เรือนไทย

สวัสดีครับ ขอสมัครเข้าเป็นสมาชิกใหม่อีกคนนะครับ  หลังจากได้เข้ามาเยี่ยมชมกระทู้ต่างๆอยู่หลายๆครั้ง   

ขอกรอกใบสมัครด้วยภาพจิตรกรรมของวัดธรรมมิกการาม ลพบุรีครับ

ตามประวัติเดิมเรียกกันทั่วไปว่า วัดค้างคาว (เนื่องจากมีในละแวกวัดมีค้างคาวมาอาศัยอยู่มากแต่ปัจจุบันไม่มีแล้ว)

ภาพจิตรกรรมเป็นสมัยร.๔ เขียนไว้ในพระอุโบสถและในวิหาร ในพระอุโบสถเขียนภาพพุทธประวัติเต็มผนังทั้ง

ด้านหลังพระประธานเป็นรูปพิธีสยุมพรของเจ้าชายสิทธถะและพระนางยโสธรา แทนที่จะเป็นรูปไตรภูมิตามแบบแผนเหมือนวัดอื่นๆ

ภาพแสดงวีถีชีวิตในสมัย ร.๔ มีรูป เจ็กลากรถ 

รูปทหาร เด็กหาบปิ่นโต เรือสำเภา  ธงช้าง

ผนังด้านถัดมา เป็นรูปมารผจญ

ลอยถาด

พุทธประวัติตอนต่างๆครับ

วัดค้างคาว ลพบุรีนี้ผมเคยไปนานมากแล้ว นานจนรูปหายไปแล้ว ไม่รู้ว่าเอาไปซุกไว้ที่ไหนครับ ต้องขอบคุณคุณluck-rama มากครับที่ช่วยเอามาให้ดูกันชัดๆ เห็นว่ามีโบสถ์กับวิหารคู่กัน อีกหลังหนึ่งก็มีจิตรกรรมสมัยรัชกาลที่ 6 ลงพ.ศ.เอาไว้ น่าจะต้นรัชกาลพอดี แต่ค้นดูนานแล้วหาไม่พบเลย ฝีมือเขียนน่ารักมาก คุมโทนสีเป็นสีอ่อน ออกแนวสิมอีสานบ้านลาว เป็นช่างพื้นบ้าน

แถวนั้นคลองสวนหมาก? นั้นยังมีวัดเก่าๆงามๆอีกมากมาย อย่างวัดโบสถ์ วัดสระอ้อย? (จำชื่อก็ไม่ได้เสียแล้ว เลือนไปนาน ต้องขอให้คุณลักษมณ์รามาช่วยตามมาให้ชมกันอีกทีครับ) 8)

เพิ่มเติมครับ

รูปในวิหารครับเป็นรูปทศชาติ พระเตมีย์

เพิ่มเติมครับ

ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่แนวร่วมของชมรมอีกท่านครับ ร่วมด้วยชวยกัน มีโอกาสรวมตัวกันเมื่อไหร่ค่อยมาซักประวัติกันครับ ส่วนผลงานถ้ามีเมื่อไหร่ก็นำมาโพสต์มาฝากกันครับ

4รูปสุดท้ายครับ

สวัสดีด้วยคนครับ

สวัสดีครับ :)
ภาพที่กรุณานำมาลงให้ชม ภาพในความคิดเห็นที่ 1-2 น่าจะเป็นสมัยรัชกาลที่ 5 นะครับ เพราะ 1.มีรูปรถเจ็กให้บริการ รถเจ็กเข้ามาตอนต้นรัชกาลนี้ 2.มีรูปพลตระเวร(พวกหมวกแดงแข้งดำ)
3.รูปทหารใส่หมวกกระโล่ทรงสูง กับมีทหารใส่หมวกทรงหมอตาลแล้วครับ

ขอบคุณครับ คุณoverhaul ที่ถักท้วงให้ข้อมูลถูกต้อง :-[

เรื่องประวัตฺวัดนั้นว่าสร้างร.4แต่อาจจะเป็นปลายรัชกาล สำหรับข้อมูลเรื่องรถเจ๊ก มีดังนี้
รถลากในประเทศไทยหรือที่เรียกกันว่า รถเจ๊ก เพราะพาหนะประเภทนี้มีแต่คนจีนเป็นผู้มีอาชีพรับจ้างลาก ดั้งเดิมเป็นของญี่ปุ่น แต่แรกเมื่อในรัชกาลที่ 4 นั้น พวกพ่อค้าสำเภานำมาน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ จึงโปรดฯให้ซื้อเข้ามาพระราชทานเจ้านาย และขุนนางผู้ใหญ่บ้าง สั่งซื้อกันเองบ้าง ใช้เป็นพาหนะส่วนพระองค์และส่วนตัว แต่ที่สั่งมาใช้วิ่งรับส่งคนโดยสารและบรรทุกของนั้น ผู้สั่งเข้ามาเป็นคนแรกชื่อ นายฮ่องเชียง แซ่โหงว เมื่อ พ.ศ. 2417 ต้นรัชกาลที่ 5 เมื่อผู้คนนิยมกันมากขึ้น พระยาโชฎึกราชเศรษฐี (พุก) จึงตั้งโรงงานทำรถลากขึ้นในเมืองไทยเสียเองโดยสั่งช่างมาจากเมืองจีน รถลากรับจ้างเริ่มมีบนถนนมากขึ้น จนกระทั่งจำเป็นต้องควบคุม พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง จึงโปรดเกล้าฯให้ตราพระราชบัญญัติรถลาก ร.ศ. 120 (พ.ศ. 2444) ขึ้น โดยทรงมีพระราชปรารภว่า

"กรุงเทพพระมหานครในทุกวันนี้ มีรถคนลากสำหรับรับจ้างคนโดยสาร และรับบรรทุกของเดินในถนนหนทางทวียิ่งขึ้นเป็นอันมาก แต่รถที่ใช้นั้นไม่แข็งแรงมั่นคง แลไม่มีสิ่งที่สำหรับป้องกันอันตรายของผู้โดยสาร กับทั้งไม่สะอาดเรียบร้อยตลอดไปจนคนลากรถด้วย ย่อมเป็นที่รังเกียจรำคาญแก่ผู้ที่จะใช้รถ หรือผู้เดินทางในท้องถนนร่วมกัน อีกประการหนึ่ง คนที่ลากรถนั้น บางทีรับคนโดยสารหรือรับบรรทุกสิ่งของที่มากหรือหนักเกินกำลังรถที่จะพาไปได้ จนเป็นเหตุเกิดอันตรายแก่คนโดยสารแลคนเดินทางกับทั้งรถ แลไม่เป็นความเรียบร้อยในท้องถนนอีกด้วย"

พระราชบัญญัตินี้ บังคับให้ต้องจดทะเบียนรถ และต้องนำรถมาตรวจสภาพต่อเจ้าพนักงานจดทะเบียน หลังจดทะเบียนแล้ว เจ้าหน้าที่จะให้เลขหมายติดรถ และให้เครื่องหมายที่มีเลขตรงกันกับทะเบียนรถให้คนลากติดหน้าอกไว้ให้ตรงกัน บังคับให้จุดโคมไฟเวลากลางคืน และยังมีข้อบังคับปลีกย่อยอีกหลายข้อ เช่นห้ามบรรทุกศพคน ให้จอดพักรถตามที่พนักงานกำหนดไว้เท่านั้น ฯลฯ

รถลากหรือรถเจ๊กนี้ วิ่งในถนนตั้งแต่ พ.ศ. 2417 เลิกใช้ตามกฎหมาย เมื่อ พ.ศ. 2478 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง

อ๊าาาาา เข้ามาสวัสดีนะคะ สมาชิกใหม่ ไว้ไปเที่ยวกันนะคะ

ขอบคุณครับ  คุณแพร (ขออนุญาต เรียกคุณแพรเหมือนท่านอื่นๆนะครับ) :D

ยินดีอย่างยิ่งคะ

เผอิญค้นรูปได้ ไปเซฟงานรวมไว้กับสรรคบุรี เลยขออนุญาตโพสกันเวปร้างครับ

พระประธานในพระอุโบสถครับ

เสมา สลักเป็นลายก้านขดออกดอกโบตั๋น ลายคล้ายๆพวกวัดหลุมดิน แต่เหลือไม่กี่ใบแล้วครับ

ในวิหารมีจารึกว่า เขียนเสร็จเมื่อ พ.ศ.2467 ปีเกือบสุดท้ายในรัชกาลที่ 6 สกุลช่างพื้นบ้านลาวลพบุรี



"เขียนเดือนสิบขึ้นแปดค่ำปีกุน สำเร็จแล้วปีชวด พ.ศ.2467 เปนราคา 74 บาท ช่างเพง เปนผู้เขียนไว้ในพุทธศาสนา ขอให้ข้าพเจ้าเจริญสุกนิพพานปจะโยโหตุ"

พระวิหารครับ ดูเหมือนวิหารลาวยุคหลังทั่วไป ชอบทำเสาเหลี่ยมเป็นมุขยื่นออกมา อย่างวัดโบสถ์ที่อุทัย วัดพิหารแดง วัดหน่อพุทธางกูร และอีกหลายๆวัดที่ลาวสร้างสมัยรัตนโกสินทร์

เจดีย์ครับ มีเต็มวัดเลย รกครึ้มไปหมด

จากรูปข้างบน หลัง 6 โมงเย็น ตัวใครตัวมันเน้อ :-X

ตัวใครตัวมันนี่พี่แพรจะขอนั่งชมเจดีย์ใช่ไหมครับ ผมกลับก่อนก็ได้นะ :P

เสมางามมากอ่พี่กุ จากวัดไหนนี่  :o

วัดเดียวกันนั่นแล เหมือนเขาเก็บๆมารวมๆกันไว้ ไม่เป็นเซ็ท

โห วัดอยู่ไกลมากมาย   ::)