นิลกังขา
แขกเรือน
สุครีพ
ตอบ: 1012
ทำงานราชการ
|
วันนี้ 8 มีนาคม วันสตรีสากลครับ
ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งในเว็บ ขอส่งความปรารถนาดีมาให้สุภาพสตรีทุกท่านในเรือนไทยด้วยเทอญ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นิลกังขา
แขกเรือน
สุครีพ
ตอบ: 1012
ทำงานราชการ
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 08 มี.ค. 06, 17:07
|
|
ในประเทศสังคมนิยม เช่นจีน รัสเซีย หรือเวียดนามใกล้ๆ บ้านเรา ดูจะให้ความสำคัญกับวันนี้มากกว่าในเมืองไทยและแม้แต่ในเมืองฝรั่งตะวันตก เป็นธรรมเนียมของผู้ชายเมืองเหล่านั้นที่จะต้องซื้อดอกไม้ให้ผู้หญิงที่รู้จัก ยิ่งกว่าวันวาเลนไทน์ในเมืองฝรั่ง (และเมืองไทย) เสียอีก เพราะผู้ชายรัสเซียและจีนเขาไม่ได้ซื้อให้เฉพาะสาวคนรักดอกเดียวช่อเดียว แต่เขาจะซื้อแจก แจกแม่ พี่สาว น้องสาว บรรดาเพื่อนร่วมงานหรือลุกน้องที่เป็นหญิง ฯลฯ หมดเลย
ประธานเหมาเจ๋อตุงเคยกล่าวว่า "ผู้หญิงแบกฟ้าไว้ครึ่งหนึ่ง" ซึ่งภาษาจีนกลางรู้สึกจะเรียก หนู่เหรินเป้ย์ปั้นเทียน" รึอะไรนี่แหละ ถ้าผิดขออภัย เดี๋ยวผู้รู้ภาษษจีนในเว็บนี้ก็คงจะเข้ามาแก้ไขผมเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
นิรันดร์
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 09 มี.ค. 06, 00:45
|
|
ย้อนไปเกือบ 100 ปี หญิงไทยเชื้อสายมอญคนหนึ่ง เธออยู่เมืองไทย ได้เรียนหนังสือไทยแค่ประถม 2 ก็ต้องออกจากโรงเรียนเพราะพ่อแม่ตายหมด อาศัยอยู่กับแม่เลี้ยงและไม่ได้เรียนหนังสืออีก เมื่อเวลาผ่านมา เธอมีอาชีพเป็นแม่ค้าหาบเร่ขายข้าวแกงอยู่ย่านเฉลิมไทย ราชดำเนิน ฯลฯ และได้ให้กำเนิดแม่ของผม แล้วในที่สุดผมก็ได้เกิดมามองโลก ใช่แล้ว ท่านคือคุณยายของผม
พอผมเริ่มจะเรียนหนังสือได้ อ่านเขียนได้เล็กน้อย คุณยายได้ท่องมูลบทบรรพกิจให้ผมจดตาม ตอนนั้น ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอกครับ คุณยายสั่ง ก็ทำตามไปเรื่อย ๆ ในมูลบทบรรพกิจที่แม่ค้าข้าวแกงเรียนแค่ประถม 2 บอกให้ผมตามความทรงจำ เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาลในชีวิตผมในกาลต่อมา วรรณคดีไทยเรื่องแรกที่ผมจำได้ก็คือ กาพย์พระไชสุริยา และทำให้ผมหลงใหลกับคำประพันธ์ไทยมาจนทุกวันนี้
ถึงท่านจะล่วงลับไปหลายสิบปีแล้ว ถึงท่านจะไม่ใช่คนยิ่งใหญ่ที่ทุกคนรู้จัก แต่ท่านเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตผมครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เฟื่องแก้ว
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 09 มี.ค. 06, 21:37
|
|
น่าอิจฉาจังเลยค่ะ ที่อาจารย์ได้ใกล้ชิดกับคุณยาย
ดิฉันไม่ได้พบคุณยายของตัวเองมาเป็นสิบปีแล้วค่ะ แต่ทราบจากคุณแม่ว่า ท่านยังแข็งแรง ไปโน่นมานี่ เดินสายไปอยู่กับลูกๆ หลานๆ ที่นู่นที่นี่ตลอด รู้สึกผิดนิดๆ นะคะ ที่ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับท่าน จำได้ว่า คุณยายทำอาหารอร่อย ขยันขันแข็ง (ท่านทำสวนยาง สวนสับปะรดค่ะ) เวลาว่าง ยายจะนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ตลอด ใจดีมากๆ แต่เวลาดุก็หยิกเจ็บเหมือนกันค่ะ แหะๆ นอกจากนั้น ก็คือ ชอบเวลาคุณยายสางผมให้ คุณยายจะตรึงผมตรงหนังศรีษะไว้ แล้วค่อยๆ สางตรงปลาย ที่ประทับใจตรงนี้ เพราะตอนเด็กๆ คุณแม่ถักเปียให้ก่อนไปเรียน แล้วเจ็บมากๆ จนน้ำตาร่วงเลยค่ะ แต่ก็เป็นการผลักดันให้ตัวเองหัดถักเปีย ทำผมให้ตัวเองได้ดี (แล้วก็เลยชอบจับคนอื่นมาเป็นหุ่นให้ทำผม)
ส่วนคุณแม่เป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ค่ะ แต่มีพรสวรรค์ทางศิลปะหลายด้าน ทั้งทำอาหาร เย็บปักถักร้อย เขียนรูป ร้องเพลง รำไทย และเป็นนักอ่านตัวยงเหมือนกัน ดิฉันได้รับความสามารถด้านนี้มาจากคุณแม่ครบถ้วน เลยเป็นคนที่ทำงานศิลปะได้ดีทุกด้าน แต่ไม่ดีจนเลิศสักอย่าง คงไม่ได้ฝึกฝนอย่างจริงจังน่ะค่ะ
ดิฉันถือว่าตัวเองได้พรจากแม่ทางด้านนี้ เป็นพรชีวิตที่ช่วยเสริมสร้างความเจริญให้ตัวเองด้วย เป็นผู้หญิงคนสำคัญที่สุดในโลกสำหรับดิฉันค่ะ
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
Nuchana
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 10 มี.ค. 06, 03:02
|
|
อ่านเรื่องคุณแม่ของอาจารย์ พลอยทำให้นึกถึงแม่ตัวเองขึ้นมาบ้าง ตอนนั้นแม่อายุ 49 ปี และดิฉันเป็นนักศึกษาปี 1
ฝนตกพรำๆตอนหัวค่ำ ดิฉันกำลังคุยโทรศัพท์กับเพื่อน ถามเพื่อนว่าได้โทรไปบ้านบ้างไหม เธอตอบว่าโทรไปทุกวัน วันละสองชั่วโมง เอาเบอร์นี่ไปสิ เธอบอกเบอร์โทรศัพท์ 13 หลักมาให้ และแนะว่า ให้ใช้โทรศัพท์สาธารณะโทร เบอร์นี้เป็นเบอร์ที่ใช้ในการซ่อมบำรุงเครือข่าย ซึ่งจะเปลี่ยนทุกสัปดาห์ ขณะนั้นฝนยังตกไม่หยุด เฉอะแฉะและหนาว ไม่อยากออกจากบ้าน จึงปิดไฟเข้านอน อีกสักครู่ ดิฉันผลุนผลัน ลุกจากเตียง คว้ากุญแจรถสกูเตอร์ขี่ออกไป 2 ป้ายรถเมล์เพื่อโทรศัพท์ถึงแม่ คนรับบอกว่าแม่ไม่สบาย ดิฉันถามว่าหนักไหม เขาบอกว่าก็หนักเหมือนกัน แต่ไม่ยอมบอกอะไรมากกว่านั้น พอถามถึงพ่อ เขาบอกว่าพ่อไปกรุงเทพฯเมื่อสักชม. กว่าที่แล้ว ดิฉันคิดว่าแม่อาจเป็นไข้หวัด ไม่หนักนัก พ่อจึงไปกรุงเทพฯได้ ในระหว่างรอเวลาให้พ่อเดินทางถึงกรุงเทพฯ ดิฉันโทรไปหาน้า น้าบอกว่า แม่ผ่าตัดหัวใจอยู่ที่ศิริราช
ดิฉันว้าวุ่น กังวล คิดถึงแม่มาก จึงโทรศัพท์ไปหาเพื่อน อีกสักครู่เพื่อนขับรถมารับให้ไปพักที่ อพาร์ทเมนต์เธอ เพราะเธอไม่อยากให้ดิฉันอยู่คนเดียวในสภาพที่ใจไม่ปกติ พอถึงวันเสาร์ดิฉันคิดว่าเข้มแข็งพอ จึงกลับมาอยู่บ้าน เป็นโรคผวาโทรศัพท์อย่างมาก ก้าวแรกที่เปิดประตูบ้านเข้าไป ถึงกับหน้ามืด เซไปเกาะเปียโนเมื่อเห็นหูโทรศัพท์ห้อยต่องแต่ง จากตัวเครื่องที่เป็น wall-mounted phone
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นิลกังขา
แขกเรือน
สุครีพ
ตอบ: 1012
ทำงานราชการ
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 10 มี.ค. 06, 10:13
|
|
รออ่านของคุณ Nuch ต่ออยู่ครับ
สูตรสุกี้ 4 ทวีป ดูเหมือนไม่ค่อยเกี่ยวกับหัวข้อกระทู้ วันสตรีสากล เท่าไหร่? แต่ผมจำได้ว่าผมเคยโพสต์สูตรของผมลงในนี้เมื่อหลายปีก่อนโน้นนะครับ กระทู้เก่าๆ อาจจะมี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Nuchana
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 10 มี.ค. 06, 17:15
|
|
สุภาพสตรีชรา เจ้าของบ้านชะโงกหน้าออกมาจากครัว ร้องทักว่า “โอช....ม้าย.. ม้าย... มาย” ท่านพูดต่อไปว่า “หายไปไหนมาหลายวัน ฉันเป็นห่วงรู้ไหม สกูเตอร์เราก็ไม่ได้ล้อคกุญแจ ฉันเอาผ้าไปคลุมไว้ให้เพื่อพรางตาขโมย” ท่านต่อว่าต่อขานดิฉันอย่างยืดยาวว่าหายไปหลายวันไม่ยอมบอกกล่าว มีสซีสฟูมิ ฟูรูตะ เป็นโรคหลงๆลืมๆ ในวัยร่วม 90 ปี ท่านเหลือเพียงความทรงจำในอดีตแม้ว่าเวลาจะผ่านไป หลายปีก็สามารถจำได้ แต่พอถึงเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านพ้นไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วกลับจำไม่ได้
ดิฉันตรงรี่ไปที่โทรศัพท์ เพื่อยกหูกลับคืนแป้น แต่ “คุณยายฟู” ชื่อที่เพื่อนๆดิฉันเรียกขาน สกัดกั้นไม่ยอมให้ วางหูคืนที่ บอกกับดิฉันว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งโทรมาอยู่ได้ ท่านรำคาญจึงยกหูออก เมื่อดิฉันเค้นว่าใครโทรมา และโทรมาว่าอย่างไร ยายฟูยิ้มแห้งๆ บอกว่า “I forgot. Don’t get old.” แล้วหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี
ดิฉันชิงหูโทรศัพท์มาได้ก็วางคืนแป้น ทำเหมือนกับบ้านนี้เป็นบ้านตัวเองและยายฟูเป็นผู้อาศัย โทรศัพท์ดังขึ้นทันที พี่สาวดิฉันโทรมาจากเมืองไทย แจ้งว่าโทรมาหลายครั้งมาก ยายฟูพูดไม่รู้เรื่อง แจ้งข่าวว่าแม่ไม่สบาย จะกลับบ้านหรือไม่ให้ตัดสินใจเอาเอง ดิฉันอ้อนวอนขอคำตอบ “แม่ตายหรือยัง...บอกมาเถิด ถึงจะเป็นความจริงก็คงไม่เสียใจมากกว่านี้หรอก” แต่พี่สาวยืนยันคำตอบเดิม
ดิฉันคว้าสกูเตอร์ขับเข้าไปที่หอพักมหาวิทยาลัย ประตูห้องพักห้องหนึ่งเปิดอยู่แล้ว ดิฉันเคาะประตูให้เสียง 3 ครั้ง และก้าวเข้าไป เจ้าของห้องเงยหน้าจากตำราแพทย์เล่มโตตรงหน้า “อาชำนาญคะ...สงสัยว่าแม่จะตายแล้วล่ะค่ะ พี่มลโทรมาบอกว่าจะกลับบ้านไปเยี่ยมแม่หรือไม่กลับให้คิดเอาเอง แต่ไม่ยอมบอกว่าตายหรือยัง .....ฟังเสียงดูเหมือนจะสิ้นแล้ว”
อาเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์และหมุนเบอร์ตามที่ดิฉันบอก ช่วงเวลา 20 วินาทีที่รอคอยผู้มารับสายนั้น...รู้สึกว่า นานแสนนาน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เฟื่องแก้ว
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 10 มี.ค. 06, 23:32
|
|
พี่นุช ยังไม่เขียนต่อหรือคะ โธ่ คนคอยอ่านก็รู้สึกว่านานแสนนานเหมือนกันนะคะ
คุณพระนิลคะ กระทู้ผู้หญิงนะคะ ต้องเกี่ยวกับเรื่องกินสิน่ะ อิอิ เข้ามาแซวเพราะกระทู้นี้เป็นของคุณพระนี่คะ ยังไงคงกลับมาอ่านแน่ แซวเจ๋ยๆ ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Nuchana
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 11 มี.ค. 06, 16:24
|
|
โทษทีค่ะ คุณเฟื่อง วันศุกร์เย็นออก ตจว. ค่ะ ********** "ใครพูดน่ะ...แม่เป็นอย่างไรบ้าง" เสียงอาพูดสั้นๆ คิ้วขมวด คำถามต่อไปที่หลุดจากปากอา เป็นคำถามที่สั้นที่สุด ที่ไม่ต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม เพราะชัดเจนในตัวเอง "เมื่อไร"
เท่านั้นแหละ ดิฉันปล่อยโฮออกมา เหมือนเขื่อนน้ำตาแตก ทั้งๆที่สู้ทำใจแข็งอยู่เป็นนาน คำว่า “เมื่อไร ” ดับฝันทุกอย่างที่อยู่ในใจ และปลุกให้ตัวเองตื่นจากฝัน ก้นบึ้งของใจอยากให้สิ่งที่เกิดขึ้น ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเป็นเพียงความฝัน ดิฉันจำได้ว่าได้ขยำเศษกระดาษที่จดเบอร์โทร 13 หลัก ทิ้งไปแล้ว ทำเหมือนกับว่าเหตุการณ์ที่แม่เข้ารับการผ่าตัดไม่ได้เกิดขึ้น หลอกตัวเองว่าไม่เคยรับรู้ หรือบันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ในสารบบความทรงจำแต่อย่างใด
เพียงไม่นาน อาจองตั๋วเครื่องบินให้เรียบร้อย ดิฉันต้องบินชั้นธุรกิจ วันเวย์ราคา $800 เพราะซื้อตั๋วกระชั้นชิด ที่นั่งชั้นประหยัดไม่มี ซึ่งปกติชั้นประหยัดไปกลับราคาเพียง $550 เท่านั้น (แปลก…พอขึ้นไปจริงๆ ที่นั่ง ชั้นประหยัดว่างตั้งครึ่งลำ) นึกถึงสำนวนไทยที่ว่าผีถึงป่าช้าแล้ว อย่างไรก็ต้องเผา ใครคิดช่างเหมาะเจาะเหลือเกิน ครานี้แม่ถึงสุสานแล้ว ตั๋วจะราคาเท่าไร ก็ต้องซื้อ
ดิฉันต้องบินรุ่งเช้า ฝากสกูตเตอร์ไว้ที่อา และอาได้ขับรถมาส่งที่บ้านยายฟู ซึ่งตั้งอยู่เลยหน้ามหาวิทยาลัย ไปบลอคเดียว พอจอดรถปุ๊บยายฟูนั่งอยู่หน้าบ้าน อาทำหน้าเบ้และกำชับให้ย้ายออกจากบ้านยายฟู ทันทีเมื่อกลับมา อารำคาญคนแก่ที่พูดไม่รู้เรื่อง
ดิฉันจับพลัดจับพลูมาอยู่กับยายฟูอย่างบังเอิญแท้ๆ สุดท้ายก็มาพบว่ายายฟูเป็นแม่พระคนที่สองในชีวิต คนที่ชอบเคาะประตูห้องจนเกิดโมโห พอเปิดออกมาจะจับยายฟูหักคอจิ้มน้ำพริกเสียหน่อย กลับเห็นเจ้าของบ้านชรา ยืนยิ้ม ถือถาดเบนโตในมือ แล้วบอกว่ามินิสเตอร์ที่โบสถ์ให้คนนำอาหารกลางวันมาส่งให้ และเชื้อเชิญ ให้ดิฉันแบ่งกันกินคนละครึ่ง เป็นแม่พระที่คอยส่งสตางค์ให้ดิฉันตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนครั้งละ $10-$20 เป็นประจำทุกวัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Nuchana
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 11 มี.ค. 06, 16:30
|
|
ตัวเลขไม่ขึ้นค่ะ ****** -ชั้นธุรกิจวันเวย์ราคา 800 ดอลลาร์ -ชั้นประหยัดไปกลับราคาเพียง 550 ดอลลาร์ -ที่คอยส่งสตางค์ให้ดิฉันตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนครั้งละ 10-20 ดอลลาร์ เป็นประจำทุกวัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Karine!!
ชมพูพาน
ตอบ: 130
กำลังค้นหาทางสว่างของชีวิต
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 12 มี.ค. 06, 23:35
|
|
น้ำตาพาลจะไหล
สตรีที่การีนคิดถึงก้ คือ คุณแม่นี่ล่ะค่ะ ถึงแม้จะทะเลาะกันบ่อยๆ แต่อย่างหนึ่งที่ท่านมอบให้เสมอ ก็ คือ ความห่วงหาและอาทร... เวลาที่เราทำอะไรไม่ได้ อยากได้ใครเป็นกำลังใจ จนกระทั่งอยากได้เป็นเกราะคุ้มภัยยามที่เรากลัว และไม่กล้าที่จะทำอะไรสักอย่าง และเป็นคนสำคัญที่จะผลักดันเราไปสู่เส้นทางที่ดี และไม่ซ้ำเติมเรายามทำผิดพลาด....
รักแม่ค่ะ (ไม่เคยพูดคำนี้กับแม่เลยสักครั้ง...อยากบอกท่านจัง...แตก็เขินเกินกว่าจะทำ...เฮ้อ...)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
การศึกษาก้าวไกล ประเทศไทยรุ่งเรือง (แต่ตอนนี้ตูรุ่งริ่งชอบกล)
|
|
|
Nuchana
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 13 มี.ค. 06, 00:17
|
|
“Shall we go eat now?” ยายฟูชักชวนให้ดิฉันพาไปทานข้าวเย็นเช่นเดียวกับทุกๆวัน ในวัย 90 ปี ยายฟูกลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง ท่านจะดีใจจนออกนอกหน้า หากได้ออกจากบ้าน ไปเจอผู้คนข้างนอก ทานอาหารจีนมื้อเย็น และไอศครีม 1 ถ้วย ตบท้ายด้วยการนั่งรถชมวิว 1 รอบก่อนกลับเข้าบ้าน บ้านหลังนี้ Rev. ฟูรูตะ สามียายฟูเป็นเจ้าของ ท่านเป็นมินิสเตอร์ ในโบสถ์คริสเตียนญี่ปุ่นอยู่ครึ่งศตวรรษ ตัวยายฟูเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ในโรงเรียน และเล่นเปียโนให้ซันเดย์เซอร์วิสที่โบสถ์สามี
วันนี้ก็เช่นกัน ยายฟูดึงแขนดิฉันขณะเดินผ่านจะเข้าบ้าน พร้อมส่งสายตาวิงวอนให้พาไปข้างนอก ดิฉันแจ้งให้ทราบว่าใจคอไม่ดีเรื่องแม่ ไม่อยากไปไหน สีหน้าท่านสลดลงเล็กน้อย เดินไปเปิดเปียโน แล้วบอกว่าเพลงนี้ขอมอบให้แม่ ขอให้หลับอย่างสงบ แล้วลงมือเล่นเปียโนอย่างผู้ชำนาญ ดิฉันจำได้ว่า เป็นเพลงในโบสถ์ที่คุ้นหู ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนแก่หลงๆลืมๆ ที่บางวันก็พูดรู้เรื่องดี บางวันก็พูดไม่รู้เรื่อง จะยังคงเล่นเปียโนได้โดยไม่ต้องดูโน้ต
น้ำตาที่แห้งแล้วก็พาลไหลออกมาอีก อันทุกข์สุขเป็นของธรรมดาโลก ดิฉันทำใจได้ แต่ในเวลาที่ มีทุกข์ อย่างน้อยหากได้อยู่ใกล้พี่น้อง กอดคอกันร้องไห้ ยังรู้สึกดีกว่านี้ รู้สึกเสียดายว่าตอนแม่ยังมีชีวิต ดิฉันน่าจะได้ไปกอดแม่เป็นครั้งสุดท้าย นี่พี่ๆพึ่งมาบอกเอาตอนที่แม่หลับ ไม่อาจรับรู้ได้เสียแล้ว
ดนตรีฝีมือยายฟูจบลง ท่านหันมาออดอ้อนอีกครั้ง “Let’s go eat.” ดิฉันพยักหน้า ยายฟูขอเวลา 5 นาที ไปหยิบกระเป๋าถือ ดิฉันโทรศัพท์ถึง Dr. Anne Greene แม่พระคนที่ 3 ของดิฉัน แจ้งข่าวให้ท่านทราบ นัดแนะว่าอีกชม. เศษ ดิฉันจะไปพบที่อพาร์ตเมนต์
ที่ร้านอาหารจีนกวางตุ้งเจ้าประจำ ดิฉันสั่งซุปและ บีฟอองชอย ให้ยายฟู ตัวเองทานไม่ลง ยายฟู กินง่าย สั่งอะไรให้ท่านท่านก็กินได้ ไม่เคยสั่งเองเลย ไปไหนก็ตาม ยายฟูมีหน้าที่จ่ายเงินเท่านั้น เสร็จจากร้านอาหารจีน ดิฉันซื้อน้ำแข็งกดเชฟไอซ์ให้ยายฟู 1 อัน และขับรถไปจอดที่หน้าอพาร์ตเมนต์ น้ำแข็งกด 1 อัน พอเพียงที่จะดึงดูดความสนใจยายฟูให้นั่งรอในรถอย่างสงบระหว่างที่ดิฉันไปพูดธุระ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|