZYD7-U#ws)
        
วันนี้ (๑๐ กันยายน ๒๕๕๗) รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง ๓ รายงานว่า พบนักเรียนหญิงโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.แพร่ เกิดอาการคันในช่องหูและมีอาการหูตึง จึงได้ไปพบแพทย์ โดยแพทย์ได้ตรวจเจอสัตว์ตัวเล็ก ๆ สีขาว เดินยั้วเยี้ย มีลักษณะคล้ายผงแป้งอยู่เต็มรูหู

ทั้งนี้แพทย์ที่ทำการตรวจ บอกว่า ไม่เคยเจอสัตว์ประเภทนี้มาก่อนเช่นกัน จึงได้ให้ยาหยอดหูและยาแก้อักเสบแก่นักเรียนหญิงคนดังกล่าวไปก่อน แล้วจะนัดมาดูอาการอีกที

จาก กะปุกดอทคอม (http://hilight.kapook.com/view/107807)

ชาวเรือนไทยช่วยหาคำตอบให้หมอหู คอ จมูก ท่านนี้หน่อยว่า สัตว์ประหลาดตัวคล้ายผงสีขาวนี้คือตัวอะไร    ;)

เห็นแล้วขนลุก
ตัวหมัด ตัวเล็น แมลงอะไรสักอย่าง?

มาดูรอยพญานาค(อีกครั้ง) ที่หน้าเทวาลัย ของจุฬา ดูซิคะ คุณเพ็ญชมพู     เพื่อนถ่ายมาให้ดูค่ะ
น่าจะมีคนไปเซ่นสรวงพญานาคเรียบร้อยแล้วนะ

ดูชัดๆ

เรื่องนี้ต้องถึงครู "เจษฎา"

(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpa1/v/t1.0-9/1505047_521173851346587_7427845857774166806_n.jpg?oh=22094e33330c3ec1cc2a9055dec46791&oe=54CDCF03&__gda__=1419143486_0b4e1630bd3fc9e56f4569d81ae12274)

ผศ.ดร.ว่าที่ร้อยตรี เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ กูรูด้านรอยพญานาคให้ความเห็นใน เฟซบุ๊ก (https://www.facebook.com/jessada.denduangboripant/posts/521173944679911) ว่า

อ.เจษฎ์ ลงพื้นที่พิสูจน์รอยพญานาคคณะอักษร พบว่ามีรอยอยู่เยอะมาก ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ตามพื้นไปจนถึงบนผนังขอบหน้าต่าง ทั้งหมดเหมือนกันที่ไม่ได้มีร่องลึกเหมือนโดนเครื่องเจียร และไม่ได้มีคราบปูนแบบใช้ลูกกลิ้งทาสี ตอนนี้เริ่มมีพวงมาลัยดอกไม้บูชาแล้ว

สันนิษฐานเบื้องต้นแต่ค่อนข้างมั่นใจว่า เป็นรอยของเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงทำความสะอาดพื้น ... ลองเอาน้ำเปล่าราดแล้วถูด้วยมือ รอยพวกนี้ก็หายไป (รอยที่ขอบหน้าต่าง ก็เป็นรอยปูนเปียกน้ำชัดเจน)

ใครมีเครื่องล้างพื้นทำนองนี้ ลองทำโชว์ให้ดูหน่อยนะครับ จะได้มั่นใจว่าจุฬาฯ โดนคนแกล้งเมื่อคืนจริง ๆ ครับ 555

คงมีคลิปการสาธิตวิธีสร้างรอยพญานาคด้วยเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงตามมาในไม่ช้า  ;D

ตัวเล็นเป็นคำรวม             อาจหมายร่วม "เหา" "เห็บ" "หมัด"
"มด" "ไร" สารพัด           คำตอบชัดจัดให้เอย

หมอสุที วงค์ละคร หมอหู คอ จมูก โรงพยาลศรีสะเกษ รายงานเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๙-๒๕๕๐  (http://earmitethailand.exteen.com/20070119/s-pontifica) พบตัวไรเข้าในหูคน เป็นไรในหอมแดง Suidasia pontifica และ Rhizoglyphus echinopus

http://www.youtube.com/watch?v=fkFZB1Mlkck#ws (http://www.youtube.com/watch?v=fkFZB1Mlkck#ws)

ที่ไต้หวันก็มี รายงานพบไรในหูเหมือนกันเมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๕  (http://www.foxnews.com/health/2012/10/04/ear-mites-case-rarity-report-finds/) คราวนี้วินิจฉัยว่าเป็นไรฝุ่น Dermatophagoides pteronyssinus ที่พบอยู่เสมอในบ้านและห้องนอน

http://www.youtube.com/watch?v=oR4ZFHlX3c8#ws (http://www.youtube.com/watch?v=oR4ZFHlX3c8#ws)

ไม่ต้องตกใจไป การที่ไรพวกนี้จะเข้าไปอยู่ในหู พบเป็น rare case เท่านั้น หมายความนาน ๆ จะเกิดสักที  ;D

ไรฝุ่นเคยออกโรง ๒ ครั้งแล้ว  ;D


ดูใกล้ ๆ หน้าตาหล่อเหลาไม่เบา   ;)

ไรพวกนี้ทำอันตรายได้มากน้อยแค่ไหนคะ ถ้าหลุดเข้าไปในรูหู

เคสไรหอมแดงในเมืองไทยที่รายงานโดยคุณหมอสุธี เป็นหญิงทั้ง ๓ เคส อายุ ๒๓, ๔๐ และ ๕๗ ปี รู้สึกปวดและคันที่หูขวา เอาตัวไรออก และให้ยารักษาตามอาการ ก็หายดี เช่นเดียวกับเคสไรฝุ่นที่ไต้หวัน เป็นชายอายุ ๗๐ ปีมีอาการคันที่หูข้างขวาเหมือนกัน (ทำไมไรไม่เข้าหูซ้ายบ้าง ?) เอาไรออกและรักษาตามอาการก็หายเช่นเดียวกัน ไม่มีอาการหูตึงอย่างเด็กหญิงที่เมืองแพร่

คิดว่าที่มีอาการไม่รุนแรงน่าจะเป็นเพราะว่า คนเป็นเจ้าบ้านโดยบังเอิญ (accidental host) ไม่ใช่  เจ้าบ้านโดยธรรมชาติ (natural host) นั่นแล  ;D

ขอบคุณค่ะ
สงสัยคนไข้เหล่านี้นอนตะแคงขวาเป็นส่วนใหญ่  และอาจจะนอนกับพื้น  ไรหอมแดงที่พื้นห้องจึงเข้าหูขวาข้างเดียว

มีสัตว์ประหลาดตัวใหม่มาให้คุณเพ็ญชมพูดูอีกแล้วค่ะ

คิดว่าน่าจะเป็นเพราะคนเราส่วนมากถนัดขวา แล้วใช้นิ้วหรือไม้แคะหูที่มีไรพวกนี้ติดอยู่ใส่เข้าไปในหูข้างเดียวกับมือที่ถนัด  ;D

ก็อย่างที่คุณเทาชมพูว่า


หวังว่าเรื่องนี้คงไม่เงียบหายไปอีก  ;D

ภาพจาก เดลิเมล (http://www.dailymail.co.uk/news/article-2752029/Another-blow-No-vote-First-banks-threaten-flee-independent-Scotland-appears-Loch-Ness-Monster-relocated-south-border.html)

http://uncovercalifornia.com/content/21572-species-pterosaur-named-after-dragon-creatures-avatar-movie (http://uncovercalifornia.com/content/21572-species-pterosaur-named-after-dragon-creatures-avatar-movie)

http://www.reuters.com/article/2014/09/11/us-science-avatar-idUSKBN0H62HP20140911 (http://www.reuters.com/article/2014/09/11/us-science-avatar-idUSKBN0H62HP20140911)

อ่านรายละเอียดของข่าวแล้ว ลองตั้งชื่อหัวข้อข่าวน่าจะเป็นดังนี้

จาก "มโน"สู่ "มโน"

มโนแรกเป็นของเจมส์ คาเมรอน ผู้กำกับภาพยนตร์ฮอลีวูดชื่อดังในภาพยนตร์เรื่อง "อวตาร" (Avartar) เป็นสัตว์รูปร่างคล้ายมังกรบินนาม "Ikran"

http://www.youtube.com/watch?v=CeNhsaRwVpg#ws (http://www.youtube.com/watch?v=CeNhsaRwVpg#ws)

สู่ มโนสอง เมื่อนักวิทยาศาสตร์ค้นพบฟอสซิลของไดโนเสาร์บิน (Pterosaur) ที่จีน แล้วมโนว่าส่วนหัวของเจ้าตัวที่พบนี้เหมือนกับหัวของอิกรานจัง คือมีถุงห้อยอยู่ใต้ปากเหมือนกัน จึงตั้งชื่อไดโนเสาร์บินที่พบว่า Ikrandraco avatar หมายความว่า มังกรอิกรานจากอวตาร

นอกจากส่วนหัวที่คล้ายกัน ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ลำตัวและปีกก็เล็กว่าในภาพยนตร์

มโนสองอาศัยมโนหนึ่งพาให้ดังโดยแท้  ;D

ขออนุญาตย้อนกลับไปที่ข่าวเกี่ยวกับเนสซีข้างบน

เดลิเมล พาดหัวข่าวว่า

Another blow for the 'Yes' vote? First the banks threaten to flee an independent Scotland, now it appears the Loch Ness Monster has relocated south of the border!

สรุปเป็นหัวข้อข่าวสั้น ๆ ได้ว่า

เมื่อเนสซีเลือกข้าง

http://www.youtube.com/watch?v=BmHu-uWWw84#ws (http://www.youtube.com/watch?v=BmHu-uWWw84#ws)

เนื้อข่าวกล่าวว่า เมื่อสาวชาวลอนดอน Elle Williams วัย ๒๔ ปี ไปตั้งกล้องเพื่อถ่ายภาพชีวิตสัตว์ริมทะเลสาบ Windermere ตลอดทั้งวัน พบว่าภาพหนึ่งปรากฏสัตว์ประหลาดคล้ายกับเนสซี สัตว์ประหลาดชื่อดังแห่งทะเลสาบ Loch Ness ที่สกอตแลนด์ เธอบอกว่าที่เธอได้ภาพนี้มาเป็นเรื่อง "ถูกเวลาและถูกสถานที่" โดยแท้ 

ลำพังภาพสัตว์ประหลาดที่ทะเลสาบ Windermere ก็เป็นข่าวดังอยู่แล้ว แต่ก็เป็นเรื่อง "ถูกเวลาและถูกสถานที่" อีกนั่นแหละที่ทำให้ข่าวนี้ดังขึ้นเป็นสองเท่า ด้วยว่า ทะเลสาบ Windermere นี้อยู่ในเขตของอังกฤษห่างจากชายแดนสกอตแลนด์ ๖๔ กิโลเมตร และห่างจากทะเลสาบ  Loch Ness  ๒๔๑ กิโลเมตร  ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ กันยายนนี้ ก็จะมีการโหวตว่าสกอตแลนด์จะแยกตัวออกจากอังกฤษดีหรือไม่ (http://en.wikipedia.org/wiki/Scottish_independence_referendum,_2014) หลังจากที่รวมกับอังกฤษมาตั้งแต่ ค.ศ. ๑๗๐๗ (พ.ศ. ๒๒๕๐) นับจนถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลา ๓๐๗ ปี

เรื่องเนสซีอพยพจากสกอตแลนด์มาอังกฤษจึงถูกหนังสือพิมพ์อังกฤษประโคมข่าวกันอย่างครึกครื้นทำนองว่าเนสซีเลือกข้างที่ไม่เห็นด้วยกับการแยกตัวของสกอตแลนด์

จาก "สัตว์ประหลาด" ก็สู่เรื่อง "การเมือง" ได้เหมือนกัน  ;D

ป.ล.  พรุ่งนี้ก็เป็นวันสำคัญของคนไทยแล้ว รายงานข่าวเวอร์ชันเรือนไทยนี้จึงให้ความสำคัญกับตัวเลขมากหน่อย  อิอิ ;)

พรุ่งนี้เนสซีต้องตัดสินใจแล้วว่าจะโหวต  "YES" หรือ  "NO"  ;D

ไม่มีข่าวรายงานว่าเนสซีโหวตว่าอย่างไร แต่ผลประชามติออกมาแล้วว่า "NO"

เนสซีก็คงอยู่อย่างสงบที่ล็อคเนส และอาจจะต้องออกมาเล่นการเมืองอีกเมื่อชาติต้องการ  ;)

เนสซี่โหวตโน จ้า
เพราะงี้มั้ง คะแนนเสียงเลยเทตามเนสซี่หมด

ตัวที่โหวต "NO" น่าจะเป็น "โอโกโปโก" คลาสเมทของเนสซี มาไกลจากแคนาดาเชียว  ;)

http://entertainment.goosiam.com/hotnews/html/0042993.html (http://entertainment.goosiam.com/hotnews/html/0042993.html)
  ชาวประมงฮือฮา พบปูทองหลางยักษ์ เผยหายาก-จี้ขยายพันธุ์

 เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 26 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรับแจ้งจากด้านนายประดิษฐ์ จันทร์ทอง นายก อบต.คลองประสงค์ว่า ชาวประมงในพื้นที่ตำบลคลองประสงค์ อ.เมือง จ.กระบี่   โดยชาวประมงที่จับปูได้ คือ นายสมพงศ์ คลองรั้ว อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 5/2 ม.3 ต.คลองประสงค์  จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบปูหน้าขาว หรือ ปูทองหลาง อยู่ในถังพลาสติกทรงกลมวางอยู่ข้างบ้าน
 โดยนายสมพงศ์  เล่าว่า เมื่อช่วงเย็นวานนี้ ตนได้ไปยกโป๊ะน้ำตื้นที่ติดตั้งไว้ ที่บริเวณคลองทะลุ เพื่อเอาปลาที่ติดโป๊ะ แต่เมื่อยกขึ้นมา พบปูตัวดังกล่าวติดขึ้นมาด้วย และเห็นว่ามีขนาดใหญ่กว่าที่เคยจับได้มาก่อน
 จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า เป็นปูเพศผู้ น้ำหนัก 2.3 กิโลกรัม วัดความยาวของลำตัวรวมก้ามได้กว่า 2 ฟุต จึงนำมาไว้ที่บ้าน แต่จะไม่กินเป็นอาหาร เนื่องจากเป็นปูที่มีขนาดใหญ่ ควรที่จะเก็บเอาไว้ โดยจะอนุบาลไว้ ให้เยาวชนได้ศึกษาเรียนรู้
 ด้านนายประดิษฐ์ จันทร์ทอง นายก อบต.คลองประสงค์ กล่าวว่า ปูหน้าขาว หรือ ปูทองหลาง หรือ ชาวบ้านเรียกว่า ปูโด๊บ อาศัยอยู่บริเวณปากแม่น้ำกระบี่ ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาชาวบ้านพบบ่อยครั้งแต่ตัวไม่ใหญ่มากนัก แต่ตัวที่จับได้ครั้งนี้ถือว่าใหญ่ที่สุดในรอบปี ทั้งนี้เมื่อประมาณเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้มีชาวบ้านในหมู่บ้านเดียวกันจับปูดังกล่าวได้เช่นกัน แต่เป็นเพศเมียหนัก 1.7 กก. ซึ่งตัวเล็กกว่าตัวนี้
 สาเหตุที่พบตัวใหญ่ขึ้น เชื่อว่ามาจากความอุดมสมบูรณ์ของทะเลบริเวณปากแม่น้ำ ที่ผ่านมาชาวบ้านร่วมกันอนุรักษ์ไม่ใช้เครื่องมือทำลายเช่น อวนรุน อย่างไรก็ตาม ปูชนิดนี้เป็นปูที่หายาก จึงอยากให้ทางส่วนราชการที่เกี่ยวข้องนำไปอนุบาล ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษา หรือขยายพันธุ์ให้มากขึ้นต่อไป

ปูที่ท่านนายกอบต.พูดถึงคือ ปูทะเล  Scylla serrata  (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5) นั่นเอง ตัวผู้โตเต็มที่หนักได้ถึง ๓.๕ กิโลกรัมเชียว ที่เห็นจับได้ตัวนี้ยังเด็ก ๆ  ;)

ปูยักษ์ของคุณเทาชมพูนี้ ดูจะเป็นสัญลักษณ์ของเมืองกระบี่ทีเดียว มีรูปปั้นครอบครัวปูยักษ์ตั้งไว้เป็นสง่าอยู่หน้าเขาขนาบน้ำ หน้าเมืองกระบี่   ;D

ปูทะเลแห่งกระบี่ยังมิอาจเทียบได้กับขนาดของเจ้า "Claude" ปูยักษ์แห่งแทสมาเนีย Pseudocarcinus gigas (http://en.wikipedia.org/wiki/Tasmanian_giant_crab) ตอนที่จับได้เมื่อ ๒ ปีที่แล้ว (พ.ศ. ๒๕๕๕) น้ำหนักตัวประมาณ ๖.๘ กิโลกรัม  หากโตเต็มที่ ที่บันทึกเป็นสถิติไว้หนักได้ถึง ๑๓ กิโลกรัม  ;D

http://www.youtube.com/watch?v=fKGyKCLnF5k#ws (http://www.youtube.com/watch?v=fKGyKCLnF5k#ws)

ข่าวจาก ประชาชาติธุรกิจ (http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1337229429)

ไฉน "ปูยักษ์" ทาสมาเนียน รอดตายหวุดหวิดไม่ถูกนำมาเป็นอาหารมนุษย์

"โคล้ด" เจ้าปูตัวนี้ หนัก ๑๕ ปอนด์หรือราว ๒.๓ กิโลกรัม   ^(๑) วัดความกว้างของลำตัวได้ถึง ๑๕ นิ้ว ถูกชาวประมงจับได้ที่บริเวณเกาะทาสมาเนีย ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยสำคัญของปูยักษ์ที่เรียกกันว่า "ไจแอนท์ ทาสมาเนียน แครบ" หรือ "ทาสมาเนียน คิง แครบ" เดิมทีชาวประมงเล็งที่จะนำมันไปประกอบอาหาร แต่เพราะความใหญ่โตของมันช่วยให้รอดตายอยู่ได้พักใหญ่เพราะหาภาชนะประกอบอาหารที่เหมาะสมไม่ได้ สุดท้ายพนักงานของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอังกฤษที่อยู่ระหว่างเดินทางไปสำรวจอยู่ที่นั่นพบเข้าเลยขอซื้อมันมาใน ราคา ๓,๐๐๐ ปอนด์ หรือราว ๆ ๑๕,๐๐๐ บาท   ^(๒) แล้วส่งข้ามน้ำข้ามทะเลมายังประเทศอังกฤษ กลายเป็นส่วนหนึ่งของ ซี ไลฟ์ อะควอเรียม ที่เมือง เวย์มัธ แคว้น ดอร์เสต ประเทศอังกฤษไปในที่สุด ว่ากันว่าถ้าหากมันโตเต็มที่ น้ำหนักอาจจะเพิ่มขึ้นได้อีก ๒-๓ กิโลกรัม ^(๓) ขนาดขยายขึ้นได้อีก

ที่มา นสพ.มติชน

ผู้เขียนข่าวข้างบนคงตกคำนวณ

๑. น้ำหนัก ๑๕ ปอนด์ = ๑๕/๒.๒ = ๖.๘ กิโลกรัม

๒. เงิน ๓,๐๐๐ ปอนด์ = ๓,๐๐๐ X ๕๐ = ๑๕๐,๐๐๐ บาท

๓. ปูยักษ์ตัวนี้โตเต็มที่น้ำหนักเพิ่มเพียง  ๒-๓ กิโลกรัมเท่านั้น นั่งเทียนเขียนกระมัง  

ข้างล่างเป็นข่าวจาก เดลิเมล (http://www.dailymail.co.uk/news/article-2137356/Monster-Tasmanian-King-Crabs-saved-pot-shipped-Britain-aquarium-display.html)  

ก็น่าสงสัยอยู่ว่าปูหนัก ๑๕ ปอนด์ จะมีเนื้อหนัก ๒๐ ปอนด์ได้อย่างไร  ;)

"Claude" ไปอยู่ศูนย์แสดงสัตว์น้ำที่ Weymouth  ประเทศอังกฤษเรียบร้อยแล้วในอีกชื่อหนึ่งคือ "Russell" ตามชื่อดาราภาพยนตร์ฮอลลีวูดชาวออสเตรเลียคือ Russell Crowe

คุณประกอบหากมีเวลา ควรพาเด็ก ๆ ไปเยี่ยมรัสเซลบ้าง  ;D

http://www.youtube.com/watch?v=YTBkihQvty0#ws (http://www.youtube.com/watch?v=YTBkihQvty0#ws)

แต่ปูที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลกเป็นปูพันธุ์เดียวกับปูของคุณเทาชมพูตัวนี้


มันคือ ปูแมงมุม Japanese spider crab (http://en.wikipedia.org/wiki/Japanese_spider_crab) Macrocheira kaempferi เจ้าตัวนี้ถูกตั้งชื่อว่า  Big Daddy ตามชื่อนักมวยปล้ำชื่อดังของอังกฤษ อยู่ที่ศูนย์แสดงสัตว์ทะเลแบล็กพูล ของอังกฤษ วัดขนาดจากระหว่างปลายก้ามทั้งสองยาว ๒.๗ เมตร (เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๖) ปูพันธุ์นี้โตเต็มที ทำสถิติความยาวไว้ที่  ๓.๘ เมตร น้ำหนัก ๑๙ กิโลกรัม  

คุณประกอบไปเยี่ยม "พ่อใหญ่" บ้างหรือยัง  ;D

http://www.youtube.com/watch?v=ngLxsVKJ7_Y#ws (http://www.youtube.com/watch?v=ngLxsVKJ7_Y#ws)

ปูแมงมุมมีแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สัตว์ทะเลในอังกฤษหลายแห่ง ๆ ละตัวเดียว ถ้าอยากเห็นเป็นฝูงต้องมาดูที่ญี่ปุ่นถิ่นของปูแมงมุม ในคลิปเป็นฝูงปูแมงมุมที่พิพิธภัณฑ์สัตว์ทะเล โอซะกะ  ;D

http://www.youtube.com/watch?v=CSf5a3TY-O8#ws (http://www.youtube.com/watch?v=CSf5a3TY-O8#ws)

เห็นฝูงปูแมงมุมในธรรมชาติ  แล้วนึกถึงฉากสัตว์ประหลาดจากต่างดาวมาบุกโลก  ;D

http://www.youtube.com/watch?v=Vqk6IJwx6J4#ws (http://www.youtube.com/watch?v=Vqk6IJwx6J4#ws)

ผมอยู่แถวตาก ซายาเพ็ญจะให้ลงใต้ไปดูปูแถวปัตตานีเชียว   :(
ถ้าชวนไปกินปูหละก็ ไกลแค่ไหนก็ไปครับ แต่ถ้าแค่ดูนี่ต้องคิดก่อน

ส่วนพ่อใหญ่นี่ก็เหมือนกัน แม้ไปไม่ไกล แต่ค่าดูพ่อใหญ่ ซื้อตั๋ว online £12.50  เอาไปซื้อปูมาผัดกินคุ้มกว่า

ปล ไม่ได้กินผูผัดผงกะหรี่มา 4 ปีแล้ว  :-\  :-\  :-\

ส่งปูผัดผงกะหรี่มายั่วน้ำลาย  ให้คุณประกอบเก็บไว้รับประทานเป็นจานเด็ดมื้อเย็น (ต้องใช้มโนมากหน่อย  ;))

ยกมาเผื่อหนุ่มน้อยที่บ้านคุณชายประกอบเทพอีกจานด้วยค่ะ

...

เป็นห่วงวอลรัส มันจะตายหมดไหมเนี่ย

ตะลึง!'วอลรัส'นับหมื่นเกยหาดมะกัน
http://www.posttoday.com/%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81/321745/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B6%E0%B8%87-%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99 (http://www.posttoday.com/%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81/321745/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B6%E0%B8%87-%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99)

อันที่จริงการที่วอลรัสอพยพขึ้นฝั่งก็เป็นธรรมชาติของมัน ตามข่าวว่าเริ่มมีจำนวนมากขึ้นตั้งแต่เมื่อ ๗ ก่อน (พ.ศ. ๒๕๕๐) มาปีนี้มากหน่อยเพิ่มจำนวนถึงประมาณ ๓๕,๐๐๐ ตัว ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นเห็นจะเป็นเรื่องโรคระบาด และที่แน่ ๆ ต้องมีการเหยียบกันตายบ้างโดยเฉพาะเจ้าตัวเล็ก ๆ เห็นว่าปีก่อนถูกเหยียบตายไปกว่า ๑๐๐ ตัว ข่าวในสื่อส่วนใหญ่มักโยงเข้ากับปัญหาโลกร้อน ทำให้ไม่มีแผ่นน้ำแข็งมากพอสำหรับให้วอลรัสพักอาศัย แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์บางคนแย้งว่าการโยงเรื่องโลกร้อนดังกล่าวเป็นเรื่องไร้สาระ มีการบันทึกพฤติกรรมวอลรัสอพยพขึ้นฝั่งมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๑๔๗ แล้ว วอลรัสบางส่วนที่ตายไปก็เป็นอาหารของหมีขาวไม่ได้ตายไปเปล่า ๆ เสียเมื่อไร

ลองอ่านข้อมูลเรื่องนี้ในบทความ Stranded Walrus Are A ‘New Phenomenon’ And We Don’t Know How Bad It Will Get  (http://thinkprogress.org/climate/2014/10/01/3574540/walrus-stranding-adaptation-questions/) และ Blatant nonsense’: Media hyped walrus climate scare stories debunked – Claims recycled year-after-year – A Climate Depot Rebuttal   (http://www.climatedepot.com/2014/10/01/media-hyped-walrus-climate-scare-stories-debunked-claims-reclycled-year-after-year-a-climate-depot-rebuttal/) ก่อนจะตัดสินใจว่าจะเชื่อฝ่ายไหน  ;D

ปรากฏการณ์เมื่อปี ๒๕๕๔

http://www.youtube.com/watch?v=rH77gte9lVI#ws (http://www.youtube.com/watch?v=rH77gte9lVI#ws)

ยกพลขึ้นบกปี ๒๕๕๓

http://www.youtube.com/watch?v=-lubjnPA0b0#ws (http://www.youtube.com/watch?v=-lubjnPA0b0#ws)

It's not a "New Phenomenon".  ;)

ปรากฎการณ์ย้ายถิ่นฐานในสัตว์เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสัตว์หลายชนิด จุดประสงค์อาจเพื่อหาแหล่งอาหาร ผสมพันธุ์ หรือวางไข่  อย่างใน ปูแดง Gecarcoidea natalis แห่งเกาะคริสต์มาส ดินแดนกลางมหาสมุทรอินเดียในอาณัติของออสเตรเลียก็เช่นเดียวกัน

ปรกติปูแดงพวกนี้จะอยู่ลึกเข้าไปในเกาะ เมื่อเข้าหน้าฝนประมาณเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ปูแดงก็มีเริ่มการเดินทางครั้งใหญ่ไปยังชายทะเลเพื่อวางไข่ ตัวอ่อนของปูจะออกจากไข่ แหวกว่ายอยู่ในน้ำทะเลและพัฒนาเป็นตัวเต็มวัยประมาณ ๓-๔ อาทิตย์ก็จะขึ้นบกอีกครั้งเพื่อเดินทางเข้าไปยังถิ่นอาศัยใจกลางเกาะต่อไป  ;D

http://www.youtube.com/watch?v=2WJJFtHZ5JY&list=PLD0XLrwLFeNf0yrtpc7KeeKc3wZXXVgXe&index=1#ws (http://www.youtube.com/watch?v=2WJJFtHZ5JY&list=PLD0XLrwLFeNf0yrtpc7KeeKc3wZXXVgXe&index=1#ws)

ราวต้นเดือนสิงหาคมของทุกปี ปูเสฉวนแคริบเบียน Coenobita clypeatus ณ เกาะเซนต์จอห์น ในหมู่เกาะเวอร์จิน ของอเมริกา จะเดินทางจากถิ่นอาศัยส่วนในของเกาะสู่ชายหาดเพื่อผสมพันธุ์และวางไข่เช่นเดียวกับปูแดงเกาะคริสต์มาส

http://www.youtube.com/watch?v=a3aRZ2lt6W4#ws (http://www.youtube.com/watch?v=a3aRZ2lt6W4#ws)

เป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน  ;D

เกาะกระแสปูด้วยภาพปูยักษ์  เพิ่งเป็นข่าววันนี้ ลง dailymail ครับ  ;D

http://www.dailymail.co.uk/news/article-2790238/crabzilla-photo-appears-giant-crab-measuring-50ft-lurking-waters-whitstable.html (http://www.dailymail.co.uk/news/article-2790238/crabzilla-photo-appears-giant-crab-measuring-50ft-lurking-waters-whitstable.html)

น่าจะเป็นเรื่องของปรากฏการณ์ทางจิตที่เรียกว่า "Pareidolia"


เจ้า Crabzilla ตัวนี้น่าจะเป็นอะไรสักอย่างใต้น้ำเช่นสันทรายหรือสาหร่ายที่ฟอร์มตัวเป็นรูปร่างคล้ายปูยักษ์นั่นแล

จะวานคุณประกอบไปพิสูจน์ก็เกรงใจคนอยู่ "เมืองตาก" ต้องเดินทางไกลไปถึง "ปัตตานี"  

ว่าแต่ว่าคุณประกอบเชื่อ ข้อ ๑ หรือ ข้อ ๒ ;)

เทคนิคซ้อนภาพ

ปริศนากำลังจะถูกคลี่คลาย

ภาพนี้ได้จากการค้นหาใน bing map (http://www.bing.com/maps/#Y3A9NTEuMzYxOTczfjEuMDMzNzkwJmx2bD0xMyZzdHk9ciZxPVdoaXRzdGFibGUlMkMlMjBVbml0ZWQlMjBLaW5nZG9t)

ลองเปรียบเทียบภาพจากข่าวปูยักษ์และภาพจาก bing

คำตอบของคุณเทาชมพูถูก ปูยักษ์ถูกเพิ่มเข้ามา  ;D

ถ้าหารูปคุณเพ็ญชมพูได้เมื่อไหร่ จะซ้อนภาพให้ออกมาเริ่ดกว่าภาพข้างบนอีก 
โปรดระวังตัว

http://www.nationtv.tv/main/content/social/378428118/ (http://www.nationtv.tv/main/content/social/378428118/)

ปูตัวดังกล่าวมีน้ำหนักประมาณ 2.8 กิโลกรัม ขนาดความกว้างกระดอง 36 เซนติเมตร เป็นปู
เพศผู้ กระดองมีสีดำ ก้ามขนาดใหญ่ สีน้ำตาลอมเขียว ที่บริเวณด้านหลังกระดองมีลวดลายคล้ายใบหน้าลิง โดยปูดังกล่าว
คือ ปูทองหลาง หรือปูเขียว ซึ่งชาวประมงในพื้นที่ จ.กระบี่ เคยพบมาแล้ว 1 ตัว

ผมมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าภาพจาก Bing เป็นภาพที่ถูกตัดต่อเอาเจ้าปูยักษ์ออกไปแน่ๆ ครับ  ;D  ;D  ;D
สงสัยเจตนาคนทำจริงๆ ว่าจะพยายามกลบเกลื่อนปูยักษ์ให้กลายเป็นเรื่องหลอกลวงไปทำไม  >:(  >:(

ฮิฮิ  สงสัยเพิ่มเติมครับว่าสองอาจารย์ชมพูนี่ เคยเจอตัวเป็นๆ กันรึเปล่าครับ

บรรทัดที่ ๑ และ ๒ - ๕ ๕ ๕ ๕ ๕

บรรทัดที่ ๓ - ชมพู ๒ เห็น ชมพู ๑ ประจำ ทางอินทรเนตร ๕ ๕ ๕ ๕ ๕

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley16.png)

ดิฉันก็คลับคล้ายคลับคลาจะเห็นชมพู ๒ ทาง facebook เหมือนกันค่ะ

ขออนุญาตกลับเข้าเรื่อง "ปู"  ;D



หากพบปูทองหลางหนักเกิน ๓.๕ กิโลกรัมค่อยน่าตื่นเต้นหน่อย  ;)

คำถาม ปูมีกี่ขา (กรุณาอย่างเพิ่งเหลือบขึ้นไปดูปูตัวข้างบน)

ปูยักษ์ของคุณประกอบเท่าที่เห็นมีอยู่ ๗-๘ ขา (๒ ก้าม และขาเล็ก ๆ อีก ๕-๖ ขา)

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5920.0;attach=51759;image)

ส่วนปูยักษ์ ในภาพเขียนที่วัดสุทัศน์ มีอยู่ ๑๒ ขา


ชาวเรือนไทยตอบได้ไหมว่าปูมีกี่ขา

ลองเหลือบขึ้นไปดูปูที่จับได้ที่ภูเก็ต ปูมี ๑๐ ขา

สรุปได้ว่า ปูยักษ์ของคุณประกอบที่ใส่เข้ามาในภาพไม่น่าจะเป็นภาพปูจริง และคนวาดภาพรามเกียรติ์ภาพนี้ยังรู้จักปูน้อยไปหน่อย  ;D

ถือโอกาสแยกกระทู้เสียเลยค่ะ

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6107.msg137735;topicseen#msg137735 (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6107.msg137735;topicseen#msg137735)

พาเพื่อนมาเข้าคอลเลคชั่นของคุณเพ็ญชมพู

เมื่อวันที่ 14 ต.ค.ชาวบ้านจำนวนมากแห่มาดูปลาไหลประหลาดสีทองเหลืองอร่ามที่วัดเบิกไพร ต.เบิกไพร อ.จอมบึง จ.ราชบุรี จึงได้เดินทางไปตรวจสอบพบว่าชาวบ้านกำลังมุงดูปลาไหลสีทองตัวใหญ่ ที่อยู่กะละมัง ซึ่งปลาไหลตัวดังกล่าวมีน้ำมากกว่า.......
อ่านต่อได้ที่ :
http://bit.ly/1xOcFWv (http://bit.ly/1xOcFWv)

ปลาไหลนา Monopterus albus ปรกติก็พบได้หลายสีทั้งดำ ด่าง ทอง ก็ไม่ใคร่แปลกประการใด

แต่ที่คนมาจุดธูปไหว้ปลาไหลนี้ นี่ซิแปลก  ;)

ซ้าย - จังหวัดอ่างทอง   ขวา - จังหวัดเลย  พ.ศ. ๒๕๕๕ (http://lotto.horoworld.com/11202_%E0%B8%AE%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AE%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%9A-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7)

ผมเห็นเลข 9 กับเลข 6     96 แน่ๆ

พาเพื่อนสีฟ้า blue ribbon eel มาเข้าคอลเลคชั่นคุณเพ็ญชมพู
ไม่ทราบว่าเป็นเลขอะไรคะ

ปลาไหลริบบิ้น Rhinomuraena quaesita เป็นปลามหัศจรรย์ทีเดียว สามารถเปลี่ยนเพศและสีไปตามวัย

(๑)เมื่อยังเล็กลำตัวเป็นสีดำ โดยที่ไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย  (๒)เมื่อโตขึ้น ลำตัวเป็นสีน้ำเงินและเป็นตัวผู้  (๓) เมื่อมีอายุมากขึ้นอีก ลำตัวเป็นสีเหลืองและกลายเป็นตัวเมีย

เรื่องนี้ต้องถามคุณชายประกอบ อาจารย์ใบ้หวยคนใหม่ งวดที่แล้วให้เลข ๙ ถูกไปหนึ่งตัวแล้ว  ;)

ข่าวจาก ไทยรัฐ (http://www.thairath.co.th/content/456897)

ชาวประมงรุ่นใหญ่พบ 'สัตว์ประหลาด' รูปร่างคล้ายปลาดาว แถมมีหนวดยั้วเยี้ยขยับไปมาได้ ขณะจับปลา คาดอาจเป็น 'เอเลี่ยน' หรือ 'สัตว์กลายพันธุ์' ชนิดใหม่

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่านายออง ฮาน บูน ชาวประมงวัย ๕๔ ปี สามารถจับ 'สัตว์ประหลาด' ซึ่งมีลักษณะคล้ายปลาดาว แต่ที่มีหนวดรูปร่างคล้ายแขนกว่า ๑๐๐ เส้น เหมือนปลาหมึก แถมหนวดทุกเส้นก็สามารถขยับไปมาได้ ขณะที่เขากำลังจับปลาเพื่อนำมาทำเป็นอาหารกลางวัน อยู่บริเวณจุดจับปลาที่เขาโปรดปราน บริเวณเกาะเซนโตซา ประเทศสิงคโปร์

นายบูนเล่าว่าเขาสังเกตเห็นสายเบ็ดเคลื่อนที่ขึ้นลงอยู่ในทะเล คิดว่าปลามากินเหยื่อ จึงยกคันเบ็ดขึ้นจากน้ำ หวังนำปลามารับประทานเป็นอาหารกลางวัน แต่เขากลับรู้สึกตกใจมากเมื่อเห็นสิ่งที่ติดมากับคันเบ็ด เพราะมันคือ 'สัตว์ประหลาด' ที่มีแขนกว่าร้อยแขน แถมสามารถเคลื่อนที่ไปมาได้ แทนที่จะเป็นปลา เขาจึงถ่ายคลิปไว้และโพสต์ลงบนอินเตอร์เน็ต หวังให้ผู้รู้มาตอบว่าเจ้าตัวประหลาดนี้คืออะไร แต่กลับไม่มีใครรู้ แถมยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าตัวนี้ในอินเตอร์เน็ตอีกด้วย เขาจึงคิดเขาว่าเจ้าตัวประหลาดที่เขาเจอนั้นอาจจะเป็น 'เอเลี่ยน' หรือ 'สัตว์กลายพันธุ์' ชนิดใหม่ในท้องทะเล ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่รู้สึกแปลกใจ เนื่องจากทุกวันนี้มลพิษมากมายถูกปล่อยลงสู่ท้องทะเล จึงเป็นเรื่องปกติที่สัตว์น้ำจะเกิดการกลายพันธุ์

http://www.youtube.com/watch?v=BRVbv_f9oXs#ws (http://www.youtube.com/watch?v=BRVbv_f9oXs#ws)

ใครจะตอบคุณบูนและไทยรัฐได้บ้างว่า "สัตว์ประหลาด" ตัวนี้แท้จริงคืออะไร  ;)
 

ตัวนี้ใช่ไหม  basket starfish

http://www.youtube.com/watch?v=le3eQHd1B-E#ws (http://www.youtube.com/watch?v=le3eQHd1B-E#ws)

ดูเหมือนมีคนรู้จักดาวตะกร้ากันมากเหมือนกัน ข้อสำคัญทำไมสื่อถึงไม่พยายามหาคำตอบมาให้คนอ่านทราบ

บางความเห็นจาก เฟซบุ๊ก   (https://www.facebook.com/permalink.php?id=146406732438&story_fbid=10152763986182439) ;D

ถ้าได้คำตอบทันที    มันก็ไม่เป็นข่าวน่ะซิคะ

ได้คำตอบทันที ก็เป็นข่าวได้  ;D

ดาวตะกร้า Gorgonocephalus caputmedusae

(http://i.dailymail.co.uk/i/gif/2014/10/scary%20sea%20monster.gif)

จาก เดลิเมล (http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-2791070/the-discovery-terrifying-sea-monster-no-writhing-mass-tentacles-caught-singapore-coast-just-bizarre-relative-starfish.html)

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9570000123576 (http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9570000123576)

ตื่น!พบหอยกาบยักษ์ในน้ำน่าน-โตกว่าฝ่ามือ 3 ตัวหนักเป็นกิโลฯ

คุณประกอบ ได้เวลา "หอยจานเด็ด" แล้วกระมัง  ;)

ภาพจาก บล็อกคุณฝน (http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=fonrin-june&month=02-2010&date=19&group=16&gblog=33)

พบปลาไหลสีทองที่อำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง  ถูกนำมาเลี้ยงไว้ภายในกะละมังพลาสติกสีดำ โดยด้านหน้ามีการนำธูปเทียนมาจุดกราบไหว้บูชา และมีชาวบ้านมานั่งห้อมล้อมกันตามความเชื่อ พร้อมทั้งใช้มือลูบคลำตามลำตัวปลาไหล ตลอดจนถ่ายภาพเป็นที่ระลึก

นางจิดาภา เพ็งเผา ผู้พบปลาไหลดังกล่าวเล่าว่า การตรวจสอบข้อมูลทางกูเกิ้ล พบปลาไหลสีทองในประเทศไทยแค่ ๒ ตัวเท่านั้น คือ ที่จังหวัดอ่างทอง กับ เชียงใหม่ ขณะเดียวกันปลาไหลสีทองตัวนี้ ยังมีขนาดใหญ่และยาวมาก รวมทั้งยังมีผิวที่นิ่มกว่าปลาไหลทั่วไป มีแก้มโปนออกมาเห็นชัดเจน และมีดวงตาสีดำเข้มด้วย นับเป็นความแปลกประหลาดอย่างมาก จึงอยากจะเลี้ยงเอาไว้แบบนี้จนถึงที่สุด แม้ล่าสุดจะมีผู้มาติดต่อขอซื้อในราคาถึง ๕ หมื่นบาท แต่ตนก็จะไม่ยอมขายอย่างเด็ดขาด เพราะถือเป็นสิ่งที่เป็นมงคลของครอบครัว

ด้านนายอนันต์ สี่หิรัญวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดตรัง กล่าวว่า ปลาน้ำจืดชนิดไม่มีเกล็ดจะเกิดความผิดปกติของยีน หรือที่เรียกกว่าเกิดการผ่าเหล่าได้ง่ายกว่า ปลาน้ำจืดชนิดไม่มีเกล็ด เหมือนอย่างเช่นปลาไหลซึ่งเคยพบเห็นเป็นสีเผือก หรือสีทองมาบ้างแล้ว และตามธรรมชาติจะมีโอกาสเกิดขึ้นแบบนี้ได้ประมาณ ๕-๑๐ เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ทางวิชาการจึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอะไร แต่สำหรับชาวบ้านที่นาน ๆ จะเจอปลาไหลสีทอง จึงแห่กันไปมุงดูด้วยความตื่นเต้น ทั้งนี้ ผู้ที่พบสามารถนำปลาไหลตัวนี้ไปเลี้ยงในตู้ปลาได้ โดยให้อาหารสด เช่น เนื้อปลา เนื้อหอย เพียงแต่ต้องระวังเรื่องน้ำเสียเท่านั้น

จาก ข่าวสด (http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReE5EUTVNekl4TUE9PQ==&subcatid=)

ใกล้วันสำคัญของคนไทย ปลาไหลสีทองก็ออกมาให้โชคลาภ อาจารย์ประกอบมองเห็นเลขอะไรบ้าง  ;D
 

วิเคราะห์ข่าวปลาไหลสีทองครั้งล่าสุดได้ดังนี้

๑. ขอชมเชยการเสนอข่าวของ "ข่าวสด" เนื้อข่าวให้ความรู้กับประชาชนโดยอ้างคำสัมภาษณ์จากนักวิชาการประมงเรื่องความธรรมดาของปลาไหลสีทอง

๒. ปลาไหลสีทองยังเป็นสิ่งแปลกประหลาดสำหรับชาวบ้าน มีการจุดธูปเทียนบูชา ที่เพิ่มขึ้นมาคือการลูบคลำ โดยมีจุดประสงค์เรื่องโชคลาภแฝงอยู่

๓. ผู้พบพยายามเพิ่มความสำคัญของปลาไหลสีทองตัวนี้ โดยบอกว่าถามคุณกุ๊กแล้วในเมืองไทยพบปลาไหลสีทองเพียง ๒ ตัวคือที่อ่างทองและเชียงใหม่ ซึ่งความจริงพบบ่อยไป ตัวสุดท้ายของคุณเทาชมพูพบที่ราชบุรีไม่เห็นกล่าวถึง

ที่สำคัญหากมีใครมาซื้อในราคา ๕ หมื่นบาทก็ขายไปเถอะ ถือว่าปลาไหลในลาภแล้ว  

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley16.png)

ตัวนี้ซิประหลาด  ใช่ เกิดจากการผ่าเหล่าหรือเปล่า ;)

อยากกินทั้งหอยทั้งปลาไหลเลย  แต่ไอ้ตัวข้างบนขอผ่านครับ หางยาวเกิน

ถ้าสนใจข้างล่างนี้ก็ไปตั้งกระทู้ใหม่ ตามที่คุณเพ็ญชมพูเชิญชวนนะคะ

เชียร์คุณประกอบเปิดกระทู้ "หอยจานเด็ด" แล้วจะตามไปชิม  ;D

เจ้าตัวหางยาวข้างบน คงไม่มีใครจับมากิน แต่มีบางคนจับมาเลี้ยงไว้ดูเล่น  ข่าวสด  (http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hNREl4TURrMU5BPT0=) แนะนำสัตว์ประหลาดตัวนี้ไว้ดังนี้

ชาวบ้านต.ปากแพรก อ.เมือง จ.กาญจนบุรี พบเจอสัตว์ประหลาดอยู่ในห้องน้ำ มีรูปร่างคล้ายกับตัวจิ้งเหลน ลำตัวยาว ๒ นิ้ว ส่วนหางยาว ๙ นิ้ว รวมกันได้ ๑๑ นิ้ว หรือเกือบ ๑ ฟุต

ตรวจสอบจึงทราบว่าสัตว์ประหลาดชนิดนี้ คือ กระห่าง หรือ จิ้งเหลนเล็กหางยาว

กระห่างหางยาว เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีลักษณะผสมระหว่างกิ้งก่ากับจิ้งเหลน มีสีน้ำตาลทอง ใต้คางมีสีเขียวปนขาว ดวงตาทั้ง ๒ ข้างสีดำขนาดเล็ก ลำตัวยาวเหมือนงู มี ๔ ขา แต่ละขาจะมี ๕ นิ้ว แต่จะยาวไม่เท่ากัน

มีลักษณะที่พิเศษ คือ หางจะยาวกว่าลำตัวประมาณ ๔-๕ เท่า สัตว์ชนิดนี้ชอบอยู่นิ่งไม่เคลื่อนไหว ส่วนหางจะพันรอบตัว แต่ถ้าเคลื่อนไหวจะเคลื่อนตัวได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว

กระห่างหางยาวเป็นสัตว์หายาก ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ป่าสมบูรณ์ จะพบมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ในปัจจุบันจะพบได้ไม่มากนัก

กระห่างจัดอยู่ในตระกูลของจิ้งเหลน ส่วนการแพร่กระจายของกระห่างหางยาวชนิดนี้ยังไม่แน่นอน เพราะน่าจะเป็นผลรวมของจิ้งเหลน ๒-๓ ชนิด คาดว่ามีการกระจายจากศรีลังกา อินเดีย บางส่วนของปากีสถาน พม่า เวียดนาม ลาว และไทยลงไปถึงตอนเหนือของมาเลเซียในเขตพื้นที่ป่าสะแกราช พบในสภาพป่าทุกแบบ ในฤดูแล้งพบมีจำนวนไม่มากนักในป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง และป่าปลูก

อุปนิสัยมักจะซุกตัวนอนใต้กองใบไม้แห้ง ใต้ท่อนไม้ล้ม ขอนไม้ผุ ก้อนหิน และในพูพอนไม้ ไม้ต้น ไม้ขนาดใหญ่บางต้น จะหากินโดยการมุดไปตามใต้วัสดุบนพื้นดิน ไม่ค่อยเห็นตัวนัก แต่จะสังเกตได้จากการเคลื่อนไหวของใบไม้และกิ่งไม้ หากถูกรบกวนจะวิ่งมุดไปอย่างรวดเร็วเป็นระยะ ๆ แล้วจะหยุดนิ่ง แต่เมื่อติดตามมันไป มันจะวิ่งหนีไปอีกครั้งหนึ่ง และจะหยุดเป็นระยะ ๆ จนกว่าจะถึงรู หรือโพรงที่อาศัย จึงจะมุดหนีเข้าไป

กระห่างหางยาวที่พบครั้งนี้ คาดว่าอาจะมีคนนำมาเลี้ยงเอาไว้ แต่ได้หลุดออกมา สิ่งที่ดีที่สุดคือควรนำไปปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ไม่ควรนำไปเลี้ยงซึ่งอาจทำให้มันเสียชีวิตได้

http://www.youtube.com/watch?v=lfqk3t8CPr4#ws (http://www.youtube.com/watch?v=lfqk3t8CPr4#ws)

นักข่าวสาย "สัตว์ประหลาด" ของข่าวสดดูขยันขันแข็งในการหาข้อมูลมาก  ;D

หากใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ของท่านรอยอิน จะไม่พบคำว่า "กระห่าง" ในสารบบ แต่จิ้งเหลนน้อยหางยาวตัวนี้มากในนามว่า "สางห่า"

คนที่อยู่ในวงการ "สัตว์ประหลาด" คงเคยได้ยินคำกล่าวให้ร้ายจิ้งเหลนน้อยตัวนี้

สางห่า มีอันตรายร้ายกาจจริงหรือ ?

          "สางห่า" เป็นชื่อสัตว์ที่กล่าวขานร่ำลือกันว่า มีพิษร้ายกาจรุนแรงน่าสะพรึงกลัว แต่ก็ไม่มีผู้ใดยืนยันได้ว่า เป็นสัตว์ชนิดใด มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่

          เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๓๒ ราชบัณฑิตยสถานได้รับเกียรติจาก น.อ.วิโรจน์ นุตพันธุ์ กรรมการจัดทำอนุกรมวิธานสัตว์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางสัตววิทยาได้มาบรรยายทางวิชาการเรื่อง "เปิดศักราชปีมะเส็ง"   ให้คณะราชบัณฑิต ภาคีสมาชิก กรรมการ อนุกรรมการ และข้าราชการราชบัณฑิตยสถานฟังในโอกาสครบรอบ ๕๕ ปี ราชบัณฑิตยสถาน

          ในตอนหนึ่งของการบรรยาย น.อ.วิโรจน์ได้กล่าวถึงความเข้าใจและความเชื่อผิด ๆ ของคนทั่วไปเกี่ยวกับสัตว์และงูหลายชนิด สัตว์ชนิดหนึ่งที่นำมายกตัวอย่างคือ "สางห่า"

          ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคเหนือ กล่าวกันว่า สางห่าเป็นสัตว์คล้ายจิ้งเหลน จิ้งจก หรืองู ชอบอยู่ตามถ้ำหรือแอ่งน้ำในถ้ำ ตัวเล็กนิดเดียวแต่มีพิษแรงมาก บ้างว่าพิษอยู่ที่เล็บซึ่งแหลมคม  บ้างก็ว่ามีเขี้ยวพิษ บางคนว่ามีพิษที่หางเพราะยาวมาก ถ้ามันเอาหางฟาดหรือพันใครก็จะเป็นผื่นไหม้อาจถึงตาย เพียงเอาเส้นหวายไปคล้อง หวายยังถึงกับไหม้เกรียม

          พระภิกษุและพรานป่าแถบนครราชสีมาและอุทัยธานี เล่าว่า สางห่าคืองูชนิดหนึ่ง แต่มีขาเล็ก ๆ อาศัยอยู่ตามป่าหญ้าสูง ๆ เกาะอยู่กับหญ้ากอใด หญ้ากอนั้นก็จะเฉาตาย แล้วมันก็จะย้ายไปเกาะอาศัยหญ้าสดกออื่น ๆ ต่อไป

          ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือบางท้องที่และภาคตะวันตก เช่น กาญจนบุรี และที่ระนอง มีผู้เข้าใจว่า สางห่า คือ คากคกป่า ซึ่งมีพิษ และส่งเสียงร้องคล้ายเสียงสุนัขเห่า

          นอกจากนี้ยังมีผู้กล่าวถึงสางห่าในลักษณะต่าง ๆ อีกมาก ซึ่งสรุปได้ว่า สางห่าอาจเป็นงู จิ้งเหลน (งูมีขา) หรือคางคก แต่เมื่อขอให้นำตัวจริงมายืนยันกัน ก็มักไม่สามารถหามาให้ได้ เพราะเป็นเพียงการได้ยินเขาเล่าว่า สืบต่อกันมาเป็นส่วนใหญ่ เท่าที่มีผู้นำตัวจริงที่ยังมีชีวิตอยู่ และตัวอย่างจริงที่ดองไว้มาให้ดู ก็ได้รับการยอมรับเป็นส่วนใหญ่ว่า สางห่า คือ จิ้งเหลนหางยาว (Takydromus sexlineatus )

          ในการประชุมคณะกรรมการจัดทำอนุกรมวิธานสัตว์ เพื่อชำระชื่อพรรณสัตว์ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ที่ประชุมได้พิจารณาคำอธิบาย "สางห่า" กันอย่างรอบคอบ โดยนำตัวจริงซึ่งยังมีชีวิตอยู่มาดูลักษณะกันอย่างใกล้ชิด ในที่สุดได้อธิบายคำ "สางห่า" ไว้ดังนี้

          "สางห่า (ถิ่น-อีสาน) น. ชื่อเรียกจิ้งเหลนหางยาวชนิด Takydromus sexlineatus ในวงศ์ Lacertidae พบทุกภาคของประเทศไทย ตัวเล็ก หางยาวประมาณ ๕ เท่าของความยาวลำตัว ที่เรียกสางห่าเพราะเข้าใจผิดว่ามีพิษร้ายแรง"

          สางห่าเมื่อโตเต็มวัย ลำตัวขนาดประมาณเท่าหลอดดูดกาแฟ ความยาวจากปลายจมูกถึงทวารยาวประมาณ ๓๕ เซนติเมตร หัวค่อนข้างโตเมื่อเทียบกับขนาดลำตัว ปากแหลม เกล็ดหยาบ รอยต่อระหว่างเกล็ดยกเป็นสัน หางแข็งแรง ยาว และไม่ขาดง่าย มองเผิน ๆ จะเห็นว่า สางห่ามีสีน้ำตาล แต่เมื่อสังเกตจะเห็นลายเส้นสีครีมพาดจากท้ายมาถึงโคนหาง และลายเส้นสีน้ำตาลเข้มจากปลายจมูกพาดผ่านตา ช่องหู ปาก ใต้คาง และท้องขาว ขาและหางสีน้ำตาลอ่อนตัวผู้มักมีสีขาวอ่อนบริเวณข้างลำตัว

          โดยปรกติสางห่าจะอาศัยอยู่ตามป่าหญ้าและละเมาะไม้พุ่มเตี้ย มักไม่ค่อยขึ้นอาศัยตามต้นไม้สูง ชอบนอนผึ่งแดดอ่อน ๆ ตามยอดพุ่มไม้และกอหญ้าโดยใช้หางพาดระหว่างใบหญ้า และปล่อยตัวแขวนลอยเป็นอิสระ เหวี่ยงตัวแว้งงับกินแมลงได้อย่างรวดเร็ว สางห่าออกไข่ครั้งละ ๒-๔ ฟอง ในประเทศไทยพบทั่วทุกภาค แม้แต่ในกรุงเทพมหานคร

          "สางห่า" ไม่มีพิษ ไม่ดุ ไม่กัด และไม่มีอันตรายแต่อย่างใด แต่กลับมีประโยชน์อยู่บ้างที่ช่วยกินแมลงศัตรูพืชบางชนิด.

ที่มา : จดหมายข่าวราชบัณฑิตยสถาน  ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๓, กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ (http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=682)

โถ! เจ้าจิ้งเหลนน้อยผู้น่าสงสาร   ;)  :P
 
  

ชื่อที่ท่านรอยอินเลือกมาใช้เลือกดูจะโหดไปหน่อย และเพราะว่ามันชอบอยู่ตามพื้นหญ้าบางคนจึงเรียกมันว่า "กิ้งก่าหญ้า" ดูน่ารักขึ้นมาหน่อย

(http://ptcdn.info/emoticons/animation/emo-kratong.gif) "สุขสันต์วันลอยกระทง" แด่ชาวเรือนไทยทุกท่าน   (http://ptcdn.info/emoticons/animation/emo-kratong.gif)

สื่อสมัยนี้ไม่รู้จักตัวสงกรานต์  ต้องไปหาหนังสือของคุณครูอบ ไชยวสุ มาอ่าน
ท่านบรรยายถึงความสวยของสีสันตัวสงกรานต์เอาไว้น่าทึ่งมาก 

http://www.naewna.com/local/129886 (http://www.naewna.com/local/129886)

พญานาคมาอีกแล้ว

http://www.posttoday.com/%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A1.-%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99/329001/%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2 (http://www.posttoday.com/%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A1.-%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99/329001/%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%B2)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley04.png)

น่าจะเป็นรอยตะขาบยักษ์เลื้อยบนดินเปียกหมาด ๆ พอแห้งรอยก็ยังปรากฏอย่างที่เห็น   ;D

รบกวนคุณเพ็ญอธิบายให้ฟังหน่อยครับว่าตัวสงกรานต์มัน "หาย" ไปได้อย่างไร เห็นในเด็กคลองบางหลวงท่านเล่าเอาไว้ว่า ตักใส่ในถังน้ำ พอลับตาก็ 'ละลาย' หายไปหมด มันจะคลานออกไปหรือ decompose เร็วขนาดนั้นเชียวหรือ ผมข้องใจมานานแล้วครับ

อีกเรื่องหนึ่งทำไมมันถึงมีเฉพาะช่วงเวลานี้ครับ ตัวสงกรานต์ของไทยทางวิทยาศาตร์มีการศึกษาแล้วหรือยังครับ หาลุงกุ๊กดูมีแต่อะไรไร้สาระเต็มไปหมดครับ ขอบคุณครับ

ก่อนอื่นขอแก้ไขข้อมูลเก่า ใน # ๒๕๓ ที่ว่า ตัวสงกรานต์ อยู่ใน วงศ์ Syllidae  แก้เป็น วงศ์ Phyllodocidae

บทความของ อาจารย์ ดร.ณัฐพล อ่อนปาน  (https://nuttpo.wordpress.com/tag/ตัวสงกรานต์/)คงไขข้อข้องใจให้คุณโฮโบได้  ;D

ตัวสงกรานต์ของนักชีววิทยา

หากได้เห็นตัวสงกรานต์ตอนนี้ นักเรียนวิชาชีววิทยา ความหลากหลายของสัตว์ น่าจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรสัตว์ (Animal Kingdom) ไฟลัมแอนีลิดา (Phylum Annelida) หรือเรียกว่าเป็นพวก “หนอนปล้อง” ในภาษาไทยแบ่งออกเป็นสามคลาส แต่เจ้าตัวสงกรานต์นี้จะอยู่ในคลาส โพลีคีตา (Class Polychaeta) ซึ่งแตกต่างจากคลาสอื่นที่เหลือตรงที่จำนวนของ “เดือย” หรือซีเต้ (setae) นั้นมีจำนวนมากกว่าสัตว์ในไฟลัมนี้จากคลาสอื่น ๆ

มีผู้เชี่ยวชาญเรื่องโพลีคีต (polychaete) เช่นตัวสงกรานต์นี้ว่ามันเป็นสัตว์ในวงศ์ฟิลโลโดซิดี (Family Phyllodocidae) และอยู่ในสกุล (Genus) Phyllodoce

เวลาไปค้นดูเองอาจพบว่าชื่อสกุลมันเหมือนกับพืชดอกพวกเมาเทนฮีท (mountainheath) ระวังจะสับสนเพราะมันเป็นไปได้ที่จะใช้ชื่อสกุลเหมือนกัน แต่จะไม่เหมือนกันแน่ๆหากรวมชื่อสปีชีส์เข้าไปด้วย

ยังหาไม่พบข้อมูลที่จำแนกว่า “ตัวสงกรานต์” หมายถึง Phyllodoce sp. ไหนกันแน่

มันคงไม่ได้ปรากฎขึ้นมาในวันสงกรานต์แต่เพียงวันเดียว แต่สามารถพบได้ในช่วงนั้น ก่อนหน้านี้มันคงอยู่ไกลจากชุมชน เช่นในทะเล แต่ในหน้าแล้งเช่นช่วงเดือนเมษายน น้ำทะเลอาจหนุนสูง เพราะปราศจากน้ำจืดไปช่วยผลักดัน ทำให้พวกมันเข้ามายังแม่น้ำลำคลองได้ อาจเกี่ยวข้องกับการเข้ามาเพื่อผสมพันธุ์ ซึ่งอาจอธิบายถึงการมีสีเหลือบรุ้งว่าอาจเกี่ยวข้องกับการสืบพันธุ์ด้วยก็เป็นได้

พอจับมัน มันก็หลุดเป็นชิ้นๆ ก็ตรงกับธรรมชาติในฤดูผสมพันธุ์ของมันที่ว่าปล้องส่วนใหญ่ของมันเต็มไปด้วยไข่สุก หรือสเปิร์มที่พร้อมผสมพันธุ์ แต่มันต้องให้ปล้องหลุดและผนังลำตัวแตกออกเพื่อปล่องไข่และสเปิร์มออกสู่สิ่งแวดล้อม และเกิดการปฏิสนธิกัน ซึ่งอธิบายว่าทำมันถึงได้เปราะบางถึงกับหลุดเป็นชิ้น ๆ ได้นั่นเอง

คนละตัวกับ…

“ตัวสงกรานต์” เป็นคนละตัวกับ “ตัวร้อยขา” ที่มักเป็นข่าวว่าโผล่มาจากก็อกน้ำประปา ซึ่งเราคาดว่ามันคงหลุดเข้าไปเพราะรอยแตกระหว่างทาง แต่มันเป็นสัตว์พวกเดียวกันกับตัวสงกรานต์เพียงแต่ว่าคงเป็นคนละชนิดกัน (แต่อย่างไรก็ต้องให้มีการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อยืนยันหรือปฏิเสธจากผู้เชี่ยวชาญเสียก่อน)

“ตัวสงกรานต์” ยังเป็นคนละตัวกับ “แม่เพรียง” ซึ่งอย่างหลังนั้นเป็นสัตว์ในสกุล Neresis คนละสกุลกับตัวสงกรานต์

ตัวอย่างของสัตว์ในสกุล Phyllodoce

Phyllodoce citrina

ขอบพระคุณครับ อาจารย์ตื่นเช้าจังครับ
เข้าใจตรงที่ว่ามันสลายตัวไปแล้วครับ
ผมยังสงสัย 'ตัวสงกรานต์ในอดีต' ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร หวังว่าสักวันคงจะได้เห็นครับ

ตัวนี้วงศ์เดียวกันกับที่อ.เพ็ญแนะนำ มีลายเหลือบรุ้งด้วย คงคล้ายๆ ตัวนี้กระมังครับ


http://www.roboastra.com/Worms/images/hpwo350.jpg (http://www.roboastra.com/Worms/images/hpwo350.jpg)

สัตว์สีทองมาอีกแล้ว  "ม้าน้ำสีทอง"  

ข่าวจาก มติชน

ประมงอือฮา! พบม้าน้ำสีทองอร่ามกลางทะเลชุมพร เผย!เป็นสัตว์หายาก พบในรอบ ๕๐ ปี (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1415712376)

http://www.youtube.com/watch?v=5eTKBWaoveI#ws (http://www.youtube.com/watch?v=5eTKBWaoveI#ws)

"ม้าน้ำสีทอง" จะว่าประหลาดก็ประหลาด อย่างน้อยก็ประหลาดว่า "ปลาไหลสีทอง" ที่ผ่านมา แต่ที่ประหลาดกว่าเป็นอมตะนิรันดร์กาลเห็นจะเป็นคนที่มาจุดธูปของตัวเลขนี่แหละ  ;D

ป.ล. หากสนใจเรื่องตัวเลขให้อ่านข่าวของ "ไทยรัฐ" (http://www.thairath.co.th/content/462777) ไม่พลาดเป็นแน่แท้ ๕ ๕ ๕ ;)

สัตว์ที่ชาวบ้านเห็นเป็น "สีทอง" เช่น ปลาไหล หรือ ม้าน้ำ นักชีววิทยาเขาเห็นเป็น "สีเหลือง"

อย่างม้าน้ำตัวที่เป็นข่าวนี้ มีชื่อสามัญในภาษาไทยว่า ม้าน้ำธรรมดา, ม้าน้ำดำ ส่วนในภาษาอังกฤษคือ common seahorse, estuary seahorse, yellow seahorse และชื่อวิทยาศาสตร์คือ Hippocampus kuda ลำตัวมีหลายสี เช่น ดำ เหลือง ม่วง น้ำตาลแดง และสามารถเปลี่ยนสีตามสภาพแวดล้อมได้

ภาพจาก คลังภาพของคุณกุ๊ก (https://www.google.co.th/search?q=hippocampus+kuda&biw=1024&bih=653&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ei=zHdlVLSeGc-HuATJl4Ew&ved=0CAYQ_AUoAQ)  ;D

ยังมีม้าน้ำสีเหลืองอีกตัวหนึ่ง เรียกในภาษาไทยว่า ม้าน้ำเหลือง ชื่อภาษาอังกฤษคือ Barbour's seahorse ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hippocampus barbouri พบได้ในทะเลแถบอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และบางส่วนในประเทศมาเลเซีย แต่ไม่พบในน่านน้ำไทย  ;D

ด้วยความคิดสร้างสรรค์เชิงศิลปะ เอ็มมา เฟย์ ศิลปินวาดภาพบนเรือนกาย วัย ๒๗ ปี ขาวอังกฤษ ได้ สร้างสัตว์นานาชนิดบนเรือนกายของนางแบบ เช่น ม้าลาย ลิง แมลงปอ ปู แมงมุม ยีราฟ รวมถึงม้าน้ำของเราด้วย  ;D

รายละเอียดอยู่ที่ เดลิเมล (http://www.dailymail.co.uk/news/article-2829702/Walking-animals-Body-artist-transforms-models-beasts-zebra-seahorse-mind-bending-optical-tricks.html#v-3885698262001)

http://www.youtube.com/watch?v=1kfw8P53yG0#ws (http://www.youtube.com/watch?v=1kfw8P53yG0#ws)

แต่เชื่อไหมว่า

คนเรามี "ม้าน้ำ" อยู่ในร่างกายของเราจริง ๆ  ;)

ซ่อมคลิปข้างบน  ;D

http://www.youtube.com/watch?v=qFnAaaMY7Q8#ws (http://www.youtube.com/watch?v=qFnAaaMY7Q8#ws)


ขวามือคือม้าน้ำจากทะเล ส่วนซ้ายมือคือม้าน้ำที่ธรรมชาติฝากไว้ในกายเรา

เคยเล่าไว้ในกระทู้นี้แล้วครั้งหนึ่ง  ใครจำได้ยกมือขึ้น  ;)

ม้าน้ำมีอยู่เพียงสกุลเดียวคือ Hippocampus ส่วนมากอยู่ในทะเล แต่มีอยู่ชนิดหนึ่งอยู่ในกายเรา แต่ละคนมีส่วนที่เรียกว่า Hippoampus ซึ่งเรียกตามลักษณะซึ่งเหมือนม้าน้ำอยู่ในสมองคนละ ๒ ตัว  ;D


http://www.youtube.com/watch?v=WmzU47i2xgw#ws (http://www.youtube.com/watch?v=WmzU47i2xgw#ws)

พามาหรือยังคะ ตัวนี้ หรือควรจะพาไปกระทู้ปูจานเด็ด ดี

เคยมาแล้วจ้า  ;D

คุณนวรัตนก็จัดการเอามาขึ้นโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้วจ้า  ;)

ปูที่น่าจะเรียกว่า "ปูมะพร้าว" ได้เหมือนกัน คือปูในสกุล Calappa ซึ่งมาจากภาษามาเลย์ kelapa แปลว่า "มะพร้าว" คงได้มาจากรูปร่างที่เหมือนมะพร้าว

ตัวนี้คือ Calappa calappa

http://www.youtube.com/watch?v=qUqEZpi6hok#ws (http://www.youtube.com/watch?v=qUqEZpi6hok#ws)

ชื่อสามัญในภาษาอังกฤษก็มาจากรูปร่างเหมือนกัน  box crab เพราะว่าเหมือนกล่อง และนิสัยที่ชอบเอาก้ามปิดหน้าคล้ายกับอายผู้คนจึงชื่อว่า shame-faced crab ชื่อไทยคือ ปูฤๅษี  ปูหน้าหลบ  ;D

ทุกวันแห่งความหวังของคนไทยมักมีสัตว์ประหลาดโผล่มาทักทายอยู่เสมอ  

เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาเป็นคิวของ "จิ้งจกสีแดง"

๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ที่ภูเก็ต (http://www.springnews.co.th/local/southern/160475)

http://www.youtube.com/watch?v=yyRm0HSkrn0#ws (http://www.youtube.com/watch?v=yyRm0HSkrn0#ws)

๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ที่สุโขทัย (http://www.springnews.co.th/local/northern/166005)

http://www.youtube.com/watch?v=WEvRVq2N_Y4#ws (http://www.youtube.com/watch?v=WEvRVq2N_Y4#ws)

คุณกุ๊ก  (https://www.google.co.th/search?q=%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87&hl=th&gbv=2&oq=&gs_l=) รายงานว่า จิ้งจกสีแดงพบได้ทุกปี  เริ่มเป็นข่าวตั้งแต่ปี ๒๕๕๒ ที่อยุธยา ปี ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๖ ที่นครศรีธรรมราช  

จบรายงานข่าว   ;)

"จิ้งจกสีแดง" ปรากฏตัวอยู่แทบทุกปี จนคนไม่ใคร่จะตื่นเต้นแล้ว

ต้องสัตว์สีแปลกตัวใหม่นี้ "แมวสีเขียว" ดูเหมือนมันจะดังไปทั่วโลกแล้ว มันเป็นแมวจรจัดแห่งเมือง Varna เมืองตากอากาศริมฝั่งทะเลดำของประเทศบัลกาเรีย แรก ๆ ผู้คนโวยวายกันใหญ่เพราะคิดว่ามีคนมือบอนจับเจ้าแมวตัวนี้ไปย้อมขน แต่ในที่สุดความจริงก็ปรากฎว่ามันทำตัวของมันเองแท้ ๆ สีเขียวนี้เกิดจากการที่มันชอบไปนอนบนกองสีในโรงรถร้างนั่นเอง  ;D

http://www.youtube.com/watch?v=-OJMIqVrON0#ws (http://www.youtube.com/watch?v=-OJMIqVrON0#ws)

กาฬสินธุ์-ชาวบ้านแตกตื่นจับกิ้งก่ายักษ์ยาวกว่า 2เมตร     วอนหน่วยงานรัฐช่วยตรวจสอบเป็นสัตว์สงวนหรือไม่

เมื่อวันที่11ธ.ค.57 ชาวบ้านปากน้ำ หมู่ 12 ต.กมลาไสย อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ จับกิ้งก่ายักษ์ได้ 1 ตัว
อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1Gf2Cyg (http://bit.ly/1Gf2Cyg)

กิ้งก่ายักษ์ของคุณเทาชมพูคือ อิกัวนา (Iguana) Iguana iguana เป็นสัตว์พื้นเมืองแถวอเมริกากลางและใต้ ไม่ถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง

มีสัตว์พื้นเมืองของเราอยู่ตัวหนึ่งรูปร่างหน้าตาคล้ายอิกัวนาแต่เล็กและดุกว่าชื่อว่า "ตะกอง" Physignathus cocincinus ตัวนี้แหละเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองมีชื่ออยู่ใน บัญชีแนบท้าย กฎกระทรวง กำหนดให้เป็นสัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง พ.ศ. ๒๕๔๖  (http://www.verdantplanet.org/protect/protectedanimal.php) ตาม พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕  (http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2535/A/015/1.PDF)  ประเภทสัตว์เลื้อยคลาน ลำดับที่ ๔๑  ;D

เดี๋ยวนี้ อิกัวนา ไม่น่าเป็นสัตว์แปลกประหลาดอันใด เพราะเห็นมีเลี้ยงกันเกร่อไป  ตะกอง เสียอีกเดี๋ยวนี้หาดูได้ยาก

ลำน้ำที่มีต้นกำเนิดจากเขาใหญ่ ไหลผ่านปากช่อง มีชื่อว่า "ลำตะคอง" น้อยคนจะทราบว่ามีที่มาจากชื่อเจ้ากิ้งก่ายักษ์ "ตะกอง" ตัวนี้นี่เอง

http://www.youtube.com/watch?v=xmI9LwIW-lo#ws (http://www.youtube.com/watch?v=xmI9LwIW-lo#ws)

เรื่องของสัตว์สีแปลกยังไม่จบ

เมื่อ ๖ ปีแล้ว (พ.ศ. ๒๕๕๑) กรณีสัตว์มีสีแปลกก็เคยมีปรากฏในอังกฤษ ที่โรงเรียน Meoncross  เมืองStubbington  มณฑล Hampshire มีกระรอกตัวหนึ่งซึ่งใคร ๆ ที่นั่นเรียกว่า พีท Pete สร้างความฮือฮาให้ทั้งครูและนักเรียน เพราะสีตัวของมันแทนที่จะเป็นสีเทาตามปรกติ กลับเป็นสีม่วง  ไม่มีใครทราบแน่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพีท บางทีอาจจะเป็นกรณีเดียวกับแมวสีเขียวแห่งเมือง  Varna ก็เป็นได้

รายละเอียดหาอ่านได้ใน เดลิเมล  (http://www.dailymail.co.uk/news/article-1099282/Pete-purple-squirrel-leaves-animal-lovers-baffled.html)  ;D

ส่งเข้าร่วมประกวดสัตว์สีแปลก

ทีแรกว่าจะเอาตัวนี้ไว้ใน "สัตว์น่ารัก" กับเพื่อนๆของมันที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ   แต่มองยังไงก็ไม่น่ารัก เลยย้ายมาที่กระทู้นี้
เคยมาเยือนกระทู้สัตว์ประหลาดรึยังคะ

เต่ายักษ์?

เที่ยวนี้คุณเทาชมพูพามาจากญี่ปุ่นเพิ่มอีก ๒ ตัว ไม่ค่อยประหลาดเท่าไร อิอิ

ตัวแรก ปลาไหลมอเรย์ลายจุด  (http://www.photomazza.com/Gymnothorax-isingteena) spotted moray eel   Gymnothorax isingteena

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5920.0;attach=53367;image)

http://www.youtube.com/watch?v=F-TSmM2bm5A#ws (http://www.youtube.com/watch?v=F-TSmM2bm5A#ws)

ตัวที่สอง เต่าหัวค้อน  (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99) Loggerhead turtle  Caretta caretta

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5920.0;attach=53368;image)

http://www.youtube.com/watch?v=IIjk84-hxE0#ws (http://www.youtube.com/watch?v=IIjk84-hxE0#ws)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

พญานาคมาอีกแล้ว

http://www.nationtv.tv/main/content/social/378436587/ (http://www.nationtv.tv/main/content/social/378436587/)

ชาวหนองคายแห่ดูรอยพญานาค
by Nation TV | วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑๒:๔๐ น.

ชาวบ้านว่า บ้านปะโค ต.ปะโค อ.เมืองหนองคาย ได้พบรอยประหลาด บนฝาท้ายรถยนต์กระบะฟอร์ด เรนเจอร์ หมายเลขทะเบียน กค ๓๒๑๒ หนองคาย ของนางกัลญา โคธิเสน อายุ ๔๑ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๗๐ หมู่ ๕ บ้านปะโค โดยที่กระจกประตูด้านหลังของหลังคารถ มีลักษณะคล้ายรอยสัตว์เลื้อยคลานกว้างประมาณ ๔ นี้ว เลื้อยคดเคี้ยวไปมาจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง

ข่าวเนชันเอากับเขาด้วย มีตัวเลขให้เลือกในวันแห่งความหวังอยู่หลายตัว  

ชาวบ้านแห่ขอหวยตามระเบียบ ภาพจาก ไทยรัฐ (เจ้าเก่า) (http://www.thairath.co.th/content/469046)  ;D

เลขเด็ดจากพญานาค คงทำให้เหล่าลูกช้างเศร้ากันไปตาม ๆ กัน  ;D

ขออนุญาตเล่าเรื่องสัตว์สีแปลกต่อ

ความเดิมตอนที่แล้วกล่าวถึง "พีท" กระรอกสีม่วง

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5920.0;attach=53317;image)

ห้าปีก่อนมีข่าวเรื่องของ "พีท"  คือเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๖ มี ข่าวของหมีสีม่วงตัวหนึ่งชื่อ Pelusa  (http://www.nwbotanicals.org/mediawatch/purplebear.htm) เป็นหมีขั้วโลกสาวใหญ่วัย ๒๓ ปี แห่งสวนสัตว์เมนโดซา ประเทศอาร์เจนตินา ต้องแปรสภาพจากขนสีขาวเป็นสีม่วงด้วยสาเหตุสำคัญมาจากการรักษาโรคผิวหนังด้วยยาม่วง (gentian violet – ยาตัวนี้นิยมใช้ป้ายลิ้นเด็กกรณีเป็นฝ้าหรือเป็นแผล)  

Pelusa เสียชีวิตแล้วด้วยโรคมะเร็งเมื่อ ๒ ปีที่แล้ว (พ.ศ. ๒๕๕๕)

ปลาบึก?

เป็นปลาบึกที่เขาเอาไปปล่อยไว้ในเขื่อนบางลาง ที่ยะลา  ;D

อึ้ง!!! ชาวบ้านตะลึง!! "ปลาบึกยักษ์" โผล่ หลังเปิดประตูระบายน้ำเขื่อนบางลาง !!  (http://disaster.tnews.co.th/content/122377/)

ส.ค.ส. ๒๕๕๘ แด่ชาวเรือนไทยทุกท่าน  ;D

วันวารล่วงผ่านพ้น         ขวบปี
ด้วยรักพรมากมี           ฝากไว้
ตั้งใจแต่ทำดี              ผลส่ง
เพื่อนเพื่อนเรือนไทยให้    สุขล้นเกษมศานติ์

เริ่มต้นปีใหม่ด้วยกายกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเจ้าของปี  ;D

ฮือฮา แพะ "พิสดาร" "หมุนคอ ๓๖๐ องศา" (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1414731981)

http://youtube.com/watch?v=y47DBTG8Ems#ws (http://youtube.com/watch?v=y47DBTG8Ems#ws)

ขอรับพรด้วยความเต็มใจ  และขอให้พรนี้คืนกลับสู่คุณเพ็ญชมพูและครอบครัวเช่นกัน

ป.ล. 
ส.ค.ส. มีฉากหลังเป็นบ้านดูคุ้นๆ

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

บ้านนี้ปลูก"เพ็ญชมพู" เอ๊ย พวงชมพู ด้วย
นอกเหนือจากสัตว์ประหลาดบ้าง สัตว์น่ารักบ้าง ที่เล่นกันอยู่เต็มสนาม

ไดโนเสาร์แสนงามที่ปากช่อง  ;D

เคยเฉลยแล้วว่า "งูมีขา" ตัวข้างบนคือตัวอะไร  แล้วตัวข้างล่างนี้ล่ะ ใครพอจะบอกได้บ้างว่าคือตัวอะไร  ;D

ฮือฮา ลำปางพบสัตว์แปลกคล้ายงู แต่มีขาหน้า ๒ ขา (http://news.sanook.com/1717677/)

^
อี๋ย...

มาดูนี่ดีกว่า
ปลาฉลามดึกดำบรรพ์

'Horrific' rarely-sighted frilled shark caught off south-east Victoria (http://www.youtube.com/watch?v=Ka8Mi3cvZ3g#ws)

ปลาฉลามดึกดำบรรพ์ตัวนี้มาเรือนไทยบ่อยมาก ทั้งสภาพที่เป็นโครงกระดูกและตัวเป็น ๆ   ;D


http://www.youtube.com/watch?v=8SGnzBPqutQ#ws (http://www.youtube.com/watch?v=8SGnzBPqutQ#ws)

น่าจะเป็นตัวนี้มากที่สุด


http://www.youtube.com/watch?v=koPu1PYVHDE&feature=related#ws (http://www.youtube.com/watch?v=koPu1PYVHDE&feature=related#ws)

อย่าลืมน้องงูมีขา ช่วยวิสัชนาหน่อยว่ามันคือตัวอะไร  ;)

ถึงเวลาที่ต้องเฉลย

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5920.0;attach=54040;image)

งูประหลาดมีขา ไม่ใช่ตัวประหลาดอะไร

เพียงแต่มันเขมือบคางคกเข้าไปยังไม่หมดคำเท่านั้น เหตุการณ์ก่อนหน้านั้นคงดำเนินไปดังภาพงูกำลังจัดการกับกบข้างล่าง   ;D

จาก ข่าวสด (http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObWIzSXpOVEl5TURFMU9BPT0=)

ไส้เดือนเขมร

ไส้เดือนยักษ์ Ichthyophis cardamomensis เป็นไส้เดือนสายพันธุ์ใหม่ที่มีขนาดยาวได้ถึง ๑.๕ เมตร พบในภูเขาพนมกระวาน หรือทิวเขาบรรทัด จังหวัดโพธิสัตว์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศกัมพูชา แต่กลับเสี่ยงสูญพันธุ์เพราะอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าซึ่งถูกรุกล้ำอย่างต่อเนื่อง (ภาพ-เอเอฟพี)

ข่าวสดพลาดแล้ว สัตว์ในสกุล Ichthyophis ไม่ใช่ไส้เดือน  งูดินหรือก็ไม่ใช่  แล้วเป็นตัวอะไรเล่า โปรดติดตามคำเฉลยในตอนต่อไป  ;D

คำเฉลย สัตว์ในสกุล Ichthyophis เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเช่นเดียวกับสัตว์จำพวก กบ เขียด มีชื่อเรียกสามัญในภาษาไทยว่า เขียดงู  ในบ้านเราที่พบเห็นทั่วไปคือ เขียดงูเกาะเต่า (common caecilian) Ichthyophis kohtaoensis

http://www.youtube.com/watch?v=qvrXn-61Au0#ws (http://www.youtube.com/watch?v=qvrXn-61Au0#ws)

ภาพจาก  bangkokherps.wordpress.com  (https://bangkokherps.wordpress.com/2012/04/15/yellow-striped-caecilian/)

ข่าวจาก เอ็มไทย (http://news.mthai.com/world-news/418447.html)

ซู บัทเลอร์ คุณแม่ลูกสองชาวอังกฤษต้องตกใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อเปิดทูน่ากระป๋องแล้วพบสัตว์ประหลาดตัวน้อยดวงตาแป๋วแหววอยู่ข้างใน ซูเล่าว่าเมื่อสายตาได้ไปสัมผัสกับเจ้าตัวประหลาดนั้นเข้า ก็ทำเอาขนลุกขนพองขึ้นมาทันที เท่านั้นยังไม่พอ เจ้าสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดกลับไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวแต่ประการใด แถมยังส่งสายตามาหาชนิดที่เรียกได้ว่า สบตาตลอดเลยทีเดียว

หลังจากนั้นเธอจึงรีบโทรศัพท์ไปร้องเรียนกับบริษัททูน่ากระป๋อง และได้เก็บเจ้าตัวประหลาดไว้ในกระป๋องตามเดิม  ล่าสุดบริษัทผู้ผลิตได้ออกมาขอโทษและขอเวลาตรวจสอบว่ามันคือตัวอะไรกันแน่

ชาวเรือนไทยช่วยบอกคุณซูทีว่าเจ้าของดวงตาแป๋วแหววคู่นี้คือตัวอะไร  ;D

หมัดปลาครับ เกาะอยู่ตามลิ้นปลา เป็นปรสิตปลาแบบหนึ่ง พบได้ทั่วไปในปลา ทูน่าเคราะห์ร้ายตัวนี้คงมีไอ้ตัวนี้อยู่ด้วยเอาออกไม่หมด เลยหลงเข้ากระป๋องไปด้วย กินได้ไม่มีพิษ


ตอบได้แล้วไม่ทราบของรางวัลเป็นอะไรครับ  ;D  ;D

เพิ่งเจอข่าวตอนค่ำเพราะวันนี้ลงเรือนไปทั้งวัน   กำลังจะพาเจ้าตัวในกระป๋องทูน่ามาแนะนำ
ก็พบว่าเขาเฉลยกันไปเรียบร้อยแล้ว  ทั้งหมอและว่าที่ดร.

หมัดปลาของคุณประกอบคงหมายถึง ตัวกัดลิ้น (tongue biter) หรือ แมงกินลิ้น (tongue-eating louse) Cymothoa exigua ซึ่งเป็น isopod ชนิดหนึ่ง เป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับพวกกุ้ง กั้ง ปู มันจะเกาะที่ลิ้นปลาทะเล ดูดเลือดจนลิ้นฝ่อ มันก็ทำหน้าที่เป็นลิ้นปลาต่อไป  ในปลาทูก็พบได้บ่อย ๆ  หากทำให้สุกก็รับประทานได้ รสชาติน่าจะใกล้เคียงกับกุ้งเนื่องจากมันเป็นสัตว์ในตระกูลเดียวกัน ;)

http://www.youtube.com/watch?v=XtwaNBsSbHQ#ws (http://www.youtube.com/watch?v=XtwaNBsSbHQ#ws)


อย่างไรก็ดี คำตอบของคุณประกอบไม่ใช่คำตอบที่บริษัททูน่ากระป๋องตอบคุณซู

คุณประกอบจะลองตอบอีกหนไหมว่า คำตอบของบริษัทคือตัวอะไร   ;D

เข้ามาติดต่อรับของรางวัลจากซายาเพ็ญครับ  ;D  ;D  ;D

บริษัททูน่าออกมาบอกว่า จากการสืบสวนสอบสวน เจ้าตัวที่ว่าคือปู juvenile crab

http://www.dailymail.co.uk/news/article-2942626/Mysterious-slime-blob-creature-staring-tin-tuna-chunks-tongue-eating-parasite-say-experts.html (http://www.dailymail.co.uk/news/article-2942626/Mysterious-slime-blob-creature-staring-tin-tuna-chunks-tongue-eating-parasite-say-experts.html)

ทูน่ายี่ห้อ Princes นี่ ผมกินประจำเลย ยังไม่เคยเจอแจ็คพ็อตบ้าง

คุณประกอบคงเอาคำตอบมาจากข้อความนี้ของเดลิเมล

After conducting their own investigation, Princes however said the creature is more likely to be a juvenile crab  than the tongue-eating parasite.
 
เดลิเมลก็พลาดเป็นเหมือนกัน

นอตติงแฮมโพสต์  (http://www.nottinghampost.com/Mysterious-creature-tuna-identified-experts/story-25981722-detail/story.html) หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของเมืองที่เกิดเหตุลงข่าวว่า

Following an investigation, Princes contacted Mrs Butler and revealed it was a Megalopa - a very small immature crab.

juvenile crab กับ Megalopa สองตัวนี้ต่างกันนะคุณประกอบ   ;D

ข้างล่างคือวงจรชีวิตของปู

หน้าตาของ Megalopa ประมาณนี้

ลักษณะเด่นของตัวประหลาดในกระป๋องทูน่ากับเมกะโลปานั้นสอดคล้องกันคือมีดวงตาใหญ่ปูดโปน ซึ่งต่างจากตัวกัดลิ้นอย่างเห็นได้ชัด  ;D

แม้คำตอบจะไม่ถูก แต่ขอให้กำลังใจ ด้วยเสียงปรบมือ ๓ ที แปะ แปะ แปะ  ;D


ขออวยพรให้คุณประกอบเจอของแถมเป็นประเภทปูเหมือนที่คุณซูได้รับ แทนที่จะเป็นตัวกัดลิ้นซึ่งสามารถรับประทานได้ก็จริง แต่หน้าตาไม่ชวนรับประทานเอาเสียเลย ๕ ๕ ๕

อดรางวัลบ้านพร้อมที่ดินอีกแล้วเหรอเนี่ย   >:(  >:(  >:(

หมู่นี้ "น้องเข้" ออกมาอาละวาดปิดเรือนไทยอยู่เรื่อย หลังจากอาละวาดครั้งใหญ่เมื่อ ๒ อาทิตย์ก่อน หวังว่าคุณแอดมินคงรับมืออยู่  ;D

ตามกระแส วันแห่งความรักก็จักต้องหาของมากำนัลเพื่อน ๆ ในเรือนไทย

หอยแครงรูปหัวใจ Corculum cardissa ปรกติมีหลายสี วันนี้ขอเลือกสีชมพูมากำนัล (ขอยืมมาจาก พิพิธภัณฑ์เปลือกหอยกรุงเทพฯ (http://www.dailynews.co.th/Content/Article/233476/ส่องเปลือกหอย+พิพิธภัณฑ์หอยกรุงเทพฯ))  ;D

สวยจัง ยังมีอยู่ หรือว่าสูญพันธุ์ไปแล้วคะ

คุณแอนคงยินดี         ทราบข่าวที่เขาไม่สูญ
หากเราช่วยเกื้อกูล      คงไพบูลย์ชั่วนิรันตร์

หอยแครงรูปหัวใจอยู่ในวงศ์ (family) Cardiidae มีหลายสกุล (genus) แต่ละสกุลก็มีหลายชนิด (species) (http://www.eurasiashells.net/fam_cardiidae.html)  หอย Corculum cardissa ตัวข้างบน พบที่เกาะลอย ศรีราชา  (http://www.biogang.net/biodiversity_view.php?menu=biodiversity&uid=19183&id=124375) นี่เอง หอยแครงพวกนี้พบในเขตน้ำตื้นบนหาดทราย บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย แต่จะพบทางแปซิฟิกมากกว่า

Corculum cardissa นานาสี  ;D

นอกจากหอยแครงรูปหัวใจแล้ว ก็ยังมีหอยกาบรูปหัวใจ ซึ่งอยู่ในวงศ์  Glossidae

Glossus humanus (ซ้าย) และ Meiocardia moltkiana (ขวา)

จาก พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติรอตเตอร์ดัม (http://www.nmr-pics.nl/Glossidae/album/)

หากใครเคยอ่านหนังสือ  The War Of The Worlds ของ H.G.Wells หรือเคยดูภาพยนตร์เรื่องนี้ผลงานล่าสุดของ Steven Spielberg คงรู้จักจักรกลทำลายล้างของชาวอังคารตัวนี้

เชื่อหรือไม่ว่า สิ่งมีชีวิตหน้าตาคล้ายเจ้าสามขาของชาวอังคารมีจริงในโลกเรา แต่มันไม่ใช่มีแค่ ๓ ขาแต่มีถึง ๖ ขา มันคือไวรัสของแบคทีเรีย (bacteriophage) T4 มีหน้าที่ทำลายล้างเชื้อแบคทีเรียเพื่อเพิ่มจำนวนตัวมันเอง

http://www.youtube.com/watch?v=Td_AXXX2UhI#ws (http://www.youtube.com/watch?v=Td_AXXX2UhI#ws)

ด้วยหน้าตาที่เหมือนเครื่องจักรกล ชวนให้คิดว่ามันคือจักรกลที่ผู้ทรงภูมิสร้างขึ้นมาหรือเปล่า  ;)

ภาพ T4 กำลังรุมสกรัมเชื้อแบคทีเรีย Escherichia coli ถ่ายด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน

หากสนใจในเรื่องสุขภาพจะรู้จักแบคทีเรียตัวนี้ในนาม อีโคไล เป็นตัวบ่งชี้ความสะอาดของคนปรุงอาหารและอาหารที่ปรุง มีลักษณะเป็นแท่ง ยาวประมาณ ๒ ไมโครเมตร กว้างประมาณ ๐.๒๕ - ๑ ไมโครเมตร  (๑ ไมโครเมตร = ๐.๐๐๑ มิลลิเมตร) อีโคไลว่าจิ๋วมหาจิ๋วแล้ว T4 ยังจิ๋วกว่าอีกหลายเท่า

ข่าวคราวเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดในหน้าหนังสือพิมพ์ แม้ได้รับการเฉลยว่าอะไรคืออะไร แต่ก็ยังเป็นเรื่องประหลาดมิรู้คลายอยู่นั่นเอง อย่างข่าวใน ไทยรัฐ  (http://www.thairath.co.th/content/444142) ข่าวนี้

พบกระดูกสัตว์ลักษณะประหลาด เชื่อเป็น 'หงอนพญานาค'

ชาวม้งที่ อ.เชียงของ เชียงราย แตกตื่นไปดูกระดูกสัตว์ลักษณะประหลาด หนุ่มในหมู่บ้านไปหาปลาเจออยู่ใต้น้ำ คนเฒ่าคนแก่บอกเป็น "หงอนพญานาค" ที่ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ถึง ๓ ครั้ง ขณะที่นักสะสมขอซื้อ ๕ หมื่น แต่เจ้าของไม่ขาย

เมื่อต้นปีก่อน (๒๕๕๗) ก็มีการพบกระดูกลักษณะนี้ที่เชียงราย เฉลยแล้วว่าอะไรเป็นอะไร  ;D

http://www.youtube.com/watch?v=OfK5CM8bdTo#ws (http://www.youtube.com/watch?v=OfK5CM8bdTo#ws)

ล่าสุด ที่อุตรดิตถ์ชาวบ้านยังเชื่อว่าเป็นชิ้นส่วนของพญานาคอยู่นั่นเอง แต่โชคดีที่ตอนนี้สื่อออกจะให้เครดิตอาจารย์เจษฎา (เจ้าเก่า) มาก จึงมีความเห็นของอาจารย๋ต่อท้ายข่าว ;D

จาก ข่าวสด (http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReU5EWTFOelkxTkE9PQ==)

ฮือฮาชิ้นส่วนหัว-หงอน ชาวบ้านเชื่อซากพญานาค!! อจ.จุฬาฯชี้น่าจะเป็นกระดูกฟันกรามช้าง

เมื่อวันที่ ๒๓ ก.พ. ที่ห้องรับรองเจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์ วัดท่าไม้เหนือ มีชาวบ้านในพื้นที่ตำบลบ้านหม้อและพื้นที่ใกล้เคียงแห่ดูฟอสซิลหรือกระดูกส่วนหัวของสัตว์ชนิดหนึ่ง ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นซากของพญานาคที่ตายมานานแล้ว

ขณะที่นายเจษฎา เด่นดวงบริพัทธ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า นอกจากจะงงว่า เมื่อไหร่สื่อไทยจะเลิกเล่นข่าว "รอยลูกกลิ้งพญานาค" แล้ว ... คราวนี้มาเจอข่าว ‘หงอนพญานาค’อีก มันคือซากกระดูกฟันกรามช้างนะครับ ถ้าเก่าแก่เป็นหินเป็นซากฟอสซิลแล้ว ให้รีบเอาไปให้กรมทรัพยากรธรณีเลยครับ จะได้ช่วยกันวิจัยพันธุ์ช้างโบราณในประเทศไทยครับ

ส่งให้คุณเพ็ญทำยำทูน่า  คงเลี้ยงเพื่อนฝูงได้ทั้งออฟฟิศ

http://manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9580000022491 (http://manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9580000022491)

ปลาทูน่าตัวนี้ตามข่าวหนัก ๑๕  กิโลกรัม ที่เป็นข่าวคงเพราะนานทีปีหนถึงจะเจอปลาทูน่าเข้ามาในอ่าวไทย

หน้าตาคล้ายกับปลาทูน่าครีบเหลือง ถ้าจะตื่นเต้นเพราะตัวใหญ่คงต้องหนักเกิน ๑๐๐ กิโลกรัมขึ้นไป อย่างตัวข้างล่างนี้ทำสถิติโลกอย่างไม่เป็นทางการหนัก ๑๙๔ กิโลกรัม  ;D

ขอเสนอภาพนี้ด้วยดวงใจที่หดหู่เป็นอย่างยิ่ง  :'(  :'(

ทางซ้าย่คือสัตว์ประหลาดนาม ลามาสสุ (Lamassu) อายุ ๒,๗๐๐ - ๒,๘๐๐ ปี ตัวแทนของอารยธรรมเมโสโปเตเมียของชาวอัสซีเรียน ทางขวาคือ คนประหลาดอายุประมาณ ๒๗ - ๒๘ ปี ตัวแทนของกลุ่มที่เรียกตนเองว่า ไอซิส (ISIS) กำลังทำลายสิ่งที่มีอายุมากกว่าตนเองนับพัน ๆ ปี

 :'(

Lamassu

คนประหลาดอีกตนหนึ่งแจ้งข้อหาลามาสสุว่าเป็นตัวแทนรูปเคารพ ซึ่งเป็นข้อหาเท็จ

ลามาสสุก็ไม่ใช่เทพดังที่คุณพิพัฒน์ว่า ลามาสสุเป็นลูกครึ่งของสัตว์เหลายเผ่าพันธุ์ มีลำตัวเป็นวัวหรือบางครั้งก็มีลักษณะเป็นสิงโตแสดงถึงความแข็งแรง ปีกเหมือนนกอินทรีย์แสดงถึงความเป็นอิสระ และศีรษะเป็นมนุษย์แสดงถึงความมีสติปัญญา หน้าที่หลักของลามาสสุคือป็นทวารบาล คอยเฝ้าประตูไม่ให้สิ่งชั่วร้ายมากร้ำกราย ตัวที่ถูกทำลายเฝ้าอยู่ที่ประตูเนอร์กัล (Nergal gate) อันเป็น ๑ ในหลายประตูของเมืองนิเนเวห์ (Nineveh) เมืองโบราณของชาวอัสซีเรียน ปัจจุบันอยู่เมืองโมซูล (Mosul) ประเทศอิรัค ในความยึดครองของ ISIS

รูปสลักลามาสสุในบางมุมจะเห็นเป็น ๕ ขา ซึ่งเป็นวิธีการของช่างที่อยากจะให้ผู้มองไม่ว่าในมุมใดก็ยังเห็นเป็น ๔ ขาครบถ้วน


ลามาสสุมีหลายตัว และเดินทางจากอิรัคเดินทางไปประจำการที่พิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ในยุโรปหลายประเทศ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และในอเมริกา

ตัวของคุณเทาชมพูประจำการอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Musée du Louvre) ประเทศฝรั่งเศส ;D

ลามาสสุที่ลูฟวร์เคยเฝ้าอยู่ที่ประตูเมือง ดูร์ชาร์รูคิน (Dur-Sharrukin) ปัจจจุบันคือ คอร์ซาบัด (Khorsabad) นครหลวงของอัสซีเรียก่อน นิเนเวห์
 
http://www.youtube.com/watch?v=2GrvBLKaRSI#ws (http://www.youtube.com/watch?v=2GrvBLKaRSI#ws)

โชคดีที่ยังมีอยู่อีก 2 ที่คือ Louvre กับ British Museum ที่อื่นไม่แน่ใจว่าได้ไปหรือไม่

ยังมีอีกหลายตัว  ;D


๑. The National Museum of Iraq in Baghdad
๒. The British Museum in London
๓. The Musée du Louvre in Paris
๔. The Pergamon Museum in Berlin
๕. The Metropolitan Museum of Art in New York
๖. The Oriental Institute, Chicago

ขอบพระคุณมากครับ คุณเพ็ญเป็นเหมือนแก้วสารพัดนึกเลย
ปกติผมดู museum เห็นของชาติอื่นแล้วก็ชอบ แต่เจอของไทยทีไรควันออกหูทุกที
ยิ่งนายกอังกฤษบอกว่าไม่คืน ถ้าคืนของต่้างให้กับเจ้าของแล้ว museum ในอังกฤษคงว่างเปล่า
ฟังแล้วไม่ปลื้ม แต่มาคราวนี้ดีใจมากที่สมบัติของมนุษชาติร้อนพ้นมาได้

เชื่อว่าใครที่ได้เห็นรูปนี้ครั้งแรกคงต้องนึกว่าภาพมิตรภาพแสนน่ารักของสัตว์โลกต่างเผ่าพันธุ์แน่ๆ แต่ความเป็นจริงแล้วกลับตรงกันข้าม เพราะภาพที่เจ้า'ลูกเพียงพอน'กำลังขี่หลัง'นกหัวขวาน'นี้ เป็นวินาทีที่มันกำลังพยายามปลิดชีพเจ้านกต่างหาก นาย'มาร์ติน

....... อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1vXHtr7 (http://bit.ly/1vXHtr7)

มีภาพขยับปีก "เที่ยวบินเพื่อชีวิต" มาฝาก  ;D

http://youtube.com/watch?v=KBBXmxadRos#ws (http://youtube.com/watch?v=KBBXmxadRos#ws)

สงสัยแต่แรกเห็นแล้ว เพียงพอน หรือพังพอนกันแน่ครับ

หนังสือพิมพ์บางฉบับก็ยังสับสนระหว่าง "พังพอน" กับ "เพียงพอน"  ;D

เมื่อ ๒ ปีที่แล้วที่อาร์เจนตินา ชายชราวัยเกษียณคนหนึ่งซื้อสัตว์ที่คิดว่าเป็นสุนัขพันธุ์พูเดิลทอยมา ๒ ตัวจากตลาดขายสัตว์เลี้ยงด้วยราคา ๑๕๐ ดอลลาร์ซึ่งถือว่าถูกแสนถูกโดยหวังว่าจะให้เป็นเพื่อนยามเหงา ความมาแตกตอนที่คุณลุงพาพาเพื่อนขนปุยไปหาสัตวแพทย์เพื่อฉีดวัคซีน สัตวแพทย์บอกคุณลุงว่าเจ้าขนปุยนี้มันไม่ใช่พูเดิลดอกแต่เป็น "หนูบราซิล" ซึ่งเป็นคำเรียก "เฟอร์เร็ต" ของชาวอาร์เจนตินา ตามปรกติเฟอร์เร็ตตัวเล็กกว่าพูเดิลทอยครึ่งต่อครึ่ง ส่วนราคาต่างกันหลายเท่าตัว ในอเมริกาพูเดิลทอยตัวละประมาณ ๑,๐๐๐ ดอลลาร์ ส่วนเฟอร์เร็ตตัวละประมาณ ๗๕ ดอลลาร์ ตัวทีคุณลุงได้มาถูกโด๊ปด้วยสารสเตียรอยด์จนมีขนาดใหญ่ขึ้น แถมยังหวีขนให้ฟูเหมือนพูเดิลอีกด้วย

เรื่องและภาพจาก เดลิเมล (http://www.dailymail.co.uk/news/article-2305310/Man-gets-shock-toy-poodles-turn-GIANT-RODENTS-steroids.html)

ซ้าย : พูเดิลทอยตัวจริง   ขวา : เฟอร์เร็ต - พูเดิลทอยตัวปลอม

เดลิเมลพาดหัวข่าวว่า ferret เป็น rodent ซึ่งนับว่าเป็นข้อผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยเชียว

rodent  (http://en.wikipedia.org/wiki/Rodent) เป็นสัตว์พวกที่ฟันแทะจำพวก หนู หนูตะเภา กระรอก  ส่วน ferret เป็นสัตว์ในตระกูลเดียวกับเพียงพอน

เฟอร์เร็ตนอกจากสีขาวแล้วยังมีสีดำ สีน้ำตาล หรือสีพวกนี้ผสมกัน เคยมาเยี่ยมกระทู้สัตว์ประหลาดนานมาแล้ว ขออนุญาตฟื้นความจำอีกที  ;D

ส่งท้ายด้วยเรื่องของ "สื่อไทย" ที่ไม่วายสับสนระหว่าง "เพ็ญพอน" กับ "พังพอน"  ;D

ขอแก้ตัวหน่อย
ก็ชื่อ "เพียงพอน "ไม่คุ้นหูหนูๆนักข่าว   แม้แต่คนภายนอกวงการก็ไม่เคยได้ยินชื่อ
ส่วน "เพ็ญพอน" คุ้นแต่คำแรกค่ะ

ที่ญี่ปุ่นมีอะไรที่ประหลาดและน่ารักอยู่เยอะ ปีก่อนเสนอเรื่อง "เกาะกระต่าย" ไปแล้ว

ปีนี้ถึงคิว "เกาะแมว"

เกาะอะโอะชิมะ  青島 เกาะเล็ก ๆ ทางใต้ของญี่ปุ่น เป็นเกาะที่ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย นอกจากแมวจำนวนมากกว่า ๑๐๐ ตัว ในขณะที่ประชากรบนเกาะนี้มีเพียงยี่สิบกว่าคน แต่ละคนล้วนอายุใกล้ฝั่งแทบทั้งสิ้น แต่ด้วยอิทธิพลของสื่้อบนโลกอินเตอร์เน็ต เมื่อปี ๒๕๕๖ มีผู้โพสต์ถึงเกาะนี้บนทวิตเตอร์ทำให้่คนทั่วไปรู้จัก บนเกาะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ ท้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นร้านค้า หรือที่พัก แ่ต่นักท่องเที่ยวก็หลั่งไหลมาไม่ขาดสายเพื่อจะมาดูสิ่งเดียวที่พวกเขาสนใจนั่นคือ "แมว"

http://www.youtube.com/watch?v=PHUOpG1LKu4#ws (http://www.youtube.com/watch?v=PHUOpG1LKu4#ws)

มีภาพแมวบนเกาะอีกหลายภาพ สนใจเปิดดูที่ เดลิเมล (http://www.dailymail.co.uk/news/article-2977668/The-island-s-reigning-cats-no-dogs-Japanese-island-felines-outnumber-humans-six-one-introduced-kill-mice.html)  ;D

เกาะแมวในญี่ปุ่นไม่ใช่มีเกาะอะโอชิมะเพียงเกาะเดียวเพียงแต่เกาะนี้กำลังฮอต แท้จริงมีถึง ๑๓ เกาะ ลองไปสำรวจกันดูใน เว็บ ๒ บาท (http://2baht.com/13-cat-islands-of-japan/)  ;D

ภาพนี้เป็นบรรยากาศจากเกาะทะชิโระจิมะ 田代島 เกาะแมวที่ดังเป็นอันดับ ๒ ในญี่ปุ่น

ครั้งหนึ่งสัตว์ทะเลที่ไม่ใช่ "หมู" แต่ถูกเรียกว่า "หมูทะเล" เคยมาเยือนเรือนของเรา

ครั้งนี้เป็น "หมู" จริง ๆ ที่ชอบอยู่ใน "ทะเล"

ที่หมู่เกาะบาฮามาส มีเกาะหนึ่งรู้จักกันในนามว่า "เกาะหมู" (Pig island) หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า Big Major Cay สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวบนเกาะนี้คือหมูประมาณ ๒๐ กว่าตัวบนเกาะ หมูพวกนี้ชอบว่ายน้ำทะเลเป็นชีวิตจิตใจ (เพื่อขออาหารจากนักท่องเที่ยว) และนักท่องเที่ยวก็ชอบเล่นน้ำกับมันเป็นที่สนุกสนาน

หมูพวกนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรมีเรื่องเล่าหลายกระแส บ้างก็ว่ากลาสีเรือนำหมูพวกนี้มาพักไว้ที่นี่เพื่อไว้ทำเป็นอาหาร แต่พวกเขาไม่กลับมารับหมูไปสักที (ไม่รู้ว่าด้วยต้นสายปลายเหตุประการใด) บ้างก็ว่าหมูพวกนี้มาจากเรือแตก บ้างก็ว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนการส่งเสริมการท่องเที่ยวของบาฮามาส (ซึ่งก็ได้ผล)

นี่แหละ "หมูทะเล" ตัวจริง  ;D

http://www.youtube.com/watch?v=O89DvVdthDY&list=PLYJ_y2uUIYh9IFjk3q8mnP9QNHLD5onAK#ws (http://www.youtube.com/watch?v=O89DvVdthDY&list=PLYJ_y2uUIYh9IFjk3q8mnP9QNHLD5onAK#ws)

คลายร้อนกับ Irina Shayk  (http://en.wikipedia.org/wiki/Irina_Shayk) นางแบบชื่อดังชาวรัสเซีย และ "หมูทะเล" ที่ "เกาะหมู" แห่งบาฮามาส  ;D

เห็น "หมูทะเล" ถ่ายรูปคู่กับนางแบบ แล้วนึกถึง "ม้าทะเล" ในจินตนาการของคนโบราณ

หรือสัตว์ทะเลที่ไม่ใช่ "ม้า" แต่ฝรั่งเรียกว่า "ม้าทะเล" (seahorse)

ขอแนะนำให้รู้จัก "ม้าทะเล" ฝูงใหญ่ ซึ่งเป็นม้าจริง ๆ ไม่อิงนิยาย  ;D

ทางฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกา มีเกาะหนึ่งได้ชื่อว่าเป็น "เกาะม้า" มีชื่อเป็นทางการว่า เกาะแอซซาทีก (Assateague) เกาะนี้แบ่งเป็น ๒ ส่วน ส่วนบนขึ้นกับรัฐแมรีแลนด์ ส่วนล่างขึ้นกับรัฐเวอร์จิเนีย ทั้ง ๒ ส่วนมีฝูงม้าป่าอยู่ 

ฝูงม้าทะเลอยู่ในส่วนของรัฐเวอร์จิเนีย

ม้าป่าบนเกาะนี้สืบเชื้อสายมาจากม้าบ้านเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว เมื่อเรือสเปนซึ่งบรรทุกม้ามุ่งหน้าไปยังอาณานิคมในอเมริกาใต้อับปางลง ม้าบนเรือก็พากันขึ้นบกที่เกาะแอซซาทีก และดำรงเผ่าพันธุ์มาจนทุกวันนี้ ม้าพวกนี้อยู่กันตามมีตามเกิดบนเกาะ จึงมีขนาดไม่ใหญ่นัก ฝรั่งเรียกม้าพวกนี้ว่า Pony (ตามเกณฑ์ของฝรั่ง Pony จะมีความสูงจากพื้นถึงตะโหนก (wither) ไม่เกิน ๑๔ แฮนด์ หรือ ประมาณ ๑๔๒ เซนติเมตร) ฝูงม้าป่าในส่วนของรัฐเวอร์จิเนียเรียกว่า Chincoteague Pony ตามชื่อเกาะชินโคทีกที่อยู่ทางซ้ายของเกาะแอซซาทีก ม้าป่าฝูงนี้จะถูกจำกัดจำนวนไม่ให้เกิน ๑๕๐ ตัว ฉะนั้นทุกปีในเดือนกรกฎาคมจึงจะมีการต้อนจากเกาะแอซซาทีกว่ายข้ามไปยังเกาะชินโคทีกเพื่อประมูลขาย  ซึ่งเป็นจุดดึงดูดความสนใจของนักท่องเทียวให้มาดู "ม้าทะเล" เหล่านี้ว่ายน้ำข้ามเกาะ  ;D

http://www.youtube.com/watch?v=V_JJv45t5H8#ws (http://www.youtube.com/watch?v=V_JJv45t5H8#ws)

ใกล้วันความหวังแห่งชาติเข้ามา หลายท่านคงกำลังนึกถึงตัวเลข  ;D

กันยายนปีที่แล้ว ณ ฟาร์มวัวนมแห่งหนึ่งนอกเมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา  วัวน้อยเพศผู้ตัวหนึ่งกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับเลขนำโชคที่หน้า นั่นคือเลข "7"  มันได้ชื่อว่า "เจ้าหนูเบน" (Baby Ben) ตามชื่อนักอเมริกันฟุตบอลคนดังของทีม Pittsburgh Steelers คือ Ben Roethlisberger (Big Ben)  ที่ว่าเจ้าหนูเบนโชคดีเพราะว่าในวงการวัวนม วัวตัวผู้มีค่าน้อยมากเพราะไม่ทำให้เกิดโภคผลเมื่อเทียบกับตัวเมีย ส่วนมากชะตากรรมของมันคือถูกส่งเข้าโรงฆ่าเพื่อเอาเนื้อมาบริโภค ในกรณีเจ้าหนูเบนนี้เจ้าของเห่อเอามาก ๆ นอกจากจะโพสต์รูปลงเฟซบุ๊กและโชว์ในงานฟักทองที่จัดที่ฟาร์มแล้ว ยังมีทีวีมาทำข่าวอีกด้วย

เจ้าหนูเบนรอดชีวิตมาได้ก็เพราะเลข "7" นี้เชียว

ข่าวจาก WJAC-TV (http://en.wikipedia.org/wiki/WJAC-TV)

http://youtube.com/watch?v=afJ4cd4AyXY#ws (http://youtube.com/watch?v=afJ4cd4AyXY#ws)

บอกแล้วว่าเป็นเลขนำโชค  ;D

จะว่าไปมันก็นำโชคจริงๆนะคะ ทำให้เจ้าวัวตัวนี้รอดจากการเป็นสเต็ค

นอกจากนำโชคให้เจ้าหนูเบนแล้ว ยังนำโชคใน วันแห่งความหวัง  (http://www.komchadluek.net/media/img/size_content/2015/04/01/eihf5khhgbfaee5afbef7.jpg)วันนี้ด้วย ;D

และเพื่อให้ โชคดี³   ในวันมงคลนี้ ขอมอบเลขนำโชคจากวัว ๓ ตัว

วัวหมายเลข ๗ ตัวขวาสุดอยู่ในรัฐเพนซิลเวเนียเช่นเดียวกัน คลิปนี้ถ่ายเมื่อ ๗๙ ปีมาแล้ว วันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๙   

http://www.youtube.com/watch?v=VR97YXN69ck#ws (http://www.youtube.com/watch?v=VR97YXN69ck#ws)

เอ๊ะ! ชักสงสัยซะแล้วซีคะ ทำไมถึงมีแต่เลขเจ็ดทั้งนั้นเลย หรือจะเป็นการถ่ายทอดทางพันธุกรรม วัวที่มีเลขเจ็ดตัวแรกอาจเป็นทวดของทวดของเบน ;D

ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน

เจ้าหนูเบนเกิดเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๗  อีก ๕ วันต่อมาลูกวัวสาวสีแดงอีกตัวหนึ่งก็ถือกำเนิดขึ้นโดยมีเลข "7" ประทับที่หน้าเช่นเดียวกัน

อีกตำนานหนึ่งของวัวซึ่งเกิดมาพร้อมกันเครื่องหมายนำโชค

เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕ ที่ฟาร์มโคนมแห่งหนึ่งในรัฐเมน (Maine) สหรัฐอเมริกา แม่วัวตกลูกเป็นวัวน้อยเพศเมียน่ารักน่าชัง ที่ลำตัวข้างซ้ายมีลายเป็นวงกลมสีดำ ๓ วงซ้อนกันในตำแหน่งที่คนทั่วไปเห็นปุ๊บก็นึกถึงหนูของดิสนีย์นาม "มิกกีเมาส์" (Mickey Mouse) ปั๊บ เมื่ออายุได้ ๖ ปี เครื่องหมายนำโชคนี้นำให้วัวน้อยเข้าไปอยู่ในฟาร์มของ Disneyland  และได้ชื่อว่า "Mickey Moo" มิกกีมูอยู่อย่างมีความสุขราวกับอยู่ใน "สวรรค์ของวัว" จนมีอายุขัยได้ ๑๑ ปี ด้วยโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารมันก็จากโลกนี้ไป (ทางดิสนีย์บอกว่าไปด้วยโรคชรา แต่ความจริงมันจากไปด้วย วิธีการุณยฆาต-euthanasia (http://en.wikipedia.org/wiki/Animal_euthanasia))

มิกกีมู มีลูกตัวหนึ่งชื่อ Baby Moo ซึ่งน่าเสียดายที่ลายมิกกีเมาส์ไม่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ไปยังลูกของมัน

อีก ๒ ปีต่อมาคือใน พ.ศ. ๒๕๒๗ วัวนมพันธุ์ขาวดำเพศเมียซึ่งมีเครื่องหมายนำโชคเป็นรูปมิกกีเมาส์บนลำตัวข้างซ้ายเช่นเดียวกับมิกกีมู (แม้ไม่ได้เป็นญาติกัน) ก็ถือกำเนิดขึ้นในฟาร์มวัวนมที่รัฐมินนิโซตา (Minnesota) เมื่ออายุได้ ๖ ปีก็มีทางเดินชีวิตเช่นเดียวกับมิกกีมู คือถูกส่งไปเลี้ยงที่ฟาร์มของดิสนีย์คือ วอลต์ดิสนีย์เวิลด์ที่ฟลอริดา ได้ชื่อว่า "Minnie Moo" จนมีอายุได้ ๑๗ ปีใน พ.ศ. ๒๕๔๔ จึงสิ้นอายุขัย

มินนีมูเมื่อปัจฉิมวัย

http://www.youtube.com/watch?v=5QsSY_Ir668#ws (http://www.youtube.com/watch?v=5QsSY_Ir668#ws)

ตัวนี้ก็มีลายหนูของดิสนีย์ หลายตัวเสียด้วย มีถิ่นฐานอยู่ในประเทศชิลี เผอิญดิสนีย์ไม่เห็น ไม่อย่างนั้นคงได้ชื่อว่า "มิก-มิน มู" (Mic-Min Moo) กำลังมีความสุขตามประสา (วัว) ในทุ่งหญ้าที่ชิลี

สุขสันต์วันสงกรานต์ แด่ชาวเรือนไทยทุกท่าน  ;D

ตำนานเรื่อง "มิกกีเมาส์ เครื่องหมายนำโชคบนตัวสัตว์" นอกจากจะมีเรื่องของ Mickey Moo และ Minnie Moo แล้ว ยังมีเรื่องของ Lily

Mejay Augerre และ Francisco  สองเจ้าหน้าที่ประจำของดิสนีย์ สูญเสียสุนัขไปเมื่อ ๒-๓ เดือนก่อนและกำลังมองหาสุนัขตัวใหม่มาเลี้ยงทางอินทรเนตร พวกเขาต้องประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบกับสุนัขตัวหนึ่งเป็นตัวเมียมีลายเป็นรูปมิกกีเม้าส์ตัวการ์ตูนชือดังของดิสนีย์ ที่ที่พวกเขาทำงานอยู่นั่นเอง  ทั้งสองรับสุนัขตัวนี้มาเลี้ยงและตั้งชื่อมันว่า Lily ตามชื่อของ  Lillian Disney ภรรยาของ Walt Disney  เป็นการเอาใจเจ้านายตามประสาลูกน้องที่ดี  ;D

เรื่องและรูปจาก เดลิเมล (http://www.dailymail.co.uk/news/article-2188026/Spotted-Mickey-Mouse-makes-appearance-special-legged-friend.html)

เข้าคารวะท่านมิกกีตามแผนการตลาดของดิสนีย์  ;D

http://www.youtube.com/watch?v=Ml6hSCELZ4s#ws (http://www.youtube.com/watch?v=Ml6hSCELZ4s#ws)

ดิสนีย์แลนด์อาจเป็นสวรรค์สำหรับสัตว์ที่มีเครื่องหมายนำโชค-มิกกีเมาส์ หนูการ์ตูนที่ไม่เหมือนหนูสักเท่าไร  แต่ที่อินเดียมีสถานที่แห่งหนึ่งเป็นสวรรค์สำหรับหนู-หนูจริง ๆ หนูที่หน้าตาและร่างกายเป็นหนูนี่แหละ

สวรรค์ของหนูแห่งนี้คือ เทวาลัยพระแม่คารณี (Karni Mata temple) อยู่ในรัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย

(http://i.dailymail.co.uk/i/pix/2014/02/24/article-2566748-1BC8DEF100000578-813_964x644.jpg)

เทวาลัยนี้มีหนูอาศัยอยู่มากกว่าสองหมื่นตัว ทุกคนที่เข้ามาในเทวาลัยนี้ต่างให้ความนับถือหนูเหล่านี้และเลี้ยงดูด้วยอาหารและน้ำนม

(http://i.dailymail.co.uk/i/pix/2014/02/24/article-2566748-1BC8DF4600000578-110_964x656.jpg)

(http://i.dailymail.co.uk/i/pix/2014/02/24/article-2566748-1BC8E01700000578-216_964x628.jpg)

ด้วยพวกเขาคือลูกหลานของพระแม่คารณี องค์อวตารของพระแม่ทุรคาซึ่งเป็นปางหนึ่งของพระอุมาชายาของพระศิวะ

(http://i.dailymail.co.uk/i/pix/2014/02/24/article-2566748-1BC8DF7600000578-809_964x721.jpg)

.... เรื่องของมันมีมาเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว ในกาลนั้นเจ้าชายพระองค์หนึ่งนามว่า "บิคา"  กรีฑาทัพขึ้นมาจากอาณาจักรทางใต้ ทรงตั้งค่ายรบกับศัตรูที่ตำบลเดชน็อคแห่งนี้ ที่นี่เป็นนิวาสสถานของผู้พยากรณ์หญิงท่านหนึ่ง คือ คาร์นิมาตา ผู้มอบกายถวายจิตต่อพระแม่ทุรคา เจ้าชายศรัทธาจึงขอพรจากเธอ ปรากฎในอีกไม่กี่วันจากนั้น เขาประสบชัยในการรบ

เจ้าชายสร้างเมืองใหม่เหนือแผ่นดินที่เพิ่งเผด็จได้ สถาปนานามตามชื่อตนว่าบิคาเนอร์ หญิงพยากรณ์คาร์นิมาตาได้รับการยกย่องอย่างสูง เมื่อเธอสิ้นชีพก็กลายเป็นเทพมารดรแห่งแคว้น เธอเป็นขวัญในสนามรบ เป็นศรัทธาของทุกชนชั้นในบิคาเนอร์ ...

จาก ดื่มทะลสาบ อาบทะเลทราย โดย บินหลา สันกาลาคีรี

http://www.youtube.com/watch?v=ZxWX7wgTj9E#t=18#ws (http://www.youtube.com/watch?v=ZxWX7wgTj9E#t=18#ws)

ผู้คนต่างหลั่งไหลมายังสวรรค์ของหนูแห่งนี้ ทั้งสาวกเจ้าแม่ทุรคาในอินเดียเองและนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลก ผู้ต้องการเห็นสิ่งแปลก ๆ

(http://i.dailymail.co.uk/i/pix/2014/02/24/article-2566748-1BC8DECA00000578-894_964x630.jpg)

รายละเอียดทั้งเรื่องและรูปมากกว่านี้ดูที่ เดลิเมล (http://www.dailymail.co.uk/news/article-2566748/Inside-Indias-rat-temple-20-000-worshipped-fed-protected-scurry-feet-tourists.html)

หนูย่อมคู่กับแมว

ที่อินเดียเทวาลัยพระแม่คารณีมีหนูอาศัยอยู่นับหมื่นตัว ที่ญี่ปุ่นวัดโกโตะคุ 豪徳寺 ในโตเกียว ก็มีแมวอาศัยอยู่นับหมื่นตัวเหมือนกัน

แมวที่วัดนี้ไม่ใช่แมวธรรมดาแต่เป็นแมวพันธุ์พิเศษ สามารถนำโชคให้เจ้าของได้เชียว ชื่อในภาษาญี่ปุ่นคือ แมวมะเนะคิ 招き猫

ประตูทางเข้าวัด

บรรยากาศภายในวัดร่มรื่นมาก

http://www.youtube.com/watch?v=rXrStoaRJl0#ws (http://www.youtube.com/watch?v=rXrStoaRJl0#ws)

สิ่งที่นักท่องเที่ยวสนใจก็คือ แมวพันธุ์พิเศษ - มะนะคิเนะโกะ หรือ แมวกวัก นั่นเอง  ;D

แมวกวักของญี่ปุ่นมีที่มาอยู่หลายตำนาน หนึ่งในนั้นคือตำนานของเจ้าทะมะ แมวกวักแห่งวัดโกโตะคุ แห่งเอะโดะ (หรือโตเกียวในปัจจุบัน)

เล่ากันว่าในสมัยนั้น ณ วัดเก่า ๆ ทรุดโทรมแห่งหนึ่งทางตะวันตกของเอะโดะ พระรูปหนึ่งอาศัยอยู่ กับแมวที่ชื่อว่า ทะมะ  วันหนึ่ง โชกุนฮิโกะเนะติดพายุฝนระหว่างที่กลับจากการล่าสัตว์ และได้เข้าไปหลบฝนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าวัด เมื่อมองไปที่ประตูวัด เขาสังเกตเห็นแมวตัวหนึ่งกำลังเรียกเขาให้เข้าไปในวัด แมวตัวนั้นยกอุ้งเท้าขึ้นโบกอยู่อย่างนั้นจนน่าแปลกใจ โชกุนจึงออกจากที่กำบังใต้ต้นไม้ และวิ่งไปหาแมวตัวนั้น และเกือบจะในทันที ต้นไม้ต้นที่เขาหลบฝนอยู่ก่อนหน้านี้ก็ถูกฟ้าผ่าลงมา โชกุนจึงเข้าใจว่าแมวตัวนี้ได้ช่วยชีวิตเขาไว้นั่นเอง ด้วยความซาบซึ้งในบุญคุณ เขาจึงเป็นผู้อุปถัมภ์วัดแห่งนั้น และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาวัดก็เจริญรุ่งเรือง เมื่อเจ้าทะมะตาย มันก็ถูกนำไปฝังไว้ในที่ดินบริเวณวัด และเพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าทะมะ จึงได้มีการสร้าง มะเนะคิเนะโกะ หรือ แมวกวัก ขึ้นมา

วัดแมวไม่ใช่มีแต่ที่ญี่ปุ่น ที่เมืองไทยเราก็มีเหมือนกันอยู่ที่กาญจนบุรี ไม่ใช่แมวธรรมดาแต่เป็น "แมวลายพาดกลอน" หรือ "เสือ" นั่นแล ตอนนี้มีอยู่ ๑๔๖ ตัว มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาชมทุกวัน

วัดนี้ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า "วัดเสือ" ชื่อเป็นทางการคือ "วัดป่าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน" ตามประวัติเสือพวกนี้เป็นเสือกำพร้าที่ชาวบ้านนำมาให้ทางวัดเลี้ยงเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๒ มีจำนวนไม่กี่ตัว ทำไปทำมาเพิ่มจำนวนมาเป็นร้อยตัว เหตุผลที่เปิดเผยคือจากการผสมพันธุ์ ส่วนเหตุผลอื่น ขออนุญาต :-X

เสือพวกนี้ตกเป็นของหลวงตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๔ โดยกรมป่าไม้ ผู้รับผิดชอบในขณะนั้นเข้าตรวจยึดเนื่องจากผิดกฎหมายเรื่องการเลี้ยงสัตว์ป่า แต่ยังคงฝากให้วัดเลี้ยงอยู่เพราะราชการจะเอาไปเลี้ยงเองก็ไม่มีงบประมาณ ทางวัดจึงเลี้ยงมาจนทุกวันนี้โดยเก็บเงินจากนักท่องเที่ยวตามอัตราข้างล่างนี้

(http://i.dailymail.co.uk/i/pix/2012/04/24/article-2134460-028F2579000004B0-927_634x421.jpg)

รายได้พอประทังเลี้ยงชีวิตน้อย ๆ ของแมวลายพาดกลอนและชาวบ้านที่มารับจ้างทางวัดเลี้ยงดูเสือ เมื่อไม่นานมานี้สัตวแพทย์ผู้ดูแลเสือเหล่านี้ไปฟ้องอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ผู้รับผิดชอบในปัจจุบันว่าเสือหายไป ๓ ตัว กรมอุทยานฯเข้าไปตรวจสอบและขึงขังจะเอาเสือพวกนี้ไปเลี้ยงเอง ไป ๆ มา ๆ คิดสะระตะแล้วไม่คุ้มแน่เพราะการเลี้ยงเสือไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ สู้ให้ทางวัดเลี้ยงต่อไปแล้วทางราชการเข้าไปคุมอย่างเข้มงวดจะดีกว่า

ส่วนเสือที่หายไป ๓ ตัว ณ บัดนี้ยังไม่มีข่าวคราวคืบหน้า  ::)

ภาพจาก เดลิเมล (http://www.dailymail.co.uk/news/article-2134460/The-big-cats-Thailands-Tiger-Temple.html)

คำถามจากชาวต่างชาติที่เข้ามาสัมผัสในฐานะอาสาสมัครดูแลเสือ : Temple or Tiger Business?

http://www.youtube.com/watch?v=6GkbNhNoY50#ws (http://www.youtube.com/watch?v=6GkbNhNoY50#ws)

เสือที่วัดเลี้ยงเป็นคนละสายพันธุ์กับเสือลายพาดกลอนตามป่าแถวๆ เมืองไทย ดังนั้นการเลี้ยงเสือเหล่านี้จึงไม่ได้สร้างผลดีต่อการอนุรักษ์พันธุ์เสือไทยแต่อย่างใด ผมมองว่าสาเหตุหนึ่งที่ไม่มีใครกล้าจัดการนอกจากไม่อยากแบกรับภาระเสือจำนวนมากแล้ว ชื่อวัดก็มีส่วนทำให้ไม่มีใครอยากเข้าไปขัดแย้งด้วย

รายการต่างคนต่างคิด ตอน "เปิดปมวัดป่าหลวงตามหาบัวฯ ธุรกิจหรืออภัยทาน ?" 06-04-58 (http://www.youtube.com/watch?v=vlxzPHgepp8#ws)

ก็จริงอย่างที่คุณเอ็ดวินว่าไว้ เสือในวัดเป็นพันธุ์ผสมระหว่างเบงกอลและไซบีเรีย เสือพันธุ์ไซบีเรีย Panthera tigris altica เป็นเสือพันธุ์ใหญ่ที่สุด รองลงมาก็คือพันธุ์เบงกอล Panthera tigris  tigris ซึ่งมีอยู่แถวอินเดีย ใกล้บ้านเราก็ที่พม่า เป็นพันธุ์ที่นิยมเลี้ยงในสวนเสือหรือใช้เล่นละครสัตว์เพราะมีความดุร้ายน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับพันธุ์อื่น อย่างที่สวนเสือศรีราชาก็เป็นพันธุ์นี้  

ส่วนเสือในธรรมชาติของไทยเป็นพันธุ์อินโดจีน Panthera tigris corbetti ขนาดเล็กกว่าเบงกอล

http://www.youtube.com/watch?v=yw1pifgTVhI#ws (http://www.youtube.com/watch?v=yw1pifgTVhI#ws)

เมื่อเสือที่วัดกับในธรรมชาติเป็นคนละชนิดกันก็ไม่เหมาะที่จะปล่อยเสือจากวัดเข้าป่า คงต้องเลี้ยงไปจนตาย และงดการขยายจำนวนโดยการผสมพันธุ์

ป.ล. ๑ แวะเข้าไปคุยกับ คุณวิกกี้ (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99) เธอเข้าใจผิดว่าเสือที่วัดนี้เป็นพันธุ์อินโดจีน  ;D  ;D

ป.ล. ๒ ข่าวล่าสุด เสือที่วัดหายไป ๓ ตัวจริง  ;)

ความรู้เรื่องเสือโคร่ง

http://www.verdantplanet.org/catsoftheworld/cat_tiger.php (http://www.verdantplanet.org/catsoftheworld/cat_tiger.php)

ช่วงวันหยุดยาว มีคำถามให้ลับสมองอยู่ ๒ ข้อ

๑. ทำไมเรียก เสือโคร่ง ว่า เสือลายพาดกลอน

และ ๒. ถ้าเสือโคร่งลายพาดกลอน แล้วสิงโตจะลายอะไร

ขอให้มีความสุขกับการหาคำตอบ

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley16.png)

คำเฉลยของปริศนา ๒ ข้อข้างบนอยู่ในเรือนไทยนี้เอง

ปุจฉา

วิสัชนา

ส่วนปริศนาข้อที่ ๒


คำเฉลยมีอยู่ในเรือนไทยนี้เช่นกัน ขอเชิญค้นหาคำตอบได้โดยพลัน  ;)

คุณครูครับ แล้วแมวลายสลิด ทำไมถึงเรียกว่าลายสลิดครับ สลิดนี้มาจากไหน

ฟังชื่อและดูภาพแล้วเดาได้ไม่ยากว่ามาจากลักษณะของปลาสลิดที่มีลายริ้วพาดขวางลำตัว ชื่อลายสลิดนี้น่าจะเป็นชื่อที่เพิ่งใช้เรียกกันไม่นานมานี้ เพราะเคยได้ยินแต่ ลายเสือ ลายลักษณะนี้ฝรั่งเรียกว่า Tabby หรือ  grey tiger 

ทำนองเดียวกับชื่อ ลายวัว ซึ่งใช้กับแมวลายขาวดำที่เหมือนสีของวัวนมพันธุ์ขาวดำ (Holstein Friesian)

อ๊ะผมเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าปลาสลิดมีลายด้วย  ชั่วชีวิตเคยเห็นแต่แบบไม่มีหัวตากแดดมาเรียบร้อยแล้วเลยมองไม่เห็นลาย

สำหรับคนที่ไม่เคยเห็นปลาสลิดตัวเป็น ๆ บางคนถึงกับตั้งคำถามว่า ปลาสลิดเกิดมาไม่มีหัวหรือเช่นไร (http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/X3653130/X3653130.html)  ;D

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2685706)

ปลาสลิดมีความแปลกอีกอย่างหนึ่งซ่อนอยู่ คุณตั้งเพิ่งนำมาเฉลยเมื่อไม่นานมานี้  


(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

เห็นควา มอร่อยของปลาสลิดทอดกรอบด้วยคนค่ะ  แต่เพื่อนหลายคนร้องยี้  บอกว่าทอดอย่างนิ่มพร้อมกับมีกลิ่นตุๆ
จึงจะอร่อยสุดยอด(ของเค้า)ค่ะ

น้องอ๋อของพี่เพ็ญกลับมาอีกแล้ว

http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000054500 (http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000054500)

คุณตั้งมีธุระ ลาเรือนไทยชั่วคราว เลยต้องยกคำถามมาถามคุณหมอเพ็ญ ว่าปลาชนิดนี้ขึ้นมาเกยฝั่ง เป็นสัญญาณแผ่นดินไหวจริงหรือไม่คะ

ตัวข้างบนนี้พิจารณาตามแหล่งที่พบน่าจะเป็น Trachipterus ishikawae ชื่อสามัญมักเรียกว่า Ribbonfish (http://en.wikipedia.org/wiki/Ribbonfish) (น้องริบบิ้น)

http://www.youtube.com/watch?v=Gf_keC1KrgM#ws (http://www.youtube.com/watch?v=Gf_keC1KrgM#ws)

พบบ่อยแถวไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลี  มีข่าวว่าจับได้บ่อย ๆ ที่ไต้หวัน คนที่นั่นเชื่อว่าเป็น "ปลาแผ่นดินไหว"  น้องริบบิ้นเป็นปลาทะเลลึก หากสุขภาพดีจะไม่ได้เห็นตัวมันบนผิวน้ำหรอก ที่มีข่าวว่าจับได้แสดงว่ามีอาการเข้าขั้นโคมาแล้ว ส่วนเรื่องจะเป็นสัญญาณแผ่นดินไหวนั้น ไม่มีบทสรุปที่เป็นวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องนี้  ลองติดตามดูก็แล้วกันว่าแถวเวียดนามจะมีแผ่นดินไหวเพราะน้องริบบิ้นตัวนี้หรือเปล่า  ;D

แผนที่ข้างล่างแสดงตำแหน่งที่เคยจับน้องริบบิ้นชนิด (species) นี้ได้

น้องอ๋อ (Oarfish) ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Regalecus glesne เป็นปลาทะเลลึกเช่นเดียวกับน้องริบบิ้น แต่ตัวยาวกว่ามาก อาจยาวได้ถึง ๑๗ เมตร

http://www.youtube.com/watch?v=7s1g4ubhrak#ws (http://www.youtube.com/watch?v=7s1g4ubhrak#ws)

คนไทยเคยเห็นน้องอ๋อบ่อย ๆ แต่ไม่ใช่ตัวเป็น ๆ หรือแม้แต่ตัวที่ตายแล้ว แต่เห็นจากรูปภาพนี้

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=3296.0;attach=10470;image)

คำบรรยายบอกว่า รูปนี้ถ่ายเมื่อ วันที่ ๒๗ มิ.ย. ๒๕๑๖ เมื่อทหารอเมริกันที่ตั้งฐานทัพอยู่ในประเทศลาว จับปลาชนิดหนึ่งได้ในแม่น้ำโขง ชาวลาวเรียกกันว่า "นางพยานาค"  วัดความยาวได้ ประมาณ ๗.๘๐ เมตร


(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)
 
 

มีน้องริบบิ้นอีกตัวหนึ่งเคยมาเที่ยวที่กระทู้นี้แล้วไม่นานมานี้ เห็นว่าใกล้วันแห่งความหวังก็เลยเอาโชว์อีกที  ;D



http://www.youtube.com/watch?v=XqaSXCWqeSM#ws (http://www.youtube.com/watch?v=XqaSXCWqeSM#ws)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

ขึ้นจานเด็ดไปเสียแล้ว  พี่โห้

ภาพจาก manager.co.th
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000055211 (http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000055211)

โจษจันลั่นเน็ต! ปลาประหลาด-มีขาเกยฝั่งตายริมบ่อ...ตัวอะไรใครรู้? (http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1431972969)

เว็บไซต์มิร์เรอร์ของอังกฤษรายงานเหตุการณ์ที่กำลังเป็นกระแสฮือฮาบนโลกออนไลน์ เมื่อพ่อหนุ่ม บ๊อบบี้ เคนท์ แชร์ภาพปลาร่างใหญ่สีเงิน หน้าตาพิลึกกึกกือนอนตายอยู่บนฝั่งบ่อน้ำในรัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา
 
แต่สิ่งที่ทำให้ชาวเน็ตประหลาดใจจริง ๆ คือ ปลาตัวนี้มีขา!

(http://i4.mirror.co.uk/incoming/article5716879.ece/ALTERNATES/s615/fish-with-legs-or-axolotl.jpg)

"เพื่อนบ้านผมเจอเองแหละ นี่มันตัวอะไรหว่า" บ๊อบบี้กล่าว
 
กรณีดังกล่าวทำให้บรรดาชาวเน็ตเม้นต์กันกระจาย บ้างก็ว่าเป็นวิวัฒนการของสัตว์ทะเลที่ขึ้นมาอยู่บนบก บ้างก็ว่าคงเป็นซาลามานเดอร์ตัวอ้วนๆ หรือบางคนคิดเลยเถิดไปว่า น่าจะเป็นสัตว์กลายพันธุ์
 
รวมถึงบางคนยังมองว่าเป็นตัวแอกโซลอเติล (สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำคล้ายซาลามานเดอร์) ตายแล้วศพเกิดพองขึ้นมาหรือเปล่า?
 
งานเข้าผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์น้ำซะแล้ว!

พิจารณาดูแล้วก็น่าจะเป็น ตัวแอกโซลอเติล หรือ จิ้งจกน้ำเม็กซิกัน Ambystoma mexicanum  (http://en.wikipedia.org/wiki/Axolotl) อย่างที่เขาว่า

http://www.youtube.com/watch?v=JtbbCp1MF-s#ws (http://www.youtube.com/watch?v=JtbbCp1MF-s#ws)


เมื่อครั้งยังชีพอยู่      สีสันดูสวยสดใส
สีซีดกายดับไป        ทุกอย่างไซร้ไม่จีรัง

Axolotl พบในธรรมชาติได้เฉพาะในเม็กซิโก ฉะนั้นเจ้าตัวที่พบตายอยู่ข้างบ่อน้ำในรัฐโคโรลาโดถ้าไม่ใช่หลุดมาจากตู้เลี้ยง ก็อาจจะเป็นตัวอ่อน (larva) ของซาลามานเดอร์ชนิดหนึ่งซึ่งมีหน้าตาเหมือนกับ Axolotl อย่างกะแกะ คือ ซาลามานเดอร์เสือ (tiger salamander) Ambystoma tigrinum และ Ambystoma mavortium ซึ่งพบในธรรมชาติได้ทั่วไปในทวีปอเมริกาเหนือ

รูป Ambystoma tigrinum บนคือระยะตัวอ่อน ล่างคือตัวเต็มวัย น่ารักไปคนละแบบ  ;D

ทั้ง Axolotl และ Tiger salamander ดูจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน

Axolotl มีลักษณะเป็นตัวอ่อนเรียกแบบไทย ๆ ว่า ลูกอ๊อด ตลอดชีวิต ส่วนซาลามานเดอร์เสือมีการเปลี่ยนสภาพจากลูกอ๊อดเป็นตัวเต็มวัย (metamorphosis) ลักษณะเดียวกับสัตว์จำพวกกบ สิ่งที่ควบคุมการเปลี่ยนแปลงนี้คือฮอร์โมน Thyroxine

ตามธรรมชาติ Axolotl ไม่มีฮอร์โมนตัวนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นตัวเต็มวัย เคยมีการทดลองฉีดฮอร์โมนตัวนี้ให้ Axolotl มันก็สามารถเปลี่ยนสภาพเป็นตัวเต็มวัยหน้าตาคล้าย ๆ กับซาลามานเดอร์เสือได้ ในทางกลับกันการทำงานของ Thyroxine อาจถูกยับยั้งด้วยความเย็น ฉะนั้นจึงพบซาลามานเดอร์เสือในสภาพที่เป็นลูกอ๊อดแม้มีอายุมากได้เช่นกัน

ข้างล่างเป็น Axolotl ที่มีการเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาคล้ายซาลามานเดอร์เสือ ;D

เจ้าตัวข้างบนนี่หน้าตาคล้ายกับตุ๊กแกเหมือนกันนะ

ลองมาดูเจ้าตัวข้างล่างนี้ เขาบรรยายว่าเป็น "ตุ๊กแกที่ใหญ่ที่สุดในโลก"

http://www.youtube.com/watch?v=JnMxI93MHHM#ws (http://www.youtube.com/watch?v=JnMxI93MHHM#ws)

เชื่อเขาไหม  ;)

ผู้ชายในคลิปชื่อ Satria เป็นชาวอินโดนีเซีย ส่วนสัตว์ประหลาดซึ่งดูคล้ายตุ๊กแกตามที่คุณ Satria วัดได้ความยาว ๑๓๘ เซนติเมตร ถ้าเป็นตุ๊กแกจริงก็นับว่าเป็นตุ๊กแกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะสถิติเก่าเป็นตุ๊กแกที่นิวซีแลนด์ซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว (Hoplodactylus delcourti) ยาวเพียง ๖๐ เซนติเมตร สั้นกว่าเจ้าตัวนี้กว่าเท่าตัว

แต่ทว่าสัตว์ประหลาดอินโดนีเซียตัวนี้เป็นตุ๊กแกจริงหรือเปล่า มีหลายอย่างซึ่งผิดแผกไปจากลักษณะของตุ๊กแกทั่ว ๆ ไป (Gekko gecko) เช่น ปลายนิ้วของมันไม่ได้งอขึ้นเวลาก้าวเดิน ตามลักษณะนิ้วตุ๊กแกที่ดูดพื้นตามปรกติ ไม่มีดวงตากลมใหญ่และทีท่าอ้าปากขู่แบบตุ๊กแกทั่ว ๆ ไป  หางยาวเรียว แทนที่จะแบนกลม และท่าทางในการเดินก็ไม่เหมือนตุ๊กแกแม้แต่น้อย

บางคนอาจนึกในใจว่าเป็นซาลามานเดอร์ยักษ์ได้หรือไม่ แต่โปรดสังเกตว่านิ้วเท้าหน้าของซาลามานเดอร์มีเพีง ๔ นิ้ว ต่างจากตุ๊กแกซึ่งมี ๕ นิ้ว

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5920.0;attach=56773;image) (http://blogs.scientificamerican.com/tetrapod-zoology/files/2015/04/Satria-holds-fake-giant-gecko-1-340-px-tiny-April-2015-Tetrapod-Zoology.jpg)

ผู้เชี่ยวชาญ  (http://blogs.scientificamerican.com/tetrapod-zoology/people-are-modifying-monitors-to-make-gargantuan-geckos/) บอกว่าจากลักษณะการเดินมันน่าจะเป็นสัตว์ในสกุลวรานุส Varanus sp. (อย่านึกถึงน้องเห้ในบ้านเราเพราะสัตว์สกุลนี้ทั่วโลกมีอยู่ถึง ๗๘ ชนิด) น้องวรานุสผู้น่าสงสารถูกคนใจร้ายจับมาทาสีลายจุดตามลำตัวและเอาหัวตุ๊กแกปลอมมาใส่  นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมมันถึงมีอาการสลัดหัวอยู่เสมอและเดินสะเปะสะปะเพราะมันมองไม่เห็นทางนั่นเอง

ทำไมคุณ Satria จึงจับคุณวรานุสมาแต่งตัวเป็นตุ๊กแกยักษ์ เหตุผลก็คือค่าตัวของตุ๊กแกนั่นเอง ตุ๊กแกยิ่งใหญ่ยิ่งมีราคา ในบ้านเรามี ข่าวว่าขายตุ๊กแกขนาดใหญ่ได้ราคาเป็นหมื่นเป็นแสน (http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000152798) แต่ที่อินโดนีเซียมีข่าวว่าขายตุ๊กแกยักษ์ได้ราคาเป็นล้าน

ตุ๊กแกยักษ์ตัวข้างล่าง (น่าจะเป็นตัวปลอมอีกนั่นแหละ) ใน เว็บขายตุ๊กแก (http://www.tokaygeckos.org/tokay-gecko-fact-sheet) อ้างว่าหนักถึง ๖๔ กิโลกรัม ขายให้เกาหลีหรือจีน (คนเขียนยังไม่แน่ใจ) ได้ราคาถึง ๑๗.๙ ล้านดอลลาร์ (ประมาณ ๕๐๐ กว่าล้านบาท)

เชื่อเขาไหมล่ะ ;)

ยังมีคนพยายามขายตุ๊กแกยักษ์โดยใช้วิธีแบบคุณ Satria ในอินโดนีเซียอีกหลายคน อย่างเช่น

ตัวนี้

http://www.youtube.com/watch?v=e3kggqd26f0#ws (http://www.youtube.com/watch?v=e3kggqd26f0#ws)

หรือตัวนี้

http://www.youtube.com/watch?v=cXbp7iZdX-Y#ws (http://www.youtube.com/watch?v=cXbp7iZdX-Y#ws)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

จะไม่เปิดเข้ามาในกระทู้นี้อีก  จนกว่าตัวกินปูนมันจะตกหน้า อำลากระทู้ไปก่อน

รักใคร่เกลียดชังเป็นเรื่อง นานาจิตตัง คงห้ามกันไม่ได้

อย่างเจ้าตัวนี้มีวาสนาได้เป็นสัตว์เลี้ยงมีคนรักใคร่ใส่ปลอกคอและสายจูง มีศักดิ์ศรีเทียมเท่ากับสุนัขเชียว บางคนว่ามันเป็น ตัวเงินตัวทอง บางคนว่ามันเป็นตะกวด  (แต่ไม่มีใครว่ามันเป็นตุ๊กแกยักษ์  ;)) พากันวิพากษ์วิจารณ์กันสนั่นเมืองว่า

ยุคนี้สามารถนำตัวเงินตัวทองมาเดินห้างได้เชียวหรือ (http://board.postjung.com/882539.html)  :o

ที่สำคัญมันไม่ใช่ ตัวเงินตัวทอง หรือ ตะกวด หรือตุ๊กแกยักษ์ แต่จะเป็นตัวอะไร โปรดติดตามตอนต่อไป ;D

ภาพข้างบนถ่ายที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ ในงาน PET EXPO THAILAND 2015 ที่เพิ่งจบไปเมื่อ ๓๑ พฤษภาคมที่ผ่านมานี้เอง

สัตว์ประหลาดตัวนี้อยู่ในสกุลวรานุสเช่นเดียวกับคุณเห้และตะกวดบ้านเรา มีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่แอฟริกาชื่อว่า  savannah monitor Varanus exanthematicus (http://en.wikipedia.org/wiki/Savannah_monitor) กินง่ายอยู่ง่าย ในช่วงวัยเด็กสามารถให้จิ้งหรีด และ แมลงเล็ก ๆ เป็นอาหารได้ เมื่อโตขึ้นสามารถให้แหล่งโปรตีนอื่น ๆ เป็นอาหารได้ เช่น ไข่ หรือ สัตว์ขนาดเล็ก

http://www.youtube.com/watch?v=cCPX_xW20Nc#ws (http://www.youtube.com/watch?v=cCPX_xW20Nc#ws)

คนเลี้ยงเขาก็รักของเขา เราก็ควรยินดีด้วย  ;D

วรานุสที่เราเห็นกันทั่ว ๆ ไปมักมีสีสันไม่สดสวยนัก ซ้ำยังรูปร่างเทอะทะ ใหญ่โต ยกเว้นเจ้าพวก tree monitor พวกนี้นอกจาก่จะมีหลากสีทั้งสีดำ เหลือง เขียว น้ำเงิน รูปร่างก็กะทัดรัด ไม่ใหญ่โตนัก พบได้เพียงแถวนิวกินีของอินโดนีเซีย ทั้ง ๔ ตัวนี้แต่ก่อนเชื่อว่าเป็นชนิดเดียวกันคือ ชนิดตัวสีเขียว Varanus prasinus ตัวที่มีสีแตกต่างออกไปถือเป็นชนิดย่อย แต่ต่อมาจัดออกเป็นคนละชนิด

จากซ้ายมาขวา black tree monitor (Varanus beccarii), Reisinger's tree monitor (Varanus reisingeri), emerald monitor (Varanus prasinus), the blue-spotted tree monitor (Varanus macraei)

ลักษณะเด่นของวรานัสพวกนี้คือมีหางยาวเกือบเท่าความยาวของลำตัวทีเดียว ปลายหางมักม้วนเป็นวง

เจ้าดำ Varanus beccarii

http://www.youtube.com/watch?v=8_xKFO5UoDg#ws (http://www.youtube.com/watch?v=8_xKFO5UoDg#ws)

และผองเพื่อนหลากสี  ;D

ของเหลวในทั้ง ๕ ขวดนี้ มาจากสัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งมีประโยชน์มหาศาลในวงการแพทย์

มันคือ "เลือดสีน้ำเงิน" จริงแท้แน่นอน เป็นของสัตว์ประหลาดชนิดใดนา  ;D

แมงดาทะเลครับคุณครู

ปรกติเราจะคุ้นเคยว่าเลือดต้องมีสีแดง เนื่องจากในสัตว์มีกระดูกสันหลังทั้งหมดบนเม็ดเลือดแดงมีฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ซึ่งมีสีแดงเพราะเป็นโปรตีนที่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบ ทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจน

ส่วนคำว่า "เลือดสีน้ำเงิน" เราก็คุ้นเคยกันดีเหมือนกัน แต่ในความหมายเชิงเปรียบเทียบ น้อยคนจะนึกถึงเลือดซึ่งมีสีน้ำเงินจริง ๆ อย่างภาพข้างบน สีน้ำเงินนี้มาจากโปรตีนที่ทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนคือ ฮีโมไซยานิน (Hemocyanin) ซึ่งมีทองแดงเป็นส่วนประกอบแทนที่จะเป็นเหล็กอย่างในสัตว์มีกระดูกสันหลัง

สัตว์ซึ่งมีเลือดสีน้ำเงินเป็นพวกไม่มีกระดูกสันหลังมี ๒ พวกใหญ่ ๆ คือพวกขาเป็นปล้อง (Arthropoda (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%94%E0%B8%B2)) เช่น กุ้ง ปู แมงมุม แมงป่อง แมงดาทะเล แมลงทั่วไป และอื่น ๆ อีกมากมาย กับอีกพวกหนึ่งคือพวกลำตัวนิ่ม (Mollusca (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%B2)) เช่น หอย ทาก หมึก และอื่น ๆ

เมื่อสัตว์เลือดสีน้ำเงินมีมากมายก่ายกองปานนี้ คุณประกอบทราบได้อย่างไรว่าเลือดในขวดนั้นมาจาก "แมงดาทะเล"

ลองอธิบายหน่อย นักเรียน    ;)

ภาพประกอบ (ซึ่งไม่ใช่คุณประกอบ  ;D)

ที่มา compoundchem.com (http://www.compoundchem.com/2014/10/28/coloursofblood/)

ฮิฮิ  ผมจำได้เลาๆ ว่าอ่านหรือดูสารคดีจากที่ไหนซักที่นี่แหละครับคุณครู  แต่จำไม่ได้จริงๆ ว่าจากไหน พักนี้เสพข้อมูลข่าวสารเยอะมากจนจำแหล่งไม่ได้  ;D ;D ;D

กุญแจคำตอบของเรื่องนี้อยู่ตรงนี้


ประโยชน์อันมหาศาลที่ว่านี้ มิใช่เกิดจากสีน้ำเงินของเลือด แต่เกิดจากคุณสมบัติอันมหัศจรรย์ของสิ่งหนึ่งที่อยู่ในเลือดแมงดาทะเล

แมงดาทะเลในโลกนี้มีอยู่ ๔ ชนิด พบที่เมืองไทย ๒ ชนิด คือ แมงดาถ้วย (Carcinoscorpius rotundicauda) และแมงดาจาน (Tachypleus gigas)


อีก ๒ ชนิด ตัวหนึ่งพบแถวจีนและญี่ปุ่นคือ Tachypleus tridentatus และตัวที่พบแถวชายฝั่งตะวันออกของอเมริกา คือ Limulus polyphemus

http://www.youtube.com/watch?v=Bm81EQ2hgVE#WS (http://www.youtube.com/watch?v=Bm81EQ2hgVE#WS)

แมงดาทะเลถือว่าเป็น ฟอสซิลที่มีชีวิต (living fossil) เป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง บรรพบุรุษของมันกำเนิดมาตั้งแต่ยุคก่อนมีไดโนเสาร๋เสียอีก  ;D

เมื่อ ๖๐ ปีมาแล้ว ขณะที่ Frederick Bang นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ (The Johns Hopkins University) กำลังศึกษาเกี่ยวกับระบบเลือดของ แมงดาทะเลพันธุ์แอตแลนติก (http://th.wikipedia.org/wiki/Limulus_polyphemus) Limulus polyphemus มีแมงดาทะเลตัวหนึ่งตายจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Vibrio sp. สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือเลือดทั้งหมดของมันแข็งตัวและจับกันเป็นวุ้น  Bang ศึกษาต่อไปจึงพบว่ามีเฉพาะแบคทีเรียแกรมลบเท่านั้นที่ทำให้เกิดปฏิกิริยานี้ และถึงแม้เอาแบคทีเรียพวกนี้ไป่ต้มในน้ำเดือดก็ยังทำให้เกิดปฏิกิริยาเดียวกันนี้ได้

Bang และเพื่อนได้ศึกษาต่อไปจึงพบว่าสิ่งที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้นเกิดจากสิ่งหนึ่งที่อยู่ในเลือดของแมงดาทะเลเรียกว่า  amoebocyte (หมายถึง เซลล์ที่มีการเคลื่อนที่คล้ายอมีบา)  หน้าที่ของมันคือเป็นทหารคอยจับและทำลายผู้บุกรุก (คือตัวแบคทีเรียเอง และสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อแบคทีเรียแกรมลบถูกทำลายด้วยความร้อนคือชิ้นส่วนของตัวมันเองเป็นสารพิษที่เรียกว่า  endotoxin  อันเป็นสาเหตุของการเป็นไข้  หนาวสั่น ช็อก หรือ เสียชีวิต) และแข็งตัวเป็นวุ้น

ทุกวันนี้ในมาตรฐานการผลิดยาฉีดระบุว่าเภสัชภัณฑ์หรืออุปกรณ์การแพทย์ใดๆ ที่สัมผัสกับของเหลวในร่างกาย หรือระบบไหลเวียนของเลือด ต้องไม่มีสารพิษ endotoxin ตัวนี้ สิ่งที่จะใช้ทดสอบเรื่องนี้ได้ก็คือสิ่งที่สกัดมาจาก amoebocyte ในเลือดแมงดาทะเล และการทดสอบนี้เรียกว่า  Limulus Amebocyte Lysate (LAL)

http://www.youtube.com/watch?v=90LTtKIFY8U#ws (http://www.youtube.com/watch?v=90LTtKIFY8U#ws)

ตัวเก่าก็จากไป     มีตัวใหม่เข้ามาแทน
แม้ว่าขี้เหร่แสน    แต่มีบุญคุณต่อเรา

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

คุณครูคับ แล้วไอ้ที่เวลาเราด่าผู้ชายบางจำพวกว่าเป็นแมงดาเนี่ย  มันมาจากแมงดาทะเลนี้ หรือแมงดาแบบที่เอามาใส่น้ำพริกครับ

น่าจะแมงดาทะเลนะคะ

                                                            อกเอ๋ยโอ้เอ็นดูหมู่แมงดา
                     ให้สามีขี่หลังเที่ยวฝั่งแฝง           ตามหล้าแหล่งเลนเค็มเล็มพฤกษา
                     เขาจับเป็นเห็นสมเพชเวทนา       ทิ้งมารดาผัวเสียเอาเมียไป
                    ฝ่ายตัวผู้อยู่เดี่ยวเที่ยวไม่รอด        เหมือนตาบอดมิได้แจ้งตำแหน่งไหน
                     ต้องอดอยากจากเมียเสียน้ำใจ      ก็บรรลัย แล กลาดดาษดา
                     แม้นเดี๋ยวนี้มีหญิงไม่ทิ้งผัว          ถึงรูปชั่วฉันจะรักให้หนักหนา
                     โอ้อาลัยใจอย่างนางแมงดา        แต่ดูหน้าในมนุษย์เห็นสุดแล

                                                            จาก นิราศเมืองเพชร ของ สุนทรภู่

คุณกาละแมร์เธอตอบไว้อย่างนี้

http://www.youtube.com/watch?v=mYP11ASp_EU (http://www.youtube.com/watch?v=mYP11ASp_EU)

ฟังเธอตอบแล้ว คุณประกอบคงไม่ได้คำตอบที่ต้องการอยู่ดี ไม่แน่ใจว่าคุณกาละแมร์ทราบหรือไม่ว่า "แมงดา" ที่เธอพูดถึงหน้าตาเป็นอย่างไร  ;D

คนไทยส่วนมากเมื่อพูดถึง "แมงดา"  สัตว์ที่นึกถึงอันดับแรกคือ  Lethocerus indicus ที่เราเอามาใส่น้ำพริก

(http://www.isan.clubs.chula.ac.th/para_norkhai/up_files/20120713061352.jpg)

ตัวนี้ชาวบ้านร้านตลาดเรียกว่า "แมงดา" แต่สังเกตให้ดีมันมี ๖ ขา ท่านรอยอินบอกว่างั้นเรียก "แมง" ไม่ได้ ต้องเป็น "แมลง" ฉะนั้นชื่อที่ถูกต้องคือ "แมลงดา"

แมงดาตัวที่สองที่คนจะนึกถึงคือ แมงดาทะเล  ท่านรอยอินบอกว่าเรียก แมงดา เฉย ๆ ก็ได้ แต่ชาวบ้านบอกเรียกอย่างนั้นจะงง ขอเติมคำว่า "ทะเล" ต่อท้ายอีกว่าจะได้ทราบว่าตัวไหนเป็นตัวไหน

ทีนี้มาถึงคำถามของคุณประกอบ ผู้ชายที่อาศัยน้ำพักน้ำแรงของผู้หญิงโสเภณีดำรงชีพ มาจากแมงดาตัวไหน  กรุณาดูรูปนี้อีกที

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5920.0;attach=57371;image)

ภาพนี้แมงดาทะเลกำลังอยู่ในฤดูผสมพันธุ์ที่เห็นอยู่ข้างบนคือตัวผู้ จะเกาะบนหลังตัวเมียโดยการใช้ตะขอเกี่ยวเอาไว้ตลอดฤดูผสมพันธุ์  นี่แหละคือที่มาของคำเรียกชายโฉดเหล่านั้นว่า "แมงดา"

สุนทรภู่ท่านช่างสังเกตนัก  ;D

มาดูสัตว์ประหลาดกันอีกตัวค่ะ  ไทยเรียกอะไรคะคุณเพ็ญชมพู

 (http://www.youtube.com/watch?v=nqlnGm1xCo0&feature=youtu.be[/url)

กระเบนธง round fantail  stingray (https://en.wikipedia.org/wiki/Round_fantail_stingray) Taenira grabata แห่งเกาะโกเมรา ในหมู่เกาะคานารี ของสเปน

(https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/a2/Taeniura_grabata_tenerife2.jpg/220px-Taeniura_grabata_tenerife2.jpg)

http://youtube.com/watch?v=yiDAHww0Fe4#ws (http://youtube.com/watch?v=yiDAHww0Fe4#ws)

ปูทูน่าสีแดงมหาศาลเกยตื่นชายแคลิฟอร์เนีย คาดเป็นผลจากปรากฏการณ์เอลนีโญ สำนักข่าวต่างประเทศได้เผยแพร่ภาพปรากฏการณ์ธรรมชาติน่าประหลาด เมื่อจู่ๆ เจ้าปูทูน่าจำนวนมหาศาลก็ถูกซัดขึ้นมาเกยตื้นบนตลอดแนวชายฝั่งเมืองซานดิเอโก.......

อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/ (http://www.posttoday.com/)รอบโลก/ข่าวรอบโลก/371437/แดงทั้งหาด-ปูทูน่ามหาศาลเกยตื้นชายฝั่งสหรัฐ

http://www.youtube.com/watch?v=QZCdXFOyVAg#ws (http://www.youtube.com/watch?v=QZCdXFOyVAg#ws)

สำนักข่าวต่างประเทศได้เผยแพร่ภาพปรากฏการณ์ธรรมชาติน่าประหลาด เมื่อจู่ ๆ เจ้าปูทูน่าจำนวนมหาศาลก็ถูกซัดขึ้นมาเกยตื้นบนตลอดแนวชายฝั่งเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ทำเอาชาวบ้านตื่นตกใจเพราะไม่เคยพบเห็นปรากฏการณ์ลักษณะนี้ในพื้นที่ดังกล่าวมาก่อน

ด้าน'ลินเซย์ ซาลา'นักวิทยาศาสตร์ประจำพิพิธภัณฑ์สถาบันคริพส์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ได้เผยว่า สาเหตุดังกล่าวน่าจะมาจากเพราะน้ำทะเลบริเวณชายฝั่งบาฮาคาลิฟอร์เนียและอ่าวแคลิฟอร์เนียในเม็กซิโกซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่เดิมของปูทูน่าเกิดมีอุณภูมิสูงเนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ปูทูน่าเหล่านี้จึงต้องว่ายน้ำขึ้นมาเพื่อหากระแสน้ำที่เย็นกว่า

อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญต่างออกมาเตือนประชาชนว่า ห้ามนำมารับประทานเนื่องจากมีสารพิษ

ดูรูปต่อที่ posttoday (http://www.posttoday.com/%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81/371437/%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%94-%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B8%97%E0%B8%B9%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90)  ;D

สารพิษในตัวของมันเองแบบปลาปักเป้า หรือเหรา หรือมันได้รับสารพิษจากมลภาวะที่อยู่ๆก็อุบัติขึ้นครับ

เป็นธรรมดาของการสาธารณสุข ที่ต้องระวังไว้ก่อนไม่รับประทานสัตว์ที่ตายโดยไม่ทราบสาเหตุ ปูทูน่าแดง  (https://en.wikipedia.org/wiki/Pleuroncodes_planipes) พวกนี้อาจจะตายเพราะกินแพลงตอนหรือสาหร่ายมีพิษเข้าไปก็ได้

อ่านข่าวเพิ่มเติมที่ ibtimes.com (http://www.ibtimes.com/red-tuna-crabs-washing-southern-california-beaches-1973733)

เห็นคลิ๊ปปลากระเบนที่ท่านอาจารย์เทาชมพูเอามาให้ดูแล้ว คิดถึงสมัยเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ผมเคยพาลูกๆไปเที่ยวอเมริกาและมีโอกาสไป Sea World ที่ซาน ดิเอโก ที่นั่นมีส่วนน้ำที่จัดให้สำหรับการศึกษาชีวิตสัตว์ทะเลของเด็กๆ ที่กระทบใจผมมากคือบ่อเลี้ยงปลากระเบนซึ่งมีขอบบ่อสูงเท่าหน้าอกของเด็ก ทำให้เด็กสามารถเอามือไปสัมผัสกับกระเบนขนาดใหญ่เท่ากระด้งนับสิบๆตัวในอ่างยักษ์นั้นได้

วันนั้น ผมพลอยมีโอกาสได้เรียนรู้พร้อมกับลูกๆว่า ปลาพันธุ์นี้มันฝึกให้เชื่องเป็นสัตว์เลี้ยงได้ เพียงเอามือไปแตะๆน้ำให้เกิดเสียง มันจะพากันว่ายน้ำปร๊าดเข้ามาหา ทำตัวเหมือนหมาเหมือนแมว พยายามเคล้าเคลียมือของเราเพื่อขออาหารเล็กๆน้อยๆ มันน่ารักมากจริงๆ เราอยู่กับมันนานมาก พ่อแม่ลูกหลงรักมันทุกคน

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมก็สละสิทธิ์การกินปลากระเบนผัดเผ็ด สมัยก่อนร้านขายข้าวแกงมีขายกันแทบจะทุกร้าน แล้วผมเห็นที่ไหนก็ที่นั่น เป็นต้องชี้กินทันที นึกเสียใจอยู่ว่าเราเคยกินเนื้อหนังมังสาของเพื่อนร่วมโลกผู้น่ารักที่เป็นมิตรกับมนุษย์ได้ลงคอ เพราะความไม่รู้ของตนแท้ๆ เห็นแค่ว่าเขาเป็นอาหาร

แปลว่าปกติก็กินได้ใช่ไหมครับ แต่ดูๆมันหน้าตาเหมือนกุ้งมากกว่าปู ทำไมถึงเรียกว่า crab

จริง ๆ มันก็เป็นกุ้งชนิดหนึ่งอย่างที่คุณนวรัตนว่า เรื่องเรียกชื่อผิดเผ่าพันธุ์นี่เป็นเรื่องธรรมดาของทั้งไทยและฝรั่ง อย่างแมงดาทะเลฝรั่งยังเรียกว่า ปูเกือกม้า (horseshoe crab) เลย  ปู (ซึ่งความจริงคือกุ้ง) พวกนี้ปรกติก็เป็นอาหารของสัตว์ทะเลทั่วไปอยู่แล้ว ชื่อปูทูน่าก็มาจากมันเป็นอาหารที่ปลาทูน่าชื่นชอบนั่นเอง

ควันหลงเรื่องแมงดาทะเล (ปูเกือกม้า)

ความเดิมตอนที่แล้ว  เลือดของแมงดาทะเลมีประโยชน์ในวงการแพทย์มหาศาล ดังนั้น......

ทุก ๆ ปีแมงดาทะเล (Limulus polyphemus) จำนวน ๒๕๐,๐๐๐ ตัวจากฝั่งทางตะวันออกของอเมริกาจะถูกนำมาเก็บเลือด ครั้งหนึ่ง ๆ จะเก็บเลือดจากมันจำนวนเพียง ๓๐ % ของปริมาณเลือดในร่างกาย แล้วก็ปล่อยกลับคือนสู่ธรรมชาติ โชคร้ายที่มีราว ๑๐-๓๐ เปอร์เซนต์ที่ตาย เลือดแมงดาทะเลสนนราคาประมาณลิตรละ ๑๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์ ธุรกิจการการค้าเลือดแมงดาทะเลจึงทำเงินมหาศาล ตกประมาณ ๕๐ ล้านดอลลาร์ต่อปี

http://www.youtube.com/watch?v=e8KlAmtIu1E#ws (http://www.youtube.com/watch?v=e8KlAmtIu1E#ws)

กระบวนการดังกล่าวใช้ได้ทั้งแมงดาหางกลมที่มีพิษ และหางเหลี่ยมที่ไม่มีพิษ อย่างงั้นหรือครับ

แมงดาหางกลมที่มีพิษ (แมงดาถ้วย)-Carcinoscorpius rotundicauda และหางเหลี่ยมที่ไม่มีพิษ (แมงดาจาน)-Tachypleus gigas โชคดีที่ยังไม่มีใครเอาเลือดไปใช้

นอกจากแมงดาทะเลแอตแลนติก-Limulus polyphemus ของอเมริกาที่โชคร้ายถูกเอาไปเก็บเลือดเป็นประจำทุกปีแล้ว ยังมีแมงดาพันธุ์เอเซียอีกพันธุ์หนึ่งคือพันธุ์จีน-ญี่ปุ่น-Tachypleus tridentatus ที่โชคร้ายถูกเก็บเลือดไปใช้เหมือนกัน สารทีสกัดได้จากเลือดแทนที่จะเป็น LAL (Limulus Amebocyte Lysate) ก็เป็น TAL (Tachypleus Amebocyte Lysate) ซึ่งใช้ในการทดสอบการปลอด endotoxin ได้เช่นกัน

กระบวนการเก็บเลือดจากแมงดาทะเลทั้ง ๒ เผ่าพันธุ์นี้น่าจะเป็นแบบเดียวกัน

สารทดสอบ Tachypleus Amebocyte Lysate  MADE IN CHINA  ;D

สัตว์ประหลาดมีอยู่ในโลกเรานานแล้ว เพียงแต่ว่าเราจะค้นพบมันเมื่อไร

กบตัวนี้เพิ่งถูกค้นพบเมื่อ ๗ ปีมานี้เอง จะตั้งชื่อมันว่ากระไรดี  ;D

กบคอมมานโด ครับ เพราะหน้าตาท่าทางเขาเหมือนทหารพรางหน้าที่กำลังหมอบคลานอยู่ครับ

มีกบพื้นเมืองของอเมริกากลางตัวหนึ่งชื่อ Dendrobates auratus ชื่อสามัญคือ กบลูกดอกพิษสีเขียวดำ (Green and black poison dart frog) (https://en.wikipedia.org/wiki/Green_and_black_poison_dart_frog) กบตัวนี้บางแห่งก็เรียกว่า กบคอมมานโด เพราะมีลวดลายเหมือนลายพรางของทหาร ซึ่งเป็นลายคนละอย่างกับกบต้นเรื่องของเรา

http://www.youtube.com/watch?v=_3vDt-FClDw#ws (http://www.youtube.com/watch?v=_3vDt-FClDw#ws)

พวกกบลูกดอกมักมีสีสันสดใสลวดลายสวยงามแต่มีพิษร้าย คนพื้นเมืองแถวนั้นใช้พิษนี้อาบปลายลูกดอกเพื่อใช้ในการล่าสัตว์จึงเป็นที่มาของชื่อกบ

กบตัวนี้ค้นพบครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๑ ในป่าของประเทศโคลอมเบีย นักวิทยาศาสตร์ตั้งชื่อว่า Hyloscirtus tigrinus  ชื่อสปีชีส์ tigrinus หมายถึงมีลายอย่างเสือ ชื่อสามัญจึงเรียกว่า  Tiger’s Treefrog เรียกอย่างไทย ๆ คงได้ว่า "กบต้นไม้ลายเสือ"  กบตัวนี้พบได้ทั้งที่โคลอมเบียและเอกวาดอร์ พบตัวเป็น ๆ เพียง ๑๒ ตัวจากสถานที่ ๖ แห่งเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าขณะนี้เหลือประชากรกบลายเสือตัวนี้ไม่เกิน ๒๕๐ ตัว (คำนวณได้อย่างไรเหลือที่จะคาดเดา)

กบต้นไม้ลายเสือนับเป็นกบทีมีสีสันสดใสงดงามตัวหนึ่ง ลักษณะอย่างนี้ดูเหมือนจะเป็นกบมีพิษแต่หาเป็นอย่างลักษณะภายนอกของมันไม่  มันไช่กบมีพิษ สีสันและลวดลายสะดุดตานี้เป็นข้อดีอย่างหนึ่งคือช่วยป้องกันไม่ให้ถูกจับกินโดยเข้าใจว่าเป็นสัตว์มีพิษ

กบตัวนี้เป็นกบต้นไม้ลายเสือตัวเมีย เป็นกบตัวที่ ๕ ที่ค้นพบ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๑ ในป่าของประเทศโคลอมเบีย  (http://www.checklist.org.br/getpdf?NGD167-08)

Jelly balls

http://animals.spokedark.tv/2014/10/08/10-weird-sea-creatures/#.VZX5I0YpqSo (http://animals.spokedark.tv/2014/10/08/10-weird-sea-creatures/#.VZX5I0YpqSo)

ตัวนี้เคยมาเมื่อปีที่แล้ว

ผีเสื้อทะเล เคยปรากฏกายในฐานะเหยื่อผู้น่าสงสารของ นางฟ้าทะเล

เมื่อนางฟ้ากลายร่างเป็นปีศาจ   :o

http://youtube.com/watch?v=Phj5WS6czeA#ws (http://youtube.com/watch?v=Phj5WS6czeA#ws)

ผีเสื้อทะเลพวกข้างบนเป็นหอยทากทะเล (sea snail)

ยังมีสัตว์อีกพวกหนึ่งซึ่งเรียกว่า ผีเสื้อทะเล เช่นกัน คือ ทากทะเลติดปีก (winged sea slug)

ขอเชิญชมลีลาการร่ายรำรับอรุณประกอบทำนองเพลงอันไพเราะของ Pacific Batwing Seaslug Gastropteron pacificum ผีเสื้อทะเลพันธุ์หนึ่งแห่งอเมริกาเหนือ

http://youtube.com/watch?v=sC61i1Z9fnE#ws (http://youtube.com/watch?v=sC61i1Z9fnE#ws)

มีเที่ยวบินที่ประหลาดพอ ๆ กับ "ลูกเพียงพอนบนหลังนกหัวขวาน" เที่ยวบินต่อไปนี้ชื่อ "เที่ยวบินอีกาบนหลังนกอินทรี"  ;D

ภาพที่เห็นนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงแค่ ๒-๓ วินาทีเท่านั้น โดยนายฟู ชาน ช่างถ่ายภาพวัย ๕๐ ปี เห็นภาพนี้โดยบังเอิญและสามารถถ่ายไว้ได้ทัน เขาเผยว่า เขารู้สึกประหลาดใจมาก ตอนแรกเขานึกว่าอีกาจะไปแย่งอาหารของอินทรี แต่มันแค่เกาะไปเฉย ๆ และเจ้าอินทรีก็ยังคงบินต่อไปเช่นเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อถึงที่หมายอีกาก็ลงอย่างไวแล้วบินจากไปทันที ส่วนอินทรีก็บินหาอาหารกินต่อไป

ภาพจาก เดลิเมล (http://www.dailymail.co.uk/news/article-3144167/Crow-takes-brief-rest-bald-eagle-Washington.html)

ยังมีอีกภาพหนึ่งซึ่งฮือฮาพอ ๆ กับ ๒ ภาพแรก คือ "แรคคูนล่องแม่น้ำบนหลังจระเข้"

ริชาร์ด โจนส์ ผู้ถ่ายภาพดังกล่าว เล่าว่าขณะที่พาครอบครัวไปเดินเล่นริมแม่น้ำโอคลาวาฮา รัฐฟลอริดาและกำลังเฝ้าดูจระเข้ตีนเป็ด (alligator) อยู่นั้น ลูกชายของเขาได้เดินไปเหยียบกิ่งไม้จนทำให้แรคคูนที่อยู่ริมฝั่งตกใจ กระโดดขึ้นไปบนหลังของจระเข้ตีนเป็นที่กำลังแหวกว่ายอย่างเชื่องช้า สร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมากว่าสัตว์ที่ดุร้ายอย่างจระเข้ปล่อยให้เจ้าแรคคูนขึ้นไปยืนบนหลังอย่างสบายใจเฉิบแบบนี้ได้อย่างไร

ภาพและเรื่องจาก เดลิเมล (http://www.dailymail.co.uk/news/article-3123961/Raccoon-stands-alligator-Florida-forest-form-adorable-animal-odd-couple.html)

เชิญต่อที่กระทู้  สัตว์ประหลาด 4
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6355.msg145917;topicseen#msg145917 (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6355.msg145917;topicseen#msg145917)