เรือนไทย

General Category => หน้าต่างโลก => ข้อความที่เริ่มโดย: SILA ที่ 05 พ.ย. 14, 11:08



กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 พ.ย. 14, 11:08
         บริททนีย์ สาวงามทั้งกายและใจ

         เธอจากโลกนี้ไปอย่างไม่เสียใจ ไม่เสียดาย เวลาที่ใช้ไป, สถานที่ที่ได้เยือนและ
เพื่อน, ผู้คนที่เธอได้รักตลอดช่วงชีวิต 29 ปีของเธอ


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 พ.ย. 14, 11:10
             บริททนีย์ป่วยด้วยโรคมะเร็งสมองแบบร้ายแรงที่สุดซึ่งแพทย์ผู้รักษาบอกว่าเธอจะมีชีวิต
อยู่ได้อีกไม่ถึงปี
             ช่วงเวลานับถอยหลังนี้เธอมีชีวิตอยู่กับความเจ็บปวด อาการชัก และเมื่อวาระสุดท้ายใกล้
มาถึงอาการผิดปกติทางกายจะตามมา เช่น แขนขาอ่อนแรง และสุดท้ายคือโคม่าเมื่อสมองถูกก้อน
เนื้อร้ายขยายเบียดเบียน
             เธอตัดสินใจที่จะตัดจบบทสุดท้ายของชีวิตที่ทรมานในขณะที่เธอยังเลือกได้ลงในเดือน
พฤศจิกายนปีนี้ เมื่อวันที่ 1 ซึ่งเป็น 2 วันหลังจากวันเกิดแดน-สามีเธอ(30 ตุลาคม)


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 พ.ย. 14, 11:14
             บริททนีย์พร้อมด้วยสามีเคียงข้าง แวดล้อมด้วยแม่,พ่อเลี้ยงและเพื่อนรัก ได้ปิดหน้าสุดท้าย
นิยายชีวิตจริงด้วยการรับประทานยาที่แพทย์สั่งให้ ยาซึ่งจะทำให้เธอจากไปอย่างสงบและปราศจาก
ความเจ็บปวด
              เธอจะแกะแคปซูลยา secobarbital ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทจำนวน 100 แคปซุล
เทลงละลายในน้ำด้วยตัวเองแล้วดื่ม(คนอื่นทำแทนให้ไม่ได้เพราะจะกลายเป็นผู้ต้องหา)

ฉากสุดท้ายจบในห้องนอนบนบ้านเช่าที่เพิ่งย้ายเข้ามาที่ Portland, Oregon


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 พ.ย. 14, 11:17
             บริททนีย์เคยให้สัมภาษณ์นิตยสาร People ว่า เธออยากจะมีชีวิตอยู่ เธอหวังว่าจะมี
ทางรักษาโรคร้ายให้หายได้ แต่ ก็ไม่มี...การที่เธอมีทางเลือกที่จะจากไปอย่างมีศักดิ์ศรีนี้เป็นทาง
ที่น่าหวาดหวั่นน้อยกว่า
              ฉันไม่อยากจะตาย แต่ฉันกำลังตาย มะเร็งกำลังฆ่าฉันและมันช่างน่าพรั่นสะพรึง ดังนั้น
เมื่อฉันสามารถเลือกได้ที่จะตายไปโดยมีครอบครัวอยู่เคียงข้าง โดยที่ฉันควบคุมจิตใจที่จะยืนหยัด
จนถึงที่สุดทาง - ไปอย่างมีศักดิ์ศรี เช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่หวาดหวั่นน้อยกว่า


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 พ.ย. 14, 11:22
         หลังจากตัดสินใจว่าชีวิตขอลิขิตเองแล้ว ครอบครัวของเธอก็ย้ายไปอยู่ในรัฐออระกัน ที่นี่
มีกฎหมาย ตายอย่างมีศักดิ์ศรี Death with Dignity Act มาแต่ปี 1997 ที่ได้ช่วยการุณยฆาต
(Euthanasia) ผู้ป่วยซึ่งหมดทางรักษาและมีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมามาแล้ว 752 ราย
(อีกสี่รัฐที่ผ่านกฎหมายการุณยฆาตได้แก่ Vermont, Montana, Washington และ New Mexico)
         กลุ่ม  Compassion & Choices และ มูลนิธิ Brittany Maynard Fund ได้นำเสนอ
เรื่องราวของเธอต่อสาธารณะเพื่อเผยแพร่เรื่องสิทธิในการจบชีวิตของตน

หมายเหตุ - โฆษกของกลุ่ม Compassion & Choices ไม่ได้แถลงข่าวยืนยันการจากไปของเธอ
ตามความต้องการของครอบครัวแต่ได้บอกกล่าวในเฟซบุคเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
               ถ้อยคำอำลาจากมวลญาติมิตรได้ปรากฏบนหน้าทวิตเตอร์และเฟซบุค รวมทั้งบทความ
ไว้อาลัยแด่เธอในเว็บไซท์     http://www.thebrittanyfund.org/ (http://www.thebrittanyfund.org/)


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 พ.ย. 14, 14:29
           ฉันโชคดีที่ได้มีโอกาสพานพบความรักจากสามี(แดนคือฮีโรของฉัน) จากแม่ที่รักและห่วงใย
พร้อมทั้งผองเพื่อนและญาติพี่น้อง ในยามนี้ที่เวลาใกล้หมดลง ฉันหวังว่าพวกคุณจะนำคำขอของฉัน
ไปดำเนินการสานต่อและให้การสนับสนุนสิ่งที่ฉันฝากไว้เบื้องหลัง
            เธอสั่งความสามีสุดที่รักขอให้เขาอย่าเศร้า แต่จงร่าเริงมีความสุข และช่วยดูแลสุนัขของเธอด้วย
อีกทั้งเธอยังหวังว่าแดนจะแต่งงานอีกครั้งและสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ด้วยพ่อ,แม่และลูก
            แดนผู้หัวใจสลาย ต้องหักใจไม่จมทุกข์จนทำลายความสุขของวันนี้ หากแต่ใช้เวลาปัจจุบันด้วยกัน
อย่างสุขสม


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 พ.ย. 14, 14:31
            ในช่วงสัปดาห์ท้ายๆ ของบทสุดท้ายเธอเล่าว่า เธอต้องใช้ยาเพื่อลดอาการสมองบวมซึ่งมีผลข้างเคัยง
ทำให้ตัวเธอบวม

บริททนีย์ในรายการ CBS This Morning


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 พ.ย. 14, 14:33
          วันเวลาที่ยังเหลืออยู่ บริทนีย์ผู้รักชีวิตนอกประตูบ้านได้เดินทางไปอุทยานแห่งชาติ Yellowstone,
Alaska และ Grand Canyon สถานที่หลังนี้เธอยังไม่เคยไปและอยู่ในรายการที่อยากไปให้เห็นก่อนตาย
(bucket list) ที่นั่นเธอต้องต่อสู้ทนกับอาการปวดศีรษะรุนแรงและชัก


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 พ.ย. 14, 14:36
           เธอให้สัญญากับแม่ของเธอว่า หลังจากที่เธอตายไปแล้ว เมื่อแม่ไป Machu Picchu
ที่ Peru


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 พ.ย. 14, 14:37
วิญญาณของเธอจะมาพบแม่บนนั้น


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 พ.ย. 14, 14:49
           นอกจากการเดินทางไปเยี่ยมเยือนเพื่อนรักแล้ว ระหว่างนั้นเธอก็ได้จัดแจงรายการสมบัติ
ข้าวของของเธอที่จะส่งมอบต่อ และจัดการห่อของขวัญวันคริสต์มาสล่วงหน้า
            ช่วงวันเวลานับถอยหลังนี้ เธอใช้ชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม ตามสูตรที่กล่าวไว้โดยประธานาธิบดี
Theodore Roosevelt ว่า

                      Do what you can, with what you have, where you are.


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: kulapha ที่ 05 พ.ย. 14, 19:58
ดูเธอยังดูดีอยู่เลยนะคะ มองไม่ออกว่าเป็นวาระสุดท้าย

อ่านข่าวนี้แล้ว ทำให้นึกถึง ความตายของ สุภาพร พงศ์พฤกษ์
เมื่อหลายปีก่อน



กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 06 พ.ย. 14, 04:59
โดนวาติกันออกมาประณามแล้วครับ เรื่องนี้พูดลำบากจริง


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 พ.ย. 14, 09:28
วาติกันประณามในแง่ไหนคะ     ถ้าเป็นทางพุทธ ก็ถือว่าเธอทำบาปในการฆ่าตัวตาย 
แต่ดิฉันเห็นด้วยนะ ว่าเธอมีสิทธิ์เลือกจุดจบของเธอเอง    วิธีนี้จะบาปไม่บาปยังไง ไม่ใช่วิสัยที่มนุษย์อย่างเราๆจะตัดสิน  เป็นเรื่องบุญกรรมจะส่งผลให้เอง


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 พ.ย. 14, 09:56
          หลังจากทำความรู้จักกับโรคร้ายนี้ว่าไม่มีทางสู้ ชีวิตเหลืออยู่อย่างทรมานจนกว่าจะสิ้นลม
บริททนีย์ก็ตัดสินใจได้ว่าเธอไม่ต้องการให้ครอบครัวที่รักต้องฝันร้ายทั้งวันคืนทั้งยามตื่นและหลับ
จากความเจ็บป่วยของเธอ
          เธอจึงหันมาดูเรื่องการตายแบบเลือกได้ ตายอย่างมีศักดิ์ศรี(death with dignity) ที่
เป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้ายอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือนที่ยังมีสุขภาพกายและใจพร้อมที่
จะสามารถตัดสินใจเลือกใช้ยาเพื่อจบชีวิตด้วยตัวเองได้เมื่อถึงเวลาที่ทนไม่ไหวอีกต่อไป          
          บริททนีย์ย้ายจากบ้านในแคลิฟอร์เนียมาออระกันเพื่อจะได้ใช้สิทธิตามกฎหมาย Death
with Dignity Act
          ที่นี่เธอต้องหาบ้านและแจ้งย้ายเข้าอาศัยในที่อยู่ใหม่, หาหมอใหม่, ใบขับขี่ใหม่, แจ้งเปลี่ยน
ที่ลงทะเบียนเลือกตั้ง ฯลฯ แดน(สามีเธอ) ต้องลางานเพื่อมาดูแลเธอในช่วงเวลาสุดท้ายนี้
          นอกจากนี้เธอยังได้จัดตั้งมูลนิธิ Brittany Maynard Fund โดยการสนับสนุนของกลุ่ม
Compassion & Choices เพื่อรณรงค์ให้สิทธิในการเลือกการุณยฆาตนี้ได้รับการรับรองทาง
กฎหมายในรัฐอื่นๆ


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 พ.ย. 14, 10:02
           ก่อนหน้านั้นเธอศึกษาพิจารณาดูเรื่องการดูแลรักษาผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง
(palliative care) และได้พบว่าร่างกายที่ยังแข็งแรงของเธอน่าจะยังคงสภาพลากยาวได้นาน
           แต่ ระหว่างนั้นมะเร็งร้ายก็จะกินเนื้อสมองของเธอไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเธอก็จะเกิดอาการ
ต่างๆ ตามมา เช่น ตาบอด แขนขาอ่อนแรง ทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้ และซึมลงจนโคม่าในที่สุด
ในขณะที่ครอบครัวของเธอต้องรับรู้และทนทุกข์ทรมานอย่างยาวนานจนกว่าเธอจะจากไป


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 พ.ย. 14, 10:04
           เขาว่าช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความฝันที่จะร่วมกันสร้าง
ครอบครัวที่สมบูรณ์ต้องสะดุดยุติลง เมื่อบริททนีย์มีอาการปวดศีรษะเรื้อรังที่ทวีความรุนแรงขึ้น
           เธอได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งสมองชนิดร้ายแรงเมื่อต้นปีนี้  9 วันหลังจากนั้น
เธอก็ได้รับการผ่าตัดเนื้อสมองส่วนร้ายออกไป แต่ไม่ทันไรมะเร็งก็กลับมาใหม่อย่างดุร้ายกว่า
เดิมในเดือนเมษายน คราวนี้แพทย์พยากรณ์การดำเนินของโรคว่าเธอจะอยู่ได้อีก 6 เดือน และ
สั่งการรักษาด้วยวิธีการฉายแสงทั้งสมอง
           เธอศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคมะเร็งที่เธอเป็นจนรอบรู้และได้พบความจริงที่เจ็บ
ปวดว่ามะเร็งร้ายชนิดนี้ไม่มีทางรักษาให้รอด การรักษาอย่างเต็มที่มีแต่จะเบียดเบียนทำลายช่วง
เวลาสุดท้ายอันมีค่าที่เหลืออยู่ไม่มากนี้


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 พ.ย. 14, 10:07
           เจ้าสาวแสนงามพร้อมความฝันที่จะสร้างครอบครัวสมบูรณ์แบบตามฝันอเมริกันดรีม        
           เธอพบและคบกับแดนซึ่งมีอายุมากกว่าสิบปีเศษเมื่อห้าปีก่อน แล้วตัดสินใจใช้ชีวิต
ร่วมกัน ทั้งสองจัดพิธีวิวาห์ในเดือนกันยายน 2012


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 06 พ.ย. 14, 10:39
เอามาให้ท่านอาจารย์ใหญ่ครับ

A Vatican bioethics official has condemned the death by assisted suicide of American Brittany Maynard, a terminally ill 29-year-old who ended her life over the weekend, as an undignified "absurdity".

"This woman (took her own life) thinking she would die with dignity, but this is the error," Monsignor Ignacio Carrasco de Paula, head of the Pontifical Academy for Life, told the Italian news agency Ansa.

"Suicide is not a good thing. It is a bad thing because it is saying no to life and to everything it means with respect to our mission in the world and towards those around us," the head of the Vatican think tank on life issues said in a report on the Ansa website.

He described assisted suicide as "an absurdity."

http://www.independent.co.uk/news/people/brittany-maynards-decision-to-end-her-life-labelled-reprehensible-by-the-vatican-9840093.html (http://www.independent.co.uk/news/people/brittany-maynards-decision-to-end-her-life-labelled-reprehensible-by-the-vatican-9840093.html)



กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 พ.ย. 14, 09:40
             ก่อนเป็นเจ้าสาวหนึ่งเดือนบริททนีย์ สาวสวยสดใสผู้มีชีวิตชีวา รักสัตว์ รักการผจญภัย
ได้เดินทางไปแอฟริกา ที่ Tanzania เธอปีนขึ้นถึงยอดเขา Kilimanjaro
             เธอเคยไปดำน้ำที่ Zanzibar, Caymans, Galapagos และท่องโลกกว้างไปใน
อเมริกากลางต่อลงอเมริกาใต้


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 พ.ย. 14, 09:42
          สาวน้อยผู้มาดมั่น มีเสน่ห์ เก่ง จิตใจงาม รักเรียน จบการศึกษาจาก Berkeley แคลิฟอร์เนีย
ชื่นชอบการเดินทาง เคยมาเยือนทั้งเวียตนาม ลาว สิงคโปร์ ไทย และได้ไปเป็นครูสอนเด็กกำพร้าที่เนปาล


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 พ.ย. 14, 09:44
           เด็กหญิงบริททนีย์


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 พ.ย. 14, 09:45
            หนูน้อยบริททนีย์


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 พ.ย. 14, 09:46
และข้อความสุดท้ายที่เธอฝากไว้ให้ทุกคน


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 พ.ย. 14, 10:47

"Suicide is not a good thing. It is a bad thing because it is saying no to life and to everything it means with respect to our mission in the world and towards those around us," the head of the Vatican think tank on life issues said in a report on the Ansa website.

He described assisted suicide as "an absurdity."

ขอค้านหลวงพ่อ    จะตกนรกไหมเนี่ย
หลวงพ่อแน่ใจได้ยังไงว่า สิ่งที่บริททนีย์ทำไม่ใช่ mission  ของเธอที่พระเจ้าส่งให้เธอมาเป็นผู้นำทาง     ถ้าหากว่าเธอป่วย แล้วก็นอนรับความตายอย่างทุกข์ทรมานจนขาดใจไปเอง   จากนั้นญาติก็เอาไปฝังในสุสาน   นั่นหรือคือ mission ที่หลวงพ่อคิดว่าเธอควรมี
เธอก็ไม่ต่างอะไรจากคนอีกพันล้านหมื่นล้านที่เกิดมาแล้วก็ป่วยตายไปโดยไม่มีใครนอกจากญาติรู้จักหรือจดจำ

แต่นี่เธอสามารถทำตัวเป็นแบบอย่างของผู้ป่วยที่ไม่ยอมท้อถอย เอาแต่นอนรอความตาย  แม้โรคร้ายก็ไม่อาจเอาชนะเธอได้   เธอไม่ยอมให้มันกลืนกินเธอไปอย่างทุกข์ทรมานเช่นเดียวกับคนป่วยอื่นๆอีก 99.99%   แต่เธอเลือกที่จะเดินสู่จุดจบอย่างสงบสันติ ด้วยมือเธอเอง เป็นตัวอย่างให้คนอื่นๆอีกมากรู้ว่า แม้เราหนีความตายไม่พ้น เราก็เลือกกำหนดทางตายที่เหมาะสมกับตัวเราได้

นอกจากนี้เธอยังได้จัดตั้งมูลนิธิ Brittany Maynard Fund โดยการสนับสนุนของกลุ่ม Compassion & Choices เพื่อรณรงค์ให้สิทธิในการเลือกการุณยฆาตนี้ได้รับการรับรองทางกฎหมายในรัฐอื่นๆ

การุณยฆาตไม่ใช่ suicide  ถ้าเธอผูกคอห้อยต่องแต่ง หรือโดดตึก นั่นคือ suicide  เธอได้ทำร้ายชีวิตเธอด้วยความสิ้นคิด  หาทางออกดีกว่านี้ไม่ได้   แต่นี่เธอไตร่ตรองไว้แล้ว  หาทางออกด้วยสติจนนาทีสุดท้าย    เธอยังทิ้งมูลนิธิของเธอเป็นทางเลือกให้คนอื่นๆที่ประสบปัญหาอย่างเธอได้มีทางออกอีกทางหนึ่งด้วย
พระเจ้าอาจต้องการคนอย่างเธอมากกว่าคนที่ปล่อยตัวเองตายไปเฉยๆ  โดยไม่ได้ทำให้โลกมีทางออกมากขึ้น  แบบนี้ไม่ควรจะใช้คำว่า absurd กับเธอเลยนะคะ ขอค้าน


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 พ.ย. 14, 11:00
คุณเทาชมพูคงต้องค้านหลวงพ่ออีกรูปหนึ่ง  ;D

การุณยฆาตในมิติของพุทธศาสนา  (http://www.visalo.org/columnInterview/5409Image.htm)

สัมภาษณ์ พระไพศาล วิสาโล โดย กองบก.IMAGE นิตยสาร IMAGE ฉบับเดือนกันยายน ๒๕๕๔


ในทัศนะของพุทธศาสนา การกระทำใดที่มีเจตนาเพื่อยุติชีวิตหรือทำให้ชีวิตตกล่วงไป ไม่ว่าชีวิตของตนหรือชีวิตของผู้อื่น ถือว่าเป็นอกุศลกรรม จัดว่าเป็นบาป เพราะปุถุชนจะทำกรรมดังกล่าวได้ย่อมต้องมีอกุศลจิตเจือปนอยู่ไม่มากก็น้อย เช่น โทสะหรือความโกรธเกลียด ตัณหาหรือความอยากที่จะไปให้พ้นจากสภาพที่เป็นอยู่ (เรียกว่าวิภวตัณหา) เป็นต้น แม้ผู้กระทำนั้นจะมีเจตนาดีเป็นจุดเริ่มต้น แต่ทันทีที่ตั้งใจทำลายชีวิตหรือทำให้ชีวิตจบสิ้น อกุศลจิตก็เกิดขึ้นทันที ดังนั้นไม่ว่าผู้กระทำการุณยฆาตจะเป็นหมอหรือญาติ ก็ถือว่าได้ทำอกุศลกรรม

ทั้งนี้ยังไม่ได้พูดถึงประเด็นว่าหมอและญาติมีสิทธิในชีวิตของผู้ป่วยหรือไม่ ส่วนผู้ป่วยเอง แม้มีสิทธิในชีวิตของตน แต่เมื่อตั้งใจจบชีวิตตัวเอง (จะโดยฆ่าตัวตายหรือขอให้ผู้อื่นช่วยทำการุณยฆาตให้ก็ตาม) ก็มักจะมีอกุศลจิตเข้ามาเกี่ยวข้อง หากตายไปในสภาพจิตดังกล่าว ย่อมไปอบาย ไม่ได้ไปสุคติ

การุณยฆาตหากเป็นการกระทำกับพ่อแม่ของตนเอง ก็ถือว่าเป็นอนันตริยกรรม ในพระไตรปิฎก พูดถึงลูกที่หยิบยื่นอาวุธเพื่อให้พ่อแม่ฆ่าตัวตาย หรือลงมือฆ่าพ่อแม่ตามคำสั่งของท่าน ก็ถือว่าเป็นอนันตริยกรรมเช่นกัน อนันตริยกรรมนั้นเป็นการผิดศีลข้อปาณาติบาตอยู่แล้ว

ปาณาติบาตนั้น ไม่ได้หมายความถึงการลงมือฆ่าเท่านั้น แม้แต่การชักชวนให้เขาฆ่าตัวตาย ก็เข้าข่ายปาณาติบาต เช่น พระที่ชักชวนให้ผู้อื่นฆ่าตัวตายเพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ หากเขาฆ่าตัวตายสำเร็จ พระรูปนั้นก็ถือว่าต้องปาราชิกข้อที่ ๓ อันได้แก่ การจงใจฆ่ามนุษย์ให้ตาย

จริงอยู่ที่ว่ามนุษยธรรมกับศีลธรรมหรือข้อบัญญัติทางศาสนานั้น บางครั้งก็ไม่ได้ไปด้วยกัน (เช่นบางศาสนาส่งเสริมการบูชายัญด้วยชีวิตสัตว์ ซึ่งย่อมขัดกับสำนึกทางมนุษยธรรมอยู่แล้ว) อย่างไรก็ตามหากพูดจำเพาะศีลธรรมทางพุทธศาสนา มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมเมื่อเปรียบเทียบกับมนุษยธรรม กล่าวคือศีลธรรมทางพุทธศาสนา ไม่ได้คำนึงแต่เฉพาะผลกระทบที่มองเห็นชัด จับต้องได้ (เช่น ค่าใช้จ่าย หรือภาระแก่ผู้ที่ดูแล) แต่ยังคำนึงถึงมิติทางจิตใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องด้วย โดยลงลึกไปถึงสภาวะจิตเช่น จิตที่เป็นกุศลและอกุศล รวมทั้งตระหนักถึงศักยภาพของจิตที่สามารถจะเป็นอิสระเหนือความเจ็บปวดได้ ในขณะที่มนุษยธรรม (ซึ่งมีความหมายกว้างมาก และแตกต่างกันไปตามทัศนะของแต่ละคน) อาจจะมองข้ามประเด็นดังกล่าวไป หรือมองไม่ถี่ถ้วนรอบด้าน

ยกตัวอย่างเช่น การทำการุณยฆาต ส่วนใหญ่มักให้เหตุผลว่า การมีชีวิตอยู่ต่อไปของผู้ป่วย ไม่มีประโยชน์แล้ว เป็นการอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรี เพราะนอกจากเจ็บปวดทุกข์ทรมานแล้ว ยังไม่สามารถพึ่งตนเองได้ มองในแง่ของมนุษยธรรม การช่วยให้ผู้ป่วยจบชีวิตโดยเร็ว ย่อมเป็นสิ่งที่ดีเพราะทำให้เขาพ้นจากความทุกข์ความเจ็บปวด แต่พุทธศาสนามองว่าชีวิตนั้นมีคุณค่า ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ แม้เจ็บป่วยเพียงใดก็ยังสามารถทำสิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้นได้ อย่างน้อยกับจิตใจของตน อาทิ การทำจิตให้สงบด้วยการน้อมใจนึกถึงสิ่งดีงาม หรือทำสมาธิภาวนา อีกทั้งยังสามารถเรียนรู้จากความเจ็บป่วย หรือใช้ความเจ็บป่วยเป็นเครื่องมือสอนธรรม คือเห็นความจริงของชีวิตอย่างชัดเจนว่า ชีวิตนั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่อยู่ในอำนาจของเรา หลายคนที่เห็นความจริงดังกล่าว สามารถทำใจปล่อยวางจากความเจ็บปวดได้ คืออยู่กับความเจ็บปวดได้โดยไม่ทุกข์ใจ เพราะเห็นว่ามันเป็นธรรมดาของสังขาร


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 พ.ย. 14, 11:02
ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงพระอรหันต์จำนวนไม่น้อยซึ่งบรรลุธรรมขณะที่ป่วยหนักมีทุกขเวทนาแรงกล้า อาศัยความเจ็บป่วยและทุกขเวทนานี้เองท่านเหล่านั้นจึงเกิดปัญญาเห็นความจริงของชีวิตจนไม่ยึดติดถือมั่นสังขารร่างกายต่อไป แม้ว่าคนเจ็บป่วยส่วนใหญ่ไม่สามารถจะทำได้อย่างพระอรหันต์ท่านที่กล่าวมา แต่ก็มีไม่น้อยที่สามารถอยู่กับความเจ็บปวดได้โดยไม่ทุรนทุราย เพราะจิตมีสมาธิ มีสติ ไม่ปล่อยใจถลำจมอยู่ในความเจ็บปวด และมีปัญญาคือแลเห็นว่ามันเป็นธรรมดา ไม่คิดผลักไสความเจ็บปวด ทำให้ปวดแต่กาย ส่วนใจไม่ปวด

นี้คือศักยภาพหรือความสามารถที่มนุษย์ทุกคนสามารถทำได้ อยู่ที่ว่าจะตระหนักหรือไม่ และเตรียมตัวมามากน้อยเพียงใด จริงอยู่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ตระหนักถึงประเด็นนี้ ดังนั้นเมื่อตนเองป่วยหนักหรือเห็นคนรักป่วยหนักถูกความเจ็บปวดรุมเร้า จึงคิดว่าทางออกจากความทุกข์ดังกล่าวมีทางเดียวเท่านั้นคือ จบชีวิตให้เร็วที่สุด

แต่อาตมาอยากจะย้ำว่า คนป่วยมีทางเลือกมากกว่านั้น คือ แม้ทุกข์กายเพียงใด แต่ใจไม่ทุกข์ ก็ได้ ประเด็นนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ความเข้าใจแบบโลกย์ ๆ (หรือสำนึกทางมนุษยธรรม)อาจจะนึกไม่ถึงหรือมองข้ามไป จึงนึกแต่เพียงว่าการุณยฆาตเท่านั้นที่จะเป็นคำตอบได้ แต่ถ้าหากเราคิดแต่จะใช้การุณยฆาตเป็นคำตอบสำหรับผู้ป่วยหนักที่หมดหวังในการรักษา นั่นก็เท่ากับเรามองข้ามหรือตัดโอกาสที่ผู้ป่วยจะได้ทำหรือประสบสิ่งที่ดีกว่านั้น ยังไม่ต้องพูดถึงถึงผลเสียด้านอื่นอีก เช่น เรื่องอกุศลจิตหรือการกระทำที่เป็นบาป ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วตอนต้น

ดังนั้นแทนที่จะช่วยให้ผู้ป่วยที่หมดหวังในการรักษา จบชีวิตโดยเร็ว เราน่าจะช่วยให้เขาสามารถอยู่กับความเจ็บป่วยและทุกขเวทนาได้โดยไม่ทุกข์ใจ เช่น ช่วยให้เขาวางใจอย่างถูกต้อง รู้จักการทำสมาธิภาวนา แนะนำเขาให้ยอมรับความเจ็บป่วย และอยู่กับมันได้โดยไม่ผลักไส เพราะยิ่งผลักไสปฏิเสธความเจ็บปวด ก็ยิ่งทุกข์

อันที่จริงสิ่งหนึ่งที่มักถูกมองข้ามไปก็คือ ความเจ็บปวดที่รุมเร้าผู้ป่วยนั้น ไม่ได้เกิดจากความเจ็บป่วยทางกายเท่านั้น แต่ยังเกิดจากความทุกข์ใจ เช่น ความวิตกกังวล ความห่วงหาอาลัย ความคับแค้นโกรธเกรี้ยว ความรู้สึกผิด ความน้อยเนื้อต่ำใจ ซึ่งอาจเกิดจากประสบการณ์ชีวิตในอดีต หรือจากความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานกับคนบางคน มีหลายกรณีที่เมื่อแก้ปมในใจดังกล่าวแล้ว ความเจ็บปวดทุรนทุรายลดลง ในทางตรงข้ามหากปมดังกล่าวยังไม่ได้แก้ แม้ให้ยาระงับปวด ก็ลดความทุรนทุรายได้ชั่วคราว สักพักอาการก็จะกลับมาหรือกำเริบอีก ดังนั้นแทนที่จะนึกถึงแต่การบรรเทาความทุกข์ของเขาด้วยเทคโนโลยี จนไปไกลถึงขั้นจบชีวิตของเขาให้เร็วที่สุด ควรหันมาใส่ใจกับการบรรเทาความทุกข์ในใจของเขาควบคู่ไปกับการบรรเทาความปวดทางกาย จะทำเช่นนั้นได้หมอ พยาบาลและญาติ นอกจากจะต้องมีเมตตากรุณาแล้ว ยังต้องมีเวลาให้แก่ผู้ป่วย เข้าใจความรู้สึกของเขา และมีสัมพันธภาพที่ดีกับเขา จนเขาศรัทธาหรือมีความไว้วางใจ จึงจะสามารถให้ความช่วยเหลือทางจิตใจแก่เขาได้

จะว่าไปแล้ว ความเจ็บปวดหรือทุกข์ทรมานของผู้ป่วย ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากกระบวนการรักษาหรือการเยียวยาของหมอเอง เช่น การเจาะคอ ใส่ท่อช่วยหายใจ ซึ่งหากผู้ป่วยมีโอกาสหายหรือรอด ก็น่าทำ แต่ถ้าผู้ป่วยไม่มีโอกาสหาย และอยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว การทำเช่นนั้นก็เป็นการเพิ่มความทุกข์ให้แก่เขา การทำให้เขามีชีวิตหรือลมหายใจยืนยาวขึ้นกลับกลายเป็นการยืดความทรมานให้ยาวกว่าเดิม ในกรณีที่ผู้ป่วยยังพอทำใจได้ หรือรู้จักใช้ธรรมะรักษาใจ ก็อาจไม่เป็นปัญหา (ผู้ป่วยที่โคม่าหรือแม้แต่เป็นผัก มีหลักฐานที่ชี้ว่า ยังสามารถรับรู้ได้ หรือมีความรู้สึกนึกคิดได้ แม้ไม่อาจแสดงออกให้คนอื่นรู้ได้ก็ตาม) แต่หากผู้ป่วยทำใจไม่ได้ ก็จะทุกข์ทรมานมาก ในกรณีอย่างนี้จะเป็นการดีหากผู้ป่วยแจ้งความจำนงล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรว่า หากไม่รู้สึกตัวเมื่อใด จะไม่ขอรับการรักษาด้วยวิธีการดังกล่าว เมื่อเป็นที่แน่ชัดว่าจะมีชีวิตอยู่รอดได้ไม่นาน ทั้งนี้เพื่อลดความทุกข์ทรมานอันจะเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตามการแสดงเจตนารมณ์ดังกล่าวควรทำหลังจากที่ได้ปรึกษาหารือกับหมอและญาติพี่น้อง จนเป็นที่เห็นพ้องต้องกัน จะได้ไม่เกิดปัญหาเวลาที่ผู้ป่วยโคม่าและหมอทำตามที่ผู้ป่วยร้องขอ คือไม่ใช้มาตรการแทรกแซงใด ๆ เพียงเพื่อให้มีลมหายใจและหัวใจเต้นต่อไปชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น

การปฏิเสธการรักษาหรือการแทรกแซงทางการแพทย์เมื่ออยู่ในภาวะดังกล่าว ไม่ใช่เป็นการฆ่าตัวตาย แต่เป็นการยอมรับความตายที่กำลังจะมาถึงและเมื่อรู้ว่าใกล้จะตายแล้วก็เลือกที่จะตายอย่างสงบโดยให้เป็นไปตามธรรมชาติของสังขาร แต่ถ้าไม่แสดงเจตจำนงล่วงหน้าหรือไม่ได้มีการพูดคุยกับญาติจนเห็นพ้องต้องกัน หากผู้ป่วยหมดสติ ไม่รู้สึกตัว ญาติและหมอก็อาจจะเจาะคอ ใส่ท่อ หรือใช้วิธีการทางการแพทย์อื่น ๆ อย่างเต็มที่ ซึ่งมักสร้างความทุกข์ทรมานแก่ผู้ป่วย และต่อมาก็อาจก่อความทุกข์และความเดือดร้อนแก่ญาติได้ ถึงตอนนั้น หากจะถอดท่อ ก็จะกลายเป็นเรื่องยากแล้ว เพราะถ้าถอดแล้วผู้ป่วยถึงแก่ชีวิตทันที ก็จะกลายเป็นปาณาติบาตได้ (แต่ก็มีบางกรณีที่ถอดท่อแล้ว ผู้ป่วยยังสามารถหายใจเองได้และมีชีวิตอยู่พักใหญ่ก่อนจะหมดลม ในกรณีนี้ย่อมไม่ถือว่าเป็นปาณาติบาต)

ดังนั้นเพื่อเป็นการตัดปัญหา ผู้ป่วยจึงควรแสดงเจตจำนงล่วงหน้าให้ชัดเจนหากไม่ต้องการให้มีการยื้อชีวิตในสภาพที่ไม่รู้สึกตัวและใกล้ตายแล้ว

อย่างไรก็ตามในกรณีที่เจาะคอหรือใส่ท่อไปแล้ว และลำบากใจที่จะถอดอุปกรณ์เหล่านั้นหรือยุติการยื้อชีวิตของผู้ป่วย หมอและญาติควรหันมาให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือทางจิตใจของผู้ป่วย เช่น แนะนำผู้ป่วยให้ถอนจิตออกจากความเจ็บปวด โดยมาจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่นแทน เช่น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ ความดีงามที่ตนเคยทำและภาคภูมิใจ หรือชวนสวดมนต์และทำสมาธิภาวนา เพื่อให้จิตเกิดความสงบ รวมทั้งตั้งสติให้อยู่กับความเจ็บปวดได้โดยไม่ทุรนทุราย วิธีเหล่านี้สามารถเป็นประโยชน์แม้กระทั่งผู้ป่วยที่โคม่าหรือเป็นผัก เช่นเดียวกับผู้ป่วยที่ยังรู้สึกตัวแต่ถูกความเจ็บปวดรุมเร้า


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 พ.ย. 14, 11:28
คุณเทาชมพูคงต้องค้านหลวงพ่ออีกรูปหนึ่ง  ;D

ถ้าปล่อยวางจริงๆ ต้องปล่อยวางคติทางพุทธด้วย


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 พ.ย. 14, 15:23
            กรณีบริททนีย์นี้แน่นอนว่าเข้าข่าย อัตวินิบาตกรรม ฆ่าตัวตาย และ ปุถุชนที่ฆ่าตัวตายนั้น
ไม่พ้นเป็นเช่นที่พระไพศาลท่านว่า
อ้างถึง
     
              เป็นอกุศลกรรม จัดว่าเป็นบาป เพราะปุถุชนจะทำกรรมดังกล่าวได้ย่อมต้องมีอกุศลจิตเจือปน

             เรื่อง ฆ่าตัวตาย, การุณยฆาต(Euthanasia) นี้เป็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก พอๆ กับ
เรื่องการทำแท้ง          

             เมื่ออ่านดูกรณีฆ่าตัวตาย ในทางพุทธศาสนา จะพบว่ามีกรณี

            เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ประทับที่ป่ามหาวัน นครเวสาลี ได้ทรงแสดงอสุภกถาแก่เหล่าภิกษุ
แล้วรับสั่งว่า พระองค์จะหลีกเร้นเป็นเวลากึ่งเดือน
            เหล่าภิกษุต่างก็ได้พากันประกอบความเพียรเจริญอสุภกรรมฐาน แต่ไม่ได้เกิดปัญญา
สู่ทางหลุดพ้น หากกลับเกิดโทสะ ระอา เกลียดชังร่างกายตัวเอง จึงปลงชีวิตตัวเองบ้าง ให้คนอื่น
มาปลงให้บ้าง
            เมื่อพระพุทธองค์ออกจากสมาบัติแล้วทรงทราบเรื่องก็เรียกประชุมสงฆ์และทรงติเตียน


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 พ.ย. 14, 15:25
           แต่ก็ยังมี 2 กรณีที่ภิกษุฆ่าตัวตายและพระพุทธองค์ไม่ทรงติเตียน ได้แก่ พระโคธิยะและ
พระฉันนะ
  
            พระโคธิยะ นั้นได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์แล้วก็ได้เสื่อมจากเจโตวิมุติครั้งแล้วครั้งเล่า
เป็นจำนวนถึง 6 ครั้ง จึงได้ตัดสินใจนำศัสตรามา(เพื่อฆ่าตัวตาย)

           ทุกขเวทนาทั้งหลายก็เกิดขึ้น พระเถระข่มเวทนาแล้วกำหนดเวทนานั้นเป็นอารมณ์ตั้งสติมั่น
พิจารณามูลกัมมัฏฐานก็บรรลุพระอรหัต เป็นสมสีสี ปรินิพพานแล้ว
(บุคคลใดสิ้นอาสวะและสิ้นชีพไม่ก่อนไม่หลัง บุคคลนี้เรียกว่า สมสีสี)

           พระพุทธองค์ตรัส(ตอบมาร) ว่า นักปราชญ์ผู้ใดสมบูรณ์ด้วยธิติ มีปรกติเพ่งพินิจ ยินดีแล้ว
ในฌานทุกเมื่อ พากเพียรอยู่ตลอดวันและคืน ไม่มีความอาลัยในชีวิต ชนะเสนาของมัจจุราชแล้ว
ไม่กลับมาสู่ภพใหม่ นักปราชญ์นั้นคือ โคธิกกุลบุตร ได้ถอนตัณหาพร้อมด้วยราก ปรินิพพานแล้ว ฯ


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 พ.ย. 14, 15:28
         ส่วนพระฉันนะนั้น ท่านฆ่าตัวตายเนื่องจากอาพาธ

          พระพุทธองค์ตรัสว่า ดูกรสารีบุตร บุคคลใดละทิ้งกายนี้และยึดมั่นกายนี้บุคคลนั้นเราเรียกว่า
ควรถูกตำหนิ ฉันนะหามีลักษณะเช่นนั้นไม่ ฉันนะภิกษุหาศัสตราฆ่าตัวตายอย่างไม่ควรถูกตำหนิ ฯ
 
           อธิบายขยายความว่า แม้ในลำดับจิตแรกของอัตวินิบาตกรรมเป็นอกุศล แต่ในลำดับจิตหลัง
เมื่อท่านได้ลงมือฆ่าตัวเองแล้วได้ยกจิตขึ้นสู่กระแสแห่งความหลุดพ้นและจบชีวิตไปพร้อมกับสิ้น
อาสวะลักษณะเช่นนี้การทำอัตวินิบาตกรรมไม่ถือว่าเป็นบาป

           สรุปคือ ฆ่าตนเองโดยปราศจากจิตเศร้าหมอง จิตหลุดพ้นสิ้นอาสวะ พระพุทธองค์ไม่ทรง
ติเตียน แต่แน่นอนว่าผู้ที่จะทำเช่นนั้นได้ก็คือผู้ศึกษาปฏิบัติจนเข้าถึงธรรมแล้ว


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 พ.ย. 14, 15:31
          เช่นกัน ในกรณีที่พระไพศาลท่านว่า
อ้างถึง
            ศีลธรรมทางพุทธศาสนา..ตระหนักถึงศักยภาพของจิตที่สามารถจะเป็นอิสระเหนือความเจ็บปวดได้

             ข้อนี้ น่าจะเป็นศักยภาพความสามารถของคนส่วนน้อยมากที่จะทำได้, อยู่เหนือความเจ็บปวด
จากโรคร้ายได้ (จิตใจคนเจ็บขณะที่ได้รับทุกขเวทนาทางกายขนาดนั้นส่วนใหญ่ไม่พ้นต้องมีโทสะ)
อ้างถึง

           การทำจิตให้สงบด้วยการน้อมใจนึกถึงสิ่งดีงาม หรือทำสมาธิภาวนา อีกทั้งยังสามารถเรียนรู้จาก
ความเจ็บป่วย ใช้ความเจ็บป่วยเป็นเครื่องมือสอนธรรม  
           หลายคนที่เห็นความจริงดังกล่าวสามารถทำใจปล่อยวางจากความเจ็บปวดได้ คืออยู่กับความเจ็บ
ปวดได้โดยไม่ทุกข์ใจ เพราะเห็นว่ามันเป็นธรรมดาของสังขาร
           จิตมีสมาธิ มีสติ ไม่ปล่อยใจถลำจมอยู่ในความเจ็บปวด และมีปัญญาคือแลเห็นว่ามันเป็นธรรมดา
ไม่คิดผลักไสความเจ็บปวด ทำให้ปวดแต่กาย ส่วนใจไม่ปวด
         
              โดยส่วนตัวแล้วก็ปรารถนาจะทำให้ได้เช่นนี้ แต่ก็คงเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง เป็นแนวทางในอุดมคติที่
เฉพาะบางบุคคลที่ได้ฝึกสั่งสมมาเท่านั้นจะไปถึง
              โดยเฉพาะในคนเจ็บป่วยระยะสุดท้ายที่ส่วนใหญ่ต้องใช้ยาระงับความเจ็บปวดอย่างแรง ซึ่ง
แน่นอนย่อมมีฤทธิ์กดจิตประสาทด้วย


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 พ.ย. 14, 15:36
           พระไพศาลท่านปฏิเสธการุณยฆาตแต่ท่านก็เห็นด้วยกับการปฏิเสธการรักษาของผู้ป่วย
ที่ไม่มีโอกาสหายและอยู่ในระยะสุดท้าย นอกจากนี้ ท่านยังเปิดทาง? ไว้ว่า
อ้างถึง
           บางกรณีที่ถอดท่อแล้ว ผู้ป่วยยังสามารถหายใจเองได้และมีชีวิตอยู่พักใหญ่ก่อนจะหมดลม
ในกรณีนี้ย่อมไม่ถือว่าเป็นปาณาติบาต

            แต่เมื่อถึงยามนั้นแล้วจริงๆ ก็พบว่ายังมีรายละเอียดข้อจำกัดที่ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติได้ตามนั้น

เป็นความเห็นและข้อมูลให้พิจารณา ครับ


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 พ.ย. 14, 15:48
21-year-old Mike Petrosino, Cancer Patient, Says Final Goodbye To His Childhood Dog, Rusty
at Massachusetts General Hospital
(December 2013)

โรงพยาบาลใจดีหลาย


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 พ.ย. 14, 16:48
อยากให้ LIKE คุณSILA

แต่กลัวว่ามันจะไปลดค่าคำว่าขอบพระคุณครับ


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 พ.ย. 14, 17:21
ขอบพระคุณครับ


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: kulapha ที่ 07 พ.ย. 14, 19:58
เพิ่มเติมคุณ SILA ว่าด้วยความตายในทัศนะคติของพระไพศาล
จากบทเกริ่นนำในหนังสือของ สุภาพร พงศ์พฤกษ์
ผู้อ่านจะเห็นชัดเจนขึ้นถึงการประมวลจิตประภัสสร์ให้เหนือกว่าความเจ็บปวด

http://www.visalo.org/article/person23Supaporn.htm (ftp://http://www.visalo.org/article/person23Supaporn.htm)


แม้ว่าความเจ็บปวดจะคุกคามเธอ แต่สุภาพรเลือกที่จะใช้สมาธิภาวนา
โดยเฉพาะอานาปานสติภาวนา ในการรับมือกับทุกขเวทนา
เธอให้เหตุผลว่ายาระงับปวดนั้นทำให้สติของเธอพร่าเลือน
เธอต้องการดำรงสติให้มีความรู้ตัวทั่วพร้อมนานที่สุดเท่าที่จะนานได้
ธรรมโอสถเป็นสิ่งเดียวที่สุภาพรต้องการมากที่สุดในยามนั้น
เธอจึงมีความสุขที่มีพระมาสวดมนต์และมีเพื่อนมาแนะนำการปฏิบัติธรรมอยู่เป็นระยะๆ
รวมทั้งได้ฟังคำบรรยายจากครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือ
เป็นเพราะธรรมโอสถ ผู้ที่มาเยี่ยมจึงอดแปลกใจไม่ได้ที่เธอนอกจากมีสติดีแล้ว
ยังมีความร่าเริง และพูดจาเล่นหัวกับเพื่อนๆ ทั้งๆ ที่มะเร็งลุกลามถึงขั้นที่สี่แล้ว
แม้แต่แพทย์และพยาบาลก็ประหลาดใจที่เธอสามารถประคองกายและใจมาได้อย่างดีโดยแทบไม่ใช้ยาเลย
เธอโชคดีที่มีแพทย์และพยาบาลที่เข้าใจความต้องการของเธอ
และพยายามช่วยเหลือให้เธอจากไปอย่างสงบและเจ็บปวดน้อยที่สุดตามวิถีทางที่เธอเลือก
ขณะเดียวกันครอบครัวและมิตรสหายก็ให้ความร่วมมือกับเธอด้วยดี
โดยเฉพาะการสร้างบรรยากาศแห่งความสงบรอบตัวเธอ
เพื่อให้เธอได้เจริญสมาธิภาวนาอย่างเต็มที่

เมื่อความตายใกล้เข้ามา ทุกขเวทนาแรงกล้าจนต้องอาศัยมอร์ฟีน
ขณะเดียวกันการหายใจก็ติดขัด จนต้องพึ่งออกซิเจนจากถัง
แต่ดูเหมือนจิตใจของเธอจะเบาขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับอาการทางกาย
เธอได้ปล่อยวางสิ่งต่างๆ ไปเป็นลำดับ เริ่มจากสิ่งนอกตัว เข้ามาจนถึงเรื่องในตัว
ปล่อยวางความรู้สึกติดค้างใจที่เคยมีกับบางคน ปล่อยวางความห่วงกังวลต่างๆ สุดท้ายก็มาถึงโลภะ โทสะ และโมหะ
ในสัปดาห์สุดท้ายเธอรู้สึกว่าโลภะและโทสะได้เบาบางลงไปมาก
คงมีแต่โมหะ นั่นคือความติดยึดในตัวตน ถึงตอนนั้นแม้จะพูดไม่ค่อยได้แล้ว
แต่ก็สนใจสดับฟังคำแนะนำในการปล่อยวางตัวตน เธอซาบซึ้งกับบทสวดมนต์หลายบท โดยเฉพาะ ‘ปฐมพุทธภาสิตคาถา’ ตรงข้อความที่ว่า

“ นี่แน่ะนายช่างปลูกเรือน เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว เจ้าจะทำเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป
โครงเรือนทั้งหมดของเจ้าเราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว
จิตของเราถึงแล้วซึ่งสภาพที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป มันได้ถึงแล้วซึ่งความสิ้นไปแห่งตัณหา”

เธอหมดความรู้สึกตัวไปในสองวันสุดท้าย แต่ระหว่างนั้นบทสวดมนต์ คำบรรยายธรรม
และเสียงระฆังซึ่งกังวานเป็นระยะ ยังกล่อมเกลาจิตใจของเธอเช่นเคย ไม่ต่างจากตอนที่เธอยังมีสติรู้ตัวอยู่
เมื่อวาระสุดท้ายของเธอมาถึง สุภาพรก็จากไปอย่างเบา สงบ
เป็นการจากไปไม่ต่างจากใบไม้ที่เธอเคยพรรณนาไว้ว่า
“ควงตัวล้อเล่นสายลม พลิกไหวร่างใบหน้าหลัง แจ่มใสเบิกบานก่อนทิ้งร่างใบจากขั้วก้าน”

แม้โรคมะเร็งจะคร่าชีวิตของเธอไป แต่สุภาพรพ่ายแพ้ก็เฉพาะกับมะเร็งทางกายเท่านั้น
 หากเธอประสบชัยชนะในการต่อสู้กับมะเร็งใจ ก้อนมะเร็งไม่สามารถบั่นทอนจิตใจของเธอได้
ตรงกันข้ามเธอกลับเข้มแข็งและโปร่งเบามากขึ้น มะเร็งกายไม่สามารถทำให้เธอมองโลกและชีวิตอย่างสิ้นหวัง
ตรงกันข้ามเธอกลับรู้สึกว่า ‘แต่ละวัน...นั้นน่ามหัศจรรย์’ อยู่เสมอ

เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ สุภาพรเคยกล่าวว่า ก้อนมะเร็งหายไปหรือไม่ ไม่สำคัญเท่ากับว่า
 เธอยังสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติเหมือนทุกวัน
บัดนี้เธอได้จากไปแล้ว หลายคนคงรู้สึกผิดหวังเสียใจที่ตัวเธอและวิธีการของเธอไม่สามารถเอาชนะโรคมะเร็งได้
การจากไปของเธออาจหมายถึงความพ่ายแพ้ของผู้ป่วยมะเร็งอีกหลายคน
แต่สำหรับสุภาพร นั่นไม่ใช่บทเรียนสำคัญที่พึงสรุปจากชะตากรรมของเธอ
สิ่งสำคัญกว่านั้นที่ควรเป็นบทเรียนสำหรับทุกคนก็คือ ตายเพราะมะเร็งหรือไม่ ไม่สำคัญเท่ากับการตายอย่างสงบ
ถึงที่สุดแล้วจะจากไปเพราะเหตุใดก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า มีชีวิตอยู่อย่างไรและพร้อมเผชิญความตายอย่างมีสติแค่ไหน
 นี้ต่างหากคือบทเรียนสำคัญที่สุดจากชีวิตช่วงสุดท้ายของเธอ  


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 พ.ย. 14, 20:14
http://www.visalo.org/article/person23Supaporn.htm (ftp://http://www.visalo.org/article/person23Supaporn.htm)

http://www.visalo.org/article/person23Supaporn.htm (http://www.visalo.org/article/person23Supaporn.htm)  ;D

http://youtube.com/watch?v=ArPcBAgiJGw#ws (http://youtube.com/watch?v=ArPcBAgiJGw#ws)


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: kulapha ที่ 07 พ.ย. 14, 20:23
http://www.visalo.org/article/person23Supaporn.htm (ftp://http://www.visalo.org/article/person23Supaporn.htm)



ขอบคุณคุณเพ็ญชมพู มากค่ะ ที่ทำ link ใหม่ให้
เออ..พอเปิดของตัวเองภายหลังทำไมไม่ติดก้อไม่รู้
ตอนทำก้อเปิดได้อยู่น้า...... :'(


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 พ.ย. 14, 10:59
          ขอบคุณครับ ที่นำมาลงไว้ตรงนี้ให้ได้อ่านอีกครั้งหลังจากเคยอ่านเมื่อหลายปีแล้ว
เป็นการจากไปของคนที่ได้ฝึกปฏิบัติมา แม้ว่ากายจะพ่ายโรคร้ายแต่ก็พยายามรักษาใจไว้
ในวาระสุดท้าย

ปล. ความเจ็บปวดจากมะเร็งนี้ร้ายจริง ไม่พ้นต้องใช้ยาระงับความเจ็บปวดอย่างแรงประเภท
วัตถุเสพติด


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 มี.ค. 16, 14:39
     บทสุดท้ายของชีวิตลิขิตเอง บทนี้เป็นของคุณย่าวัย 90 ปีแห่งมิชิแกน เริ่มต้นเมื่อราวกลางปีที่แล้ว

              วันนั้น คุณย่า นอร์มา ผู้สูญเสียสามีที่อยู่คู่กันมากว่า 60 ปีได้ 2 วัน มาโรงพยาบาลที่โอพีดี
แผนกนรีเวชเพื่อฟังผลการตรวจ ผลปรากฏว่าคุณย่าเป็นมะเร็งมดลูก
              คุณย่ามาพร้อมลูกชายและลูกสะใภ้ เมื่อคุณหมอแจ้งผลการตรวจและขบวนการรักษาต่างๆ
(ผ่าตัด,ฉายแสง,เคมีบำบัด) จบลง คุณย่าผู้ผอมบางร่างเล็กกล่าวกับคุณหมอด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็งว่า

                 “I’m 90-years-old, I’m hitting the road.”


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 มี.ค. 16, 14:42
          ก่อนหน้านี้ลูกทั้งสองได้แจ้งแก่คุณย่าแล้วถึงผลการตรวจที่อาจจะออกมาเป็นเนื้อร้ายและคุณย่าก็ได้
ตัดสินใจพร้อมบอกกล่าวอย่างชัดเจนว่า ไม่สนใจที่จะรับการรักษาใดๆ ทั้งสิ้น ลูกทั้งสองยอมรับและเห็นด้วย
          ยิ่งกว่านั้นทั้งสองยังได้ตัดสินใจที่จะพาคุณย่า"ออกท่องท้องถนน" ไปด้วยกัน แทนที่จะให้คุณย่าอาศัย
อยู่ในบ้านที่บัดนี้ไม่มีคุณตา หรือว่าไปอยู่ในสถานพยาบาลรอวันสุดท้ายคล้ายกับคุณตาที่จากไป

          ทั้งสองจึงแจ้งแก่คุณหมอว่าจะไม่รับการรักษาแต่จะพาคุณย่าออกท่องไปทุกแห่งหนที่คุณย่าปรารถนา
คุณหมอเห็นด้วยและอวยพร
          วันนั้นมีนักศึกษาแพทย์หญิงออกตรวจเคสกับคุณหมอด้วย ก่อนหน้านี้เธอได้ผ่านแผนกสูติศาสตร์,ได้ทำ
คลอด,ได้เห็นการกำเนิด-การเริ่มต้นชีวิตใหม่ คราวนี้ที่แผนกนรีเวช คุณย่าคือครูผู้สอนเธอถึงอีกฟากฝั่งของชีวิต

คุณย่าที่ Lafayette Cemetery, New Orleans


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 มี.ค. 16, 14:45
            ทีมท่องถนนประกอบด้วยคุณย่า,ลูกชาย,ลูกสะใภ้และน้องหมา ริงโก้ เริ่มออกตระเวนไปด้วย
รถบ้าน เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 มี.ค. 16, 14:46
            เฟซบุค Driving Miss Norma ที่เปิดเพื่อให้ญาติๆ และเพื่อนๆ ได้ติดตามข่าวสารการเดินทาง
กลับมีผู้ที่ไม่ใช่ญาติติดตามอีกนับแสนจากทั่วโลก


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 มี.ค. 16, 14:47
           สื่อต่างๆ ให้ความสนใจและตามไปทำข่าวคุณย่า


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 มี.ค. 16, 14:51
           ทีมรถบ้านคุณย่าออกตระเวนแวะเวียนไปสถานที่ต่างๆ ตามที่คุณย่าประสงค์ เช่น
ไป Mount Rushmore ใน South Dakota, Yellowstone National Park ใน
Wyoming, Grand Canyon ใน Arizona


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 มี.ค. 16, 14:52
และ ขึ้นบัลลูนที่ Orlando, Florida


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 มี.ค. 16, 14:55
ของฝากจากเฟซบุคคุณย่า เว็บ
http://www.upworthy.com/7-powerful-photographs-of-terminally-ill-patients-living-out-their-final-wishes?c=ufb1 (http://www.upworthy.com/7-powerful-photographs-of-terminally-ill-patients-living-out-their-final-wishes?c=ufb1)
         เล่าถึงกิจกรรมของ Ambulance Wish Foundation ที่ได้พาผู้ป่วยวาระสุดท้ายออกจาก
โรงพยาบาลไปยังสถานที่ที่ผู้ป่วยต้องการจะไปเยือนอีกเป็นครั้งสุดท้าย


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ต.ค. 16, 10:05
              หลังจากที่คุณย่านอร์มาปฏิเสธการรักษาและตัดสินใจออกท่องเมริกาทางรถบ้านไปกับ
ลูกชายและสะใภ้ได้ปีเศษ


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ต.ค. 16, 10:06
           และแล้ว ผู้ที่ติดตามการเดินทางของคุณย่าก็ได้รับทราบว่าการเดินทางของคุณย่าได้สิ้นสุดลง
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมนี้ที่เฟซบุ๊ค Driving Miss Norma ได้โพสท์ข้อความนี้


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ต.ค. 16, 10:07
quotesgram.com


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 28 เม.ย. 17, 10:28
บทสุดท้ายนิยายชีวิต(จริง) ที่สวยงาม บทนี้มาจากรายงานข่าวบีบีซี,dailyherald.com เล่าถึง

            คู่รักวัยชราที่จับมือกันไว้ในขณะที่ทั้งคู่ใกล้สิ้นลม  

        คือ คุณปู่ไอแซค วัทกิ้นส์ วัย 91 ปีและคุณย่าเทเรซ่า วัย 89 ปี จากรัฐอิลลินอยส์ ทั้งคู่แต่งงานอยู่ด้วยกันมา 69 ปี
        เมื่อวันเสาร์ (23 เม.ย.นี้) หลังจากที่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลไฮแลนด์พาร์คพบว่าคู่รักวัทกิ้นส์หมดสติและหายใจ
แผ่วลงจึงได้นำเตียงของทั้งคู่มาเรียงชิดติดกัน ส่วนสมาชิกครอบครัวก็ได้จับมือทั้งสองมาประสานกันไว้ เพื่อให้ไอแซคและ
เทเรซ่าได้จับมือกันในวาระสุดท้าย...
        ในที่สุดคุณย่าได้เสียชีวิตก่อน(ด้วยโรคอัลไซเมอร์ส) แล้วหลังจากนั้นคุณปู่ไอแซคก็จากไปอย่างสงบในเวลา 40 นาที
ต่อมา
         ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวดังเรื่องการจากไปในเวลาไล่เลี่ยกันของสองชีวิตที่รักผูกพันกัน นั่นคือ แม่ลูก Debbie Reynolds
และ Carrie Fisher ที่จากไปในเวลาห่างกันหนึ่งวัน ส่วนในบ้านเราที่นึกถึงก็คือ คู่ศิลปินแห่งชาติ "รพีพร" ที่จากไปก่อนแล้ว
หนึ่งเดือน "ป้าโจ๊ว" ซึ่งป่วยเรื้อรังมานานด้วยโรคอัลไซเมอร์จึงจากตามไป


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 28 เม.ย. 17, 10:35
ส่วนเรื่องนี้เป็น บทสุดท้ายที่สวยงามประทับใจจากนิยาย
(ภาพจากพันทิป)


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 เม.ย. 17, 10:52
ู^
ดูเรื่องคุ้นๆ   ;D


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 มี.ค. 19, 10:07
            จากหัวข้อกระทู้ บริทนีย์ ผป.หญิงด้วยโรคมะเร็งสมองที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาเลือกที่จะกระทำ
การุณยฆาต(เอง) ในอเมริกา
            ผ่านมาเมื่อปีที่แล้ว, ข้ามทวีปไปออสเตรเลีย, คุณทวด david-goodall ศาสตราจารย์วัย ๑๐๔ ปี
ที่สังขารซึ่งเสื่อมลงๆ จนไม่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตทำให้คุณทวดตัดสินใจจบชีวิตลงด้วยการบินไปรับ
บริการการุณยฆาตที่สวิตเซอร์แลนด์

https://www.bbc.com/thai/international-44001955


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 มี.ค. 19, 10:10
           ล่าสุดปีนี้, วันนี้้จากสื่อ https://mgronline.com/live/detail/9620000021639 
นำเสนอเรื่องที่ราวกับรวมเคสทั้งสองเข้าด้วยกัน เมื่อหนุ่มไทยผป.ด้วย โรคเนื้องอกสมองที่ไม่ตอบสนองการรักษา
ได้ตัดสินใจไปรับบริการนี้ที่สวิตเซอร์แลนด์


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 มี.ค. 19, 10:11
“ผมไม่รู้จะอยู่ไปทำไม”

          โลกโซเชียลฯ แห่แชร์โพสต์สุดท้ายของหนุ่มไทยรายหนึ่งที่ ป่วยด้วยโรคเนื้องอกในสมอง โดยเขาต้องสู้กับโรคนี้
มาเป็นระยะเวลานาน ผ่านการผ่าตัดรักษาหลายครั้ง ทว่า แนวโน้มการรักษาก็ไม่ดีขึ้นเลย
          หนำซ้ำความเสี่ยงว่าการผ่าตัดครั้งต่อไปอาจจะทำให้เขาต้องเป็นอัมพาต -เจ้าชายนิทรา หวั่นครอบครัวเดือดร้อน
พร้อมเปรยกับครูสอนกีตาร์ว่า “ผมไม่รู้จะอยู่ไปทำไม” เขาจึงตัดสินใจ เดินทางไปสวิตเซอร์แลนด์เพื่อขอรับการการุณยฆาต
และพร้อมจากโลกนี้ไปอย่างมีสติสัมปชัญญะ พร้อมโพสต์ร่ำลาครอบครัว ญาติสนิทมิตรสหาย เป็นครั้งสุดท้าย


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 มี.ค. 19, 11:51
ขอเคารพการตัดสินใจของเขาค่ะ  ชีวิตของเขา เขามีสิทธิ์เลือกทางเดิน


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 04 มี.ค. 19, 12:25
เมื่อสองปีที่แล้ว ดิฉันได้เข้าคอร์สปฏิบัติธรรมกับอาจารย์คุณหมออมรา มลิลา คอร์สนี้มีคุณหมอท่านหนึ่งซึ่งป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายเข้าร่วมปฏิบัติด้วย คุณหมอเล่าว่า ก่อนที่จะป่วยเป็นมะเร็ง ท่านทำงานที่อเมริกามาหลายสิบปี พอรู้ว่าเป็นมะเร็งรักษาไม่หายมีแต่รอวันตาย ท่านจึงตัดสินใจกลับมาเมืองไทย ใช้ธรรมโอสถรักษาใจ ควบคู่ไปกับการใช้ยาประคองกายไม่ให้มันทรมานมากนัก ธรรมโอสถช่วยให้คุณหมอค่อยๆปล่อยวาง ช่วงที่ร่วมปฎิบัติธรรมด้วยกัน ถ้าเจ้าตัวไม่บอก ไม่มีใครรู้เลยว่าคุณหมอป่วยด้วยโรคร้ายและอยู่ในขั้นร้ายแรงขนาดนั้น ท่านยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา ไม่มีอาการของคนป่วยให้เห็นเลย
คุณหมอเพิ่งเสียชีวิตเมื่อกลางปีที่แล้ว ได้ข่าวว่าท่านจากไปอย่างมีสติค่ะ


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 04 มี.ค. 19, 12:51
คำอธิษฐาน (https://www.facebook.com/100000729012079/posts/2493739330660343?sfns=mo)

ขอดวงดาวส่องแสงแจ้งสว่าง
ช่วยนำทางออกไปไกลเรียกขาน
ละโรคร้ายได้ประสบพึงพบพาน
ห้วงจิตแห่งจักรวาลนานนิรันดร์


ขอให้คำอธิษฐานเป็นจริง

RIP


กระทู้: บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 มี.ค. 19, 15:30
           บางเว็บกล่าวว่า การได้ยินและประสาทสัมผัสจะเป็นส่วนรับรู้ความรู้สึกที่เสียไปหลังสุด
หากเป็นไปตามนี้ ช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต, การเปิดเสียงที่ผู้ซึ่งกำลังจะจากไปคุ้นเคยชินที่จะชักนำ
จิตของเขาให้สงบและนึกถึงภพที่ดี เช่น เสียงสวดมนต์ น่าจะเป็นสิ่งที่พึงกระทำ สำหรับในกรณีการุณยฆาต
การที่ผป.ตั้งจิตไว้ไม่ขุ่นข้องแล้วเปิดเสียงนี้ฟังตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นขบวนการน่าจะพอช่วยเหนี่ยวนำจิตของ
ผป.ที่แม้จะง่วงงุนจวนหมดสติได้บ้างโดยเฉพาะหากเป็นจิตที่ฝึกมาแล้ว

ส่วนลิ้งค์ข้างล่างนี้เป็นบทความ วันที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต เมื่อ
วันพฤหัสบดีที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑

https://www.silpa-mag.com/this-day-in-history/article_3007

           (ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๔) ทรงเจริญกรรมฐาน ซึ่งกล่าวกันว่า พระองค์ทรงกำหนดอานาปานัสสติ คือ
การกำหนดลมหายใจเข้าออก ประกอบด้วยภาวนาบทพุทโธกำกับ จึงทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดในสมัยนั้น ได้ยิน
แต่เสียงว่า พุท-โธ, พุท-โธ, พุท-โธ ฯ แล้วพระสุรเสียงค่อยแผ่วเบาลงๆ ได้ยินแต่เพียงคำว่า โธ-โธ-โธ ๆ
แล้วเสด็จสวรรคตด้วยพระอาการอันสงบ