เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 315 เมื่อ 30 ต.ค. 14, 09:28
|
|
ขอบพระคุณคุณตั้งสำหรับคำตอบ สรุปว่าในกรณีนี้ไส้เดือนอพยพขึ้นมาบนดินเพราะอิทธิพลของแผ่นดินไหวทำให้ชั้นดินที่อยู่อาศัยของไส้เดือนเกิดน้ำท่วม เท่าที่เคยทราบมาไส้เดือนจะมีการอพยพในหลายกรณีนอกจากที่อยู่อาศัยมีน้ำท่วมแล้ว ภัยแล้งและสภาพอากาศหนาวเย็นก็มีผลต่อไส้เดือนเช่นกัน (รายละเอียดเพิ่มเติมจาก ไทยโพสต์)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 316 เมื่อ 30 ต.ค. 14, 17:43
|
|
ขอบพระคุณสำหรับคำแนะนำเพิ่มเติมครับ
ผมเคยแต่พบไส้เดือนหนีหนาว แต่ไม่เคยได้เห็นกรณีไส้เดือนหนีแล้ง ส่วนกรณีหนีน้ำท่วมนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ที่พบบ่อยๆก็คือ หนีขึ้นมาอยู่บนลานหรือถนนคอนกรีต ก่อนที่น้ำจะท่วม แล้วก็ตายเป็นเบือใต้ผิวน้ำที่ท่วมบนคอนกรีตนั่นแหละครับ
ปริมาณไส้เดือนเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีของความสมบูรณ์ของผืนดิน เช่นเดียวกันกับปริมาณหิ่งห้อยที่เป็นตัวบ่งชี้ที่ดีของการปราศจากมลภาวะ
บริษัทผลิตเบียร์รายใหญ่ของญี่ปุ่นบริษัทหนึ่ง ได้ใช้การปรากฎตัวและปริมาณของหิ่งห้อย เพื่อแสดงต่อสาธาณะชนว่า เขาจะไม่ทำให้เกิดมลภาวะในพื้นที่ๆเขาไปตั้งโรงงานผลิตเบียร์นั้น แต่เขาจะช่วยทำให้พื้นที่นั้นกลับมีสภาพสิ่งแวดล้อมดีขึ้นกว่าเดิม (ดิน น้ำ อากาศ) และจะใช้การเพิ่มปริมาณหิ่งห้อยเป็นตัวชี้วัด ก็ประสบผลสำเร็จ กลายเป็นโครงการและพื้นที่ศึกษาดูงานของนักเรียนเด็กๆทั้งหลาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 317 เมื่อ 30 ต.ค. 14, 18:06
|
|
กลับมาเรื่อง mitigation ต่อกันครับ
ผมจะไม่เล่าให้เป็นเรื่องยาวแบบมีรายละเอียดประกอบมากมาย แต่จะขอใช้วิธีเล่าในเชิงของตัวอย่างและหลักคิดว่าเขาทำอะไรกัน อาทิ บนฐานคิดว่า สิ่งก่อสร้างที่มีส่วนฐานเคบแต่สูงจะโงนเงนและพังได้ง่ายกว่าสิ่งก่อสร้างที่มีส่วนฐานกว้างแต่เตี้ย เมื่อแผ่นดินขยับจะทำให้ระบบสาธารูปโภคที่ใช้ระบบฝังอยู่ใต้ผิวดินเกิดความเสียหาย จำนวนประชาชน ณ พื้นที่ และ ณ เวลาใดๆ กำลังทำอะไรกันอยู่และมีมากน้อยเพียงใด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 318 เมื่อ 31 ต.ค. 14, 18:25
|
|
คิดอย่างง่ายๆธรรมดาๆ --> แผ่นดินไหวทำให้อาคารบ้านเรือนพังทลายลงมา เส้นทางการคมนาคมเสียหาย (ถนน รางรถไฟ และแม้แต่เส้นทางน้ำในบางกรณี) สาธารณูปโภคเสียหาย (ประปา ไฟฟ้า ฯลฯ) ระบบการสื่อสารเสียหาย ฯลฯ
สภาพของพื้นที่นั้นๆในภาพองค์รวม --> ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ยุ่งเหยิง วุ่นวาย ไร้ระเบียบ สกปรก ขาดปัจจัยสี่ (ที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค) มีคนตาย ฯลฯ
เราป้องกันไม่ให้เกิดแผ่นดินไหวไม่ได้ คาดเดาเวลาที่มันจะเกิดและมากระทบกับพื้นที่ใดๆไม่ได้ แถมยังไม่รู้ความรุนแรงของมันและผลที่มันจะทำให้เกิดความเสียหายอีกด้วย
กระบวนคิดที่จะจัดการหรือดำเนินการบนความหมายของคำว่า ป้องกัน จึงคงจะใช้ได้น้อยมาก ที่จะใช้ได้ดีก็คงจะอยู่ในความหมายของคำว่าบรรเทา และ หลีกเลี่ยง เพื่อที่จะให้ความสูญที่จะเกิดขึ้นแน่ๆนั้นมีน้อยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งก็ต้องเป็นเรื่องที่ต้องคิดและมีการดำเนินการทั้งก่อน ระหว่าง และภายหลังการเกิดเหตุ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 319 เมื่อ 31 ต.ค. 14, 19:13
|
|
ด้วยพื้นฐานความคิดดังกล่าวมานี้ จึงได้มีการจัดการและการดำเนินการ (มิใช่เฉพาะในเรื่องของแผ่นดินไหวเท่านั้น) ในเรื่องของภัยร้ายแรงอื่นๆอีกด้วย เช่น เรื่องของไฟใหม้ในย่านธุรกิจของเมืองขนาดใหญ่ และใช้กับพื้นที่ๆทีมีความเสี่ยงสูงต่อภัยต่างๆ เช่น เรื่องของภัยจาก avalanche ต่างๆ (อาทิ snow, debris)
ที่จริงแล้ว เราท่านทั้งหลายก็อาจจะได้เคยเห็นการจัดการในเรื่องนี้อยู่บ้าง โดยเฉพาะในต่างประเทศที่ไปท่องเที่ยวกันมา อาจจะเคยบ่นเสียด้วยซ้ำไปว่า ไม่เข้าใจว่าเขาคิดอะไรกันอยู่ ก็เพียงแต่อาจจะไม่ทราบเหตุผลที่เขาต้องทำเช่นนั้นเท่านั้นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 320 เมื่อ 31 ต.ค. 14, 19:39
|
|
ถึงตอนนี้ก็อาจจะพอถึงบางอ้อได้บ้างแล้ว
จะขอยกตัวอย่างบางอย่างที่อาจจะนึกไม่ถึงเลย คือ การอนุรักษ์เทคโนโลยีที่เชยและล้าสมัยมากๆ ก็เพราะมันช่วยให้เกิดการรับทราบ การเข้าถึง และการช่วยเหลือพื้นที่ๆเกิดอุบัติภัยร้ายแรงหลายๆครั้ง ครับ อาทิ ทำไมจึงยังคงต้องมีระบบโทรศัพท์ใช้สายอยู่ ทำไมจึงยังมีการสนับสนุนชมรม HAM Radio และการใช้ Morse code ทำไมจึงยังคงต้องมีการบำรุงรักษาอุปกรณ์การสื่อสารด้วยวิทยุระบบ HF ของส่วนราชการสายความมั่นคง ทั้งหลายทั้งปวงทั้งๆที่เราก้าวเข้ามาในยุค digital จนแทบจะลืมระบบ analog ไปจนหมดสิ้นแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 321 เมื่อ 03 พ.ย. 14, 18:43
|
|
เมื่อเกิดมีภัยธรรมชาติ ก็เป็นเรื่องปกติที่บรรดาสรรพสิ่งทั้งหลายที่เราสร้างขึ้นมา (โดยที่ไม่ตั้งใจคิดและตั้งใจทำให้ดี) ที่ไม่เป็นมิตร ขวางกระบวนการของธรรมชาติ หรือ ที่ไม่ลู่ไปตามกระบวนการของธรรมชาติอย่างเหมาะสม ก็มักจะประสบกับหายนะ อันตรธานกลับไปสู่ฐานเดิมก่อนที่จะมีการสร้างสรรขึ้นมา
เราจึงได้เห็นภาพพื้นฐานจริงๆของความต้องการในปัจจัย 4 มนุษย์ทั้งหลายภายหลังจากการเกิดภัยและความหายนะ
ครับ แล้วเราจะทำอย่างไรให้เกิดการสนองตอบได้อย่างทันท่วงที หรืออย่างเหมาะสมกับเหตุการณ์ ในลักษณะที่เป็นมวล (mass) พร้อมๆกัน มิใช่ในลักษณะของครั้งละหนึ่ง (individual) หรือ ตามคิว (inline)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 322 เมื่อ 03 พ.ย. 14, 19:10
|
|
ก็กระทำได้ในสองสถานะการณ์ คือ ก่อนจะเกิดเหตุ และ หลังการเกิดเหตุ
ก่อนเกิดเหตุ -- มักจะอยู่ในข่ายของการโน้มน้าว ให้ความรู้ บ่มเพาะสัญชาติญาณการตอบสนองต่อสถานะการณ์ และการบังคับโดยกฏกติกาต่างๆ (สังคม ระเบียบ กฏหมาย ฯลฯ) หลังเกิดเหตุ -- มักจะอยู่ในข่ายของความฉับไวและความสามารถในการตอบสนอง ซึ่งมักจะเป็นภาพของการแสดงแสนยานุภาพของอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ และการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆบนฐานของระบบ digital
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 323 เมื่อ 03 พ.ย. 14, 19:35
|
|
แล้วไง ??
ดูง่ายๆ แต่จริงๆแล้ว ก็ยากที่จะทำเหมือนกัน เพราะเป็นเรื่องของหลายหน่วยงานที่จะต้องเข้ามามีบทบาท แถมแต่ละหน่วยงานต่างก็แสดงความเป็นมืออาชีพในสายของตน แถมอีกด้วยว่า ต่างวิชาชีพ ต่างสำนักวิชาการ ต่างสถาบัน ต่างหน้าที่ความรับผิดชอบ
ลองดูภาพนี้ก็แล้วกันครับ - หน่วยงานดูแลสถานีวัดแผ่นดินไหว เกือบจะทั่วโลกเป็นหน่วยงานในระบบงานทางอุตุนิยมวิทยา - หน่วยงานที่รู้ตื้นลึกหนาบางทางวิชาการของแผ่นดินไหวเป็นหน่วยในระบบงานทางธรณีวิทยา - หน่วยงานที่มีความรู้ทางวิศวกรรมในสร้างความคงทนถาวรให้กับสิ่งก่อสร้างต่างๆ เป็นหน่วยงานในระบบวิชาการและองค์กรวิชาชีพ - หน่วยงานที่มีอำนาจออกกฎและควบคุมการก่อสร้าง เป็นหน่วยงานในระบบมหาดไทย - หน่วยงานทีออกให้ความช่วยเหลือหลังเกิดเหตุ มีทั้งหน่วยงานในระบบมหาดไทย ตำรวจ ทหาร องค์กรเอกชน และนานาชาติ - ฯลฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 324 เมื่อ 04 พ.ย. 14, 22:49
|
|
ตัวอย่างของการดำเนินการที่เขาทำกัน
คงได้เคยเห็นภาพของโรงเรียนในสหรัฐและยุโรป ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ชุมชนเมืองขนาดเขื่องๆ ที่จะเป็นลักษณะอาคารชั้นเดียวหลายอาคาร หรือมักจะสูงไม่เกิน 2 ชั้น มีประตูเข้าอาคารขนาดกว้าง มีพื้นที่สนามขนาดค่อนใหญ่ ราบเรียบ ที่ได้รับการดูแลอย่างดี ไม่มีต้นไม้สูง ไม่มีเสาไฟฟ้า ไม่มีสายไฟระโยงระยาง พื้นที่รอบนอกมักจะโล่งและมีถนนรอบ
ครับ โรงเรียนมีลักษณะกลายๆเป็นพื้นที่สาธารณะของชุมชน ซึ่งฝ่ายเมืองสามารถจะเข้าไปจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้มากพอสมควร แถมยังออกเป็นระเบียบกลางบังคับใช้ได้ทั่วไปทั่วประเทศอีกด้วย เมื่อยามเกิดเหตุภัยพิบัติต่างๆ เนื่องจากเป็นอาคารเตี้ยและแข็งแรง จึงไม่แทบจะไม่เกิดความเสียหายใดๆเลย อาคารเรียนจะถูกใช้เป็นที่พักพิงชั่วคราวในทันที (shelter) สนามที่กว้างและไม่มีสิ่งกีดขวาง สามารถใช้ได้ทั้งเป็นลานลงของเฮลิคอปเตอร์ในงานช่วยชีวิตและส่งสิ่งของ และใช้เป็นสถานที่กางเต็นท์สนามขยายปริมาณการรองรับผู้คนได้อีกพอควร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 325 เมื่อ 05 พ.ย. 14, 20:46
|
|
พื้นที่ๆมีข้อกำหนดที่่เด่นชัดแบบจำเพาะเช่นโรงเรียนนี้ ดูผิวเผินภายนอกแล้ว ก็ดูจะไม่ไช่พื้นที่สำคัญใดๆเลย แต่หากดูลึกลงไปในตับไตใส้พุงแล้ว จะเห็นว่ามันถูกทำให้เป็นพื้นที่ๆเป็นจุดเชื่อมต่อหรือจุดรวมของระบบสาธารณูปโภค คล้ายกับหัวใจกับเส้นเลือดของตัวเรา คล้ายๆกับหลักที่ว่า เมื่อหัวใจยังไม่หยุดเต้น ก็จะยังไม่ตาย ซึ่งในกรณีนี้ก็คือ ระบบหล่อเลี้ยงจะต้องยังคงสามารถดำเนินได้อย่างค่อนข้างจะเป็นปกติ ซึ่งก็คือ พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ๆมี lifeline ที่ยืนหยัดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพพอเหมาะกับในทุกสถานการณ์ อันได้แก่ โทรศัพท์ น้ำประปา และสายส่งไฟฟ้า ซึ่งงงงง เขาจะใช้ระบบพื้นๆง่ายๆสำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานเหล่านี้ ซึ่งในภาพรวมๆจะอยู่ในความหมายของคำว่าระบบ analog
ตัวอย่างของสถานที่ในลักษณะนี้ พบได้ทั่วไปตามแนวของรอยเลื่อน San Andreas ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ
ในญี่ปุ่นก็มีการดำเนินการในหลักการนี้ แต่ในรูปที่ต่างกันออกไปตามสภาพทางกายภาพของระบบสังคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 326 เมื่อ 06 พ.ย. 14, 17:27
|
|
ญี่ปุ่นก็ใช้โรงเรียนเหมือนกัน แต่ด้วยความจำกัดของพื้นที่โล่งกว้างในพื้นที่เมือง ญี่ปุ่นจึงใช้ระบบจุดรวมพลย่อยๆ ไม่จำเป็นต้องแห่กันไปรวมพลพร้อมๆกันในพื้นที่ขนาดใหญ่ (เช่นโรงเรียน) ในช่วงเวลาเดียวกัน ถ้าสังเกตให้ดีๆ ก็จะเห็นว่าในเขตพื้นที่แต่ละชุมชน จะมีพื้นที่ว่างเปล่าขนาดเล็กๆ ขนาดก็พอๆกับพื้นที่ที่คนญี่ปุ่นเขาใช้สร้างบ้านกันนั่นแหละครับ และก็มักจะพบอยู่บริเวณจุดตัดของถนนในย่านที่พักอาศัย จัดทำเป็นสนามออกกำลังบ้าง สนามเด็กเล่นบ้าง
ถ้าประสงค์จะสัมผัสกับภาพดังกล่าวนี้ ก็เพียงเดินออกไปจากสถานีรถไฟในกรุงโตเกียวสถานีใดก็ได้ ใช้เวลาสักสองสามนาทีครับก็จะได้เห็น (1 นาที่เดินของคนญี่ปุ่น หมายความถึงระยะทางที่ผู้หญิงญี่ปุ่นเดิน ซึ่งจะเท่ากับประมาณ 80 ม.) เท่าที่ผมทราบมานะครับ พื้นที่ว่างดังกล่าวนี้ เป็นพันธกิจอย่างหนึ่งที่ฝ่ายเมืองที่จะพยายามดำเนินการให้ได้มาเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งมิใช่หมายถึงการเวนคืน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 327 เมื่อ 06 พ.ย. 14, 18:09
|
|
สำหรับในแผ่นดินใหญ่ยุโรปนั้น เกือบจะไม่มีแผ่นดินไหวใดๆ จะมีก็อยู่ลึกมากจนรับรู้ได้เพียงว่ามีเกิดขึ้น แต่ก็ช่วงเวลาสั้นมากๆ ไม่นานพอที่เราจะสัมผัสกับความรู้สึกกลัวได้ แต่หลักคิดในการเตรียมการลดความเสียหายนั้น น่าสนใจมากเลยทีเดียว ซึ่งผมไม่มีโอกาสได้รับรู้เพิ่มเติมมากขึ้นกว่าที่ผมได้รับรู้มาจากการถกในโต๊ะกลม เมื่อครั้งไปประชุมร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวและด้าน mitigation ที่ฟิลิปปินส์หลังการเกิดแผ่นดินไหวปี 2526 ในไทย เป็นหลักคิดของเรื่อง mitigation ที่ได้มีการดำเนินการในกรุงปารีสสำหรับกรณีการเกิดไฟใหม้ ผมฟังแรกๆก็ไม่เห็นภาพว่าทำไมจึงยกตัวอย่างกรุงปารีส จนกระทั่งไปประจำการในยุโรปนั่นแหละครับ จึงถึงบางอ้อ ท่านที่เคยไปปารีสและเดินท่องๆด้วยตนเอง จะพบว่า ถนนในกรุงปารีสนั้นวุ่นวายมากพอดู เป็นถนนช่วงสั้น แถมแต่ละช่วงก็มีแต่ละชื่อถนนกำกับ ชื่อถนนก็มักเป็นชื่อคน ครบทั้งชื่อแรก ชื่อกลาง และชื่อสกุล แถมซ้ำกับอีกในแต่ละย่าน ก็ยุ่งยากมากพอที่รถแท็กซี่จะไม่นิยมวิ่งข้ามย่านเลย เพราะหลงแบบบอดใบ้ไปเลย ที่จริงแล้วสภาพก็ไม่ต่างกันกับในกรุงมิลานของอิตาลีมากนัก ที่บรรดาป้ายบอกชื่อถนนช่วงชุมทางถนนตัดกันนั้น ยังเป็นลักษณะชื่อย่อเข้าไปอีกด้วย ก็ชื่อถนนมันยาวนี่ ก็ต้องย่อมัน ก็ได้อ่านเรื่องราวและประวัติศาสตร์ต่างๆมาพอควร ผมก็เลยพอเดาออกกับชื่อ common name ทั้งหลายที่ป้ายบอกทางเขาเขียนย่อกัน แต่ก็เล่นเอาเหงื่อตกเหมือนกันครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 328 เมื่อ 08 พ.ย. 14, 19:44
|
|
เรื่องที่เขาคิด ซึ่งเราฟังแล้วอาจจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดาๆ ดังนี้ครับ
ปารีสเป็นเมืองเก่า - มีอาคารบ้านเรือนรุ่นเก่าอยู่มากมาย เมื่อแรกสร้างแต่ดั้งเดิมนั้น การออกแบบอาคารและผัง (plan) ภายในก็ดูสมบูรณ์แบบเหมาะสมกับสภาพการใช้งานสำหรับในสภาพและช่วงเวลานั้นๆ อาจกล่าวได้ว่าทุก elements ของแบบที่ออกมามี functions หรือมีความสัมพันธ์สอดคล้องกันอย่างดี นานต่อมาเมื่อสภาพทางเทคโนโลยีเปลี่ยนไป สภาพแวดล้อมทางสังคมและสถานะการใช้งานของสถานที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะในกรณีการที่มีคนจำนวนมากต้องมาอยู่ มาใช้ หรือโคจรเข้าไปปรากฎตัวในพื้นที่นั้นๆ ก็ย่อมทำให้ elements เดิม และ functions เดิม ไม่เหมือนเดิม - ถนนแคบและเส้นทางสลับซับซ้อน
ประเด็นที่น่าจะเป็นสถานการณ์ที่สร้างให้เกิดความวิกฤติ โดยสรุป คือ ในวันทำงาน จะมีผู้คนจำนวนมากอยู่ในพื้นที่สาธารณะ (เช่น ถนน ห้องโถงในอาคารต่างๆ พื้นที่นั่งพัก สวน ฯลฯ) และอยู่ในที่ทำงาน อยู่ในห้องในที่ทำการ ซึ่ง.. ณ ช่วงเวลาต่างกันนั้น จำนวนคนก็จะไม่เท่ากัน เช่น ในช่วง ชม.เร่งด่วน คนจะไปอยู่บนถนนและในพาหนะขนส่งมวลชน ช่วงพักกลางวันก็จะไปอยู่ตามร้านอาหาร เหล่านี้เป็นต้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 329 เมื่อ 08 พ.ย. 14, 20:05
|
|
ดังนั้น เพื่อความเข้าใจในสถานะกาณ์ และเพื่อการดำเนินการตอบสนองที่เหมาะสม สำหรับการรักษาชีวิตของผู้คนไห้ดีที่สุด ณ สภาพและสถานะการณ์ใดๆ จึงมีอาทิ
สำหรับการลดระดับของความวิกฤติ (ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เกิดภัย) ที่สามารถจะทำได้ก่อนที่จะเกิดเป็นเหตุการณ์วิกฤติ ก็มีอาทิเช่น ทำการสำรวจเพื่อให้ประเมินรู้เสียแต่แรกว่า ณ ช่วงเวลาหนี่งใด ที่อาคารหรือสถานที่ใด จะมีผู้คนอยู่มากน้อยเพียงใด
ขอเว้นจังหวะนิดนึงครับ เดี่๋ยวมาต่อใหม่ ระหว่างนี้ ท่านทั้งหลายก็คงจะได้มโนเห็นว่า โอ้ มีเรื่องที่ทำได้เยอะทีเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|