เรือนไทย

General Category => ชมรมอนุรักษ์ภาพจิตรกรรมไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: jean1966 ที่ 11 ก.ย. 11, 18:50



กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 11 ก.ย. 11, 18:50
วันนี้ได้แวะไปวัดวัดหนึ่งซึ่งไม่ได้ไปมานานกว่า26ปีมาแล้ว เคยได้เข้าไปถ่ายจิตรกรรมฝาผนังที่วัดนี้ด้วยกล้องฟิล์มเมื่อ26มาแล้ว ปัจจุบันจิตรกรรมฝาผนังวัดนี้ยังหลงเหลือให้ชมอีกมากเกือบ100เปอร์เซ็นต์ เสียดายที่ว่าเมื่อครั้งที่เข้าไปถ่ายเมื่อ20กว่าปีก่อนนั้นทางวัดได้ปล่อยให้มีการไปวาดแต่งเติมโดยไม่ทราบว่าเป็นทีมงานช่างจากที่ไหนโดยทางวัดก็คงจะรู้เท่าไม่ถึงการเมื่อครั้งนั้นข้าพเจ้าจึงถ่ายเฉพาะบางภาพที่เป็นฝีมือเดิมมาไม่มากนักตามกำลังทรัพย์ในสมัยนั้น เมื่อเข้าไปในครั้งนี้พบว่าทางพระอุโบสถที่ตั้งของจิตรกรรมกำลังตั้งห้างเพื่อบูรณะภายนอกพระอุโบสถ ส่วนในพระอุโบสถก็เปิดให้เข้าได้สะดวกไม่มีคนเฝ้าไม่มีคนมาวุ่นวาย จึงได้ทำการสำรวจจิตรกรรม ให้รู้สึกมีความปิติว่าจิตรกรรมยังอยูในสภาพเดิมเหมือนเมื่อครั้ง20กว่าปีก่อน ส่วนที่เป็นฝีมือเดิมยังเหลืออยู่มาก เสียดายที่ว่าไอ้ความที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน คิดว่ากล้องชาร์ตแบตไว้นานหลายวันแล้วไม่ได้ใช้ประจุไฟยังคงอยู่ปรากฎว่าถ่ายไม่ทันไรแบตหมดให้รู้สึกเจ็บใจ แต่ยังไงก็กดไปร่วม100รูปพอเอามาอวดได้ แต่เพราะกระทู้ของชมรมเดียวนี้สมาชิกชมรมไม่มีคนเข้ามาดูมาตอบเลย ขนาดวันนี้โทรไปหาน้องยุทธนาที่ชวนพี่กินข้าวก็ปิดเครื่องซะนี่ ดังนั้นกระทู้นี้จึงขอชิมลางตั้งเป็นคำถามถามผู้เข้ามาชมที่สนใจดีกว่าว่าภาพที่นำมาให้ท่านชมนี้อยูที่วัดอะไรใครรู้บ้าง


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 11 ก.ย. 11, 19:23
วัดระฆังโฆษิตาราม ใช่ไหมครับผม  ;)

อยากชมความงามในอดีตครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 11 ก.ย. 11, 19:36
ว่าแล้วจะต้องเป็นท่านsiameseคนแรกที่เข้ามาตอบกระทู้แน่ ขอตอบว่าผิดครับไม่ใช่วัดระฆังครับ ให้ดูอีกภาพ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 11 ก.ย. 11, 21:15
รบกวนคุณยีนส์ ใบ้เพิ่มครับ  8)


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 11 ก.ย. 11, 21:36
คนอื่นไม่มีใครสนใจเลยหรือ วัดนี้ เป็วัดที่สร้างโดยข้าราชการชั้นสูงของพระบรมวงศ์ในสมัยรัชกาลที่๓ ภายหลังรัชกาลที่๔ท่านทรงตั้งชื่อวัดให้ใหม่โดยใช้ชื่อผู้สร้างวัดมาตั้งเป็นชื่อวัด


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 12 ก.ย. 11, 07:50
วัดอัปสรสวรรค์ ของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ?
อย่าน้อยใจครับ ถ้ากระทู้ตกไปจากหน้าหลักคนมักไม่ค่อยตามอ่านยกเว้นว่างๆ
มีเวลาค้น คงต้องเอาผลงานมาให้ชมอยู่เรื่อยๆ แล้วหละครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 12 ก.ย. 11, 09:16
ภาพแม่อุ้มเด็ก และเด็กน้อย ๆ ใส่เครื่องประดับทองเต็มตัว ช่างงดงามมากครับ ได้อารมณ์สุด ๆ ทำให้นึกถึงในรัชกาลต่อมาคือ รัชกาลที่ ๔ ประกาศห้ามแต่งตัวให้กับเด็ก ๆด้วยทองมีค่าจนมากเกินไปและห้ามทำเครื่องประดับเลียนแบบเจ้านาย

ส่วนภาพจิตรกรรมด้านบน เบื้องล่างภาพเห็นแผ่นสังกะสีมาติดไว้ใต้ภาพ ทำให้เสียบรรยากาศหมดเลย


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: yutthana ที่ 12 ก.ย. 11, 11:51
ต้องกราบขอโทษพี่ยีนส์เลยครับ  พอดีเปลี่ยนเบอร์นะครับผมผิดเองครับที่ลืมแจ้งครับ๐๘๐๙๒๐๔๐๘๑ นี่เบอร์ใหม่ผมครับพี่   ตอนนี้นำรูปส่วนใหญ่ที่ถ่ายมาทั้งเก่าและใหม่ไปลงในเฟสบุคเป็นส่วนใหญ๋ครับชื่อกลุ่มห้องสมุดภาพศิลปะไทยครับ  ที่นี่ต้องรอนิดหนึ่งเพราะต้องย่อภาพถึงจะลงได้ครับคงต้องรอปิดเทอมครับ    แล้วมาทานข้าวกันนะครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 12 ก.ย. 11, 12:30
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาตอบกระทู้ครับ ยังไม่มีใครถูกนะครับ ขอมีผู้ตอบอีกสักไม่เกิน10ท่านแล้วจะเฉลยนะครับ เพราะวัดนี้เดี๋ยวอีกไม่กี่วันจะเข้าไปใหม่เพราะยังถ่ายภาพมาไม่ครบใครอยากไปด้วยมั๊ยครับ แถมปริศนาให้ดูอีกรูป


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 12 ก.ย. 11, 12:54
ภิกุณี --> วัดเทพทิดารามรึเปล่าครับ?


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 12 ก.ย. 11, 13:30
ไม่ใช่ภิกษุณีนะครับ ดูดีๆ เป็นภาพภิกษุปลงอสุภะครับ แล้วไม่ใช่วัดเทพธิดาครับ แต่ก็อยู่ไม่ใก้ลไม่ไกลกันเท่าไหร่หรอกครับ ลองทายกันอีกนะครับ(ดูอีกรูป)


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 12 ก.ย. 11, 13:45
ขออีก ๑ คำใบ้จักได้ไหม

ภาพพระราชวังและรั้วกำแพงสวยจริง ๆ ยิ่งเห็นแม่ลูกอ่อนให้นมลูก อยู่หน้าประตูถ้วย ศิลปะแบบรัชกาลที่ ๓ แล้วดูไม่เบื่อเลยครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: :D :D ที่ 12 ก.ย. 11, 14:31
หนูดีดี ขอตอบ (เดา) ว่า วัดมหรรณพารามวรวิหาร ค่ะ  ;D
สร้างโดย  กรมหมื่นอุดมรัตนราษี
มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าอรรณพ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: Kurukula ที่ 12 ก.ย. 11, 15:02
เอ.... ไม่ทราบเลยครับ ยอมแพ้ 555 ;D


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 12 ก.ย. 11, 15:40
ไม่ใช่วัดมหรร นะครับ รออีกสักนิดจะบอก


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: :D :D ที่ 12 ก.ย. 11, 15:47
ไม่ถูกก็ ตอบ (เดา) ใหม่ค่ะ  ;D
วัดเทวราชกุญชร ค่ะ
มีภาพจิตรกรรม พระภิกษุปลงอสุภกรรมฐาน
และทศชาติชาดกเรื่องสุวรรณสาม...


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 12 ก.ย. 11, 15:50
วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร

 ;D


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 12 ก.ย. 11, 15:52
ไมใช่วัดเทวราชกุญชรครับ ดูรูปอีกรูป ที่ทวารบาลประตูเขียนเป็นรูปทวารบาล(อย่างขุนนางจีน) ฉะนั้นวัดน่าจะอยู่ที่ไหน


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: :D :D ที่ 12 ก.ย. 11, 16:06
เดาว่า วัดดิสานุการาม ค่ะ  ;D


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 12 ก.ย. 11, 16:21
ลุ้นกับคุณดีดี ... น่าจะถูกนะครับ

วัดดิสานุการาม เป็นวัดราษฎร์ สังกัดดณะสงฃ์มหานิกาย เดิมชื่อ วัดจางวางดิส ตามชื่อผู้สร้างคือจางวางดิส สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดพระราชทานนามใหม่เป็น วัดดิสานุการาม

พระอุโบสถ ขนาดใหญ่ ตั้งบนฐานยกพื้นมีระเบียงรอบ หลังคา ๒ ชั้น ติดช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ปิดทองประดับกระจก หน้าบันลวดลายดอกไม้ ประดับกระจกสี ซุ้มประตูหน้าต่างทรงมงกุฎ ประดับปูนปั้นลายดอกพูดตาน บานประตูมุกลายดอกลอย บานหน้าต่างเขียนลายรดน้ำผูกลายราชวัตร สองข้างประตูพระอุโบสถและเชิงบันไดระเบียง ตั้งราชสีห์หล่อปูน ฝาผนังพระอุโบสถตอนล่างปูแผ่นหินอ่อน ตอนบนเขียนภาพจิตรกรรม ระหว่างช่องหน้าต่างเขียนเรืองทศชาติตอน เทพชุมนุม ผนังตรงข้ามพระประธานเขียนภาพพุทธประวัติ ตอนแบ่งพระบมสารีริกธาตุ และด้านหลังพระประธานเป็น ภาพพุทธประวัติตอนมารผจญ บานประตูด้านในรูปเชี่ยวกาง บานหน้าต่างรูปทวารบาล

พระวิหาร ลักษณะเดืยวกับพระอุโบสถ แต่ขนาดย่อมกว่า หน้าบันเป็นรูปธรรมจักรล้อมรอบด้วยลายเครื อเถา ซุ้มประตูหน้าต่างประดับลายปูนปั้นช่อดอกพ ุดตาน พื้นปูหินอ่อน


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 12 ก.ย. 11, 16:30
หาภาพมาเทียบกับแผงโลหะที่สังเกตุไว้


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: :D :D ที่ 12 ก.ย. 11, 16:36
ดูจากภาพที่ท่านsiamese ช่วยนำมาประกอบ เทียบกับภาพเซี่ยวกาง ;D
วัดดิสานุการาม  ชัวร์เลยค่ะ 


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: :D :D ที่ 12 ก.ย. 11, 16:44
ภาพนี้ใช่แน่ๆ ค่ะ.. ;D

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=4749.0;attach=24403;image)


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 12 ก.ย. 11, 17:36
เก่งมากครับ คุณD:Dและคุณsiameseที่อุตส่าห์หาภาพมาประกอบจนเจอ  ใครเคยไปบ้างครับวัดนี้ เดี๋ยวผมจะเข้าไปอีกไม่กี่วันนี้แหละ ไปดูของสวยของงามกัน ตอนนี้อยู่ดีๆโน๊ตบุ๊คผมเป็นอะไรไม่รู้จอมันเกิดเปลี่ยนสีเป็นภาพซ้อน สงสัยจะกลับบ้านเก่า ทำไมดวงมันถึงได้ตกเช่นนี้ เฮ้อ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 12 ก.ย. 11, 20:01
พอเฉลยแล้วก็เลยหายกันไปหมดเลย มาชมภาพกันต่อแล้วกันครับ ภาพนี้เปนภาพปลาใหญ่กินปลาเล็กสุดคาดเดาว่าเป็นปลาอะไรส่วนหนึ่งของจิตรกรรมตอนภูริทัต แต่ลองดูเอาเถิดแววตาของปลาใหญ่ที่มุ่งมั่นในอาหารอันโอชะทีคาบอยู่ในปากสวนปลาเล็กแววตาหามีไม่เนื่องด้วยสายชีวาตั้งแต่โดนเขี้ยวของปลาใหญ่ที่งับเข้ามาเต็มเขี้ยว ช่างเขียนช่างถ่ายทอดความรู้สึกจากปลายภู่กันได้อย่างมีชีวิตชีวาเสียนี่กระไร ครั้งหนึ่งผมเคยคัดเอาตอนนี้ไปเขียนภาพส่งอาจารย์ในวิชาเอกจิตรกรรมไทย อาจารย์ผู้ตรวจคือท่านอาจารย์สุดสาคร ชายเสม ชมว่าปลาที่ข้าพเจ้าคัดลอกนั้นเป็นจุดที่สวยงามมากในภาพ ขนาดเพียงภาพคัดลอกอาจารย์ยังชมเสียขนาดนั้นแล้วภาพต้นฉบับนี้เล่า ลองดูเถิด นี่แหละเสน่ห์ของจิตรกรรมฝาผนังไทย


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 12 ก.ย. 11, 20:16
ภาพพระอินทร์หักฉัตร หรือ พระอินทร์ทำลายพิธี ถูกต้องไหมครับ งดงามมาก ๆ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 12 ก.ย. 11, 20:18
หากเป็นผู้เคยชมภาพจิตรกรรมฝาผนังในที่ต่างๆมากเหมือนผม จะสังเกตได้ว่าฝีมือภาพเขียนที่นี่ตัวภาพบุคคลนั้นฝีมือคล้ายคลึงกับภาพเขียนบุคคลในจิตรกรรมฝาผนังวัดสุทัศน์อยู่หลายจุด อาจเป็นไปได้ว่าช่างที่เขียนจิตรกรรมฝาผนังที่วัดสุทัศน์อาจได้มาฝากฝีมือไว้ที่นี่ก็เป็นได้ ที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งก็คือพวกช่างที่ได้เข้ามาบูรณะเมื่อกว่า20ก่วาปีที่ผานมาได้มาทำลายความงดงามส่วนนี้ลงไปมากกว่า50%(คงเห็นจากภาพทีผมโพสต์ไปหลายภาพแล้ว) ที่ผมว่างดงามอีกจุดคืดการเขียนภาพนรกในจิตรกรรมตอนเนมิราช ช่างวางองค์ประกอบของเหล่าผีเปรตอสุรกายได้ลงตัวงดงามแถมน่ากลัวไม่แพ้เปรตวัดดุสิตที่ว่าน่ากลัวนั่นที่เดียว มาดูภาพประกอบภาพนี้ ไม่รู้เจ้าผีสองตัวนี่มันทำอะไร อีกภาพนึงน่าจะเป็นภาพปีนต้นงิ้ว


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 12 ก.ย. 11, 20:28
ถูกต้องแล้วครับคุณsiamese เป็นชาดกเรื่องจันทกุมารเรื่องก็มีอยู่ว่าในครั้งโบราณ เมืองพารานสี มีชื่อว่า บุปผวดี มีกษัตริย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าเอกราชา พระราชบุตรองค์ใหญ่ พระนามว่า จันทกุมาร ดำรงตำแหน่งเป็นอุปราช และ พราหมณ์ชื่อกัณฑหาล เป็นปุโรหิตในราชสำนัก กัณฑหาล มีหน้าที่ตัดสินคดีความอีกตำแหน่ง แต่กัณฑหาลเป็นคน ไม่ยุติธรรม ไม่ซื่อสัตย์ มักจะรับสินบนจากคู่ความอยู่เสมอ ข้างไหนให้สินบนมาก ก็จะตัดสินความเข้าข้างนั้น จนกระทั่งวันหนึ่ง ผู้ที่ได้รับความอยุติธรรมร้องโพนทนา โทษของกัณฑหาล ได้ยินไปถึงพระจันทกุมาร จึงตรัสถาม ว่าเกิดเรื่องอะไร บุคคลนั้นจึงทูลว่า "กัณฑหาลปุโรหิต มิได้เป็นผู้ทรงความยุติธรรม หากแต่รับสินบน ก่อความ อยุติธรรมให้เกิดขึ้นเนืองๆ" พระจันทกุมารตรัสว่า "อย่า กลัวไปเลย เราจะเป็นผู้ให้ ความยุติธรรมแก่เจ้า" แล้ว พระจันทกุมารก็ทรงพิจารณาความอีกครั้ง ตัดสินไปโดย ยุติธรรม เป็นที่พึงพอใจแก่ประชาชนทั้งหลาย ฝูงชนจึง แซ่ซ้องสดุดีความยุติธรรมของพระจันทกุมาร พระเจ้าเอกราชาทรงได้ยินเสียงแซ่ซ้อง จึงตรัสถาม ครั้นทรงทราบจึงมีโองการว่า "ต่อไปนี้ ให้จันทกุมาร แต่ผู้เดียวทำหน้าที่ตัดสินคดีความทั้งปวงให้ยุติธรรม" กัณฑหาลเมื่อถูกถอดออกจากตำแหน่งหน้าที่ ก็เกิด ความเคียดแค้นพระจันทกุมาร ว่าทำให้ตนขาดผล ประโยชน์ และได้รับความอับอายขายหน้าประชาชน จึงผูกใจพยาบาทแต่นั้นมา

     อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าเอกราช ทรงฝันเห็นสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์ เห็นความผาสุกสวยงาม ความรื่นรมย์ ต่างๆ นานา ในสรวงสวรรค์ เมื่อตื่นจากฝัน พระองค์ ยังทรงอาลัยอาวรณ์อยู่ และปรารถนาจะได้ไปสู่ ดินแดนอันเป็นสุขนั้น จึงตรัสถามบรรดาผู้ที่พระองค์ คิดว่าจะสามารถบอกทางไปสู่เทวโลกให้แก่พระองค์ได้ กัณฑหาลได้โอกาส จึงกราบทูลว่า "ข้าแต่พระราชา ผู้ที่ประสงค์จะไปสู่สวรรค์ มีอยู่หนทางเดียวเท่านั้นคือ ทำบุญให้ทาน และฆ่าบุคคลที่ไม่ควรฆ่า" พระราชาตรัส ถามว่า "ฆ่าบุคคลที่ไม่ควรฆ่า หมายความว่าอย่างไร" กัณฑหาลทูลตอบว่า "พระองค์จะต้องการกระทำการ บูชายัญด้วยพระราชบุตร พระมเหสี ประชาชนหญิงชาย เศรษฐี และช้างแก้ว ม้าแก้ว จำนวนอย่างละสี่ จึงจะไป สู่สวรรค์ได้" ด้วยความที่อยากจะไปเสวยสุขในสวรรค์ พระเจ้าเอกราชาก็ทรงเห็นดีที่จะทำบูชายัญตามที่กัณฑหาล ผู้มี จิตริษยาพยาบาททูลแนะ พระองค์ทรงระบุชื่อ พระราช บุตรพระมเหสี เศรษฐี ประชาชน และช้างแก้ว ม้าแก้ว ที่จะ บูชายัญด้วยพระองค์เอง อันที่จริงกัณฑหาลประสงค์ร้าย กับพระจันทกุมารองค์เดียวเท่านั้น แต่ครั้นจะให้บูชายัญ พระจันทกุมารแต่ลำพัง ก็เกรงว่าผู้คนจะสงสัย จึงต้องให้ บูชายัญเป็นจำนวนสี่ พระจันทกุมารผู้เป็นโอรสองค์ใหญ่ ก็ทรงอยู่ในจำนวนชื่อที่พระเจ้าเอกราชาโปรดให้นำมาทำ พิธีด้วย จึงสมเจตนาของกัณฑหาล เมื่อช้าง ม้า และบุคคล ที่ถูกระบุชื่อ ถูกนำมาเตรียมเข้าพิธี ก็เกิดความโกลาหล วุ่นวาย มีแต่เสียงผู้คน ร้องไห้คร่ำครวญไปทั่ว พระจันทกุมารนั้น เมื่อราชบุรุษไปกราบทูลก็ทรงถามว่า ใครเป็นผู้ทูลให้พระราชาประกอบพิธีบูชายัญ ราชบุรุษ ทูลว่ากัณฑหาล ก็ทรงทราบว่าเป็นเพราะความ ริษยาพยาบาทที่ กัณฑหาลมีต่อพระองค์เป็นสาเหตุ ในเวลาที่ราชบุรุษไปจับเศรษฐีทั้งสี่มาเข้าพิธีนั้น บรรดาญาติพี่น้องต่างพยายามทูลวิงวอนขอชีวิตต่อ พระราชา แต่พระราชาก็ไม่ทรงยินยอม เพราะมี พระทัยลุ่มหลงในภาพเทวโลก และเชื่องมงายในสิ่งที่ กัณฑหาลทูล ต่อมาเมื่อพระบิดาพระมารดาของ พระราชาเอง ทรงทราบก็รีบเสด็จมาทรงห้ามปรามว่า "ลูกเอ๋ยทางไปสวรรค์ที่ต้องฆ่าบุตรภรรยา ต้องเบียด เบียนผู้อื่นนั้น จะเป็นไปได้อย่างไร การให้ทาาน การ งดเว้นการเบียดเบียนต่างหาก เป็นทางสู่สวรรค์" พระราชาก็มิได้ทรงฟังคำห้ามปรามของพระบิดา พระมารดา

     พระจันทกุมารทรงเห็นว่าเป็นเพราะ พระองค์เองที่ไปขัดขวางหนทางของคนพาลคือ กัณฑหาล ทำให้เกิดเหตุใหญ่ จึงทรงอ้อนวอนพระบิดา ว่า "ขอพระองค์โปรดประทานชีวิต ข้าพเจ้าทั้งปวงเถิด แม้จะจองจำเอาไว้ก็ยังได้ใช้ประโยชน์ จะให้เป็น ทาส เลี้ยงช้าง เลี้ยงม้า หรือขับไล่ไปเสียจากเมืองก็ย่อมได้ ขอประทานชีวิตไว้เถิด" พระราชาได้ฟังพระราชบุตร ก็ทรงสังเวชพระทัยจน น้ำพระเนตรไหล ตรัสให้ปล่อย พระราชบุตร พระมเหสี และทุกสิ่งทุกคนที่จับมาทำพิธี ครั้นกัณฑหาลทราบ เข้าขณะเตรียมพิธีก็รีบมาทูบคัดค้าน และ ล่อลวงให้ พระราชาคล้อยตามด้วยความหลงใหลในสวรรค์อีก พระราชาก็ทรงเห็นดีไปตามที่กัณฑหาล ชักจูง พระจันทกุมารจึงทูลพระบิดาว่า "เมื่อข้าพเจ้ายังเล็กๆ อยู่ พระองค์โปรดให้พี่เลี้ยง นางนม ทะนุ บำรุงรักษา ครั้นโตขึ้นจะกลับมาฆ่าเสียทำไม ข้าพเจ้าย่อมกระทำ ประโยชน์แก่พระองค์ได้ พระองค์จะ ให้ฆ่าลูกเสีย แล้วจะอยู่กับคนอื่นที่มิใช่ลูกจะเป็นไปได้อย่างไร ในที่สุดเขาก็คงจะฆ่าพระองค์เสียด้วย พราหมณ์ที่สังหาร ราชตระกูล จะถือว่าเป็นผู้มีคุณประโยชน์ได้อย่างไร พราหมณ์นั้นคือผู้เนรคุณ" พระราชาได้ฟัง ก็สลดพระทัย สั่งให้ปล่อยทุกชีวิต ไปอีกครั้ง แต่ครั้นพราหมณ์กัณฑหาลเข้ามากราบทูล ก็ทรงเชื่ออีก พระจันทกุมารก็กราบทูลพระบิดาว่า "ข้าแต่พระบิดา หากคนเราจะไปสวรรค์ ได้เพราะ การกระทำบูชายัญ เหตุใดพราหมณ์จึงมิทำบูชายัญ บุตรภรรยาของตนเองเล่า เหตุใดจึงได้ชักชวนให้คน อื่นกระทำ ในเมื่อพราหมณ์ก็ได้ทูลว่า คนผู้ใดทำ บูชายัญเองก็ดี คนผู้นั้นย่อมไปสู่สวรรค์ เช่นนั้นควรให้ พราหมณ์กระทำบูชายัญด้วยบุตรภรรยาตนเองเถิด" ไม่ว่าพระจันทกุมารจะกราบทูลอย่างไร พระราชา ก็ไม่ทรงฟัง บุคคลอื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก รวมทั้ง พระวสุลกุมารผู้เป็นราชบุตรของพระจันทกุมาร มาทูลอ้อนวอน พระเจ้าเอกราชาก็ไม่ทรงยินยอมฟัง

     ฝ่ายกัณฑหาลเกรงว่าจะมีคนมาทูลชักจูงพระราชาอีก จึงสั่งให้ปิดประตูวัง และทูลเชิญพระราชาให้ไป อยู่ในที่อันคนอื่นเข้าไปเฝ้ามิได้ เมื่อถึงเวลาทำพิธี มีแต่เสียงคร่ำครวญของราชตระกูล และฝูงชนที่ญาติ พี่น้องถูกนำมาเข้าพิธี ในที่สุด นางจันทาเทวีผู้เป็นชายา ของพระจันกุมาร ซึ่งได้พยายามทูลอ้อนวอนพระราชา สักเท่าไรก็ไม่เป็นผล ก็ได้ ติดตามพระจันทกุมารไป สู่หลุมยัญด้วย เมื่อกัณฑหาลนำถาดทองมาวางรอไว้ และเตรียมพระขรรค์จะบั่นคอพระจันทกุมาร พระนางจันทาเทวีก็เสด็จไปสู่หลุมยัญ ประนมหัตถ์บูชา และกล่าวสัจจวาจาขึ้นว่า "กัณฑหาลพราหมณ์เป็น คนชั่วเป็นผู้มีปัญญาทราม มีจิตมุ่งร้ายพยาบาท ด้วยเหตุแห่งวาจาสัตย์นี้ เทวดา ยักษ์ และสัตว์ทั้งปวง จงช่วยเหลือเรา ผู้ไร้ที่พึ่ง ผู้แสวงหาที่พึ่ง ขอให้เราได้อยู่ร่วมกับสามีด้วยความสวัสดีเถิด ขอให้พระเป็นเจ้า ทั้งหลายจงช่วยสามีเราให้เป็นผู้ที่ศัตรูทำร้ายมิได้เถิด" เมื่อพระนางกระทำสัจจกริยา พระอินทร์ได้สดับ ถ้อยคำนั้น จึงเสด็จมาจากเทวโลก ทรงถือค้อนเหล็กมี ไฟลุกโชติช่วง ตรงมายังพระราชา กล่าวว่า "อย่าให้เรา ถึงกับต้องใช้ค้อนนี้ประหารเศียรของท่านเลย มีใครที่ ไหนบ้าง ที่ฆ่าบุตร ภรรยา และเศรษฐีคหบดีผู้ไม่มีความ ผิดเพื่อที่ตนเองจะได้ไปสวรรค์ จงปล่อยบุคคลผู้ปราศ จากความผิดทั้งปวงเสียเดี๋ยวนี้" พระราชาตกพระทัยสุดขีด สั่งให้คนปลดปล่อยคน ทั้งหมดจากเครื่องจองจำ ในทันใดนั้นประชาชนที่รุม ล้อมอยู่ก็ช่วยกันเอาก้อนหิน ก้อนดินและท่อนไม้ เข้าขว้างปาทุบตีกัณฑหาลพราหมณ์จนสิ้นชีวิตอยู่ ณ ที่นั้น แล้วหันมาจะฆ่าพระราชา แต่พระจันทกุมารตรงเข้ากอด พระบิดาไว้ ผู้คนทั้งหลายก็ไม่กล้าทำร้าย ด้วยเกรง พระจันทกุมารจะพลอยบาดเจ็บ ในที่สุดจึงประกาศว่า "เราจะไว้ชีวิตแก่พระราชาผู้โฉดเขลา แต่จะให้ครองแผ่นดิน มิได้" เราถอดพระยศพระราชาเสียให้เป็นคนจัณฑาล แล้วไล่ออกจากพระนครไป จากนั้นมหาชนก็กระทำพิธีอภิเษกพระจันทกุมารขึ้น เป็นพระราชา ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยความยุติธรรม เมื่องทรงทราบว่าพระบิดาตกระกำลำบากอยู่นอกเมือง ก็ทรงให้ความช่วยเหลือพอที่พระบิดาจะดำรงชีพอยู่ได้ พระจันทกุมารปกครองบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุข ตลอดมาจนถึงที่สุดแห่งพระชนม์ชีพ ก็ได้เสด็จไปเสวยสุข ในเทวโลก ด้วยเหตุที่ทรงเป็น ผู้ปกครองที่ดี ที่ทรงไว้ซึ่ง ความยุติธรรม ไม่หลงเชื่อ วาจาคนโดยง่าย และ ปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความซื่อตรง
คติธรรม : บำเพ็ญขันติบารมี



กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 12 ก.ย. 11, 20:37
น่าเสียดายนะครับที่ตอนจันทรกุมารนี้ตัวภาพโดนเขียนทับเสียสิ้นลายเส้นที่งดงามจึงไม่หลงเหลือเหลืออยู่เฉพาะองค์ประกอบรวมของภาพเท่านั้น มาดูภาพประกอบรูปนี้ที่บอกว่ามีส่วนคล้ายฝีมือช่างที่วัดสุทัศน์ส่วนอีกสองภาพคือกัณหาชาลีเขียนหน้าตาตัวภาพได้จิ้มลิ้มพริ้มเพราไม่แพ้กัณหาชาลีที่วัดประดู่ทรงธรรมเลย


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 12 ก.ย. 11, 20:37
ขอบคุณครับคุณยีนส์ที่บรรยายเรื่องราวชาดกให้ทราบโดยละเอียด

ในภาพด้านบนที่เห็นหญิงเปลือยอก แล้วมีลิง ๒ ตัวกำลังทำอะไรบางอย่าง ...อยากจะให้เห็นภาพกว้างสักหน่อย และคาดว่าบรรยากาศนี้ควรจะเป็นบรรยากาศแห่งการสังเวย หรือ กำลังบูชายันต์เนื้อมนุษย์ น่าจะใช่นะขอรับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 12 ก.ย. 11, 20:52
หมายถึงภาพพระเนมีราชตอนเยี่ยมชมขุมนรกรึเปล่าครับ ไอ้สองตัวนั่นมิใช่ลิงครับ ผีครับ ส่วนสตรีในภาพก็คงปีนต้นงิ้วเพราะมักมากในกามนะครับ ดูรามสูรกับเมขลามุมบนขวาซ้ายซิครับ เมขลาไปเขียนทับเสียหมดงามส่วนรามสูรยังพอหลงเหลือความงามอยู่บ้าง การจัดองค์ประกอบของภาพตอนเนมีราชนี้ เห็นว่าแบบครูที่ช่างในสมัยรัชกาลที่๓นิยมเขียนเอาแบบอย่างน่าจะเอาเยี่ยงจากฝีมือของหลวงวิจิตรเจษฎาที่วัดสุวรรณารามเป็นแน่


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 12 ก.ย. 11, 21:03
อ๋อ .. เป็นภาพในนรกนี่เอง  :-[

ภาพรามสูร งามมากครับ แล้วคุณยีนส์จะไปถ่ายภาพเพิ่มเติม ในส่วนบริเวณใดหรือครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 12 ก.ย. 11, 21:07
จิตรกรรมฝาผนังวัดนึงนี่ถ้าเรามีเวลาและรู้เรื่องราวเหมือนคนในอดีต การไปชมก็คงมีความสุขหมือนชมภาพยนต์ดีๆสักเรื่องนึง น่าเสียดายว่าปัจจุบันตัวผมเองมีปัญหาชีวิตค่อนข้างมากโดยเฉพาะปัจจัยในการดำรงชีพ เลยทำให้ความฝันของผมในเรื่องจิตรกรรมฝาผนังไม่บรรลุผลเสียที ดูแค่การเป็นหัวหน้าชมรมฯก็ยังหาตัวสมาชิกมาร่วมเสวนาไม่ได้เลยไม่รู้ไปไหนหมด คงเพราะทิ้งช่วงไปกว่าปี ก็ไม่เป็นไร จิตรกรรมฝาผนังที่วัดดิสานุการรามบริเวณที่เหลือฝีมือเดิมอยู่มากที่สุดคือบริเวณผนังด้านหลังพระประธาน ซึ่งถ่ายมาเพียงเล็กน้อย เพราะถ่ายยากลำบากเพราะผนังอยู่แทบติดกับฐานพระประธานซึ่งบังภาพเขียนเกือบหมด ผนังตอนนี้เขียนเรื่อง เตมีย์ใบ้ ที่นี่วางตำแหน่งภาพประหลาดนักเอาตอนแรกเริ่มที่ผนังด้านหลังยังนึกไม่ออกว่ามีที่ไหนเริ่มภาพแบบนี้บ้าง ไว้เข้าไปวันหลังต้องเอากล้องเล็กเข้าไปแทรกตัวถ่ายถึงจะได้มา แต่การถ่ายภาพทั้งผนังหมดสิทธิ์ครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 12 ก.ย. 11, 21:13
เข้าใจครับว่าคนเราย่อมมีปัญหาชีวิตด้วยกันทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะมองอย่างไร และการที่เราบางครั้งอยู่กับสิ่งที่เราชอบนั้น ไม่เดือดร้อนใครและยังนำมาเผยแพร่ความรู้เป็นวิทยาทาน ทำให้ก่อความสุขทีละน้อย ๆ นะครับ

รบกวนถามครับว่า เมื่อเราถ่ายภาพที่มีขนาดใหญ่ และระยะถ่ายสั้นแบบนี้ จะจัดโฟกัสได้อย่างไร และเราสามารถใช้เลนส์กว้างได้ไหมครับ  ???


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 12 ก.ย. 11, 21:18
ยังเหลืออีกหลายผนังเลยยังไม่ครบสิบชาติครับ อีกทั้งผนังตอนบนที่เขียนมารผจญ ตวงพระธาตุ เทพชุมนุม ก็ยังไม่ได้ถ่ายครับ เอาแต่ว่าวันนี้คงพอแค่นี้ก่อนครับ ฝากถึงเหล่าสมาชิกชมรมฯช่วยเข้ามคุยกันบ้าง ทั้งคุณฉันรักบางกอก คุณvirain คุณเอเซีย คุณทอมมี่และอีกๆหลายๆท่านไม่คิดถึงกันบ้างหรือ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 12 ก.ย. 11, 21:31
ไปถ่ายภาพกับผมมั๊ยครับ คุณsiamese คืออย่างนี้นะครับ ส่วนใหญ่การเข้าไปถ่ายรูปจิตรกรมฝาผนัง ผมจะใช้เลนส์ซูมซึ่งมีช่วงกว้างของเลนส์ตั้งแต่28ม.ม.ถึง300-400ม.ม.ที่เรียกว่าเลนส์ครอบจักรวาลนะครับ ส่วนที่ผมถ่ายภาพได้เร็วก็เพราะผมมองภาพออกเมือมองเห็นเพราะทราบเรื่องทันที จึงสามารถวางองค์ประกอบในการถ่ายได้ทันที ใน2ช.ม.ผมเคยถ่ายภาพได้ไม่ต่ำกว่า500ภาพ ช่วงโฟกัสของภาพน่าจะเป็นช่วงเทเลมากกว่ามุมกว้างนะครับแม้ภาพจะมีขนาดใหญ่ก็ใช้วิธีวางระยะห่างเอาเพราะถ้าใช้เลนส์มุมกว้างถ่ายภาพออกมามันจะบิดเบี้ยวผิดไปจากความเป็นจริงครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 12 ก.ย. 11, 21:36
ขอบคุณครับผม ผมใช้กล้องแบบธรรมดา ไม่ได้มีแบบมือโปรเลยครับ  :-[ แต่ก็ชอบดูภาพจิตรกรรมไทยสวย ๆ นี่แหละครับผม

คุณเรน อยู่กรุงเก่า ไม่รู้ว่าโดนน้ำท่วมหรือเปล่าหนอ  ???


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 12 ก.ย. 11, 22:09
คุณvirainหรือน้องเนเป็นคนบ้าศิลปะอยุธยา คงไปหาดูของดีของงามที่อยุธยาซึ่งดูได้ท้งปีไม่มีหมด แต่แปลกใจว่าไม่เห็นเข้ามาโพสต์แบบเมื่อก่อน ส่วนกล้องคอมแพคแบบที่คุณsiameseใช้คงซูมได้ใช่มั๊ยรับ เพราะเดี๋ยวนี้ก็ซูมได้ทั้งนั้น ยิ่งถ้ามีช่วงซูมมากๆแล้วพิกเซลสูงๆหน่อยตั้งแต่7-10ล้านพิกเซลขึ้นไป ก็ถ่ายได้ไม่แพ้กล้องโปรเชียวนะครับ ดูอย่างสมเด็จพระเทพฯซิครับ พระองค์ท่านทรงพระปรีชามากในด้านถ่ายภาพกล้องที่ท่านใช้ก็กล้องคอมแพคนี่แหละครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 13 ก.ย. 11, 10:50
เรียนถามคุณยีนส์ครับว่า เมื่อถ่ายภาพมาแล้ว จิตรกรรมฝาผนังเกิดภาวะสะท้อนแสงออกมา (ตามลูกศรีชี้) นั่นหมายถึง สีแห่งการบูรณะใหม่หรือเปล่าครับ ทำไมเกิดความเงาขึ้น เป็นน้ำยาหรือ ?


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 13 ก.ย. 11, 15:20
ส่วนใหญ่เกิดจากบริเวณดังกล่าวได้รับการอนุรักษ์ด้วยการฉาบน้ำยาที่เรียกว่าพาราลอยส์B72(เหมือนแลคเกอร์)เลยทำให้เกิดเป็นเงาสะท้อน โดยเพาะเวลาใช้แฟลชครับ ที่วัดสุวรรณารามนะทุกผนังเลย ถ้าเป็นฝุ่นคราบเกาะผนังเวลาถ่ายออกมาจะเหมือนมีฝ้าบางๆคลุมอยู่ เจอเยอะเลย เบื่อมาก เป็นกรรมของจิตกรรมฝาผนังไทย อาจารย์ น ณ.ปากน้ำ ท่านด่าพวกอนุรักษ์แบบไม่เห็นคุณค่าในงานแทนที่จะอนุรักษ์กลับมาทำลายเสียมานานแล้ว แต่แทนทีจะมีผู้สำเนียกที่คิดว่าจะดีขึ้นกลับเลวลงกว่าเดิม มาดูภาพประกอบตอนนี้ดีกว่าเป็นชาดกตอนภูริทัต การเขียนภาพบ้านเรือนทั้งแบบจีนและแบบไทยคล้ายที่วัดสุทัศน์มากที่มุมภาพด้านล่างซ้ายมือมีเรือพายเจ๊กไม่รู้ขายอะไรไหเบ้อเร้อน่าจะมาขายเหล้าหรือจะน้ำปลาหว่า เสียดายส่วนนี้ชำรุดไปเยอะเลยไม่เห็นหน้าเจ๊กผู้นี้เลย


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 13 ก.ย. 11, 15:28
บ้านสไตล์จีน งดงามมาก ชอบฝาบานเพี้ยมเสียจริง ๆ เห็นแล้วอิ่มเอมครับ  ส่วนเรื่องอาแปะขายของ ผมเสนอว่า ควรจะเป็นไหน้ำปลาหรือเปล่า  ??? มีกระบวยตักด้วยนะเนี่ย


สำหรับน้ำยารักษาผนังและภาพ หากเป็นนักเลงภาพคงไม่ชอบใจไม่น้อย เมื่อถ่ายภาพออกมาแล้วเจอปัญหาความมันที่สะท้อนออกมา มันไม่ได้อารมณ์เสียจริง


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 13 ก.ย. 11, 15:55
ภาพนี้อยากให้ดูความมักง่ายของ(ไม่อยากเรียกว่าช่าง)ผู้ที่เข้าไปทำการอนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนังตอนนี้ตัวภาพถูกเขียนทับจนเละเหลือของเดิมอยู่หน้าดียวให้เปรียบเทียบความสวยงามกับความอุบาทว์ชาติชั่ว(ขออภัยที่หยาบ) แม้กระทั่งลับแลมันยังลบลวดลายที่ควรมีไปเขียนตัวหนังสือว่าลับแลให้ผู้ดู(ที่มาพบภายหลัง)ให้รู้วานี่แหละคือลับแลไม่รู้มันเอาอะไรคิด ให้ไปดูจิตรกรรมฝาผนังที่มีฉากลับแลในสมัยรัชกาลที่3-4เถอะเขียนเป็นเรื่องราวตัวเล็กๆอย่างเรื่องสามก๊ก(ดูได้ที่วัดสุทัศน์)และรามเกียรติ์(ดูได้ที่วัดกันมาตุยาราม)งดงามมาก


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 13 ก.ย. 11, 16:06
วงหน้าสาวรัชกาลที่ ๓ งามนักแลครับ แต่ก็อย่างที่เราเห็นกันอยู่ ความต่างระหว่างการอนุรักษ์และการทำลายโดความไม่รู้ เห็นแล้วก็คอตกไม่น้อย

ฝากภาพลับแลงาม ๆ ให้คุณยีนส์ไว้ล้างตาครับผม


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 13 ก.ย. 11, 16:15
ผมสงสัยเรื่องการแต่งกายของสตรีไทยบางภาพ บางภาพก็นุ่งสไบเฉียงไหล่ข้างเดียว บางภาพก็ทำคล้ายมีผ้ามาคลุมแค่ไหล่อีกด้าน (วงกลม) ยิ่งจิตรกรรมฝาผนังที่วัดคงคาราม ยิ่งเห็นชัด จึงอยากรู้ว่าเขานุ่งกันอย่างไรนี่


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 13 ก.ย. 11, 16:52
ผมว่าการเขียนภาพแบบนี้คงเป็นอารมณ์ของศิลปินที่บางทีก็แต่งเติมเสริมแต่งตัวภาพให้เกิดความงามโดยมิได้คำนึงถึงความเป็นจริงนัก เพราะการห่มสไบก็คงจะห่มพาดเพียงทางเดียว แต่ในความคิดผมการเขียนให้ดูว่ามีผ้าคลุมไหล่อีกด้านก็อาจจะเป็นการแสดงให้เกิดความต่างทางชนชั้นของสตรีในภาพก็เป็นได้(น่าจะเป็นเยี่ยงนี้นะครับ)แต่ถ้าดูรูปประกอบรูปนี้(จากวัดสุวรรณาราม)เป็นไปได้ว่านอกจากสไบแล้วอาจจะมีผ้าคลุมไหล่อีกผืนก็ได้


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 13 ก.ย. 11, 20:19
ภาพชาย หญิงจากวัดสุวรรณารามนี้ การวาดงดงามจังเลยครับ  ทั้ง ๒ ควรมีฐานะระดับหนึ่งดูจากเครื่องประดับทอง และผ้านุ่งพื้นลาย และเชิงผ้าอย่างงดงาม แถมสไบยังมีลวดลายผ้าหรือเป็นลายทออย่างงดงาม ทรงผมก็ปราณีตมากครับ

แต่สาวเจ้าคงเอียงอาย นิ้วคุ้ยเขี่ยดิน น่ารักดีครับ  :-[


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 13 ก.ย. 11, 20:54
นี่แหละครับเสน่ห์ของจิตรกรรมฝาผนังไทย ยิ่งที่วัดสุวรรณารามนี้ด้วยถือว่าเป็นเพชรเม็ดเอกของจิตรกรรมฝาผนังไทยสมัยรัชกาลที่๓ทีเดียว งามทุกผนัง ดูรูปนี้ซิครับ เหล่าสนมกำนัลในมโหฬีต่างพากันหลับไหลมิได้สติในปราสาทราชวังตอนเจ้าชายสิทธัตถะทรงเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ เสียดายภาพเขียนถูกฉาบด้วยน้ำยาจนสิ้นไปถ่ายโดยใช้แฟลชเพราะความรีบเลยเป็นเงาสะท้อนเสียมาก


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 13 ก.ย. 11, 20:58
ชอบการใช้สีที่เข้ม แดง ดำ ขาว ตัดกันอย่างสวยงาม ลวดลายกนกก็งาม สีแดงนี่งามแท้ แดงชาด หรือ ดินแดง  ???


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 13 ก.ย. 11, 21:06
ดูรูปนี้ซิครับ ภาพคงมีการซ่อมแต่ครั้งเดิมการตัดเส้นประสามมุมขวามือยังสอดสีไม่เสร็จเลย หรือมาซ่อมภายหลังไม่แน่ใจ ส่วนตัวภาพพระเวสสันดร นางมัทรีและกัณหาชาลีถึงไม่ใช่ฝีมือเอกแต่ก็งดงามเสียดายที่หน้ากัณหาถูกปูนพอกปิดหน้าตาเสียสิ้น กรรม


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 13 ก.ย. 11, 21:10
ลงรูปผิดต้องรูปนี้ครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 14 ก.ย. 11, 19:28
ยังมีคนอยากชมจิตกรรมฝาผนังวัดดิสานุการามอีกมั๊ยครับ เพราะวันนี้ได้เข้าไปถ่ายมาครบทุกตอนทุกผนังแล้ว ขอเสียงหน่อย ถ้าไม่มีก็บาย เพราะเหนื่อยเหลือเกินเอาไปชมซะ2-3ภาพก่อน


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 14 ก.ย. 11, 19:31
๑ เสียงเข้ามาบอกว่า ยังติดตามอยู่ไม่ลดละ ครับผม


ภาพกลางนี้คือ ภาพพระมาลัย กำลังชี้นิ้ว ใช่ไหมครับ.... แจกันเครื่องบูชา ทำอย่างแก้วเจียระไน งามสุดยอด


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: :D :D ที่ 14 ก.ย. 11, 19:48
ติดตาม และชื่นชม อย่างเงียบๆ ค่ะ  ;D
ไม่ค่อยมีความรู้ทางด้านนี้
ได้เข้ามาชมความสวยงามและได้รับความรู้เพิ่มค่ะ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: kui045 ที่ 14 ก.ย. 11, 20:19
ยังรอติดตามรับชมอยู่ครับ
ขอบคุณที่นำมาแบ่งปัน


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 14 ก.ย. 11, 21:57
วันนี้เหนื่อยมากเลยครับ ทำงานคนเดียวด้วยใจรักตอนทุนทรัพย์ก็ไม่มี มาเริ่มเกริ่นเรื่องไว้นิดนึงแล้วกันครับ
จิตรกรรมฝาผนังวัดดิสานุการาม บริเวณผนังระหว่างบานช่องหน้าต่างเขียนเรืองทศชาติโดยเริ่มตั้งแต่พระเตมีย์ใบ้ผนังด้านหลังพระประธาน(ช่วงบนเหนือหน้าต่างเขียนภาพมารผจญ)แล้วเวียนตามขวามือพระประธานไล่ไปตั้งแต่มหาชนก สุวรรณสาม เนมิราช มโหสถ แล้วไปผนังหน้า(ตรงกันข้าม)พระประธานเขียนเรื่องภูริฑัต(เหนือประตูขึ้นไปเขียนเรื่องพระมาลัย)เวียนต่อไปเป็นจันทกุมาร พรหมนารท วิธูรบัณฑิตแล้วจบที่ผนังสุดท้ายซ้ายมือพระประธานเป็นตอนพระเวสสันดรเหนือผนังหน้าต่างขึ้นไปขวาซ้ายเขียนเทพชุมนุมสองชั้นชั้นบนสุดเป็นนักสิทธวิทยาธร ประตูมีทั้งหมด4คู่เขียนเป็นทวารบาลอย่างจีนเหมือนตามศาลเจ้าจีนบางคนเรียกทวารบาลอย่างนี้ว่าเซี้ยวกางที่จริงแล้วไม่ถูกต้องนัก เพราะธรรมเนียมการเขียนขุนพลอย่างจีนมีมาตั้งแต่สมัยถังไท่จงฮ่องเต้แล้ว ถือเป็นต้นแบบองทวารบาลไทยนี่แหละครับ ขี้เกียจเล่ามันยาวหาเอาในเน็ตก็มี ส่วนด้านหลังเป็นบานประดับมุกลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ส่วนบริเวณบานหน้าต่างด้านในเขียนเป็นเทพทวารบาลอย่างไทยมีทั้งหมดสิบคู่ด้านหลังเขียนลายรดน้ำเป็นสรรพสัตว์ประกอบพันธุ์พฤกษา(เขียนใหม่)


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 14 ก.ย. 11, 22:05
เริ่มเรื่องจากพระเตมีย์ใบ้ ถ่ายภาพด้านตรงไม่ได้เพราะอยู่หลังพระประธาน มุมกล้องไม่อำนวย เหลือซอกให้เบียดตัวเข้าไปได้ประมาณซะ60ซ.ม.พระท่านก็วางของเสียเต็มพื้น จะปีนองค์พระก็เกรงใจท่านเลยถ่ายได้เท่าที่จะได้มา(เสียดายมาก เพราะเป็นผนังตอนที่สวยเสียด้วย)


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 14 ก.ย. 11, 22:13
บริเวณรักแร้ผนังแต่ละด้านจะเขียนเป็นพระภิกษุปลงอสุภะ(ที่เคยลงรูปไปแล้ว)มีเหลือฝีมือเดิมคือรูปนั้น นอกนั้นซ่อมเสียดูไม่ได้ ตอนต่อไปก็เป็นมหาชนก


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 14 ก.ย. 11, 22:17
สุวรรณสาม เป็นอีกตอนที่งดงามเสียแต่ว่าซ่อมซะเละเสียหลายส่วน


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 14 ก.ย. 11, 22:21
เนมิราช สวยแต่ซ่อมซะเละไปเยอะ ลงรูปไปหลายรูปแล้ว


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 14 ก.ย. 11, 22:25
มโหสถ อันนี้ซ่อมซะหมดงามเกือบทั้งผนัง เซ็งจริงๆ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 14 ก.ย. 11, 22:31
ภูริฑัต


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 14 ก.ย. 11, 22:34
จันทกุมาร


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 14 ก.ย. 11, 22:38
พรหมนารท


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 14 ก.ย. 11, 22:42
วิธูรบัณฑิต


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 14 ก.ย. 11, 22:46
พระเวสสันดร วันนี้ดูภาพรวมก่อนนะครับ เหนื่อยแล้วถ้ามีคนยังอยาก ดูพรุ่งนี้มาดูรายละเอียดแต่ละผนังมีสวยๆอีกเยอะเลย


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 14 ก.ย. 11, 22:51
ลาไปด้วยรูปนี้ครับ ท่านเปาบุ้นจิ้นมาช่วยเฝ้าวัดนี้ด้วย


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: yutthana ที่ 15 ก.ย. 11, 00:29
ใจน้อยจริงๆพี่เรา   เข้ามาดูทุกวันและตามดูทุกทีแหละครับพี่ยีนส์  ช่วงนี้งานที่โรงเรียนเยอะมากเลยไม่ได้ตอบอะไรมากแต่เห็นพี่ยีนส์มาลงภาพแล้วน้องๆก็หายห่วงครับ   วัดนี้เดือนตุลาจะตามไปเก็บลายละเอียดอีกทีแล้วกันครับ   ออกมาทานข้าวกันบ้างครับอย่าอุดอู้อยู่คนเดียวเดี๋ยวเบื่อแย่


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 15 ก.ย. 11, 09:17
ขอบพระคุณครับ น่าชมรายละเอียดทุกภาพเลย

๑. ภาพสวรรค์ในเรื่องเนมิราช นั้นทำพื้นเป็นดอกไม้ร่วง พื้นแดง งดงามปานบรรยายความงามได้หมด แถมยังมีศิลปะงานร้อยดอกไม้ไทยแขวนอยู่ สุดยอดมาก

๒. ภาพพระมหาชนก ไม่ทราบว่ามีปูน้อยคอยพยุงหรือไม่ ถ้ามีก็อยากจะเห็นเสียจริง (พูดเรื่องปูน้อยนี้ นึกถึงสมัยเรียนรั้วโรงเรียนเตรียมอุดม มีนักศึกษาที่จบออกไปแต่คุ้มดีมากกว่าคุ้มร้าย คงได้รับภาวะช๊อคอย่างหนักเลยทำให้เสียจริตไป แต่ชอบมาเล่าเรื่องราวสนุก ๆ ให้ฟัง ชื่อว่า "อาณาจักรของปูน้อย" เล่าไปหัวเราะไปสนุกดี)

๓. ภาพเทพชุมนุมดูแล้วไม่เคร่งครัด คือไม่แข็งทื่อเหมือนในพระที่นั่งพุทไธสวรรค์ วังหน้า ที่นั่งตัวตรงเป็นระเบียบ แต่เทพชุมนุมแห่งนี้มีลีลาเอียงมอง ได้จังหวะกันดี ดูแล้วไม่แข็งทื่อแต่นุ่มนวล วิเศษมาก ๆ

๔. ภาพพระพุทธเจ้ากับเหล่ามารนั้น กระผมไม่เห็นพระแม่ธรณีที่มาร่วมเป็นสักขีพยาน (หรือว่าพระแม่ติดประชุม โปรดนำมาให้เห็นด่วน.. ;D) เบื้องบนฟ้านภาสูงนั้น เมื่อคืนก็นั่งคิดว่าคุณยีนส์จะถ่ายภาพสูง ๆ ได้อย่างไรหรอ น่าจะมีไม้ยาว ๆ ชูขึ้นไปถ่ายภาพงาม ๆ เบื้องบนเพื่อไม่ให้อารมณ์เสีย

๕. ภาพบนนภากาศ นักสิทธิวิทยาธร ผ้าโค้งรอยต่อระหว่างภาพพริ้วไหวงดงามจริง ๆ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 15 ก.ย. 11, 11:48
ไม่ได้ใจน้อยนะน้องยุทธ แต่กระแสกระทู้เรามันไม่ค่อยเร้าใจเลยรู้สึกเหนื่อยระคนแปลกใจว่าสมาชิกชมรมเราท่านอื่นๆไปไหนกันหมดไม่มาทักทายกันบ้าง คงเพราะยุ่งกับการดำรงชีวิตกันเสียเป็นส่วนใหญ่เพื่อรักษาปากท้องกันก่อนเสียละมั๊ง ที่ว่าจะเข้าไปวดนี้เดือนตุลา จะไปกับใครละครับ ส่วนที่จะชวนพี่ไปกินข้าว ก็อยากไปนะเเต่ตังค์ไมค่อยมีนี่ดิ อายไม่อยากกินฟรีรู้สึกว่าไม่มีค่ายังไงไม่รู้ สำหรับคุณsiameseถามถึงแม่พระธรณีมา มารผจญก็ต้องมีแม่พระธรณีสิครับแต่ทานไปหลบอยู่หลังพระประธานนะครับ ดูรูปประกอบรูปนี้เลย


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 15 ก.ย. 11, 11:57
ส่วนที่ถามมาว่ามหาชนกมีปูน้อยอยู่หรือไม่ ปูน้อยไม่มีเพราะขอตัวไปเป็นนายก มีแต่เจ้าตัวนี้นะครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 15 ก.ย. 11, 12:03
ชอบดูส่วนล่างของภาพจิตรกรรมฝาผนังในวัด มักมีอารมณ์ขันของช่างเขียนแฝงอยู่เสมอ

 ;D


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 15 ก.ย. 11, 12:10
^
แหม...ตาไวเชียวนะคุณเพ็ญชมพู .. คิคิ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 15 ก.ย. 11, 12:20
พระแม่ธรณี หน้าไม่ขาวเลยหรอรับ  :-\


สังเกตุว่าการบรรยายภาพเหล่าพยุหพลขุนมารทั้งหลายนี้ จะสื่อนัยยะทางเมืองหรือเปล่าไม่ทราบ บรรดาเหล่าไพร่พลยักษา ต่างพากันถือดอกไม้บูชาองค์พระพุทธเจ้า บรรยากาศจึงดูคลายความดุลงไป ไม่เหมือนงานจิตรกรรมบางภาพเหล่าทหารยังเล่นไปถึงพระถันพระแม่ธรณ๊  ;D

แต่ภาพเหล่านี้ต่างถือบรรดาดอกไม้บูชามาถวาย คุณยีนส์เห็นศาสตราวุธบ้างไหม  ???


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 15 ก.ย. 11, 12:25
ผมเห็นสิ่งที่ผมชอบอย่างหนึ่งแล้วครับ ...ราชรถพระอาทิตย์ และพระจันทร์ ไม่รู้ทำไมถึงชอบ เมื่อกระทู้ภาพเขียนวังหน้า ผมก็ขอให้คุณยีนส์ส่องราชรถพระอาทิตย์พระจันทร์มา ตอนนี้ก็เจออีก แต่ด้วยความสูงเกือบถึงเพดาน คงยากจะเห็นนภาพงามจับตา

ซึ้งตามากมาย ภาพพระเกศแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรค์ พรั่งพร้อมด้วยเทวดาซ้าย ขวา เบื้องบนเป็นวงโคจรวิถี งามแท้ครับไตรภูมิ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 15 ก.ย. 11, 12:42
เป็นการเข้าใจผิดอย่างมหันต์ครับท่านหนุ่มสยาม ด้านที่เห็นพญามารพนมมือถือดอกไม้บูชาเนื่อ่งด้วยเมื่อแม่พระธรณีปล่อยน้ำให้ท่วมเหล่าพลพรรคพญามารแล้ว พญามารจึงเล็งเห็นพุทธานุภาพของพระพุทธองค์ ต้องดูอีกด้านนึงครับ ตอนกำลังบุกอันนั้นจัดเต็มอัตตราศึก(ดูรูปประกอบ) สำหรับคุณเพ็ญชมพู มุมขำขันของช่างไทย นี่มีเยอะ วันหลังจะนำเสนอเป็นกระทู้ครับ วัดนี้ก็มีไม่น้อยด้วยครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 15 ก.ย. 11, 13:02
เป็นการเข้าใจผิดอย่างมหันต์ครับท่านหนุ่มสยาม ด้านที่เห็นพญามารพนมมือถือดอกไม้บูชาเนื่อ่งด้วยเมื่อแม่พระธรณีปล่อยน้ำให้ท่วมเหล่าพลพรรคพญามารแล้ว พญามารจึงเล็งเห็นพุทธานุภาพของพระพุทธองค์ ต้องดูอีกด้านนึงครับ ตอนกำลังบุกอันนั้นจัดเต็มอัตตราศึก(ดูรูปประกอบ) สำหรับคุณเพ็ญชมพู มุมขำขันของช่างไทย นี่มีเยอะ วันหลังจะนำเสนอเป็นกระทู้ครับ วัดนี้ก็มีไม่น้อยด้วยครับ

อ่อ เป็นอย่างนี้นี่เอง  :-[ :-[ :-[


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 15 ก.ย. 11, 13:10
ต้องเรียนคุณsiames ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ที่เขียนช่วงบนเหนือสายตาขึ้นไปนั้น ช่างมักจะไม่เขียนปราณีตเท่ากับระดับสายตา มีเพียงบางวัดเท่านั้นนะครับที่ช่างต้องการสำแดงฝีมือ เรื่องรถพระอาทิตย์และพระจันทร์ ผมก็ชอบครับ แต่ที่วัดนี้อยู่ซะสูงสุด การถ่ายภาพบนที่สูงของผม ก็ใช้ขาตั้งกล้องเอานะครับ ไม่สามารถปีนไปถ่ายในระนาบเดียวกับผนังได้ แล้วก็ใช้เลนส์ซูมเอา ภาพก็เลยกลายเป็นมุมเงย ก็สุดความสามารถตามกำลังที่พึงมีครับ ส่วนเทพชุมนุมที่นี้ส่วนใหญ่จะซ่อมเสียสิ้น เห็นพูดถึงว่าไม่แข็งเหมือนอย่างพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ที่นั่นนะชั้นครูเชียวนะครับ สำหรับลายเกลียวเหมือนโบว์ที่กล่าวถึง(ขั้นระหว่างเทพชุมนุมกับวิทยาธร)นั้นภาษาช่างเรียกว่า"เส้นฮ่อ"ครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 15 ก.ย. 11, 13:23
มาดูรายละเอียดของผนังแต่ละตอนเริ่มจากเตมีย์ใบ้
ชาดกเรื่องนี้แสดงถึงการบำเพ็ญเนกขัมมบารมี คือการออกบวชหรือออกจากกาม    เล่าเรื่องเตมียราชกุมาร เกรงการที่จะได้ครองราชสมบัติ เพราะทรงสลด พระหฤทัยที่เห็นราชบุรษลงโทษโจรตามพระราชดำรัสของพระราชา เช่น เฆี่ยนพันครั้งบ้าง เอาหอกแทงบ้าง เอาหลาวเสียบบ้าง จึงใช้วิธีแสร้งทำเป็นง่อยเปลี้ย หูหนวก เป็นใบ้ไม่พูดจากับใคร    แม้จะถูกทดลองต่าง ๆ ก็อดกลั้นไว้   ไม่ยอมแสดงอาการพิรุธให้ปรากฏ ทั้งนี้เพื่อจะเลี่ยงการครองราชสมบัติ พระราชาปรึกษาพวกพรากมณ์ ก็ได้รับคำแนะนำใหนำราชกุมารไปฝังเสีย. พระราชมารดาทรงคัดค้านไม่สำเร็จ   ก็ทูลขอให้พระราชกุมารครองราชสัก  ๗  วัน  แต่พระราชกุมารก็ไม่ยอมพูด    ต่อเมื่อ  ๗  วันแล้ว   สารถีนำราชกุมารขึ้นสู่รถ เพื่อจะฝังตามรับสั่งพระราชา  ขณะที่ขุดหลุ่มอยู่พระราชกุมารก็เสด็จลงจากรถ  ตรัสปราศัยกับนายสารถี แจ้งความจริงให้ทราบว่า มีพระประสงค์จะออกบวช สารถีเลื่อมใสในคำสอนขอออกบวชด้วย จึงตรัสให้นำรถกลับไปคืนก่อน สารถีนำความไปเล่าถวายพระราชมารดา พระราชบิดาให้ทรงทราบ.ทั้งสองพระองค์พร้อมด้วยอำมาตย์ราชบริพารจึงได้เสด็จออกไปหา เชิญให้พระราชกุมารเสด็จกลับไปครองราชสมบัติ แต่พระราชกุมารกลับถวายหลักธรรมให้ยินดี ในเนกขัมมะ    คือการออกจากกาม.   พระชนกชนนีพร้อมด้วยบริวารทรงเลื่อมใสในคำสอน    ก็เสด็จออกผนวชและบวชตาม.    และได้มีพระราชาอื่นอีกเป็นอันมาก สดับพระราชโอวาทขอออกผนวชตาม.


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 15 ก.ย. 11, 13:31
น่าเสียดายอย่างทีบอกว่าภาพผนังตอนนี้ไปอยู่หลังพระประธาน ทำให้ถ่านภาพลำบากมาก มุมกล้องไม่เอื้ออำนวยเลย แต่รายละเอียดในภาพกลับสวยงาม ก็ดูเอาเถิดครับว่าสวยยังไงสุดจะบรรยาย


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 15 ก.ย. 11, 13:44
ละเอียดอ่อนมากครับ รายละเอียดสถาปัตยกรรมจีน ที่เป็นเสาแดงกดทับลงมายังฐานหินรูปดอกบัว ช่างได้รู้หลักการมาก และภาพพืชพรรณไม้นั้น เห็นลีลาการลงฝีแปรงแจะ ๆ ลงไป สีเขียวปนเหลือง ต้องจิ้มสีซ้อนกันแน่เลยนะครับ พู่กันคงมีการใช้ผสมแบบไทยและจีนหรือเปล่าครับ

ลีลาทรงปืนก็งาม ผ้านุ่ง ผ้าสไบก็งามลงตัวมาก ๆ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 15 ก.ย. 11, 14:26
ภู่กันคงเป็นภู่กันแบบโบราณของไทยนะครับม่ใช่ภู่กันจีน ส่วนทีเขียนต้นไม้ก็ใช้เปลือกต้นกระดังงามาทุบปลายให้แตกไว้เขียนแบบภาษาช่างเรียกว่า"ประกระทุ้ง" จิตกรรมฝาผนังสมัยรัชกาลที่๓มีอิทธพลจีนปนอยู่มากก็พบได้แทบทุกวัดอย่างที่คุณsiamsesพูดถึงก็เป็นส่วนหนึ่งครับ ไอ้ทีพระเตมีย์ถืออยู่นั้นมิใช่ปืนนะครับ แต่เป็นไม้กวาด คนซ่อมมันคงไปลบตรงตัวไม้กวาดทิ้งไปตอนซ่อมด้วยความไม่รู้ดูเปรียเทียบได้จากจิตรกรรมวัดบางยีขันที่แบบรูปประกอบมานี้


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 15 ก.ย. 11, 19:15
มาดูกันต่อในผนังพระเตมีย์ ตัวภาพของเดิมที่ไม่ผ่านการซ่อมช่างมีชีวิตชีวางดงามเหลือเกิน


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 15 ก.ย. 11, 22:05
นวลพักตร์เจ้างามจริง    ดูเอิบอิ่มพริ้มงามตา
ทั้งคิ้วโก่งวงหน้าแลเกศา  ล้วนต้องตาน่าเชยอภิรมย์  ;)   


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 15 ก.ย. 11, 22:17
ยังไม่นอนหรือครับคุณsiamese ผมก็เห็นไม่มีคนดูแล้วเลยเงียบไว้ก่อน มีคนเข้ามาทักก็ต่อสักหน่อย มาดูตอนมหาชนกต่อ ดูชาวบ้านริมท่าน้ำมาใช้ชีวิตประจำวัน น่าดูนัก


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 15 ก.ย. 11, 22:33
ดูหนุ่มสาวที่แอบซ่อนตัวอยู่ในเรือ แอบทำกุ๊กกิ๊กกัน เสียดายว่าช่างคงกลัวจะประเจิดประเจ้อเกินไปเลยเขียนเป็นมุ่งบังซะฉิบ เสียดาย น่าจะถูกใจคุณเพ็ญชมพูนะครับ อีกภาพเป็นมหาชนกว่ายน้ำกลางมหาสมุทรมากว่า๗วันจนนางมณีเมขลาเห็นในความเพียรเหาะมาช่วยไว้ เรือสำเภานั้นเขียนเป็นเรืออย่างฝรั่งดูงามตาไปอีกแบบ ผมแปลกใจตรงการแต่งกายของลูกเรือนี่แหละที่เป็นชุดขาวใส่หมวกคลุมหัวอย่างอิสลาม ทำไมเป็นอย่างนั้น หรือช่างจะเขียนตามการแต่งกายของลูกเรือฝรั่งสมัยนั้น


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 15 ก.ย. 11, 22:40
ยังไม่นอนครับผม

ภาพบรรยากาศน่ารักมากครับ บรรยากาศริมน้ำเป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ภาพหนุ่มเกี้ยวพาราสีสาวเจ้าคงไม่เท่า "คู่รักที่อยู่ในเรือ" นะขอรับ  :-[


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 15 ก.ย. 11, 22:50
ชาวเรือสวมหมวกคล้ายแขก จากวัดคงคาราม


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 15 ก.ย. 11, 23:17
ผมถึงได้แปลกใจว่าแขกทำไมมาเป็นลูกเรือสำเภา หรือสมัยก่อนพวกนี้จะเป็นแขกมลายู เพราะสัยนั้นมีค้าขายกับมาลายูด้วย คงต้องสืบค้นต่อไปเพราะพบเห็นหลายที่แล้ว


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 16 ก.ย. 11, 07:26
ผมถึงได้แปลกใจว่าแขกทำไมมาเป็นลูกเรือสำเภา หรือสมัยก่อนพวกนี้จะเป็นแขกมลายู เพราะสัยนั้นมีค้าขายกับมาลายูด้วย คงต้องสืบค้นต่อไปเพราะพบเห็นหลายที่แล้ว

คงอาจจะเขียนให้พ้องกับพุทธประวัติด้วยกระมังครับ เพราะเรือของพระมหาชนกออกจากอินเดีย มุ่งหน้าสู่ดินแดนสุวรรณุมิ ทำให้ชาวเรือที่มาด้วยมีผิวคล้ำ ไม่ใช่ชาวยุโปรหรือจีนที่คุ้นตา

แนบภาพชาวเรืออินเดีย แต่งกายคล้าย ๆ กันเลย


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: Kurukula ที่ 16 ก.ย. 11, 09:47
สวัสดีครับพี่ยุทธ พี่ยีนส์ พี่หนุ่มสยาม และสมาชิกท่านอื่นๆ

วัดจางวางดิศเคยแต่ผ่านไปผ่านมานานๆที ไม่เคยเข้าไปเลยครับ เพิ่งจะรู้ว่าีมีของดีของงามก็วันนี้ สงสัยว่างๆคงต้องเจียดเวลา (อันเหลืออยู่น้อยนิด) เข้าไปเที่ยวเล่นบ้างแล้ว

ชอบเทพชุมนุมของที่นี่จังเลยครับ มีหันหน้ามาคุยกันด้วย น่ารักแปลกกว่าที่อื่นดี :-X


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 16 ก.ย. 11, 10:03
สวัสดีเช่นกันครับคุณ Kurukula  ท่านก็เห็นเช่นเดียวกันว่า ภาพเทพชุมนุมนั้นมีเสน่ห์ น่ารักออกครับ ลีลาหันซ้าย ขวาเป็นธรรมชาติดีแท้


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 16 ก.ย. 11, 13:01
มชมกันต่อและสวัสดีทุกทานที่เข้ามาชมกระทู้ จบจากตอนมหาชนกมาต่อกันที่สุวรรณสาม
ชาดกเรื่องนี้แสดงถึงการบำเพ็ญเมตตาบารมี คือการแผ่ไมตรีจิตคิดจะให้สัตว์ทั้งปวงเป็นสุขทั่วหน้า    มีเรื่องเล่าว่า สุวรรณสามเลี้ยงมารดาบิดาของตน ซึ่งเสียจักษุในป่า และเนื่องจากเป็นผู้มีเมตตาปรารถนาดีต่อผู้อื่น หมู่เนื้อก็เดินตามแวดล้อมไปในที่ต่าง ๆ วันหนึ่งถูกพระเจ้ากรุงพาราณสี ชื่อปิลยักษ์ยิงเอาด้วยธนู ด้วยเข้าพระทัยผิด ภายหลังเมื่อทราบว่าเป็นมาณพผู้เลี้ยงมารดาบิดา ก็สลดพระทัย จึงไปจูงมารดาบิดาของสุวรรณสามมา. มารดาบิดาของสุวรรณสามก็ตั้งสัจจกิริยา อ้างคุณความดีของสุวรรณสามขอให้พิษของศรหมดไป สุวรรณสามก็ฟื้นคืนสติ และได้สอนพระราชา แสดงคติธรรมว่า ผู้ใดเลี้ยงมารดาบิดาโดยธรรม แม้เทวดาก็ย่อมรักษาผู้นั้น ย่อมมีคนสรรเสริญในโลกนี้ ละโลกนี้ไปแล้วก็บันเทิงในสวรรค์ ต่อจากนั้นเมื่อพระราชาให้สั่งสอนต่อไปอีก ก็สอนให้ทรงปฏิบัติธรรมปฏิบัติชอบในบุคคลทั้งปวง.

   



กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 16 ก.ย. 11, 13:04
ภาพท้าวปิลยักษ์กำลังน้าวศร ช่างเป็นท่าที่งดงามนัก เสียดายที่พระพักตร์โดนซ่อมซะเละอีกตามเคย


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 16 ก.ย. 11, 13:16
ดูภาพตอนนี้สวยๆทั้งนั้น คงไม่ต้องอธิบาย มีกระเหรี่ยงโผล่ในจิตรกรรมอีกแล้ว


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 16 ก.ย. 11, 13:27
ในตอนสุวรรณสามนี้สังเกตมาหลายวัดแล้วมักจะมีการเขียนภาพกินรีและพรานดักจับนกยูงทองอยู่ด้วยเสมอ ที่นี่ก็มี


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 16 ก.ย. 11, 13:42
สวัสดีครับ คุณยีนส์ ..ผมก็เล็ง ๆ ภาพนกยูงครับ เห็นอยู่ ๒ ตัวริมอาคาร อยากจะเห็นความงามหน่อยครับ  :D


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: yutthana ที่ 16 ก.ย. 11, 14:09
ไปด้วยครับพี่ตุลาว่าจะไปถ่ายหลายวัดเหมือนกัน     ชีวิตคนเรามันก็มีดีมีไม่ดี  ใช่ว่าจะดีเสมอไปพี่วันนี้ไม่มีวันหน้าก็มีได้   การทานข้าวเป็นการพบปะสมาชิกชมรม   อย่าถือว่าใครจะเลี้ยงเลยครับ  เพราะค่าของตัวพี่ก็อยู่ที่การทำงานเก็บข้อมูลทางด้านจิตรกรรมนี่แหละครับ  อย่าคิดมากนักเพราะมันจะไม่มีประโยชน์และเสียเวลาคิดเปล่าๆเพราะผมก็เป็นน้องพี่คนหนึ่งการที่จะเลี้ยงอาหารพี่บ้างสักมื้อสองมื้อคงไม่เป็นไรหรอกครับ ผมคงไม่พาพี่ไปเลี้ยงหรูมากหรอกครับ๕๕๕๕๕  แต่ถ้าเกรงใจก็ขอเป็นข้อมูลภาพจิตรกรรมไทยใส่แผ่นดีวีดีให้น้องสักแผ่นก็ได้นะเพราะตอนนี้ต้องดูงานจิตรกรรมเปรียบเทียปเยอะมากในการศึกษางานไทย    ส่วนที่สมาชิกหายไปนี่ไปร่องลอยอยู่ในเฟสบุคกันมากเลยทำให้มาห้องนี้น้อยไปหน่อย ครับพี่   เอาเป็นว่าพี่ยีนส์ว่างเมื่อไหร่ก็ไปถ่ายวัดกันแล้วก็ทานข้าวด้วยกันครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 16 ก.ย. 11, 14:11
มีอยู่๓ตัวครับ เสียดายไม่ได้ถ่ายเจาะมาเอาส่วนขยายมาให้พอดูได้ครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 16 ก.ย. 11, 14:20
สวยจังเลย นกยูงสีทอง ... ขอบคุณครับผม


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 16 ก.ย. 11, 14:21
สวัสดีน้องยุทธขอบคุณที่ไม่ลืมพี่ยีนส์คนนี้ facebook ไม่ได้เล่นเลย ขี้เกียจอัพ เดี๋ยวสมัครใหม่ เพราะของเดิมลืมไปแล้วแล้วค่อยเข้าไปแอดกัน เรื่องจะไปถ่ายภาพเดือนตุลา(หลังปิดเทอมใช่มั๊ย)จะไปที่ไหนกัน พี่ไปด้วย จริงๆอยากไปสุพรรณบุรีมาก เพราะมีทั้งงานอยุธยาและรัตนโกสินทร์ชั้นครูอยู่มาก เป็นทริปครั้งใหม่ของชมรมฯก็ดีนะ ส่วนเรื่องซีดีไม่ต้องห่วง พี่ก็อยากขอของน้องๆเหมือนกัน เราเอามารวมกันเป็นผลงานชมรมฯดีกว่า


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 16 ก.ย. 11, 14:31
น้องยุทธออกแบบลูกอมหนุมานรึเปล่า จะขอมาอมเล่นสักลูก 55555555(ล้อเล่น) ดูภาพเนมิราชแล้วผมชอบตรงวิมานของเทวดามุมซ้ายขวาภาพที่โพสต์ข้างบนจัง โผล่กันมาดูลาดเลากันสนุกเลย


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 16 ก.ย. 11, 14:49
ชอบพื้นสีแดง และดอกไม้สวรรค์ร่วงลงมางามมาก (ไม่รู้ว่าคือดอกมณฑาสวรรค์หรือเปล่าหรอ ?) งามมาก ๆ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 16 ก.ย. 11, 15:05
เสียดายว่าภาพถ่ายเที่ยวหลังนี้ยงออกมาไม่ได้หยั่งใจอีกหลายรูป คงต้องเข้าไปเก็บรายละเอียดอีกที เรื่องลายดอกไม้ร่วงนั้น เป็นภูมิปัญญาของช่างไทย ในการแก้ปัญหาช่องไฟของพื้นที่โล่งบนผนังครับคุณsiamese ส่วนจะเป็นดอกอะไรนั้นเหลือจะคาดเดา การเขียนลายดอกไม้ร่งก็มใช่ช่างจะใช่จนเฝือนะครับ ช่างยังต้องคำนึงถึงองค์ประกอบและเรื่องราวของภาพประกอบด้วยเสมอ นี่ก็เป็นอีกอย่างของจิตรกรรมฝาผนังไทย ในส่วนภาพทัวร์นรกของพระเนิราช ให้ชมไปตั้งแต่ต้นกระทู้แล้วขอผ่านทิ้งท้ายไว้กับเจ้าตัวนี้ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร มากับนกดูแล้วคล้ายกระเรียน ช่วยกันดูหน่อยครับ และดูชัดๆกับรามสูรอีกที


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 16 ก.ย. 11, 15:33
ภาพพระเนมิราชทัวร์นรกทั้งหมด ๑๖ ขุมนรก บางขุมเป็นอีกาจิกกิน แต่มีอยู่ขุมหนึ่งเป็นนกปากยาว คล้ายกระสา อยู่ที่ขุมนรกชั้นที่ ๓  ชื่อว่า สังฆาตนรก

ภาพจากสมุดภาพไตรภูมิธนบุรี, กรมศิลปากร ๒๕๔๒


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 16 ก.ย. 11, 15:41
ในส่วนภาพทัวร์นรกของพระเนิราช ให้ชมไปตั้งแต่ต้นกระทู้แล้วขอผ่านทิ้งท้ายไว้กับเจ้าตัวนี้ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร มากับนกดูแล้วคล้ายกระเรียน ช่วยกันดูหน่อยครับ

นกตะกรุมมั้ง โปรดสังเกตที่หัวนกว่าอัตคัดขน

 ;D


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 16 ก.ย. 11, 15:50
นกตะกรุมไม่มีเหนียงที่คอ แต่ภาพจิตรกรรมีเหนียงที่คอ จึงต้องเป็น "นกตะกราม"  ;D ;D
ที่มา http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=forbird&month=25-11-2005&group=2&gblog=9


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: :D :D ที่ 16 ก.ย. 11, 16:27
มีอยู่๓ตัวครับ เสียดายไม่ได้ถ่ายเจาะมาเอาส่วนขยายมาให้พอดูได้ครับ

ภาพในคห.ที่ 97 ที่มีอยู่ 3 ตัว ถ้าคุณยีนส์ ไม่บอก
หนูดีดีไม่รู้เลยนะคะว่านั่นน่ะ...นกยูง...
ฮิ ฮิ ตาไม่ถึงค่ะ... ;D


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: Kurukula ที่ 16 ก.ย. 11, 17:22
เพิ่งเคยเห็นภาพสุวรรณสามชาดกครับ ลีลาท่าทางดังวัดสุวรรณาราม ต่างกันตรงตัวสุวรรณสามเท่านั้น วัดนี้น่าสนใจจริงๆครับ

ผมก็็ไม่เคยสังเกตเรื่องนกยูงทองเหมือนกัน แต่เห็นพี่ยีนส์ทักขึ้นมา ก็นึกขึ้นมาได้ว่าอาจมาจากมหาโมริยชาดก เรื่องนกยูงผูกมนต์พระปริตบูชาพระอาทิตย์ทุกเช้า จนแคล้วคลาดจากอันตรายมาได้ตลอด

เอาคร่าวๆว่ามีมเหสีพระราชาองค์นึงอยากฟังธรรมจากนกยูงทองนี้ ให้พรานไปจับ ทำอย่างไรก็จับนกไม่ได้ จนเจ็ดปีมเหสีตรอมพระทัยสิ้นพระชนม์ พระราชาแค้นจึงให้จารึกในแผ่นทองว่าบนเขาทัณฑกะมีนกยูงทองตัวนึง ใครได้กินเนื้อจะไม่แก่ไม่ตาย จากนั้นก็เก็บไว้ แล้วสิ้นพระชนม์ตามไปอีกองค์


พระราชาองค์ต่อๆมาได้อ่านแผ่นทองแล้วอยากกินเนื้อนกยูง จะได้ไม่ตายมั่ง จึงใช้พรานเนสาท (แปลว่าพรานป่านั่นเอง) ไปต่อนกมา พรานทำอย่างไรๆก็จับไม่ได้ จึงออกอุบายฝึกนางนกยูง ให้ร้องเพลงเรียกนกพระโพธิสัตว์ในเวลาเช้า นกยูงทองได้ยินเสียง ยังไม่ทันเจริญพระปริตต์ก็ร่อนลงมาติดบ่วง เอาไปถวายพระราชา พระโพธิสัตว์สบโอกาสแสดงธรรม จึงรอดตายมาได้ 8)



กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 16 ก.ย. 11, 18:06
ตอนที่น้องกุเล่าน่าจะเป็นชาดกที่พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นนกยูง มีเขียนอยู่ที่วัดเครือวัลย์ แต่การที่มาปรากฎอยู่ในสุวรรณสาม อันเป็นหนึ่งในสิบพระชาติสุดท้าย เห็นจะไม่ถูกต้อง ได้ลองไปดูรายละเอียดในเนื้อเรืองสุวรรณสามอีกที ก็พบว่าน่าจะเป็นตามเนื้อเรืองนี้สุวรรณสามชาดก ครั้งหนึ่ง มีสหายสองคนรักใคร่กันมาก ต่างก็ตั้งบ้านเรือน อยู่ใกล้เคียงกัน ไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ทั้งสองคนตั้งใจว่า ถ้าฝ่ายหนึ่งมีลูกสาว อีกฝ่ายหนึ่งมีลูกชาย ก็จะให้แต่งงาน เพื่อครอบครัวทั้งสองฝ่ายจะได้ ผูกพันใกล้ชิดกันไม่มีเสื่อมคลาย อยู่ต่อมาฝ่ายหนึ่งก็มีลูกชายชื่อว่า ทุกูลกุมาร อีกฝ่ายหนึ่งมีลูกสาว ชื่อว่า ปาริกากุมารี เด็กทั้งสองมีรูป ร่างหน่าตางดงาม สติปัญญาฉลาดเฉลียว และมีจิตใจมั่นอยู่ในศีล เมื่อเติบโตขึ้น พ่อแม่ของทั้งสองก็ตกลงจะทำตามที่เคย ตั้งใจไว้ คือให้ลูกของทั้งสองบ้านได้แต่งงานกัน แต่ทั้งทุกูลกุมารและปาริกากุมารี ต่างบอกกับพ่อแม่ ของตนว่า ไม่ต้องการแต่งงานกัน แม้จะรู้ดีว่า ฝ่ายหนึ่ง เป็นคนดี รูปร่างหน้าตางดงาม และเป็นเพื่อนสนิท มาตั้งแต่เด็กก็ตาม ในที่สุด พ่อแม่ของทั้งสองก็จัดการแต่งงานให้จนได้ แต่แม้ว่าทุกูลและปาริกาจะแต่งงานกันแล้ว ต่างยังคงประพฤติ ปฏิบัติเสมือนเป็นเพื่อนกันตลอดมา ไม่เคยประพฤติต่อกัน ฉันสามีภรรยา ยิ่งไปกว่านั้นทั้ง สองคนมีความปราถนาตรงกัน คือประสงค์จะออกบวช ไม่อยากดำเนินชีวิตอย่างชาวบ้าน ธรรมดาซึ่ง จะต้องพัวพันอยู่กับการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพื่อเป็นอาหารบ้าง เพื่อป้องกันตัวเองบ้าง เมื่อได้อ้อนวอนพ่อแม่ทั้งสองบ้านอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุด ทั้งสองก็ได้รับคำอนุญาตให้บวชได้ จึงพากัน เดินทางไปสู่ป่าใหญ่ และอธิษฐานออกบวช นุ่งห่มผ้าย้อม เปลือกไม้และไว้มวยผมอย่างดาบส บำเพ็ญ ธรรมอยู่ ณ ศาลาในป่านั้น ด้วยความเมตตาอันมั่นคง ของทั้งสองคน บรรดาสิงสาราสัตว์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น ต่างก็มีเมตตาจิตต่อกัน ไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน ต่างหากินอยู่ด้วยความสุขสำราญ ต่อมาวันหนึ่ง พระอินทร์เล็งเห็นอันตรายซึ่งจะบังเกิดแก่ ทุกูลดาบสและปาริกาดาบสินี จึงตรัสบอกแก่ ดาบสว่า "ข้าพเจ้าเล็งเห็นว่า อันตรายจะเกิดขึ้นแก่ท่าน ขอให้ท่านจงมีบุตร เพื่อเป็น ผู้ช่วยเหลือ ปรนนิบัติในยามยากลำบากเถิด" ทุกูลดาบสจึงถามว่า "อาตมาบำเพ็ญพรตเพื่อความพ้นทุกข์ อาตมาจะมีบุตรได้อย่างไร อาตมาไม่ต้องการดำเนินชีวิต อย่างชาวโลก ที่จะทำให้ต้องวนเวียนอยู่ในความทุกข์อีก" พระอินทร์ตรัสว่า "ท่านไม่จำเป็นต้องประพฤติปฏิบัติ อย่างชาวโลก แต่ท่านจำเป็นต้องมีบุตรไว้ช่วย เหลือปรนนิบัติ ขอให้เชื่อข้าพเจ้าเถิด ท่านเพียงแต่เอามือลูบท้องนางปาริกา ดาบสินี นางก็จะตั้งครรภ์ ลูกในครรภ์นางจะได้เป็นผู้ดูแล ท่านทั้งสองต่อไป" เมื่อพระอินทร์ตรัสบอกดังนั้น ทุกูลดาบสจึงทำตาม ต่อมานางปาริกาก็ตั้งครรภ์ ครั้นครบกำหนด ก็คลอดบุตร มีผิวพรรณงดงามราวทองคำบริสุทธิ์ จึงได้ชื่อว่า "สุวรรณสาม" ปาริกาดาบสสินี เลี้ยงดู สุวรรณสามจนเติบใหญ่อยู่ในป่านั้น มีบรรดาสัตว์น้อยใหญ่นานาชนิดแวดล้อมเป็นเพื่อนเล่น ตั้งแต่ยังเป็นเด็กอยู่ สุวรรณสามหมั่นสังเกตจดจำสิ่งที่ พ่อและแม่ได้ปฏิบัติ เช่น การไปตักน้ำ ไปหา ผลไม้เป็นอาหาร เส้นทางที่ไปหาน้ำและอาหาร สุวรรณสามพยายามช่วยเหลือ พ่อและแม่ กระทำกิจกรรมต่างๆ เท่าที่จะทำได้ เพื่อให้พ่อแม่ ได้มีเวลาบำเพ็ญธรรมตามที่ประสงค์ วันหนึ่ง เมื่อทุกูลดาบสและนางปาริกา ออกไปหาผลไม้ในป่า เผอิญฝนตกหนักทั้งสองจึงหลบฝนอยู่ที่ ต้นไม้ใหญ่ใกล้ จอมปลวก โดยไม่รู้ว่าที่จอมปลวกนั้นมีงูพิษอาศัยอยู่ น้ำฝนที่ชุ่มเสื้อฝ้า และมุ่นผมของ ทั้งสองไหลหยดลงไปในรูงู งูตกใจจึงพ่นพิษออกมาป้องกันตัว พิษร้ายของงูเข้าตาทั้งสองคน ความร้ายกาจของพิษทำให้ดวงตาบอดมืดมิดไปทันที ทุกูลดาบสและนางปาริกาดาบสินี จึงไม่สามารถจะกลับไปถึง ศาลาที่พักได้ เพราะมองไม่เห็นทาง ต้องวนเวียนคลำทางอยู่แถวนั้นเอง คนทั้งสองต้องเสียดวงตา เพราะกรรมในชาติก่อน เมื่อครั้งที่ ทุกูลดาบสเกิดเป็นหมอรักษาตา ปาริกา เกิดเป็นภรรยาของหมอนั้น วันหนึ่งหมอได้รักษาตาของเศรษฐีคนหนึ่งจนหายขาดแล้ว แต่เศรษฐีไม่ยอมจ่ายค่ารักษา ภรรยาจึงบอกกับสามีว่า "พี่จงทำยาขึ้นอย่างหนึ่งให้มีฤทธิ์แรง แล้วเอาไปให้เศรษฐีผู้นั้น บอกว่าตายังไม่หายสนิท ขอให้ใช้ยานี้ป้ายอีก" หมอตาทำตามที่ภรรยาบอก ฝ่ายเศรษฐีเชื่อในสรรพคุณยา ของหมอ ก็ทำตาม ตาของเศรษฐีก็กลับบอด สนิทในไม่ช้าด้วย บาปที่ทำไว้ในชาติก่อน ส่งผลให้ทั้งสองคนต้องตาบอดไปในชาตินี้ ฝ่ายสุวรรณสาม คอยพ่อแม่อยู่ที่ศาลา ไม่เห็นกลับมาตามเวลา จึงออกเดินตามหา ในที่สุดก็พบพ่อแม่ วนเวียนอยู่ข้างจอมปลวก เพราะนัยน์ตาบอด หาทางกลับไม่ได้ สุวรรณสามจึงถามว่า เกิดอะไรขึ้น เมื่อพ่อแม่เล่าให้ฟัง สุวรรณสามก็ร้องไห้ แล้วก็หัวเราะ พ่อแม่จึงถามว่าเหตุใดจึงร้องไห้แล้วก็หัวเราะ เช่นนั้น สุวรรณสาม ตอบว่า "ลูกร้องไห้เพราะเสียใจที่พ่อแม่นัยน์ตาบอด แต่หัวเราะ เพราะลูกดีใจที่ลูกจะได้ ปรนนิบัติดูแล ตอบแทนพระคุณพ่อแม่ ที่เลี้ยงดูลูกมา พ่อแม่อย่าเป็นทุกข์ไปเลย ลูกจะปรนนิบัติ ไม่ให้พ่อแม่ต้องเดือดร้อนแต่อย่างใด" จากนั้น สุวรรณสามก็พาพ่อแม่กลับไปยังศาลาที่พัก จัดหาเชือก มาผูกโยงไว้โดยรอบ สำหรับพ่อแม่จะได้ใช้จับเป็นราวเดินไป ทำอะไรๆ ได้สะดวกในบริเวณศาลานั้นทุกๆ วัน สุวรรณสาม จะไปตักน้ำมา สำหรับพ่อแม่ได้ดื่มได้ใช้ และไปหา ผลไม้ในป่ามาเป็นอาหารและตนเอง เวลาที่สุวรรณสามออกป่าหาผลไม้ บรรดาสัตว์ทั้งหลาย จะพากันมาแวดล้อมด้วยความไว้วางใจ เพราะสุวรรณสาม เป็นผู้มีเมตตาจิต ไม่เคยทำอันตรายแก่ฝูงสัตว์ สุวรรณสามจึงมีเพื่อนแวดล้อมเป็นบรรดา สัตว์นานาชนิด พ่อแม่ลูกทั้งสามจึงมีแต่ความสุขสงบ ปราศจาก ความทุกข์ร้อนวุ่นวายทั้งปวง  อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาแห่งเมืองพาราณสี พระนามว่า "กบิลยักขราช" เป็นผู้ชอบออกป่าล่าสัตว์ พระองค์เสด็จออกล่าสัตว์ มาจนถึงท่าน้ำที่สุวรรณสามมาตักน้ำไปให้พ่อแม่ พระราชาสังเกตเห็น รอยเท้า สัตว์ชุกชุมในบริเวณนั้น จึงซุ่มคอยจะยิงสัตว์ที่ผ่านมากินน้ำ ขณะนั้น สุวรรณสามนำหม้อน้ำมาตักน้ำไปใช้ที่ศาลาดังเช่นเคย มีฝูงสัตว์เดินตามมาด้วยมากมาย พระราชาทอดพระเนตรเห็น ก็ทรงแปลกพระทัยว่า สุวรรณสามเป็นมนุษย์หรือเทวดา เหตุใดจึง เดินมา กับฝูงสัตว์ ครั้นจะเข้าไปถามก็เกรงว่าสุวรรณสาม จะตกใจหนีไป ก็จะไม่ได้ตัวจึงคิดจะยิงด้วยธนูให้หมด กำลังก่อนแล้วค่อยจับตัวไว้ซักถาม เมื่อสุวรรณสามลงไปตักน้ำแล้ว กำลังจะเดินกลับไปศาลา พระราชากบิลยักขราชก็เล็งยิงด้วยธนูอาบยา ถูกสุวรรณสาม ที่สำตัวทะลุจากขวาไปซ้าย สุวรรณสามล้มลงกับพื้น แต่ยังไม่ถึงตาย จึงเอ่ยขึ้นว่า "เนื้อของเรากินไม่ได้ หนังของเราเอาไปทำอะไรก็ไม่ได้ จะยิงเราทำไม คนที่ยิงเราเป็นใคร ยิงแล้วจะ ซ่อนตัวอยู่ทำไม" กบิลยักขราชได้ยินวาจาอ่อนหวานเช่นนั้นก็ยิ่งแปลกพระทัย ทรงคิดว่า "หนุ่มน้อยนี้เป็นใครหนอ ถูกเรายิงล้มลงแล้ว ยังไม่โกรธเคือง กลับใช้ถ้อยคำอันอ่อนหวาน แทนที่จะด่าว่า ด้วยความ โกรธแค้น เราจะต้องแสดงตัวให้เขาเห็น" คิดดังนั้นแล้ว พระราชาจึงออกจากที่ซุ่มไปประทับอยู่ข้างๆ สุวรรณสาม พลางตรัสว่า "เราชื่อกบิลยักขราช เป็นพระราชา แห่งแมืองพาราณสี เจ้าเป็นผู้ใด มาทำอะไรอยู่ในป่านี้" สุวรรณสามตอบไปตามความจริงว่า "ข้าพเจ้าเป็นบุตรดาบส ชื่อว่าสุวรรณสาม พระองค์ยิงข้าพเจ้าด้วยธนูพิษ ได้รับ ความเจ็บปวดสาหัส พระองค์ประสงค์อะไรจึงยิงข้าพเจ้า" พระราชาไม่กล้าตอบความจริง จึงแสร้งตรัสเท็จว่า "เราตั้งใจจะยิงเนื้อเป็นอาหาร แต่พอเจ้ามาเนื้อก็ เตลิดหนีไปหมด เราโกรธจึงยิงเจ้า " สุวรรณสามแย้งว่า "เหตุใดพระองค์จึงตรัสอย่างนั้น บรรดาสัตว์ทั้งหลายในป่านี้ไม่เคยกลัวข้าพเจ้า ไม่เคยเตลิด หนีข้าพเจ้าเลย สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนของข้าพเจ้า" พระราชาทรงละอายพระทัยที่ตรัสความเท็จแก่สุวรรณสาม ผู้ถูกยิงโดยปราศจากความผิด จึงตรัสตามความจริงว่า "เป็นความจริงตามที่เจ้าว่า สัตว์ทั้งหลายมิได้กลัวภัย จากเจ้าเลย เรายิงเจ้าก็เพราะความโง่เขลาของเราเอง เจ้าอยู่กับใครในป่านี้ ออกตักน้ำไปให้ใคร" สุวรรณสามบ้วนโลหิตออกจากปาก ตอบพระราชาว่า "ข้าพเจ้าอยู่กับพ่อแม่ ซึ่งตาบอดทั้งสองคน อยู่ในศาลา ในป่านี้ ข้าพเจ้าทำหน้าที่ปรนนิบัติพ่อแม่ ดูแลหาน้ำและอาหาร สำหรับท่านทั้งสอง เมื่อข้าพเจ้า มาถูกยิงเช่นนี้ พ่อแม่ก็จะไม่มี ใครดูแลปรนนิบัติอีกต่อไป อาหารที่ศาลายังพอสำหรับ 6 วัน แต่ไม่มีน้ำ พ่อแม่ของข้าพเจ้าจะต้องอดน้ำและอาหาร เมื่อปราศจากข้าพเจ้า โอ พระราชา ความทุกข์ ความเจ็บปวด ที่เกิดจากถูกยิงด้วยธนูของท่านนั้น ยังไม่เท่าความทุกข์ ความเจ็บปวดที่เป็นห่วงพ่อแม่ของข้าพเจ้า จะต้องได้รับ ความเดือดร้อนเพราะขาดข้าพเจ้าผู้ปรนนิบัติ ต่อไปนี้พ่อแม่คงไม่ได้เห็นหน้าข้าพเจ้าอีก แล้ว" สุวรรณสามรำพันแล้วร้องไห้ด้วยความทุกข์ใจอย่างยิ่ง พระราชาทรงได้ยินดังนั้นก็เสียพระทัยยิ่งนักว่า ได้ทำร้าย สุวรรณสามผู้มีความกตัญญูสูงสุด ผู้ไม่เคยทำอันตราย ต่อสิ่งใดเลย จึงตรัสกับสุวรรณสามว่า "ท่านอย่ากังวลไปเลย สุวรรณสาม เราจะรับดูแลปรนนิบัติพ่อแม่ของท่านให้เหมือน กับที่ท่านได้เคย ทำมา จงบอกเราเถิดว่าพ่อแม่ของท่านอยู่ที่ไหน" สุวรรณสามได้ยินพระราชาตรัสให้สัญญาก็ดีใจ กราบทูลว่า "พ่อแม่ของข้าพเจ้าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มาก นัก ขอเชิญเสด็จไปเถิด" พระราชาตรัสถามว่า สุวรรณสามจะสั่งความไปถึงพ่อแม่ บ้างหรือไม่ สุวรรณสามจึงขอให้พระราชาบอกพ่อแม่ว่า ตนฝากกราบไหว้ลาพ่อแม่มากับพระราชา เมื่อสุวรรณสาม ประนมมือกราบลงแล้ว ก็สลบไป ด้วยธนูพิษ ลมหายใจหยุด มือเท้าและร่างกายแข็งเกร็งด้วยพิษยา พระราชาทรงเศร้า เสียพระทัยยิ่งนัก รำลึกถึงกรรมอันหนักที่ได้ก่อขึ้นในครั้งนี้ แล้วก็ทรงระลึกได้ว่า ทางเดียวที่จะช่วยผ่อนบาปอันหนักของ พระองค์ได้ก็คือ ปฏิบัติตามวาจาที่สัญญาไว้กับสุวรรณสาม คือไป ปรนนิบัติดูแลพ่อแม่สุวรรณสาม เหมือนที่สุวรรณสามได้เคยกระทำมา พระราชากบิลยักขราชจึงนำหม้อน้ำที่สุวรรณสามตักไว้นั้น ออกเดินทางไปศาลาที่สุวรรณสามบอกไว้ ครั้นไปถึง ทุกูลดาบสได้ยินเสียงฝีเท้าพระราชา ก็ร้องถามขึ้นว่า "นั่นใครขึ้นมา ไม่ใช่สุวรรณสามลูกเราแน่ ลูกเรา เดินฝีเท้าเบา ไม่ก้าวหนักอย่างนี้" พระราชาไม่กล้าบอกไปในทันทีว่าพระองค์ยิงสุวรรณสาม ตายแล้ว จึงบอกแต่เพียงว่า "ข้าพเจ้าเป็นพระราชา แห่งเมืองพาราณสี มาเที่ยวยิงเนื้อในป่านี้" ดาบสจึงเชิญ ให้พระราชาเสวยผลไม้ และเล่าว่าบุตรชายชื่อสุวรรณสาม เป็นผู้ดูแลจัดหาอาหารไว้ให้ ขณะนี้สุวรรณสาม ออกไปตักน้ำ อีกสักครู่ก็คงจะกลับมา พระราชาจึงตรัสด้วยความเศร้าเสียพระทัยว่า "สุวรรณสาม ไม่กลับมาแล้ว บัดนี้สุวรรณสามถูกธนูของ ข้าพเจ้าถึงแก่ ความตายแล้ว" ดาบสทั้งสองได้ยินดังนั้นก็เสียใจยิ่งนัก นางปาริกาดาบสินีนั้นแต่แรกโกรธ แค้นที่พระราชา ยิงสุวรรณสามตาย แต่ทุกูลดาบสได้ปลอบประโลมว่า "จงนึกว่าเป็นเวรกรรมของสุวรรณสามและของเราทั้งสองเถิด จงสำรวมจิตอย่าโกรธเคืองเลย พระราชาก็ได้ยอมรับผิดแล้ว" พระราชาตรัสปลอบว่า "ท่านทั้งสองอย่ากังวลไปเลย ข้าพเจ้าได้สัญญากับสุวรรณสามแล้วว่าจะปรนนิบัติ ท่านทั้งสองให้เหมือนกับที่สุวรรณสามเคยทำมาทุกประการ" ดาบสทั้งสองอ้อนวอนพระราชาให้พาไปที่สุวรรณสาม นอนตายอยู่ เพื่อจะได้สัมผัสลูบคลำลูกเป็นครั้งสุดท้าย พระราชาก็ทรงพาไป ครั้นถึงที่สุวรรณสามนอนอยู่ ปาริกาดาบสินีก็ช้อนเท่าลูกขึ้นวางบนตัก ทุกูลดาบส ก็ช้อนศีรษะสุวรรณสามประคองไว้บนตัก ต่างพากัน รำพันถึงสุวรรณสามด้วยความโศกเศร้า บังเอิญปาริกา ดาบสินีลูบคลำบริเวณหน้าอกสุวรรณสาม รู้สึกว่ายังอบอุ่นอยู่ จึงคิดว่าลูกอาจจะเพียงแต่ สลบไป ไม่ถึงตาย นางจึงตั้ง สัตยาธิษฐานว่า "สุวรรณสามลูกเราเป็นผู้ที่ประพฤติดีตลอดมา มีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่อย่างยิ่ง เรารักสุวรรณสาม ยิ่งกว่าชีวิตของเราเอง ด้วยสัจจวาจาของเรานี้ ขอให้พิษ ธนูจงคลายไปเถิด ด้วยบุญกุศลที่สุวรรณสามได้เลี้ยงดู พ่อแม่ตลอดมา ขออานุภาพแห่งบุญจงดล บันดาลให้ สุวรรณสามฟื้นขึ้นมาเถิด" เมื่อนางต้งสัตยาธิษฐานจบ สุวรรณสามก็พลิกกายไป ข้างหนึ่งแต่ยังนอนอยู่ ทุกูลดาบสจึงตั้งสัตยาธิษฐาน เช่นเดียวกัน สุวรรณสามก็พลิกกายกลับไปอีกข้างหนึ่ง ฝ่ายนางเทพธิดาวสุนธรี ผู้ดูแลรักษาอยู่ ณ บริเวณ เขาคันธมาทน์ ก็ได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า "เราทำหน้าที่ รักษาเขาคันธมาทน์มาเป็นเวลานาน เรารักสุวรรณสาม ผู้มีเมตตาจิต และมีความกตัญญูยิ่งกว่าใคร ด้วยสัจจวาจานี้ ขอให้พิษจงจางหายไปเถิด" ทันใดนั้น สุวรรณสามก็พลิกกายฟื้นตื่นขึ้น หายจาก พิษธนูโดยสิ้นเชิง ยิ่งกว่านั้นดวงตาของพ่อและแม่ ของสุวรรณสามก็กลับแลเห็นเหมือนเดิม พระราชา ทรงพิศวงยิ่งนัก จึงตรัสถามว่าสุวรรณสามฟื้นขึ้นมา ได้อย่างไร สุวรรณสามตอบพระราชาว่า "บุคคลใดเลี้ยงดูปรนนิบัติบิดามารดาด้วยความรักใคร่เอาใจใส่ เทวดาและมนุษย์ย่อมช่วยคุ้มครองบุคคลนั้น นักปราชญ์ย่อม สรรเสริญ แม้เมื่อตายไปแล้ว บุคคลนั้นก็จะได้ไปบังเกิด ในสวรรค์ เสวยผลบุญแห่งความกตัญญูกตเวทีของตน" พระราชากบิลยักขราชได้ยินดังนั้นก็ชื่นชมโสมนัสตรัสกับ สุวรรณสามว่า "ท่านทำให้จิตใจและดวงตาของ ข้าพเจ้า สว่างไสว ข้าพเจ้ามองเห็นธรรม ต่อนี้ไป ข้าพเจ้าจะรักษาศีล จะบำเพ็ญกุศลกิจ จะไม่เบียด เบียนชีวิตสัตว์อีกแล้ว" ตรัสปฏิญญาณแล้วพระราชาก็ทรงขอขมาโทษที่ได้กระทำ ให้สุวรรณสามเดือดร้อน แล้วพระองค์ก็เสด็จ กลับพาราณสี ทรงปฏิบัติตามที่ได้ตรัสไว้ทุกประการจนตลอดพระชนม์ชีพ ฝ่ายสุวรรณสามก็เลี้ยงดูปรนนิบัติพ่อแม่ บำเพ็ญเพียรใน ทางธรรมเมื่อสิ้นชีพก็ได้ไปเกิดในพรหมโลก ร่วมกับพ่อแม่ ด้วยกุศลกรรมที่กระทำมาคือ ความเมตตากรุณาต่อมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลาย และความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา อันเป็นกุศลกรรมสูงสุดที่บุตรพึงกระทำต่อบิดามารดา 
 
คติธรรม : บำเพ็ญเมตตาบารมี
ว่าด้วยเรื่องของความมีเมตตาจิต ซึ่งจะทำให้ชีวิตสุขสงบได้โดยไร้ภยันอันตรายใดๆ ธรรมนั้นคือเกราะแก้วมิให้ถูกผู้ใดทำร้ายได้เป็นแน่แท้
ชาดกเอ่ยชื่อผู้ยิงสุวรรณสามว่า กบิลยักขราช เห็นมีเรียกต่างและเขียนกันต่างอยู่บ้าง ที่ถูกต้องน่าจะเป็นกบิลยักษ์หรือไม่?
สำหรับภาพประกอบเป็นตอนที่ท้าวกบิลยักขราช จูงมือพ่อแม่ของสุวรรณสามเพื่อไปพบศพลูก ไอ้ช่างซ่อมมันก็เขียนเติมหน้าตาเสียใหม่ ทำให้ได้เห็นถึงภูมิปัญญาของผู้ซ่อมว่ามันช่างไม่รู้เรื่องอะไรเสียเลยจริงๆ พ่อแม่สุวรรณสามท่านตาบอด แต่มันเขียนซะตาแป๋วเลย จะดูตอนนี้สวยๆให้ไปดูที่วัดสุวรรณารามได้


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 16 ก.ย. 11, 18:18
สำหรับเรื่องนกก็ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นครับ ในไตรภูมิพระร่วงกล่าวถึงนรกขุมนี้ไว้มีพูดถึงนกตระกรุมด้วย ส่วนจะเป็นตะกรุมหรือตะกราม มันก็น่าจะสายพันธุ์เดียวกันละมั้งครับ
 
สุนขะนรก เต็มไปด้วยสุนัขนรก ซึ่งมี 5 พวกคือ หมานรกดำ หมานรกเหลือง หมานรกแดง หมานรกต่างๆ และยังมีฝูงแร้งกา นกตะกรุม สัตว์นรกที่เกิดจะถูกสุนัข แร้ง กา ไล่ขบกัด ตรงลูกตา ปากและส่วนต่างๆ ได้รับทุกขเวทนาจากผลกรรมชั่วทางวจีทุจริต บุพกรรม คือ ด่าว่าบิดามารดา ปู่ย่าตายาย พี่ชายพี่สาวและญาติทั้งหลายไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเป็น ผู้เฒ่าผู้แก่ ตลอดจนพระภิกษุสงฆ์สามเณร
ดูจะเข้าเคล้า นี่แหละแสดงให้เห็นว่าผู้เขียนมีความรู้อย่างดีในการเขียนมิได้สักแต่วาดเท่านั้น


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 16 ก.ย. 11, 19:00
มาต่อตอนมโหสถชาดกต่อ จิตรกรรมฝาผนังตอนสุวรรณสามในสมัยรัตนโกสินทร์มักจะจับเอาตอนท้ายๆเรื่องมาเขียนเป็นจิตกรรมฝาผนัง จริงๆแล้วเรื่องมโหสถนี้หากเขียนทุกตอนคงเขียนได้ทั้งโบสถ์ทีเดียว ขอผู้เชี่ยวชาญเรื่องย่อความ อธิบายตอนนี้จากภาพจิตกรรมให้ด้วย เพื่อผู้ไม่รู้จะได้รู้


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 16 ก.ย. 11, 19:03
มาดูรายละเอียดแต่ละส่วนกัน


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 16 ก.ย. 11, 19:05
ต่อครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 16 ก.ย. 11, 19:13
บรรยากาศตอนนี้งดงามน้ำลายหกเลยครับ

๑. ชายชุดขาว ๔ คนมานั่งทำอะไรครับคุณยีนส์

๒. ภาพลายพื้นวาดลายกิ่งไม้ ใบไม้ได้งามมาก

๓. เล็งไว้เหมือนกันคือ โคมแก้วแขวน เขียนลายแบบฝรั่งได้สวยน้ำลายหกเลย

๔. ขอภาพบายศรีชั้นด้วยซิครับผม


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 16 ก.ย. 11, 20:14
ตอบคุณsiamese
ข้อ๑.กษัตริย์เมืองมิถิลา ทรงพระนามว่า พระเจ้าวิเทหราช ทรงมีนักปราชญ์ราชบัณฑิตประจำ ราชสำนัก 4 คน คือ เสนกะ ปุตกุสะ กามินท์ และ เทวินทะ .ในภาพที่นั่งอยู่ก็คือบัณฑิตทั้ง 4 ที่ภายหลังเกิดความอิจฉาริษยาแก่มโหสถค่อยเปาหูพระเจ้าวิเทหราชจนขับไล่มโหสถออกจากวัง ผมแปลกใจอยู่อย่างเดียวบัณฑิตทำไม่แต่งตัวเย่งนี้ เอาแบบอย่างมาจากไหนใครรู้บ้าง
ข้อ๒.เห็นด้วยครับ ถ้าไม่ซ่อมจะดีกว่านี้ ให้สังเกตที่ขบวนทัพจากกษัตริย์๑๐๑เมืองนั้น ช่างมิสามารถเขียนขบวนทัพได้ครบ มีการเขียนลงสีเป็นขบวนทัพม้าด้วยสีขาวตัวเล็กๆดูไกลออกไปแสดงว่าได้เริ่มรับอิทธิพลการวาดจากตะวันตกเข้ามาแล้ว(เขียนลีลาได้อย่างถูกต้อง มีชวิตชีวาทีเดียว)
ข้อ๓.ชอบเหมือนผมเลย
ข้อ๔.ขอมาก็จัดไป (cropมา)เพราะไม่ได้ถ่ายเจาะมา ลืม


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 16 ก.ย. 11, 21:18
ขอบคุณครับคุณยีนส์ สำหรับบายศรีที่งดงาม

จากบัณฑิตทั้ง ๔ ดูจากลักษณะเครื่องแต่งกายแล้ว เหมือนสวมเสื้อโปร่ง แบบเสื้อครุยเลยนะครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 17 ก.ย. 11, 11:15
ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดเขียน ก็มีการแต่งกายเช่นเดียวกันครับ แต่เป็นคนชราทั้ง ๔


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 17 ก.ย. 11, 12:54
วัดเขียนอ่างทองใช่มั๊ยครับคุณsiamese จริงๆแล้วก็ต้องแก่นะครับ เพราะเป็นมานานแล้ว มาดูกันต่อในตอนภูริทัตครับ ภาพตอนนี้ได้นำเสนอไปต้นกระทู้หลายภาพแล้ว แต่ยังมีที่สวยงามอีกหลายจุดอย่างเช่นการเขียนต้นไม้ การวางองค์ประกอบของภาพ เสียดายที่ตัวภาพถูกซ่อมไปจนเละเสียมาก ไม่อย่างนั้นผนังตอนนี้ซึ่งอยู่ด้านหน้าพระประธานจะงดงามหาที่ติ เชิญทัศนาเอาแล้วกันครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 17 ก.ย. 11, 12:56
ดูต่อ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 17 ก.ย. 11, 12:58
ต่อเลยครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 17 ก.ย. 11, 13:07
อีกครับ รูปสุดท้ายนี่จำได้ว่า ภาพหญิงชรา ช่วงบน และแม่อุ้มเด็กได้เคยถ่ายไว้ด้วยกล้องฟิล์มเมื่อ26ปีก่อน ยังสมบูรณกว่านี้ ยังเห็นเด็กยืนเอามือปาดน้ำตาอยู่ถ้าจำไม่ผิด ต้องไปหาต้นฉบับก่อน


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 17 ก.ย. 11, 13:10
ลีลาครุฑยุคนาค และปลาพ่นน้ำ ท่วงลีลางามสุด ๆ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 17 ก.ย. 11, 20:26
ต้องขออภัยที่มิได้โพสต์ต่อ โน๊ตบุ๊คกลับบ้านเก่า ต้องลาเอาไปซ่อมก่อน การ์ดจอเจ๊ง ข้อมูลก็อยู่ในนั้นหมดเลย กรรม


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 17 ก.ย. 11, 21:39
ต้องขออภัยที่มิได้โพสต์ต่อ โน๊ตบุ๊คกลับบ้านเก่า ต้องลาเอาไปซ่อมก่อน การ์ดจอเจ๊ง ข้อมูลก็อยู่ในนั้นหมดเลย กรรม

ขอให้ซ่อมได้โดยกู้ข้อมูลได้นะครับ ติดตามชมเสมอครับคุณยีนส์  ;)


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: :D :D ที่ 18 ก.ย. 11, 09:28
เอาใจช่วย ให้ซ่อมได้เร็วไวค่ะ... ;D


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: chounws ที่ 18 ก.ย. 11, 11:32
รายงานตัว ถึงจะไม่ได้โพสแต่ก็แวะเวียนเข้ามาชมมาอ่านเมื่อมีเวลา
เป็นกําลังใจให้กันเสมอ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 18 ก.ย. 11, 12:06
สวัสดีครับคุณ chounws ไม่ได้ทักทายกันนาน ยังทำเว็ปเผยแพร่จิตรกรรมฝาผนังอยู่รึเปล่า เห็นของเดิมเข้าไม่ได้แล้ว แล้วไปถ่ายวัดไหนมาบ้าง เอามาอวดกันบ้างซิครับ ตอนนี้ผมคงต้องหายไปจากเว็ปอีกแล้วครับ เพราะค่าซ่อมโน๊ตบุ๊คไม่มีปัญญาซ่อมครับ ชิปการ์ดจอเจ๊ง ค่าซ่อมกว่า5000บาท ซื้อโน๊ตบุคมือสองได้เลย ตอนนี้ทั้งชีวิตเหลืออยู่500 บาท ยังไม่พอเลี้ยงชีพเลยครับ หนี้สินล้นพ้นตัว บัดซบชีวิตตนเองเหลือเกินแล้ว ที่เข้าเว็ปได้ก็ไปยืมคนอื่นเค้าเล่น เพื่อมาบอกกล่าวครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: chounws ที่ 18 ก.ย. 11, 14:49
ขอบคุณที่คิดถึงกันครับ คุณ jean และทุกท่าน
ไม่ได้หายไปไหน เว็ปก็ยังอยู่ที่ลิงค์นี้ครับ www.pbase.com/chounws3
ตอนนี้ทั้งงานและครอบครัวมันรัดตัวมาก ไม่ค่อยได้ไปไหนไกลๆเลยไม่ค่อยมีอะไรมาลงให้ดูกัน แต่อย่างเคยเมื่อไรที่แวะไปที่เดิมๆแล้วมีความเปลี่ยนแปลงที่ต้องบันทึกไว้
ก็ยังเสนอให้ดูกันต่อในเว็ปข้างต้นครับ ถ้าต้องการภาพไปใช้งานเพื่อการส่งเสริมภาพเขียนฝาผนังบอกได้เลยนะครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: yutthana ที่ 20 ก.ย. 11, 10:13
ให้เจ้าหน้าที่คอมที่ทำงานผมดูให้ไหมละพี่   อาจจะไม่ต้องเสียเงินถึงห้าพัน  อย่างน้อยก็น่าจะกู้ข้อมูลได้บ้างครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 22 ก.ย. 11, 23:42
ซ่อมมาแล้วจากห้าพันเจอร้านใจดีเหลือพันห้า แต่ยังไม่มีตังค์จ่าย ต้องกู้เงินไปเอา กรรมจริงๆ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 24 ก.ย. 11, 21:05
เงียบเลยกระทู้เรา ตอนนี้เหล่าสมาชิกชมรมไปเล่นfacebookกันหมดแล้ว เลยต้องไปเล่นกับเค้าด้วย ที่นี่ก็เงียบเหงาจนแทบจะต้องปิดห้องอนุรักษ์จิตรกรมไทยแล้ว เพราะไม่มีใครโพสต์เลย วันนี้แวะมาอกระทู้ดูสักครั้ง ยังมีใครอยากดูอีกมั๊ย
มาดูกันต่อตอนจันกุมารครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 24 ก.ย. 11, 21:27
ผนังตอนจันทกุมารนี้ซ่อมซะเกือบหมดแต่ก็ยังมีจุดเล็กน้อยที่น่าชมครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 24 ก.ย. 11, 21:29
ดูซิครับ อย่าน้อยใจนะขอรับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 24 ก.ย. 11, 21:34
หวัดดีครับคุณsiameseเจ้าประจำที่ไม่ทอดทิ้งกัน แถมอีกรูปวันนี้


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 24 ก.ย. 11, 21:44
สวัสดีครับผม ภาพล้วนงามจับตามาก ลีลาขุนนางเสื้อผ้างดงามมาก


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 25 ก.ย. 11, 19:31
มาต่อตอนวิธูรบัณฑิตเลยครับ เป็นอีกตอนที่เสียดายมากที่ช่างซ่อมทำซะเละไม่อบ่างนั้นจะสวยมาก โดยเฉพาะสุมทุมพุ่มไม้จริงๆแล้วใบไม้ใบหญ้าเขียนแบบกระทบเส้น(ตัดเส้น)เป็นใบสอดสีให้ดูมีมิติ ไอ้คนซ้อมมันเล่นเอาแรงประกระทุ้งเป็นไม้พุ่มหมดทุกต้น อยากจะสาบแช่งพวกมันให้มือกุดจริงๆ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 25 ก.ย. 11, 19:38
ต่อครับ(ดูที่รูปสุดท้ายนะครับ จะเห็นพุ่มไม้ที่ชายสองคนยืนพิงคุยกันอยู่ยังหลงเหลือฝีมือเดิมอยู่เล็กน้อยจะเห็นการตัดเส้นใบไม้ที่งดงามเหลืออยู่


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 25 ก.ย. 11, 19:50
มาถึงตอนสุดท้ายแล้วครับพระเวสสันดร ก็ชมกันเอาเองละกันนะครับ ถ้าไม่มีซ่อมตอนนี้ก็จะสวยตอนนึงเลยครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 25 ก.ย. 11, 19:59
ต่อชุดสุดท้าย จบตอนครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 25 ก.ย. 11, 20:18
ลาไปด้วยรูปสุดท้าย ทวารบาลของบานหน้าต่าง จะสังเกตว่าสองข้างบานหน้าต่าง(เรียกว่าบานแผละ)จะผูกลายเขียนเป็นพันธุ์พฤกษาทั้งสองข้างงดงามนัก
ในฐานะของผู้โพสต์ผมได้แต่หวังว่าการโพสต์แต่ละครั้งจะมีคนสนใจเข้ามาชม ที่สำคัญอย่าชมเฉยๆน่าจะมีปฏิสัมพันธ์กันบ้าง เพื่อแลกเปลี่ยนทัศนคติหรือนำเสนออะไรต่อกันบ้าง อย่าไปคิดว่าไม่รู้ถามไปจะปล่อยไก่ ผมเองก็ไม่ได้รู้ไปทุกเรื่องอะไรที่ไม่รู้ก็ต้องไปศึกษาค้นคว้า เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นจะช่วยเป็นแรงใจให้ผู้นำเสนอยังเห็นว่ามีคนสนใจในสิ่งนี้อยู่ ตอนนี้สมาชิกของชมรมผมไปเล่นfacebookกันหมดแล้ว ตัวผมเองก็เพิ่งจะตามไปก็ได้เปิดโลกทรศนืไปอีกแบบวันี้ท่านอาจารย์สันติ เล็กสุขุมยังได้รับแอดเป็นเพื่อนกันในfacebookรู้สึกภูมิใจที่ท่านอาจารย์ท่านให้เกียรติและยินดีให้คำปรึกษา เพราะท่านที่เป็นผู้เชียวชาญทางศิลปะไทยท่านนึงในปัจจุบันทีเดียว ใครอยากพูดคุยกันในfacebookผมใช้ชื่อว่า"ผนังเก่าเล่าเรื่อง"แอดfacebookได้ที่http://www.facebook.com/#!/ryuguza17 ครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 26 ก.ย. 11, 11:07
สงสัยบ่นมากไปเลยไม่มีใครเข้ามาดูเลย ขี่ม้าไปเที่ยวที่อื่นดีกว่า อิอิ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 26 ก.ย. 11, 11:22
เข้ามาดูอยู่เสมอ

ขอถามว่าถึงวิธีเขียนภาพฝาผนังในสมัยโบราณว่าก่อนเขียนภาพเขาต้องมีการเตรียมพื้นผนังอย่างไรบ้างหรือไม่

สีต่าง ๆ ที่ใช้ได้มาจากวัสดุธรรมชาติอะไรบ้าง โดยเฉพาะสีทองมาจากอะไร

 ;D


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 26 ก.ย. 11, 12:59
การที่จะเขียนภาพจิตรกรรมไทยบนฝาผนัง อันได้แก่ฝาผนังพระที่นั่ง พระอุโบสถ พระระเบียง พระวิหาร หอไตร หอพระ หรือบานประตู หน้าต่าง ฯลฯ
ก่อนที่จะทำการเขียนภาพจิตรกรรมไทยบนฝาผนังนั้น ท่านบรมครูสมัยดั้งเดิม ท่านได้มีแบบแผนและกรรมวิธี ในทางปฏิบัติที่ใช้สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ โดยท่านบรมครูได้จัดเตรียมความพร้อมไว้ ๔ ประการคือ
๑. การเตรียมพื้นที่
๒. การเตรียมอุปกรณ์และวัสดุที่จะใช้เขียน
๓. การเตรียมภาพ(แนวคิด มโนภาพ และจินตนาการ)
๔. ลงยางมะเดื่อปิดทอง ซึ่งหลักปฎิบัติทั้ง ๔ ประการนี้ จะได้แยกอธิบายเป็นข้อๆดังต่อไปนี้
๑.การเตรียมพื้นที่
ก. พื้นฝาผนังโดยปกติแล้วจะต้องมีฝุ่นละอองจับอยู่ จำเป็นจะต้องทำการขจัดฝุ่นออกให้หมดเสียก่อน
ข.ใช้น้ำใบขี้เหล็กทาพื้นฝาผนังเพื่อฆ่าความเค็มของปูนเสียก่อน น้ำใบขี้เหล็กที่จะใชัทาพื้นผนังนั้น ก็โดยการนำเอาใบขี้เหล็กสดมาใส่ครกตำให้ละเอียด แล้วเอามาผสมน้ำที่เตรียมไว้ ใช้มือคนให้ทั่วเพื่อให้น้ำขี้เหล็กผสมกับน้ำ แล้วใช้ผ้ากรองแยกกากใบขี้เหล็กออก เอามือบีบคั้นจนน้ำขี้เหล็กออกจนหมด เมื่อได้น้ำใบขี้เหล็กแล้ว ก็เอาไปทาพื้นผนังที่จะเขียนภาพให้ทั่ว ถ้าจะให้ดีจริงๆ ควรทาหลายๆครั้ง
ค. การพิสูจน์ความเค็มของปูน ฝาผนังที่เราทาน้ำขี้เหล็กแห้งสนิทดีแล้ว เราต้องการทราบว่าผนังปูนหมดความเค็มหรือยัง เราก็ใช้ขมิ้นชันสดทดลองขีดบนผนังที่ทาน้ำขี้เหล็กไว้ดู ถ้าปรากฏเป็นสีแดง ก็แสดงว่าผนังปูนยังมีความเค็มอยู่ เพื่อให้ความเค็มของปูนหมดไป ก็ต้องใช้น้ำขี้เหล็กทาทับลงไปอีก เมื่อรอให้แห้งสนิทดีแล้ว ก็ใช้ขมิ้นทดลองขีดดูอีก ถ้ารอยขีดของขมิ้นไม่เป็นสีแดง คือเป็นสีเหลืองของขมิ้นก็แสดงให้ทราบว่า พื้นผนังนั้นปูนหมดความเค็มแล้ว ก็เป็นอันใช้เขียนภาพได้ แต่ถ้าหากใช้ขมิ้นขีดแล้ว ยังเป็นสีแดงอยู่ ก็ต้องใช้น้ำขี้เหล็กทาทับลงไปอีก และทดลองจนเห็นว่าไม่เป็นสีแดงจึงจะใช้ได้ดังได้กล่าวมาแล้ว
เมื่อเตรียมพื้นได้เรียบร้อยแล้ว ในขั้นเตรียมการต่อไปก็คือ ทาพื้นด้วยดินสอพองเกรอะอีกครั้งหนึ่ง การทำน้ำดินสอพองเกรอะ มีดังนี้..
นำดินสอพองมาแช่น้ำให้ละลายไว้ในภาชนะ เก็บเศษผงทิ้ง และวางทิ้งไว้ให้ดินสอพองนอนก้น เอาเมล็ดมะขามมาคั่วพอให้เปลือกกระเทาะร่อนออก แล้วนำเอาเมล็ดมะขามคั่ว(มะขามต้องเป็นมะขามเปรี้ยวห้ามใช้มะขามหวาน)ที่กระเทาะเปลือกออกหมดแล้ว ใส่กระทะใส่น้ำ นำไปต้มเคี่ยวจนเมล็ดมะขามเปื่อย เป็นแป้งเปียกเหลว แล้วยกลงจากเตา เอาดินสอพองที่ละลายน้ำไว้และทิ้งให้นอนก้น นำมารินน้ำทิ้งจนเกือบหมด แล้วจึงเทใส่ในภาชนะเมล็ดมะขามที่เคี่ยวไว้ ทำการกวนดินสอพองกับเนื้อเมล็ดมะขามให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ให้มีความข้นเท่ากับสีน้ำพล้าสติกที่ผสมน้ำที่จะใช้ทา
เอาดินสอพองผสมเมล็ดมะขามนี้ ไปทากับพื้นที่ทาน้ำขี้เหล็กซึ่งพิสูจน์แล้วว่าหมดความเค็ม โดยใช้แปรงทาสีจุ่มทาให้ทั่ว ( อย่าให้หนาเกินไป ) ( ทาได้ทั้งผนังปูน และบานประตู บานหน้าต่าง ) ทาเสร็จแล้วปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง จึงใช้กระดาษทรายชนิดละเอียดขัดพอหน้าพื้นเรียบเสมอกัน(โบราณจะใช้หอยเบี้ยตัวใหญ่กรวดผนังเอาเพื่อให้เนื้อผนังแน่น) เมื่อขัดพื้นเรียบร้อยแล้วก็ปัดฝุ่นที่ขัดออกให้หมด แล้วจึงใช้สีฝุ่นขาวทา เป็นสีรองพื้นให้ทั่วอีกครั้งหนึ่ง เป็นการเตรียมพื้นฝาผนัง ที่จะใช้เขียนเรียบร้อยสมบูรณ์ตามกรรมวิธีดั้งเดิม
๒. เตรียมอุปกรณ์และวัสดุที่จะใช้เขียน
อุปกรณ์และวัสดุต่างๆ ที่ประกอบการใช้เขียนภาพจิตรกรรมไทยนั้น ในโบราณกาลท่านบรมครูจะประดิษฐ์อุปกรณ์ขึ้นมาจากธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่
ก. ภู่กันที่จะใช้ก็ทำจากขนหูวัว ขนหางม้า หนวดหนู
เทียบกับภู่กันปัจจุบันก็เบอร์๐-๑-๒
ข. ครามสำหรับใส่ลูกประคบ ใช้ตบตามรอยปรุของภาพร่าง
ค. ดินสอพองเผาไฟบดละเอียด ใส่ลูกประคบใช้ตบบนพื้นสีที่มีความมืดหรือสีทึบ
ง. ภู่กันที่ทำจากเปลือกกระดังงาหรือรากลำเจียกทุบไว้
เขียนตวัดปลายเป็นใบหญ้าได้หลายใบหรือประกระทุ้งเป็นพุ่มไม้
กฏของการปฏิบัติการเขียนภาพจิตรกรรมไทยมีดังนี้คือ ระบาย ขีด จิ้ม ทิ่ม ตัด และแต่ละข้อก็แยกความหมาย ให้เห็นเด่นชัดดังนี้
๑. ส่วนระบาย ได้แก่ พื้นดิน น้ำ ท้องฟ้า ภูเขา โขดหิน และพุ่มไม้ที่อยู่ไกลออกไปเป็นชั้นๆ
๒. ส่วนขีด ได้แก่ ใบไม้ หรือหญ้า กิ่งไม้ ใบมะพร้าว ( แบ๊คกราวน์ )
๓.ส่วนจิ้ม ได้แก่ พุ่มไม้ ใบไม้ ใบหญ้า ที่อยู่ตอนกลาง ( มิดเดิลกราวน์ ชั้นที่ ๒ )
๔.ส่วนทิ่ม หรือกระทุ้ง ได้แก่ พุ่มของใบไม้ที่อยู่ใกล้เข้ามาอีกหน่อย เพื่อให้เห็นใบไม้ชัดเจนขึ้นพอประมาณ ( มิดเดิลกราวน์ ชั้นที่ ๑ )
๕. ส่วนตัด ได้แก่ การตัดเส้นใบไม้ให้ชัดเจน โขดหิน หรืออื่นๆ ที่อยู่ใกล้ที่สุด ( โฟร์กราวน์)
สำหรับสีโบราณท่านประดิษฐ์จากวัสดุธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ขออธิบายเพียงคร่าวๆดังนี้
-สีดินแดง ก็เกิดจากดินแดงที่มีอยู่ตามธรรมชาติ
-สีแดงชาด(สีแดงสด)เป็นสีที่เชื่อกันว่าทำมาจากเมล็ดหรือก้านชาดหรคุณ ส่วนใหญ่ที่ใช้กันเป็นสีสำเร็จที่นำเข้าจากเมืองจีนมีชื่อเรียกต่างกันออกไปเช่นชาดจอแส ชาดอ้ายมุ้ย
-สีเหลืองรงค์ เป็นสีที่ได้จากยางไม้ชนิดนึงที่เรียกว่าต้นรงค์(คำว่ารงค์นี้โบราณใช้แทนคำว่าสีเช่นคำว่าเบญจรงค์ก็คือ”ห้าสี”
-สีเหลืองหรดาลหน เป็นสีที่เกิดจากออกไซด์ของปรอท ที่ทำปกิริยารวมกับกำมะถนละลายในความร้อน มีลักษณะเป็นก้อนๆนำมาบดเป็นฝุ่น
-สีคราม เป็นสีที่ได้จากต้นครามเอามาตำครั้นเอาน้ำเอาน้ำมากรองเอาส่วนที่เป็นเนื้อสีแล้วเกรอะให้แห้งแล้วป่นเป็นสี
-สีขาว มีหลายขาวเช่นขาวฝุ่นเป็นสีที่ได้จากออกไวด์ของตะกั่ว สีขาวกระบัง เป็นสีที่ทำจากดินขาว สีปูนขาวทำจากเปลือกหอย
-สีดำ ได้มาจากเขม่าควันไฟที่เกิดจากการเผาไหม้ สีดำที่ได้จากถ่านที่เอากระดูกสัตว์มาเผาแล้วนำไปบดเป็นฝุ่นผง โดยเฉพาะถ้าเป็นถ่านที่ได้จากการเผางาช้างเชื่อกันว่าเป็นสีชั้นดีเยี่ยมที่สุด
สำหรับสีทอง โบราณท่านใช้ทองคำเปลว(ทองคำแท้ที่ใช้ปิดองค์พระโดยส่วนที่จพปิดทองจะซับหนุน(ภาษาช่าง)ด้วยสีรงค์หรือชาดเพื่อให้ทองดูสกมากขึ้นก่อนจะปิดทองจะใช้ยางมะเดื่อ(ได้จากกรีดยางจากต้นมะเดื่อ)มาระบายทับตรงสีที่วับหนุนไว้รอจนแห้งหมาดๆแล้วจึงปิดทองแล้วกระทบเส้นลายด้วยสีชาดและตกแต่งลวดวายด้วยสีอื่นแล้วแต่เรื่องราวแต่ละตอน
ข้อมูลนี้เป็นการอธิบายอย่างคร่าวๆหากต้องการข้อมูลที่ละเอียดกว่านี้มากให้ไปหาอ่านจากหนังสือจิตรกรรมไทย ของสมชาติ มณีโชติ สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์ครับ



กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 26 ก.ย. 11, 14:08
ขอบพระคุณคุณยีนมาก สำหรับความรู้เรื่องการเขียนภาพจิตรกรรมไทยบนฝาผนัง

คุณยีนพอจะทราบไหมว่าการเขียนจิตรกรรมแบบฝรั่งบนฝาผนังโดยเฉพาะการเตรียมพื้นผนังที่จะวาด มีความเหมือนหรือต่างกับแบบของไทยอย่างไรบ้าง

 ???


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 26 ก.ย. 11, 14:49
การเขียนภาพจิตรกรรมแบบฝรั่งนิยมเขียนภาพแบบปูนเปียก(fressco)
จิตรกรรมฝาผนังปูนเปียก (Fresco) คืออะไร  จิตรกรรมฝาผนัง (ภาษาอังกฤษ: Fresco) คือภาพเขียนหลายชนิดที่เขียนบนปูนบนผนังหรือเพดาน คำว่า “fresco” มาจากภาษาอิตาลี “affresco” ซึ่งมาจากคำว่า “fresco” หรือ “สด” รากศัพท์มาจากภาษาเยอรมนี

คุณลักษณะพิเศษของจิตรกรรมฝาผนังปูนเปียก  มีลักษณะพิเศษทีความคงติดแน่น สามารถคงความสดใสของสีอยู่ได้นับเป็น พันๆปี สีจะฝังลงใต้พื้นปูน เป็นเนื้อเดียวกับปูน แต่ก็เป็นเทคนิคที่ทำได้ยาก เพราะต้องทำงานในขณะที่ปูนยังเปียกอยู่ เวลาที่ใช้ในการทำงานอาจจะอยู่ที่ระหว่าง 6-8 ชั่วโมงงทนิดีความนังปูนเปียก

จิตรกรรมฝาผนังปูนเปียก ในประเทศไทยชิ้นแรกเท่าทีทราบ น่าจะเกิดขึ้นสมัยอยุธยาตอนต้น ภาพเขียนบนผนังกรุใต้ปรางค์วัดราชบุรณะ สร้างในสมัยอยุธยา เป็นเทคนิค Fresco สีสันยังคงสดใสอยู่ครบถ้วน แต่เป็นงานเขียนที่หยาบใช้เวลาสั้นๆในการเขียน ปัจจุบันมีงานจิตรกรรมที่เขียนด้วยเทคนิค Fresco ที่พอจะหาดูได้ที่ ภายในโดมพระที่นั่งอนันตสมาคม เขียนโดยจิตกรอิตาเลี่ยน หรือที่วัดราชาธิราช บนผนังพระอุโบสถ เป็นเรื่องพระเวสสันดรชาดกทั้ง4 ผนัง โดยจิตรกรอิตาเลี่ยนชื่อ ซี.ริโกลี  ถึงแม้ว่าเทคนิค Fresco จะเคยมีการใช้ในประเทศไทยมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้นแล้ว แต่ก็ไม่เป็นที่แพร่หลายในงานจิตรกรรมฝาผนังของไทย เนื่องจากงานจิตรกรรมฝาผนังของไทยมีความละเอียดอ่อนเน้นการตัดเส้นและปิดทอง จึงต้องใช้เวลามากในการเขียนแต่ละส่วน โดยเฉพาะการปิดทองตัดเส้นซึ่งไม่สามารถทำได้ในขณะที่ยังมีความชื้นอยู่ งานจิตรกรรมฝาผนังของไทยจึงนิยมใช้เทคนิคปูนแห้ง ซึ่งไม่มีเวลาจำกัดในการทำงานและเหมาะสมกับรูปแบบของงานจิตรกรรมไทย

 

 

เทคนิคปูนเปียก (Fresco) กับงานจิตรกรรมไทย  งานจิตรกรรมฝาผนังของไทยใช้เทคนิคปูนแห้งหรือ Secco  และเป็นที่แพร่หลายนิยมใช้ในหมู่ช่างจิตรกรรมไทยแต่ในอดีต  ช่างไทยพิถีพิถันกับการเตรียมพื้นผนังตามกรรมวิธีโบราณ  สีจึงติดแน่นคงทน แต่เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในแถบร้อนชื้น จึงทำให้ความชื้นจากพื้นดินขึ้นมาทำลายความสามารถในการยึดเกาะของวัสดุ  แร่ธาตุต่างๆในผนังก็เกิดปฏิกิริยาแปรสภาพได้ง่าย เนื่องจาก

การเตรียมผนังและการเขียนแบบวิธีโบราณ ด้วยสีฝุ่นผสมกาว การบดสีฝุ่นให้ละเอียดเนียน จนแทรกเข้าไปในเนื้อผนัง ไม่เขียนหยาบหนา ทับกันจนทำให้แตกร่อนได้ในเวลาอันรวดเร็ว

แต่ช่างสมัยปัจจุบันไม่นิยมใช้วิธีโบราณในการเขียนจิตรกรรมฝาผนัง หลายคนใช้สีอคลายลิก ที่มีความสามารถในการยึดเกาะได้ดี แต่ในระยะเวลายาวนานออกไปจะสามารถทนกับความชื้นใต้ผนังหรือไม่ ยังคงต้องรอการพิสูจน์กันต่อไป ในปัจจุบันช่างที่มีประสบการณ์ และมีโอกาสที่จะร่วมออกแบบโบสถ์ หรืออาคารที่จะเขียนงานจิตรกรรมก็จะหาวิธียกพื้นตัดความชื้นต่างๆเพื่อตัดปัญหาความชื้นในผนังที่ขึ้นมาจากพื้นดิน

วิธีการเตรียมพื้นจิตรกรรมฝาผนังปูนเปียก(Fresco)  เทคนิคปูนเปียกจะต้องมีการเตรียมปูนเพื่อใช้ในการฉาบ ใช้ทรายที่ร่อนไว้แล้วนำมาล้างหลายครั้งให้สะอาด ก่อนนำมาผสมปูน ใช้ปูนผสมทรายในสัดส่วน 1:1 ผสมน้ำ หมักทิ้งไว้ ใช้ปูนที่ผสมไว้ฉาบชั้นแรกเพื่อปรับระดับความขรุขระและอุดรูต่างๆบนผนัง ทิ้งไว้ให้แห้ง ทำการฉาบชั้นกลาง ในชั้นนี้ควรฉาบกดให้แน่น ทิ้งไว้ให้หมาด ในชั้นนี้จะต้องร่างแบบบนกระดาษ(Cartoone)แล้วปรุกระดาษตามรอยร่างภาพ ตบด้วยฝุ่น เพื่อการกำหนดพื้นที่งานที่จะสามารถทำเสร็จได้ในเวลา 6-8 ชั่วโมง ในชั้นสุดท้ายจะเป็นการฉาบเฉพาะที่จะทำการเขียน โดยการร่างแบบบนกระดาษ(Cartoone) แล้วปรุกระดาษตามรอยร่างภาพ ตบด้วยฝุ่นอีกครั้ง ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง ก็จะเริ่มเขียนได้ และต้องเขียนให้เส็รจ ก่อนปูนแห้งในเวลาประมาณ 6-8 ชั่วโมง

วิธีการเตรียมพื้นงานจิตรกรรมฝาผนังปูนแห้งแบบไทย(Secco)  เทคนิคปูนแห้งของไทย การผสมปูนฉาบแบบโบราณ มีส่วนผสมอยู่ด้วยกัน 7 ชนิด 1.กาวทำด้วยหนังควายหรือวัว เอามาเผาไฟแล้วต้มจนเหนียว 2. น้ำแช่เถาหัวด้วน เอามาแช่น้ำจะเป็นยางเหนียว หรือว่านหางจระเข้ 3. ต้นบง ถากเอาเปลือกแช่น้า 4. เปลือกประดู่แช่น้ำ 5. ปูนขาว 6. ทราย 7. น้ำอ้อย น้ำอ้อยต้องเคี่ยวให้เหนียวเป็นน้ำเชื่อมก่อน เอาส่วนผสมทั้งหมดรวมกันซักครึ่งตุ่มแล้วใส่น้ำให้เต็มตุ่มแช่เอาไว้ หมักไว้ยิ่งนานยิ่งดี แล้วจึงนำมาฉาบ ก่อนจะเขียนก็ต้องล้างผนังให้จืดเสียก่อน โดยใช้น้ำต้มใบขี้เหล็กมาประสะล้างผนังหลายๆครั้ง จนกว่าผนังจะหมดความเค็ม มีวิธีพิสูจน์ความเค็มของผนังโดยเอาหัวขมิ้นขีดลงบนผนังถ้ามีปฏิกิริยาเป็นสีแดงแสดงว่าผนังยังเค็มอยู่ ขั้นต่อไปให้นำเลือดหมูมาทาบนผนังเพื่ออุดรูพรุนแล้วขัดให้เรียบ แล้วจึงจะเขียนได้

ทางออกของจิตรกรรมฝาผนังไทยด้วยเทคนิคปูนเปียกกับปูนแห้ง  เทคนิคปูนเปียกมีจุดเด่นที่ความคงทนและการยึดเกาะของสี เมื่อปูนแห้งแล้วสีที่เขียนในขณะปูนยังเปียกอยู่จะกลายเป็นเนื้อเดียวกับปูน เหมือนกับสีของหินอ่อน ไม่ละลายน้ำ สีมีความสดใส มีอายุยืนยาวนับเป็นพันๆปี แต่ก็มีข้อจำกัดทางด้านเทคนิคในการเขียน  เทคนิคปูนเปียกต้องเขียนในขณะที่ปูนยังคงมีชีวิตอยู่ซึ่งมีเวลาเพียง 6-8 ชั่วโมงเท่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพพื้น ความหนาของปูนฉาบ และสภาพห้องหรือบริเวณที่เขียน หลังจากนั้นสีจะไม่สามารถเข้าไปอยู่ในเนื้อปูนได้ การเขียนเพิ่มเติมลงไปเมื่อปูนแห้งแล้วสีจะติดอยู่เพียงผิวหน้าของปูนเท่านั้น เมื่อถูกน้ำก็จะหลุดล่อนออกไม่คงทน แต่บางครั้งก็มีการเขียนเพิ่มเติมเพื่อแต่งรอยต่อต่างๆให้ภาพสมบูรณ์กลมกลืน การแบ่งพื้นที่ในการเขียนแต่ละครั้งก็สำคัญ ในการแบ่งพื้นที่สำหรับการเขียนงานจิตรกรรมแบบไทยก็ต้องมีความเหมาะสม เทคนิคปูนแห้งเป็นเทคนิคที่ทำให้สามารถเพิ่มเติมรายละเอียดตัดเส้นเพิ่มลวดลายประดับต่างๆ ทำให้ภาพจิตรกรรมไทยมีความละเอียดงดงาม น่าจะมีการนำข้อดีของทั้งสองแบบมาผสมผสานเป็นงานจิตรกรรมฝาผนังที่มีความคงทนถาวรและสามารถเขียนรายละเอียดตามแบบงานจิตรกรรมของไทยได้  เพราะไม่อยากเห็นงานจิตรกรรมฝาผนังที่มีการซ่อมและเขียนใหม่กันหลายครั้งมากแต่ก็ยังคงทรุดโทรมพังทลาย ด้วยความชื้น ความเค็ม และอุณหภูมิอยู่เสมอ เช่นวัดพระแก้วในปัจจุบัน ผนังวัดพระแก้วดูเหมือนจะเป็นพื้นรองรับศิลปินที่มีโอกาสเข้าไปเขียนใหม่ เขียนซ่อม วนเวียนกันอยู่เช่นนี้หลายครั้งมาก ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจก็ไม่ทราบได้ แต่เท่าที่ทราบจิตรกรรมฝาผนังในวัดพระแก้วยังไม่ได้แก้ปัญหาที่ตรงจุด ปัญหาความชื้นในผนังก็คงต้องหาช่องระบายความชื้นออกมา ปัญหาความเค็ม  อาจารย์ น. ณ ปากน้ำ เคยสันนิษฐานไว้ว่ามาจากการใช้กาวหนังควายที่มีความเค็มในตัวกาว ผสมสีเขียนในขณะนั้นเนื่องจากหาได้ง่ายและเป็นที่นิยมใช้กัน ให้สังเกตภาพผนังระเบียงวัดพระแก้ว มีรอยกะเทาะ ล่อน บางทีก็ชื้นเห็นรอยคราบสีเข้มเป็นย่อมๆ รวมทั้งคราบเชื้อรา ก็คงจะต้องปรับพื้นผนังใหม่ให้ถูกวิธี มิฉะนั้นก็ยังคงทิ้งปัญหาไว้ใต้ผนังเช่นเดิม สุดท้ายก็อยู่ที่วิธีเขียน การเขียนที่ผิดวิธี ใช้สีที่ไม่ถูกต้อง การผสมกาวที่ไม่ถูกต้อง ล้วนเป็นส่วนสำคัญของปัญหา และเป็นปัญหาที่รอการแก้ไขที่จะทำให้เราต้องมาช่วยกันรักษางานจิตรกรรมฝาผนังของไทย ให้มีอายุยืนนาน ไว้ให้ลูกให้หลานได้ชื่นชมกันต่อไป
ข้อมูลจาก http://ffa.bpi.ac.th/bk/fresso/fressco.htm

 รูปประกอบรูปแรกจากกรุพระปางค์วัดราชบูรณะอยุธยา
 รูปที่สองThe last Supper ฝีมือ ลีโอนาโดดาวินซี



กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 26 ก.ย. 11, 14:58
ได้ความรู้มากจริง ๆ

ขอบพระคุณคุณยีนอีกครั้ง สำหรับความรู้เรื่องจิตรกรรมฝาผนังทั้งของไทยและของฝรั่ง

 ;D


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 26 ก.ย. 11, 15:11
มีท่านใดสนใจอีกก็เข้ามาพูดคุยกันครับ ตอบได้เท่าที่รู้


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 26 ก.ย. 11, 19:02
ขอบพระคุณคุณยีนส์มาก ๆ ครับ ติดตามชมอยู่เสมอครับ โครงการต่อไปจะไปถ่ายภาพที่วัดใดหรือครับ

ช่วงนี้น้ำท่วมหนักและสูง ไม่รู้ว่าวัดที่มีจิตรกรรมจะโดนน้ำท่วมไปบ้างหรือเปล่า ยังมีอีกวัดหนึ่งเป็นจิตรกรรมกรรมฝาผนังแบบลอยตัวครับ  :D


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 26 ก.ย. 11, 23:38
ผมก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกันครับว่าจะมีวัดใดที่น้ำท่วม ตอนนี้น่าจะที่อุทัยธานีนี่แหละน่าจะโดน วันนี้ก็ท่วมหนักที่ลพบุรี ตอนนี้ทรัพย์จางเหลือเกินครับ อยากจะเข้าไปที่วัดเวฬุราชินเพราะสมัยเรียนเคยเข้าไปแล้วเห็นว่าเขียนซ่อมซะเยอะเลยไม่สนใจจะถ่าย อาจเป็นด้วยความที่ยังไม่ค่อยประสีประสาต้องกลับไปดูอีกครั้ง แต่ยังไม่มีงบไปเลยครับ ตอนนี้สมาชิกชมรมผมไปเล่นfacebookกันหมดไม่แวะมานี้แล้วผมก็ตามไปเล่นแต่มันโพสต์ไม่ได้เนื้อหาแบบที่นี่ ผมก็คงไม่ทิ้งที่นี่ไปไหนครับ ตอนนี้มีโครงการทำหนังสือสักเล่มเกี่ยวกับจิตรกรรมฝาผนังชื่อหนังสือว่า "ผนังเก่าเล่าเรื่อง" เป็นการนำเสนอภาพจิตรกรรมในที่ต่างๆเน้นที่ไม่ค่อยแพร่หลายหรือที่สูญสลายไปแล้วแต่เรามีหลักฐานภาพถ่ายอยู่แล้วประกอบเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย แต่ก็ไม่รู้จะเสร็จเมื่อไหร่ อีกเล่มที่อยากทำก็คือ "เรียนรู้จากครูช่างไทย"เป็นการนำเสนอรายละเอียดของลักษณะหลักของภาพไทยที่ประกอบไปด้วย กนก นารี กระบี่ คชะเพื่อเป็นแบบอย่างในการเรียนรู้ของช่างเขียนในปัจจุบัน
ก้ไม่รู้จะสำเร็จหรือไม่ เพราะตอนนี้ที่ต้องการคือกำลังใจและกำลังเงินครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: chounws ที่ 29 ก.ย. 11, 07:32
รายงานตัวว่าแวะมาอ่านสม่ำเสมอครับ (เบื่อ facebook แล้ว)
อย่างที่เคยกล่าวไว้ว่า ด้วยภูมิรู้ทั้งสามด้าน
ประวัติที่มาและเบื้องลึกของภาพเขียนฯ
วิธีการเขียนฯ
มุมมองเชิงศิลป์ของภาพเขียนฯ
คุณ jean ออกหนังสือดีๆได้สบายเลยครับ ผมสนับสนุนภาพประกอบให้ถ้าจะทำ
และทางที่ดีทำเป็นภาษาอังกฤษด้วยจะได้ขายได้มากๆขึ้น
อย่าท้อนะครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 29 ก.ย. 11, 08:53
ก้ไม่รู้จะสำเร็จหรือไม่ เพราะตอนนี้ที่ต้องการคือกำลังใจและกำลังเงินครับ

เป็นกำลังใจให้คุณยีนเสมอ

กำลังใจ - โฮป

ในยามที่ท้อแท้ ขอเพียงแค่คนหนึ่ง จะคิดถึง และคอยห่วงใย
ในยามที่ชีวิต หม่นหมองร้องไห้ ขอเพียงมีใคร ปลอบใจ สักคน

ในวันที่โลกร้าง ความหวังให้วาด มันขาดมันหาย ใครจะช่วยเติม
เพิ่มพลังใจ ให้ฉันได้เริ่ม ต่อสู้อีกครั้ง บนหนทางไกล

กำลังใจ จากใครหนอ ขอเป็นทาน ให้ฝันให้ใฝ่
ให้ชีวิต ได้มีแรงใจ ให้ดวงใจ ลุกโชนความหวัง

กำลังใจ จากใครหนอ ขอเป็นทาน ให้ฉันได้ไหม
ดั่งหยาดฝน บนฟากฟ้าไกล ที่หยาดริน สู่พื้น ดินแห้งผาก

http://www.youtube.com/watch?v=GqDSEQGiH3c&feature=related

 ;D


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: หัวโบราณ ที่ 30 ก.ย. 11, 11:11
แฮะ ๆ
ขอบมากครับพี่ jean1966 ผมเข้ามาอ่านประจำความรู้ทั้งนั้น  นำไปใช้งานได้ด้วย  สู้ๆครับพี่

เรื่องน้ำท่วม  ที่น่าเป็นห่วงสุดน่าจะเป็นที่วัดอุโบสถ  อุทัยธานี  เพราะเห็ในข่าวท่วมค่อนข้างหนักเลย

ไม่ทราบว่าแนวทางในการอนุรักษณ์จิตรกรรมที่ถูกน้ำท่วมแบบยี้เราจะทำยังงัยให้ถูกวิธีดีครับ

เพราะว่าคงจะยากที่จะทำการรักษาแบบทั่วไป   



กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 30 ก.ย. 11, 21:38
สวัสดีครับคุณหัวโบราณ คงเป็นสมาชิกใหม่ที่นี่ การซ่อมจิตรกรรมหลังน้ำท่วมคงต้องไปถามกองอนุรักษ์กรมศิลป์ แต่โดยความเห็นส่วนตัว คงต้องรอให้น้ำลดแล้วดูสภาพของสถานที่ก่อน ถ้าน้ำทวมถึงตัวจิตรกรรมก็คงต้องทำความสะอาดไล่ความชื้น วึ่งขั้นตอนมันมากมายนะครับ คงไม่อธิบาย แต่ผมคาดว่าสวนทีท่วมจะเป็นสวนพื้นถึงใต้หน้าต่างไม่ถึงส่วนจิตรกรรม วันนี้ได้มีโอกาศเข้าไปถ่ายภาพจิตรกรรมที่วัดไชยทิศ บางขุนนนท์มา มีใครอยากชมบ้างครับ ลงตัวอย่างให้ดูก่อน ซาวด์เสียงดูสมาชิกที่สนใจ เพราะเหนือยกับการถ่ายภาพครั้งนี้มาก


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 30 ก.ย. 11, 21:55
 ;D


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 01 ต.ค. 11, 15:15
เผอิญพบว่า คุณลักษม์-รามเคยตั้งกระทู้วัดไชยทิศไปแล้ว แล้วเนื้อหาและภาพก็หลากหลายอยู่แล้ว จริงขอไม่เอามาโพสตซ้ำนะครับ ต้องขอโทษทุกท่านทีรอ ลองกลับไปอ่านดดูนะครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: janthip ที่ 01 ต.ค. 11, 19:36
เป็นกำลังใจให้มากมายค่ะ ;)


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 01 ต.ค. 11, 21:20
เผอิญพบว่า คุณลักษม์-รามเคยตั้งกระทู้วัดไชยทิศไปแล้ว แล้วเนื้อหาและภาพก็หลากหลายอยู่แล้ว จริงขอไม่เอามาโพสตซ้ำนะครับ ต้องขอโทษทุกท่านทีรอ ลองกลับไปอ่านดดูนะครับ

นำทางไปวัดไชยทิศ บางขุนนนท์

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3459.0

เห็นคุณยีนว่าภาพนี้เป็นต้นฉบับฟิล์มเมื่อ ๒๕ ปีที่แล้ว

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=3459.0;attach=13008;image)

เทียบกับที่บูรณะแล้วเป็นอย่างไรบ้าง

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=4749.0;attach=25148;image)

 ;D


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 01 ต.ค. 11, 22:18
ติดตามอยู่เสมอครับคุณยีนส์


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 01 ต.ค. 11, 22:32
มากันดึกครับวันนี้ หวัดดีคุณเพ็ญและคุณสยามครับ ใช่ครับรูปนั้นเมื่26ปีกว่าแล้วครับปัจจุบันตั้งแต่ปี2527โน่น วัดไชยทิศนี้อนุรักษ์มาหลายครั้งแล้ว


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 01 ต.ค. 11, 22:39
แน่นอนครับ ภาพจิตรกรรมอย่างโบราณย่อมมีอารมณ์ ลายเส้นซึ้งตากว่าการซ่อมในสมัยปัจจุบันกว่าอย่างมาก

อยากเรียนถามสักนิดว่า เมื่อครั้งก่อนคุณยีนส์ได้กล่าวถึงการเตรียมผนังสำหรับการวาด แต่อยากทราบต่อว่า

๑. หลักการวาดของช่างไทยนั้นกำหนดสเกลขึ้นไปบนผนังได้อย่างไร ว่าจะเล็ก จะใหญ่ (มีการร่างภาพในกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ก่อนหรือไม่ แล้วไปขยายสเกล)

๒. เมื่อหันหน้าเข้าผนัง จะเห็นความขาวพื้นผิวที่เตรียมไว้แล้ว เขากำหนดอย่างไรว่าตรงไหนเขียนอะไร เพื่อให้งดงาม และความคิดนี้ต้องปรึกษาเจ้าอาวาสวัดไหม

ขอบคุณครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 01 ต.ค. 11, 22:39
มีใครอยากไปเที่ยวดูวัดถ่ายภาพกันบ้างมั๊ยละครับ ตอนนี้มีก๊วนทางfacebookจะขอให้ไปเป็นวิทยากรทางด้านจิตรกรรมอยู่


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 01 ต.ค. 11, 22:49
มีใครอยากไปเที่ยวดูวัดถ่ายภาพกันบ้างมั๊ยละครับ ตอนนี้มีก๊วนทางfacebookจะขอให้ไปเป็นวิทยากรทางด้านจิตรกรรมอยู่

อยาก ครับ  ;D


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 01 ต.ค. 11, 22:52
ลองไปดูกระทู้เก่าๆนะครับคุณสยาม โบราณส่วนใหญ่จะร่างภาพบนสมุดข่อย มีตัวอย่างสมุดร่างภาพที่วัดเกาะพญาเจ่งเคยโพสต์ไว้ ส่วนการร่างบนผนังก็มีการร่างดินสอบนผนังจริง ดูภาพตัวอย่างได้ที่วัดไม้รวก ไม่มีการเขียนสเกลแบบภาพสมัยใหม่ส่วนสีและรายละเอียดก็จะลงตามแบบร่างสีในสมุดข่อย ส่วนเรื่องเจ้าอาวาสนั้นในสมัยโบราณบางท่านเป็นช่างเขียนเองด้วยครับ การกำหนดเรื่องน่าจะมาจากโยมอุปฏากมากกว่า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพระมหากษัตริย์ เชื้อพระวงค์หรือคหบดีผู้มั่งคั่ง


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 01 ต.ค. 11, 23:00
คุณสยามอยู่แถวไหนละครับ ตอนนี้ที่เพิ่อนจัดทริป จะเดินทางไปลพบุรีวันที่8นี้ เล่นFacebookรึเปล่า ลองแอดมาคุยกันครับที่https://www.facebook.com/ryuguza17


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 01 ต.ค. 11, 23:11
ขอบคุณครับสำหรับข้อมูล

มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องการลงสี ผมเคยทำงานวาดเบญจรงค์จิ๋วลงสีเลยสนใจเรื่องการลงสีหน่อยครับว่าเมื่อพื้นที่วาดสีดำคือ แบล็กกราวด์สีดำ เหนือมาแต้มแดง (เสมือนเสื้อผ้านุ่ง) เหนือแดงเป็นเขียว หยดสีแต้มขาว และจุดแดงบนขาว คือสีซ้อนทับกัน

แสดงว่า หลักการวาดภาพใช้สีทับซ้อนกันหรือไม่ สีอ่อนบนพี้นเข้ม จะทำให้สีทับซ้อนหมองลง ต้องแต้มพื้นขาวก่อนลงสีอ่อน การลงสีจิตรกรรมโบราณเป็นอย่างไรครับ

(เดี่ยวจะเข้าไปในเฟสบุคดูครับ.... ราหูอมจันทร์น่ารักมากครับ)


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 01 ต.ค. 11, 23:24
การลงสีก็ไม่ต่างจากปัจจุบันครับ มีการเขียนทับซ้อนกันของสีจะวาดแบ๊คกราวน์ก่อนทั้งหมดก่อนเริ่มตัวภาพรองพื้นด้วยสีขาวก็มีปิดทองตัดเส้นเป็นขั้นตอนสุดท้าย เรื่องสจะหม่นลงหรือไม่ชางต้องร้หลักการผสมสีครับ แล้วต้องรอสีแห้งเสียก่อนด้วย ว่าแต่เขียนเบญจรงค์ได้ก็ฝีมือดีสิครับ


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 02 ต.ค. 11, 21:34
ติดตามอ่านของคุณยีนส์อยู่ตลอดครับ  ขอให้กำลังใจครับ

ในส่วนตัวก็ชื่นชอบงานภาพเขียนฝาผนัง  ยิ่งแถบอิสานบ้านผมแต่โบราณก็ได้ยินว่าจะใช้ดินมาทำเป็นสีขาวสีเหลือง  โดยจะใช้กาวเป็นตัวประสาน  ภาพแบบนี้ก็โดนทำลายไปหมด  เพราะโบสถ์เหล่านี้จะเป็นโบสถ์ดินหรือดินจี่(อิฐ)  พอสมภารสร้างใหม่ก็รื้อทิ้ง มายุคหลังๆก็จะเป็นโบสถ์แบบสมัยใหม่(โบสถ์อิสานโบราณดูได้ที่วัดป่าแสงอรุณ  ขอนแก่น)เป็นแบบคอนกรีตก่ออิฐฉาบปูน  ภาพเขียนก็เป็นแบบใหม่  สีในชั้นหลังที่ใช้ก็เป็นสีนำเข้าจากจีน  จากยุโรป  นอกจากนำเข้าสีแล้วก็ยังเอาสไตล์ของต่างชาติมาใช้ด้วย  เดี๋ยวนี้ก็กำลังนิยมสีพ่น

คุณยีนส์เคยเห็นภาพผนังวัดอุโมงค์ที่ดอยสุเทพไม๊ครับ  แบบนั้นคล้ายๆกับภาพแดงๆที่ผมเคยเห็นตอนเด็กๆในโบสถ์ที่โดนรื้อไปแล้ว  เป็นภาพสีอ่อนๆที่ผู้ใหญ่ว่าใช้ดินทำสี  เป็นดินแดงดินเหลืิองที่เราเคยนำมาย้อมผ้ากัน  อยากดูภาพโบราณแบบนี้ครับ  ไม่รู้ว่ามีการรักษาไว้บ้างหรือเปล่า  แถบอิสานหมดแล้วครับ  นอกจากภาพผนังถ้ำแบบผาแต้ม

ขอให้กำลังใจอีกครั้งครับ  ขอบคุณสำหรับภาพและความรู้ที่นำมาแบ่งปัน

กล้วย


กระทู้: มาจากวัดอะไรใครรู้บ้าง
เริ่มกระทู้โดย: jean1966 ที่ 04 ต.ค. 11, 16:12
ที่วัดอุโมงค์เคยเห็นครับ เลือนเสียหมดแล้วแต่อาจารย?สุรชัย จงจิตงามได้เคยทำรีเสริชแล้วทำ3Dชุดนี้ออกมา สำหรับสิมตามภาคอีสานส่วนใหญ่เป็นฝีมือช่างชาวบ้าน ความสำคัญเท่างานชางหลวง ช่างเอก ไม่ได้จึงมักไม่ได้รับการดูแลรักษา เคยมีคนทำหนังสือเกี่ยวกับสิมอีสานออกมาผมจำช่อไม่ได้ลองไปหาดูตามศูนย์หนังสือใหญ่คงพอมี และขอบคุณครับที่คอยเป็นกำลังใจให้
http://youtu.be/ETOG2GnlHVg