แขกเลี้ยงวัวทั้งหมดผ่านร่างที่ปราศจากคอไล่ต้อนฝูงวัวต่อมาด้วยท่าทีปกติ ราวกับว่ามองไม่เห็นสิ่งที่มิใช่มนุษย์กำลังยืนโงนเงนกวัดแกว่างไม้ช่วยไล่วัวอยู่ตรงนั้น หรือผีมันจะจงใจให้เห็นเฉพาะผู้ที่มันต้องการจะหลอกหลอนหรือเปล่า ผมก็ไม่มีเวลาขบคิดมากหลอกครับ เพราะหลังจากพวกหนุ่มโคบาลคล้อยผ่านมาแล้ว ร่างนั้นก็ค่อยๆหมุนตัวช้าๆ ผมเพิ่งจะรู้ว่ามันยืนหันหลังให้อยู่ และบัดนี้มันกำลังจะหันหน้ามาทางเรา
คุณพระ….แล้วภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าชัดๆก็ทำให้ผมลืมหายใจ..
เจ้าประคุณรุนช่องเอ๋ย ร่างนั้นมีคอ มีหัวครับ ทั่นทั้งหลาย
ภายใต้ผ้าห่มกันหนาวที่คลุมไว้คือหัวที่สั่นง๊อกแง๊กอยู่ แต่คอสิครับทั่น คอนั้นแทนที่จะตั้งตรงเช่นมนุษย์ทั่วไป กลับหักฉากจากข้อต่อกระดูกสันหลังลงมาอยู่ในแนวขนานกับพื้น ชายผู้นี้ต้องมีชีวิตที่ก้มหน้าก้มตาดูพื้นดินอยู่ตลอดเวลา
“คนเว้ยหมง” ผมยังพูดด้วยเสียงกระซิบเหมือนเดิม
เรายังคงนิ่งเงียบเฝ้าดูแกเคลื่อนที่ผ่านเราไปด้วยความเร็วพอๆกับพวกหนุ่มๆที่ต้อนฝูงวัวผ่านๆไป อ๋อ ที่แกเคลื่อนที่มาหาเราช้าๆก่อนหน้านี้เพราะแกยืนหันหลัง ถอยมาทีละก้าวสองก้าว คอยใช้ไม้กวัดแกว่งเฆี่ยนตีวัวไม่ให้เดินเข้ามาปะทะรถของเรานั่นเอง คราวนี้พอแกเดินหน้ามาถึงรถ ตาเฒ่าก็ตะแคงหน้าหันมา แลเห็นตาขาวๆเหลือกอยู่บนใบหน้าดำๆหนวดเคราหรอมแหรม แกแสยะยิ้มฟันหลอแสดงความขอโทษแบบหลอนๆ ก่อนจะก็เดินตามฝูงวัวหายไปในความมืดเบื้องหลัง
“โห ว ว ว ว ว..โฮ๊ะ ๆ ๆ ๆ โฮ่ ”
ผมไม่รู้เหมือนกันว่านั่นมันเสียงที่บิ๊กหมงระเบิดหัวเราะหรือเปล่งคำอุทาน แต่มันเป็นน้ำเสียงที่ปลดปล่อยความกดดันทั้งหมดออกมาจากหัวอกอย่างเต็มที่
“โอ้ย อะไรกันจะขนาดน้าน เป็นยังงี้ยังจะออกมาเดินถนนดึกๆดื่นๆอีก โฮ้ววว …..นี่พ้มขับมาคนเดียวมีหวังซ๊อกตายคาพวงมาลัยรถแน่”
ว่าแล้วบิ๊กหมงก็หันมายิ้มยิงฟันขาวกับผม ก่อนจะถอนเท้าออกจากเบรคแล้วเหยียบคันเร่งให้เจ้าซีตรองค่อยๆคลานเคลื่อนที่ฝ่าหมอกต่อไปข้างหน้าช้าๆ