เรือนไทย

General Category => ภาษาวรรณคดี => ข้อความที่เริ่มโดย: เทาชมพู ที่ 01 ธ.ค. 09, 18:36



กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ธ.ค. 09, 18:36
สืบเนื่องจากกระทู้
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=1616.0
ที่สนทนากันเมื่อ ๔ ปีก่อน

ดิฉันพบ"สนุกนิ์นึก" ที่ตัวเองเขียนต่อจนจบ จากพระนิพนธ์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  ที่ทรงค้างเอาไว้ตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๒๙
ส่วนที่แต่งต่อตอนจบ  แต่งไว้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๙  เมื่อมีประชุมทางวิชาการ ๑๐๐ ปีนวนิยายไทย  ระหว่างวันที่ ๓๐ กรกฎาคม-๑ สิงหาคม ๒๕๒๙  ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยศิลปากร 
จุดมุ่งหมายก็คือเพื่อจะดูว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นหรือนวนิยายกันแน่
ได้วิเคราะห์เอาไว้ท้ายเอกสารเมื่อเขียนต่อเรื่องนี้จนจบแล้ว   ถ้ามีสมาชิกอยากอ่านก็จะนำมาลงให้ภายหลัง

สนุกนิ์นึก ลงในหนังสือ วชิรญาณวิเศษ เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๙  ผู้แต่งคือพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าคคณางค์  กรมหลวงพิชิตปรีชากร
เรื่องนี้นับว่าเป็นการเริ่มต้นของวรรณกรรมไทยที่ได้รับอิทธิพลตะวันตกในยุคแรก แม้ว่ารูปแบบการเขียนยังเป็นแบบเก่า คือเล่าติดต่อกันไปเหมือน สามก๊ก และ ราชาธิราช ไม่มีการใช้เครื่องหมายคำพูด หรือการขึ้นบรรทัดใหม่เมื่อมีบทสนทนา ฯลฯ อย่างวิธีการเขียนนิยายปัจจุบัน แต่แนวคิดนั้นได้รับแนวตะวันตก คือแนวสัจนิยม (realism) มาอย่างเห็นได้ชัด

เนื้อเรื่องของ สนุกนึก บรรยายถึงพระสงฆ์หนุ่มๆ ๔ รูปพูดคุยกันว่าเมื่อสึกแล้วจะออกไปประกอบอาชีพต่างๆกัน เช่นทำราชการ และค้าขาย ผู้ที่ยังลังเลไม่สึกก็มีอุบาสิกาเตรียมมาจัดการให้สึกเพื่อจะเอาไปเป็นลูกเขย ข้อสำคัญคือฉากในเรื่องระบุว่าเป็นวัดบวรนิเวศ

ข้อนี้เอง เมื่อลงตีพิมพ์ก็เกิดเป็นเรื่องอื้อฉาวขึ้น เพราะคนอ่านเข้าใจว่าเป็นเรื่องจริงเนื่องจากคนไทยยังไม่คุ้นกับกลวิธีการแต่งแบบสมจริงเช่นนี้ กลายเป็นเรื่องให้วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆจนสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ขณะนั้นทรงเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศเดือดร้อนพระทัยว่าทำให้วัดมัวหมอง ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงกริ้วและกล่าวโทษกรมหลวงพิชิตปรีชากรพอประมาณแล้วก็ทรงไกล่เกลี่ยให้เรื่องยุติลงเพียงแค่นั้น เป็นอันว่าสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯก็ไม่ติดพระทัยจะกล่าวถึงเรื่องนี้อีก ส่วน สนุกนิ์นึก ก็ค้างอยู่เพียงตอนแรก ทิ้งปัญหาไว้ให้นักวิชาการถกเถียงกันว่าเรื่องนี้เป็นนวนิยายหรือเรื่องสั้นกันแน่ และยังไม่มีคำตอบตายตัวมาจนปัจจุบัน

เพราะเหตุนี้ สนุกนิ์นึก จึงไม่จบ หลังจากนั้นแม้ไม่มีเหตุการณ์อื้อฉาวใดๆเกิดขึ้นอีก วชิรญาณวิเศษยังออกตีพิมพ์อยู่จนกระทั่งถึง พ.ศ. ๒๔๓๗ เรื่องสั้นแนวอื่นแพร่หลายสืบต่อมาไม่ขาดสาย แต่เรื่องทำนองเดียวกับ สนุกนึก ไม่ได้ปรากฏออกมาอีกเลย


กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ธ.ค. 09, 18:41
เรื่อง สนุกนิ์นึก
พระนิพนธ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ  พระองค์เจ้าคคณางค์  กรมหลวงพิชิตปรีชากร


วันหนึ่งมีพระสงฆ์หนุ่ม ๔ รูป นั่งสนทนากันอยู่คั่นบันได น่าพระอุโบสถวัดบวรนิเวศน์ ก่อนเวลาลงพระอุโบสถ พอเด็กมาบอกกับพระองค์ ๑ ว่า คุณแม่อินกลับมาแล้ว พระองค์นั้นตอบว่า เออ แล้วเด็กก็ไป
พระองค์ ๑ จึ่งถามว่า คุณสมบุญจะสึกเมื่อไร กำหนดแล้วฤายัง
พระสมบุญจึ่งตอบว่า ยังไม่แน่คอยโยมอินอยู่ พรุ่งนี้จะไปปฤกษาแกดูจึ่งจะตกลงได้ ก็คุณล่ะจะออกวันสิบสองค่ำนี้แน่ฤๅ สึกแล้วจะไปเข้าที่ไหน ทำอะไรบอกกันบ้างสินะ ผมเองนี่ยังลังเลที่สุด ไม่รู้ว่าเข้าที่ไหน
พระเข็มจึงตอบว่า คุณก็เหมือนกันและไปไหนไม่พ้นหละ อีก ๖ วัน ก็แต่งตัวแห่เสด็จฟ้อไปเมื่อวานซืนนี้อีก ผมก็ต้องขอสัญยามั่งน่ะเผื่อถูกดีไก่ฎีกาเข้าบ้าง และเป็นที่พึ่งบ้างนาขอรับ คุณเหลงอย่างไร ยิ้มไปทีเดียวกริ่มใจที่ได้เปรียบเพื่อน มะรืนนี้ละก็ ฮึฮึ อย่านะขอรับ เขาว่าถ้าใจยังไม่ขาดละยังเป็นปาราชิกได้นะขอรับ คุณพระครูท่านว่าอย่างนั้น จริง ๆ นะ
พระเหลงจึ่งว่า พูดอะไรอย่างนั้นผมนะเหลาสิตหลอก ว่าแต่คุณอีกจะลืมกัน ทำไมกับผมคนค้าขายมันก็ได้แค่พอกิน มีแต่ผมจะพึ่งคุณ เปนถ้อยร้อยความสาระพัด เอามาเรามาสบถกันเสียต่อหน้าพระก็ยังเอา ยังไรท่านเข็ม คนสมบุญว่าอย่างไรละ ฮะ เอา แหมละ
สบถไม่สบถมันก็เหมือนกัน คนที่มีใจซื่อถือสัตย์ด้วยกัน รักกันแล้วมันไม่ต้องสบถดอก (นี่ เปนคำพระสมบุญแลพูดต่อไปว่า) ที่จริงการรักกัน ชอบกันช่วยกันนี้เป็นประโยชน์มากเหมือนกับเกลียวเหนียวกว่าด้ายเส้น เรารู้จักเห็นใจกันทั้งนั้น ถ้าสึกหาออกไป ภายน่ามีทุกข์ศุขอย่างไร พอช่วยกันได้ต้องช่วยกันทั้ง ๔ คนเรานี้หละนะขอรับ
ดี ดี เอา เอา พร้อมกันว่า


กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ธ.ค. 09, 18:44
พอถึงเวลาลงโบสถ์ ก็พากันไปสวดในพระอุโบสถ คำพูดที่เล่ามาข้างต้นนี้  ผู้อ่านคงเข้าใจว่า พระสงฆ์ทั้ง ๔ คนนี้ จะสึกพรรษาเดียวพร้อมกัน แสดงเข้าใจกันว่าพระทรัพย์เปนคนอยู่ในกรมพระตำรวจ พระเข็มเปนเสมียนความ พระเหลงเปนลูกจีน แต่พระสมบุญนั้นได้ความแต่ว่าอาไศรยแม่อิน แต่ไม่รู้ว่าเปนคนอย่างไร เพราะฉะนั้นต้องอธิบายกันน้อยหนึ่ง พระสมบุญนี้เป็นบุตรคนมีตระกูลแต่ตกยาก ด้วยติดมากับมารดาซึ่งต้องออกมาจากตระกูล แต่พระสมบุญยังเล็ก ๆ อยู่ มาบวชเณรอยู่วัด มารดาตายไปก็เปนคนสิ้นญาติที่อุปถัมภ์ แต่ญาติฝ่ายบิดานั้นไม่รู้จัก  ฤๅเขาทำไม่รู้จัก
แม่อินเปนหญิงม่ายที่มั่งมีมาก เปนอุบาสิกาอยู่ในวัด มีความรักความประพฤติและสติปัญญาพระสมบุญจึงรับอุปฐากมาจนได้อุปสมบท แม่อินมีบุตรสาวคนหนึ่งชื่อแม่จันอายุได้ 16 ปี แม่อินจึงคิดอ่านในการที่พระสมบุญจะสึก และจะรับไว้ที่บ้าน ความเปนดังนี้

ส่วนพระสมบุญ มีความรู้สึกตัวแต่ว่าเขารักเหมือนลูกเหมือนเต้า ใจก็ยังลังเลไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร อยากเปนคนดี คนวิเสศ มียศ มีทรัพย์ มีชื่อ ที่สุดก็เพียงเสมอน่าพี่น้องที่ชั้นเดียวกัน แต่ทำอย่างไรถึงจะได้อย่างนั้น นั่นแหละเปนความยากที่หนักที่ติดตัว ก็ตัวคนเดียวทุนรอนและที่สนับสนุนก็ไม่มีหลักถานอันใด และแม่อินก็เปนแต่มีทรัพย์ มีทรัพย์อย่างเดียวไม่มีอื่น ถึงเขาจะรักอย่างไร ก็ใครเล่าเปนอย่างพระสมบุญ ที่มุ่งหมายว่าเขาจะทุ่มเทให้สักเพียงใด เพราะอย่างนั้นจึงไม่อยากสึก ด้วยเหนแท้แน่แก่ใจว่า ผ้ากาษาวพัตรเปนที่พึ่งของคนยาก ถึงไม่ทำให้ดีก็ไม่ทำให้ฉิบหายไม่ดิ้นขวนขวาย แล้วไม่มีทุกข์ เปนที่พักที่ตั้งตัวของผู้แรกจะตั้งตัวดังนี้ แต่แม่อินก็มาพูดจาชักชวนอยากจะให้สึกไม่อาจขัด ประการหนึ่งพวกพ้องเพื่อนฝูงก็จะสึกไปหมดพร้อมกัน นั่นแหละความดูตาม ๆ กัน มันก็แรงกล้าพาให้สึกกับเขาบ้างตามนิไสยของคนหนุ่ม ๆ ครั้นพูดไปกันเมื่อหัวค่ำกลับมานอนนึก ๆ ก็รำคาญ ด้วยไม่รู้สึกไปทำไม ใคร ๆ เขาก็มีที่หมายทางเดิร แต่ตัวคนเดียวไม่มีที่มุ่งหมายแห่งช่องใดช่องทางที่จะทำนั้นก็มีถมไป แต่ทำอย่างไรถึงจะดี ๆ ยิ่งกว่าทางอื่น นั้นแลเปนเครื่องรำคาญใจอย่างยิ่งด้วย ด้วยเปนสิ่งจะได้เสียโดยเรว  อยู่แล้วก็นอนตรองอยู่


กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ธ.ค. 09, 21:09
พระเข็มมาหา พระสมบุญก็ยกเอาปั้นน้ำชาหมากพลูมาตั้งแล้วก็ชวนพูดด้วยความร้อนใจว่า คุณ ๆ บัดนี้ผมมีความทุกข์หนัก ด้วยเรื่องราวของผมเปนอย่างไรคุณก็รู้อยู่แล้ว เดี๋ยวนี้ผมจะสึกออกไป คนอย่างผมนี้จะทำอย่างไรอะไรจึงจะดีเปนที่ตั้งตัวสืบไป
พระเข็มจึงว่า ฮา คุณถามความที่ง่ายใคร ๆ ก็ตอบคุณได้ทุกคน แต่เปนข้อความที่คุณจะฟังเอาเปนแน่ไม่ได้สักคน คุณถามไปร้อยคนก็ร้อยอย่าง ผมรู้ที่จะตักเตือนอย่างไร ถ้าจะตอบให้เปนประโยชน์จริงแก่คุณ ๆ ก็ว่าจะเหมือนกับไม่ตอบอีกนะแหละ
เอาเถิดขอรับ เอาเถิดขอรับ พระสมบุญเตือนและพูดต่อไปว่า ผมไม่ว่าคำเดียวถ้าถูกถ้าจริงแล้วก็ดีเสียกว่าคุณตอบผมสักสามวันอีก
พระเข็มยิ้มแล้วจึ่งตอบว่า ถ้าคุณเห็นดังนั้นละผมจะตอบคำเดียวว่า ตามแต่ใจคุณเท่านั้นและขอรับ
อา พระสมบุญคราง ก็สั้นแท้สั้นจริงและกว้างจริงด้วย ผมอยากจะให้แคบเข้าอีกสักหน่อย ขออีกทีเถอะขอรับ
พระเข็มจึ่งว่า ถ้าอย่างนั้นผมจะกลับคำพูดใหม่ว่า วิชาใด ๆ ย่อมเปนของดีแท้หลายอย่างแต่ความรักของผู้เรียนแลผู้ใช้เปนสำคัญ ถ้ารักจริงเรียนจริงก็ใช้เปนประโยชน์จริงตามคำบุราณว่า คนรู้ ร็ให้จริงถึงสิ่งเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล ความข้อนี้เปนความจริงแท้ ถ้าคุณปรารถนาดีคงได้ดี ผมเห็นอย่างนี้แล แต่เรายังเปนเด็กกันสอนกันยังไม่ได้ เพียรไปด้วยกันก็คงจะได้เห็นหน้ากันต่อไป


กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ธ.ค. 09, 21:10
พระสมบุญว่า เอาเปนใช้ได้ตามคุณว่า แต่ตัวคุณเอง จะรักวิชาสิ่งใดจะเดินทางไหนละขอรับ
พระเข็มตอบว่า อ้าว คำถามของคุณเปนอย่างอื่นไปละ เดิมคุณถามถึงตัวคุณ เดี๋ยวนี้ถามถึงผมผิดกันมาก คุณกับผมคนละคน ผมก็คนละอย่าง ส่วนผมเหนง่ายคือผมเดินทางเรียนกฎหมายอยู่ คุณก็รู้จักแล้วผมไม่เหนว่าวิชาใดจะดีกว่า และผมรักสุดใจจึงจับเรียน
เวลานั้นพอพระทรัพย์และพระเหลงมาถึงเข้าพร้อมกัน เหนพระเข็มพูดจาท่าทางปลาดจึงถามว่า พูดอะไรกัน
พระเข็มก็เล่าให้ฟ้ง
พระทรัพย์ก็ขัดคอขึ้นว่า คุณสมบุญอย่าเชื่อเอาพระเข็มนะ ไม่ได้เรื่องดอก อ้ายวิชากฎหมายนั่นแหละ บ๊ะแขนอย่างนี้เอามือทุบพื้นดังกระเทือนไปทั้งกุฏิ ฮะ แขนอย่างนี้ไปเรียนกฎหมายละไม่มีใครไปทัพละ เรียนอะไรไม่เรียน ๆ หลอกเขากิน ….. (เรื่องคงมีต่อไป)

จบพระนิพนธ์ของกรมหลวงพิชิตปรีชากรเพียงเท่านี้


กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ธ.ค. 09, 21:14
ต่อไปนี้ คือส่วนที่ดิฉันแต่งต่อ

              พระเข็มจึงตอบว่า อย่าว่ากัน   ถ้าเพื่อนฝูงเกิดเป็นถ้อยร้อยความขึ้นมา   มีผมอยู่ยังพอช่วยกันได้    เหมือนอย่างเมื่อก่อนลงโบสถ์    ยังพูดว่าจะรักกันช่วยกันเหมือนด้ายเกลียวนั่นปะไร     พระเข็มเกรงว่าพระเหลงจะโกรธ จึงปลอบว่า  คุณทรัพย์พูดเล่นดอก    จะทำมาหากินอะไรย่อมต้องอาศัยพึงพากันทั้งนั้น     ผมสึกออกไปค้าขาย  ถึงได้เงินทอง     หากถูกปล้นสะดมหรือถูกคนฉ้อโกง  ต้องมาพึ่งคุณทรัพย์และคุณเข็มวันยังค่ำ      พระสมบุญเห็นเพื่อนมีทางเดินสอดคล้องต้องกันดี    ยิ่งเกิดความกลุ้มใจ   บอกว่า ผมเองสิยากจน  อยากจะได้ดี  มียศมีทรัพย์เทียมพี่น้อง   เป็นอันอับจนเสียแล้ว     พระเหลงจึงแนะว่า ทำราชการเสียเป็นไร   จะได้เป็นขุนนาง   พระสมบุญจึงว่า จะกราบกรานเข้าช่องทางขุนนางคนไหนก็ไม่รู้จัก   เห็นจะไม่สะดวกลำบากต่างๆนานา
   ความจริง พระสมบุญเป็นคนมีสติปัญญาดี    แต่ว่าไม่รู้จักช่องทางดิ้นรนขวนขวาย   เคยแต่อยู่วัดมาตั้งแต่ยังเด็ก   บวชเป็นเณรแล้วก็เป็นพระ    ไม่รู้เรื่องหนทางทำมาหากินอย่างเพื่อนๆเขา   คิดแล้วก็วิตก   ตกลงใจไม่ถูก    จนเพื่อนๆลากลับไปกุฏิแล้วยังคิดไม่ตก
      วันรุ่งขึ้น แม่อินมาหาพระสมบุญ    ได้พูดจากันสักพัก   แม่อินชวนให้สึก   พระสมบุญอิดเอื้อนไม่อยากไป    แม่อินเห็นพระสมบุญยังไม่ปลงใจ   จึงแย้มความสำคัญให้รู้ว่า  ฉันมีลูกอยู่คนเดียวเป็นหญิง    อยากให้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียให้หมดห่วง     พระสมบุญรู้ความนัยว่าเขาจะยกลูกสาวให้ พร้อมทรัพย์สินเรือกสวนไร่นา   ก็ดีใจเป็นล้นพ้น   จึงรับปากว่าอาตมาบวชสิ้นพรรษานี้จะสึกไปตอบแทนผู้มีพระคุณ      เมื่อสิ้นพรรษา   พระสมบุญก็สึกพร้อมพระเหลง  พระเข็ม  และพระทรัพย์


กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ธ.ค. 09, 21:17
      พระสมบุญสึกแล้วได้แต่งงานอยู่กินกับแม่จัน   ถึงมีทรัพย์อยู่แล้ว   แต่อยากได้ยศ    จึงเข้าเป็นเสมียนในกระทรวงวัง   วิ่งเต้นทางญาติแม่อินช่วยฝากให้    หมายใจว่าจะได้เป็นขุนนางในวันหนึ่ง     ทิดสมบุญเป็นผู้ดีตกยาก   โตมากับวัด  ไม่เคยทำสวน   ไม่เคยทำมาหากิน   จึงไม่รู้จักวิธีทำมาหากินเพิ่มพูนเงินทอง    เป็นเสมียนก็ไม่ขวนขวายอย่างใด   รอแต่บุญวาสนา    หลายปีเข้าก็ไม่เห็นได้ยศตำแหน่งอย่างไร   ฐานะทางบ้านก็ด้อยลง  เพราะมีแต่เรื่องต้องใช้เงิน   ไม่รู้จักหาเงิน
        แม่จันไม่ได้รักใคร่ทิดสมบุญ    ขัดแม่ไม่ได้จึงจำใจต้องแต่งงานอยู่กินกัน    หลายปีเข้า  เห็นว่าไม่มีอะไรดีขึ้น    ต่อมาแม่อินตายลงไป   แม่จันจึงกลับไปผูกสมัครรักใคร่กับนายคล้ายคนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน    นายสมบุญหาจับได้ไม่     อยู่มาวันหนึ่งแม่จันจึงทิ้งผัวเก่าไปหาผัวใหม่เสีย    นายสมบุญเสียใจเสียดายเมีย     ไปตามหาแม่จันถึงบ้านนายคล้าย    เขาก็พากันโห่ร้องไล่ทุบตีว่าเป็นขโมยเข้ามาลักเงินทองในบ้านเขา     เขามัดอกแอ่นจับตัวส่งกองพระตำรวจ    นายสมบุญร้องขออย่างไรก็ไม่เป็นผล    แม่จันกลับไปเข้าข้างผัวใหม่ ปรักปรำผัวเก่าว่าเป็นโจร


กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 03 ธ.ค. 09, 07:39
สนุกค่ะอาจารย์  ตามอ่านนะคะ  เรื่องราวยังเป็นปัจจุบันอย่างยิ่ง  และคาดว่าในอนาคตคงยังไม่ต่างจากนี้นัก


กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 03 ธ.ค. 09, 09:58
สนใจการวิเคราะห์ท้ายเอกสารค่ะ



สนุกนิ์นึก  ระบุว่าเป็น นวนิยาย 
กรมหลวงพิชิตปรีชากรสภานายกหอพระสมุดวชิรญาณ เมื่อรับเวรบรรณาธิการได้เขียน "แจ้งความ" ไว้ว่า

"จึงได้จัดเรื่องสนุกนิ์นึก   ลองแต่งเลียนสำนวนหนังสืออังกฤษส่งมา  แต่เปนเรื่องยืดยาวสักหน่อย
ตามแต่จะลงงได้เพียงใดก็แล้วแต่จะยุติเพียงนั้น"


กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 03 ธ.ค. 09, 10:10
พระราชหัตถเลขา ( ฉบับที่ ๒) กราบทูล เสด็จกรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ แลกรมหมื่นวชิรญาณวโรรส

ความว่า

"หนังสือวชิรญาณในวิกนั้น  หม่อมฉันอยู่ที่บางปอินมีการค้างมาก   หาได้อ่านไม่จนกลับมายังกรุงเทพฯ
ถ้าได้อ่านคงจะได้ว่ากันแต่ก่อนแล้ว      ครั้นทราบว่าเป็นเหตุให้ทรงพระวิตกมากก็มีความร้อนใจนัก
ด้วยทรงพระชราแล้วจะไม่ทรงสบาย     จะเปนอันตรายใหญ่หลวงกับหม่อมฉันผู้ได้มีความนับถือว่าเปนที่
สักการบูชาอันยิ่งใหญ่ตั้งอยู่ในพระพุทธศาสนาอย่าง ๑     เปนใหญ่ยิ่งอยู่ในพระบรมราชวงษ์อย่าง ๑
จึงมีความขัดเคืองกรมหลวงพิชิตมาก"


กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 03 ธ.ค. 09, 10:23
อีกส่วนหนึ่งของพระราชหัตถเลขา


"หม่อมฉันยอมยกโทษถวาย     แต่มีความเสียใจอยู่มากด้วยกรมหลวงพิชิตก็มิใช่คนอื่น  เปนคนบวช
วัดบวรนิเวศ   ได้ยกย่องเปนถึงเจ้าต่างกรมผู้ใหญ่     มาเปนคนไม่คิดหยั่งน่าหลังให้รอบคอบ 
ทำเหตุให้คนที่ไม่ทราบความจริงเปนที่ยินร้ายแก่วัดดังนี้เปนการไม่ควรเลย


แต่บัดนี้เธอก็รู้โทษผิดแลการที่ผิดก็ปรากฏกับคนทั้งปวงมาแล้ว   ก็เหนจะเปนอันล้างมณมณพิลในวัด
กลับเปนโทษแก่ตัวผู้แต่งที่จะต้องติเตียนมากเหมือนกับได้รับบาปทันตาเห็นอยู่แล้ว  ก็ตกลงเปนความ
ปราถนาเปนยุติได้เพียงเท่านี้"



                                       ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

                                                   สยามินทร


กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ธ.ค. 09, 10:31
เมื่อไปถึงตำรวจ    ขุนตำรวจตรีที่สอบสวนนายสมบุญ  จำได้ว่าเป็นนายสมบุญ   จึงถามว่า จำฉันได้ไหม  เคยบวชอยู่ด้วยกันที่วัดบวรนิเวศอย่างไรเล่า    เหตุไรพ่อจึงเป็นโจรไปฉะนี้    นายสมบุญเห็นเข้า จำได้ว่าเป็นพระทรัพย์   บัดนี้เป็นขุนตำรวจไปแล้ว    ดีใจจนน้ำตาไหล   เข้าจับมือเล่าความจริงให้ฟัง   ขุนตำรวจทรัพย์จึงว่า อย่ากลัวไปเลย    เคยสัญญากันไว้ว่ามีทุกข์สุขอย่างไรจะไม่ทิ้งกัน     ถ้าทางเจ้าทรัพย์เขาฟ้องร้องขึ้นศาล  จะไปร้องขอทนายเข็มมาช่วย     ถึงตอนนี้  ผู้อ่านคงจะทราบได้ว่า พระเข็มสึกออกไปเป็นเสมียนความ   ได้พากเพียรจนบัดนี้เป็นทนายความมีชื่อเสียง
   ระหว่างที่นายสมบุญถูกขังอยู่  ได้รับความลำบากมาก   ข่าวแพร่ออกไป  วันหนึ่งเศรษฐีผู้หนึ่งมาหาด้วยตนเอง    นำข้าวปลาอาหารมาให้   นายสมบุญจำไม่ได้    เศรษฐีผู้นั้นจึงบอกว่า อ้าว จำฉันไม่ได้หรือ    ฉันเคยบวชพร้อมพ่ออย่างไรเล่า    เคยชวนให้สบถกันว่าต่อไปจะไม่ทิ้งกัน    ฉันรู้ข่าวว่าพ่อได้รับความลำบากจึงมาช่วยเหลือ     คนผู้นี้คือพระเหลง   เมื่อสึกออกไปได้ไปค้าขาย จนมั่งมีเงินทองขึ้น
   เมื่อคดีถึงศาล  ทนายความเข็มรับว่าความช่วยแก้นายสมบุญออกมาได้   ชี้แจงกับศาลว่านายสมบุญกับแม่จันอยู่กินเป็นผัวเมียกันมาหลายปี   มีพยานรู้เห็นหลายคน    ต่อมาแม่จันหนีไปอยู่กับชู้    นายสมบุญไปตามเมียกลับ   จึงถูกกลั่นแกล้งว่าไปลักของของเขา    แท้จริงเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น   ศาลได้ฟังความแล้วว่าเป็นเรื่องจริง   จึงตัดสินให้นายสมบุญพ้นโทษไป
   เมื่อนายสมบุญพ้นเคราะห์แล้ว   นายเหล็งเศรษฐีช่วยรับตัวไปพักอยู่ด้วยที่บ้าน   มิได้มีความรังเกียจ   นายสมบุญอยู่ได้สักเจ็ดวัน ก็ลากลับมาอยู่บ้านตนเอง


กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ธ.ค. 09, 10:36
วันหนึ่ง ขุนตำรวจทรัพย์ ทนายความเข็ม นายเหลงเศรษฐี พากันมาทำบุญที่วัดบวรนิเวศ   นายเหลงเศรษฐีเดินผ่านโบสถ์  ชี้มือให้เพื่อนดูว่า จำได้ไหม  เมื่อครั้งบวช   เคยอาศัยตีนบันไดโบสถ์พูดคุยกันบ่อยๆ     ทนายความเข็มว่าจำได้ซิ    ไม่นึกว่าที่เคยพูดเล่นกลับเป็นจริง    นึกแล้วให้ขอบใจที่ยังคบกันได้ยืนยาวจนบัดนี้     ได้พึ่งพาอาศัยกันเสมอ      ขณะพูดกันอยู่นั้น  พระรูปหนึ่งลงบันไดโบสถ์มา   ทั้งสามเห็นก็ลงนั่งไหว้     นายเหลงเศรษฐีพูดกับพระว่า มาวันนี้ตั้งใจว่าจะนำอาหารมาถวายท่าน    ท่านอยู่อย่างนี้เป็นสุขดีหรือไร
   พระรูปนั้นคือพระสมบุญนั่นเอง     เมื่อพ้นโทษคราวนั้นกลับมาอยู่บ้านไม่กี่วัน   ใคร่ครวญความเป็นไปในโลก    เกิดความเบื่อหน่าย   เห็นว่าเหตุทั้งหมดนี้เกิดเพราะตนเองสึกออกมาแต่แรก    หากอยู่เป็นคฤหัสถ์ต่อไป ย่อมมีเรื่องเดือดร้อน รบกวนใจไม่มีที่สิ้นสุด    คิดตกจึงหวนกลับมาบวชอีก   บวชอยู่หลายปีได้รับความสบายใจไม่มีทุกข์    จึงคิดว่าจะไม่สึกอีกจนตาย
   เมื่อได้ยินเพื่อนถาม  พระสมบุญก็ตอบว่า  อาตมาเห็นจะตายในผ้าเหลือง     เมื่อครั้งก่อนสึกออกไป  ดิ้นรนหาทุกข์ใส่ตัว    บัดนี้ไม่ดิ้นรนก็ไม่มีทุกข์    ได้ตั้งใจศึกษาพระธรรมมาตลอดแต่ครั้งเป็นเณร    จริงอย่างที่โยมเข็มเคยกล่าวว่า  “ความรู้รู้ให้จริงถึงสิ่งเดียว    แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดคงเกิดผล”    อาตมารู้หนังสือเป็นเสมียนกระทรวงก็รู้หลวมๆ   เอาดีไม่ได้   บัดนี้ศึกษาพระปริยัติธรรม   เห็นจะเดินทางวัดไปจนตาย    ส่วนพวกโยมเลือกทางโลก   ขอให้ประพฤติปฏิบัติดี    มีความสุขความเจริญดังที่ตั้งใจไว้แต่ครั้งเคยบวชด้วยกัน    ทั้งสามก็รับพร้อมกันว่า  สาธุ  ท่านเลือกทางชอบแล้ว    เรื่องก็จบลงเพียงนี้


กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: luanglek ที่ 03 ธ.ค. 09, 11:22
การที่เกิดเรื่องหลังพระนิพนธ์ สนุกนิ์นึก ได้เผยแพร่ออกไป  น่าเป็นเพราะการแต่งเรื่องอ่านเล่นโดยใช้ฉากเป็นสถานที่ที่มีอยู่จริง 
ทำให้คนอ่านในสมัยนั้นเข้าใจว่า เรื่องที่แต่งนั้นเป็นเรื่องจริงไปด้วย 
เรื่องอย่างนี้อาจจะใหม่สำหรับคนไทยสมัยนั้นที่เพิ่งเกิดมีหนังสือพิมพ์แพร่หลายได้นานนัก
ในช่วงต้น  คนอาจจะเคยชินกับการอ่านรายงานข่าว ที่เกิดในสถานที่จริง
หรืออาจจะชินกับอ่านเรื่องแต่งที่ไม่ระบุชื่อสถานที่ หรือหากระบุก็เป็นแต่ชื่อสถานที่ที่สมมติขึ้น
เมื่อมีการเอาเรื่องแต่งมาใช้ฉากสถานที่จริงที่มีคนรู้จักมากและที่สำคัญ เป็นสถานที่ที่ค่อนข้างอ่อนไหวกับเรื่องบางเรื่องเสียด้วย
คนอ่านก็อาจจะเข้าใจว่าคนแต่งอาจจะเอาเรื่องที่เกิดขึ้นจริงมาเขียน 

อนึ่ง ถ้าหากกรมหลวงพิชิตปรีชากร ทรงใช้ฉากเป็นวัดอื่นที่ไม่ใช่วัดบวรนิเวศ และไม่ใช่วัดที่คนทั่วไปรู้จัก
เช่น เป็นวัดต่างจังหวัดไกลๆ หรือวัดเล็กๆ ที่ไม่ใช่วัดหลวง และไม่เป็นวัดที่เกี่ยวข้องกับพระราชวงศ์ผู้ใหญ่
มาเป็นฉากของเรื่องแต่งนี้ บางทีก็อาจจะไม่เกิดเรื่อง หรือมีเรื่องแต่คงไม่หนักหนาก็ได้กระมัง


กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ธ.ค. 09, 11:39
เข้าใจอย่างเดียวกันกับคุณหลวงค่ะ

อย่าว่าแต่สมัยโน้นเลย  แม้แต่สมัยนี้ก็เถอะ   ลองหนังหรือทีวี สร้างเหตุการณ์สมมุติ แต่อิงชื่อสถานที่จริง เช่นสถานศึกษาดังๆสักแห่ง  แล้วสร้างตัวละครให้เป็นนักศึกษา แต่พฤติกรรมเป็นผู้ร้าย ฆ่าข่มขืนเพื่อนร่วมคณะด้วยกัน
เชื่อว่าผู้ใหญ่ในสถาบันนั้นก็ต้องออกมาทักท้วง  ว่าทำให้เสื่อมเสียชื่อสถาบันการศึกษา  ยอมไม่ได้   คงจะเกิดเรื่องถึงขั้นถูกระงับฉาย  หรือออนแอร์ไม่ได้แน่นอน


กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: luanglek ที่ 03 ธ.ค. 09, 11:53
กล่าวเช่นนี้ ก็ทำให้นึกถึงในการ์ตูนญี่ปุ่นหลายๆ เรื่องที่ใช้ฉากเป็นเมืองจริงๆ แต่ตัวละครและเนื้อเรื่องเป็นของแต่งขึ้น 
เขาจะระบุข้อความประมาณว่า เรื่องเป็นแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงหรือเป็นเรื่องสมมติขึ้น
บุคคลและสถานที่จริงที่ปรากฏในเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอย่างใด 
แสดงว่า จริงๆ การใช้ฉากเป็นสถานที่ที่มีอยู่จริงในการแต่งเรื่องอ่านเล่นก็เป็นเรื่องที่ผู้แต่งพึงต้องระมัดระวังมาก


เรื่องบางเรื่อง แม้ว่าจะเกิดจริงเมื่อนานมากแล้ว คนยังไม่ลืม  หรือพยายามลืมไปแล้ว หรือลืมไปแล้ว
แต่มีคนเอามานำเสนออีก บางทีก็กลายเป็นการสะกิดรอยแผลเป็นให้กลายเป็นแผลสดขึ้นได้อีก


กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ธ.ค. 09, 09:22
สวัสดีค่ะ  คุณวันดี
ดิฉันเขียนบทวิเคราะห์ไว้ ๒ บท คือการวิเคราะห์จากมโนทัศน์ของนักวิชาการ     กับการวิเคราะห์จากมโนทัศน์ของนักเขียน
น่าเสียดายว่าอย่างแรกหาไม่เจอ  เจอแต่อย่างหลัง

อย่างแรก จำได้รางๆว่า เป็นการวิเคราะห์ว่าทำไมสมเด็จพระสังฆราชถึงกริ้วเอาเสียมากมาย    แค่เรื่องพระสงฆ์คุยกันในวัดบวรนิเวศ
ก็สันนิษฐานว่ามาจากข้อความที่สนทนากัน  ว่าไม่เหมาะแก่พระสงฆ์จะพูด

"เพราะอย่างนั้นจึงไม่อยากสึก ด้วยเหนแท้แน่แก่ใจว่า ผ้ากาษาวพัตรเปนที่พึ่งของคนยาก     ถึงไม่ทำให้ดี  ก็ไม่ทำให้ฉิบหาย    ไม่ดิ้นขวนขวาย แล้วไม่มีทุกข์    เปนที่พักที่ตั้งตัวของผู้แรกจะตั้งตัวดังนี้"

ทัศนะของพระสมบุญที่ว่ามา แสดงว่าบวชทั้งทีมองไม่เห็นความดีของพุทธศาสนามากไปกว่า  เป็นที่อาศัยอยู่ฟรีกินฟรี ในวัด      ถึงไม่ทำให้ชีวิตได้ดีนัก อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ชีวิตเลวไป     อยู่ไปวันๆก็สบายแล้ว ไม่ลำบาก       ถ้ายังตั้งตัวไม่ได้ก็อาศัยพักตรงนี้ก่อน  มีหนทางเมื่อไรค่อยไป

จริงอยู่ว่าตามประเพณีไทย  ผู้ชายไทยบวชกันระยะเดียวก็สึก    ไม่ถือว่าการบวชคือตั้งใจจะอยู่ในศาสนาอย่างถาวร     คนที่สึกออกไปแล้ว  สังคมไทยก็ยกย่องมากกว่าคนที่ยังไม่ได้บวช
แต่ค่านิยมนี้ก็ไม่ได้รวมว่า  บวชเพราะขี้เกียจจะทำอะไรให้เหนื่อยยากกว่านี้    หรือว่าบวชเพราะยังหาทางไปไม่ได้   หาทางดีกว่านี้ได้แล้วค่อยสึก
ความคิดแบบพระสมบุญ ค่อนไปในทาง "เหลือบ" เกาะกินเลือดศาสนา มากกว่าคนที่ตั้งใจบวชเรียนเพื่อเรียนรู้ทางธรรม    สึกไปก็ยังเป็นคนเต็มคนมากกว่าคนที่ยังดิบอยู่

กรมหลวงพิชิตฯ ท่านสมมุติให้พระสมบุญเป็นพระสงฆ์วัดบวรเสียด้วย    สมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ ท่านเป็นเจ้าอาวาสปกครองอยู่วัดนี้
มิกลายเป็นว่าท่านปกครองไม่ดีหรือ   พระลูกวัดถึงได้ไม่ซึมซับรสพระธรรมและความหมายของการบวชเรียนเอาเสียเลย


กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 04 ธ.ค. 09, 10:17
ขอบคุณคุณเทาชมพูค่ะ

การอ่านเมื่อได้รับฟังการวิเคราะห์จากนักเขียนผู้เป็นนักวิชาการด้วย  ทำให้เข้าใจเพิ่มขึ้น



ชอบการบรรยายหลายตอน

...พระสมบุญนี้เป็นบุตรคนมีตระกูลสูงแต่ตกยาก  ด้วยติดมากับมารดา  ซึ่งต้องออกมาจากตระกูลแต่พระสมบุญยังเล็ก ๆ อยู่
มาบวชเณรอยู่วัด   มารดาตายไปก็เป็นคนสิ้นญาติที่อุปถ้มภ์   แต่ญาติฝ่ายบิดานั้นไม่รู้จักหรือเขาทำไม่รู้จัก


อยากเป็นคนดีคนวิเศษ มียศ มีทรัพย์ มีชื่อที่สุดก็เพียงเสมอหน้าพี่น้องที่ชั้นเดียวกัน  
แต่ทำอย่างไรถึงจะได้อย่างนั้น  นั่นแหละเป็นความยากที่หนักที่ติด




น่าเสียดายที่ กรมหลวงพิชิตปรีชากร มิได้ทรงสร้างสรรค์วรรณกรรมอีกเลย
งานบุกเบิกวรรณกรรมสมัยใหม่ก็ชะงักไปเป็นเวลาปีกว่า





กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ธ.ค. 09, 11:06
กรมหลวงพิชิตปรีชากร ทรงเป็นกวีสำคัญท่านหนึ่งในรัชกาลที่ ๕ 
ถ้าไม่ทรงถูกเบรคด้วยปัญหา "สัจนิยม" ในนิยาย    เราคงจะได้พระนิพนธ์ "โนเวล" มาอีกหลายเรื่อง

โคลงและฉันท์จารึกอนุสาวรีย์พระองค์เจ้าประไพพรรณพิลาส ได้รับยกย่องว่าเป็นพระนิพนธ์โคลงที่แต่งได้ดีที่สุด  แต่งถวายพระเจ้าบรมวงศ์เธอ  พระองค์เจ้าประไพพรรณพิลาส  หนึ่งในพระราชธิดาแฝด ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ซึ่งสิ้นพระชนม์เมื่อปี  พ.ศ. ๒๔๒๙  พระชันษา  ๑  ปี ๓ เดือน
ดิฉันพยายามจะไปลอกพระนิพนธ์มาจากเว็บที่เจอในกูเกิ้ล แต่หลุดทุกที   เข้าไปไม่ได้

คงต้องขอพึ่งคุณเพ็ญชมพู   เผื่อจะมีพระนิพนธ์บทนี้มาให้อ่านกัน


กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: luanglek ที่ 09 ธ.ค. 09, 11:47
พระประวัติและพระนิพนธ์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคัคณางค์ยุคล  กรมหลวงพิชิตปรีชากร

(เอามาจากหนังสือ ประชุมพระนิพนธ์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร (พระองค์เจ้าคัคณางค์ยุคล)  หม่อมราชวงศ์หญิงรสลิน  คัคณางค์ พิมพ์สนองพระคุณคุณย่า  หม่อมสุ่น  คัคณางค์ ณ อยุธยา  วันที่ ๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓)

พระประวัติ

นายพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  ประสูติเมื่อวันจันทร์ แรม ๓ ค่ำ เดือนสิบเอ็ด ปีเถาะ สัปตศก จ.ศ. ๑๒๑๗ ตรงกับวันที่ ๒๗ ตุลาคม ร.ศ. ๗๔ (๒๓๙๘) เป็นปีที่ ๕ ในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชนิพนธ์คาถาพระราชทานพระนามเมื่อครั้งสมโภช ๓ วัน ว่า

คคณางฺคยุคโลยํ         สุขิโต  โหตุ  กุมาโร
ทีฆายุโก  จิรญฺชีวี        ชินาตุ  สพฺพสตฺตเว
อยมฺปิ  ราชกุมาโร        อโรโค   นิรุปทฺทโว
โหตุ  วุฑฺฒิญฺจ  ปปฺโปตุ   วิภเว  กุลสนฺตตเก ฯ

แปล  กุมารน้อยนี้ชื่อว่าคัคณางคยุคลนี้  จงมีสุข มีอายุยืน  มีชีวิตนาน  ชนะศัตรูทั้งปวง  อนึ่งราชกุมารนี้  จงไม่มีโรค  ไม่มีอุปัทว  ถึงซึ่งความเจริญในสมบัติอันเป็นของตระกูล เทอญฯ  นอกจากคาถาพระราชทานพระนามแล้ว ยังพระราชวิจารณ์รัชกาลที่ ๔ ที่ทรงพระราชนิพนธ์ขับดวงพระชันษาพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  ไว้อย่างละเอียดด้วย

มีเรื่องเล่าว่า  เมื่อพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  ยังทรงพระเยาว์ว่า ครั้งหนึ่งได้ตามเสด็จออกขุนนาง ณ ท้องพระโรง ทรงเห็นกรมหมื่นภูเรศธำรงศักดิ์ซึ่งมีพระชนมายุรุ่นราวคราวเดียวกับพระองค์ไปประทับกับเจ้าพระยาภูธราภัยซึ่งเป็นคุณตาอยู่เนืองๆ  จึงทรงน้อยพระทัยประทับเหงาอยู่  จนรัชกาลที่ ๔ ทรงสังเกตเห็น  ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  ได้รับสั่งถามเจ้าจอมมารดาพึ่งต่อหน้าพระที่นั่งว่า ใครเป็นคุณตาฉัน เจ้าจอมมาดาประหลาดใจที่รับสั่งเช่นนั้น รัชกาลที่ ๔ จึงตรัสเล่าพระอาการของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  ให้เจ้าจอมารดาพึ่งทราบ  เจ้าจอมมารดาพึ่งจึงกราบทูลว่า เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์นั่นและเป็นคุณตา  รัชกาลที่ ๔ ได้มีรับสั่งเล่าเรื่องให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ทราบ  ท่านก็รับเป็นคุณตาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  และได้ท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ยังได้รับธุระอุปการะแก่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  แต่นั้นมา ถึงกับทูลขอพาพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  ไปเมืองสิงคโปร์ด้วย เมื่อครั้งเดินทางไปกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร  และเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ยังได้หาที่ดินและสร้างวังที่ริมประตูสามยอดถวายพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  อีกด้วย

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  ได้เสด็จเข้าพระราชพิธีโสกันต์เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ร.ศ. ๘๖ (๒๔๑๐) พร้อมกับกรมหมื่นอดิศรอุดมเดช และกรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ รวม ๓ องค์ และได้ทรงผนวชเป็นสามเณรใน ร.ศ. ๘๗ (๒๔๑๑) โปรดให้เสด็จไปประทับที่พระปั้นหยา วัดบวรนิเวศ ซึ่งเป็นที่ประทับของรัชกาลที่ ๔ เมื่อทรงพระผนวชที่วัดบวรนิเวศนั้น   วันที่ ๑ ตุลาคม ร.ศ.๘๗ (๒๔๑๑) รัชกาลที่ ๔ เสด็จสวรรคต รุ่งขึ้นวันที่ ๒ ตุลาคม สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ได้กราบทูลให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  ทรงลาผนวชมาทรงประคองพระโกศพระบรมศพ  กับกรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ด้วยกัน  จากนั้นได้เสด็จออกมาประทับที่วังริมประตูสามยอด


กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: luanglek ที่ 11 ธ.ค. 09, 13:56
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ  พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  ทรงเจริญพระชันษาพอที่จะทำราชการได้  รัชกาลที่ ๕จึงโปรดเกล้าฯ ให้ทรงเป็นนายด้านทำการสร้างหอพระคันธารราฐในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งค้างมาแต่รัชกาลที่ ๔   นอกจากนี้  พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  มีพระอัธยาศัยนิยมในการศึกษากฎหมายและอรรถคดีเป็นพิเศษ รัชกาลที่ ๕ ทรงสังเกตเห็นเช่นนั้น จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  ไปทรงศึกษากฎหมายและการหัดพิจารณาความในสำนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ  กรมพระเทเวศร์วัชรินทร์  ซึ่งในขณะนั้นทรงบัญชาการศาลรับสั่ง

ปี ร.ศ.๙๓ (๒๔๑๗)รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งองคมนตรีสภาขึ้น  พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  ได้ทรงเป็นองคมนตรีในคราวแรกโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง  และเมื่อตั้งรัฐมนตรีเป็นกรรมการชำระความรับสั่งบางเรื่อง ได้โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีพิจารณษความรับสั่งด้วย  ครั้นตั้งศาลฎีกาขึ้นอีก ได้โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  ทรงบัญชาการในตำแหน่งอธิบดีคนแรกของศาลฎีกา

ปี ร.ศ. ๙๔ (๒๔๑๘)พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  ทรงเจริญพระชันษาครบที่จะทรงผนวชเป็นพระภิกษุ  รัชกาลที่ ๕ จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้ทรงผนวชปีนั้น แล้วเสด็จไปประทับจำพรรษาที่วัดบวรนิเวศ ๑ พรรษา แล้วทรงลาผนวชออกมาทรงรับราชการเช่นเดิม

ปี ร.ศ. ๙๕ (๒๔๑๙) รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระอิสริยยศพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  ให้เป็นกรมหมื่นพิชิตปรีชากร  โดยรัชกาลที่ ๕ ได้เสด็จฯ ไปพระราชทานพระสุพรรณบัฏที่วังริมประตูสามยอดตามธรรมเนียมการตั้งกรมแต่ก่อน  จากนั้นมาก็ทรงรับราชการในตำแหน่งอื่นๆเพิ่มขึ้นอีก คือ ทรงเป็นอธิบดีศาลแพ่งเกษม และทรงเป็นอธิบดีศาลแพ่งกลาง  เมื่อได้ทรงว่าราชการศาลแพ่งนั้น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  ได้ทรงมีส่วนในการสำคัญ ๒ ประการ คือ ทรงช่วยเหลือเรื่องพระบรมราโชบายเลิกทาสของรัชกาลที่ ๕ โดยได้ทรงชำระคดีความเรื่องทาศให้เป็นไปตามพระราชประสงค์พระราชบัญญัติที่รัชกาลที่ ๕ ทรงประกาศเรื่องการเกษียณอายุทาสให้ลุล่วงไปด้วยดีประการ ๑ และได้ทรงพระดำริออกแบบแผนวิธีทำบริคณห์สัญญาให้เป็นหลักฐานใช้ทั่วทั้งพระราชอาณาจักรมาจนปัจจุบัน

ปี ร.ศ. ๑๐๓ (๒๔๒๗) รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  เสด็จขึ้นไปจัดการศาลต่างประเทศและการปกครองแบบใหม่ที่หัวเมืองเชียงใหม่ โดยใช้วิธีตั้งเสนา ๖ ตำแหน่ง  จากนั้นได้ขยายไปใช้ยังหัวเมืองอื่นๆทั่วมณฑลพายัพ  พอถึง ร.ศ. ๑๐๔ (๒๔๒๘) ได้เสด็จกลับมาที่กรุงเทพฯ ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนกรมเป็นกรมหลวงพิชิตปรีชากร  ในระยะนี้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  ได้มีพระดำริเรื่องรวมศาลต่างๆ ที่อยู่ต่างกระทรวง เข้าไว้ในกระทรวงยุติธรรมทั้งหมด เพื่อให้อำนาจหน้าที่กระทรวงต่างๆ เป็นเฉพาะเรื่องไปไม่ปะปนกัน  พระองค์ได้ทรงทำความเห็นทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๕ ได้โปรดเกล้าฯ ให้นำเข้าที่ประชุม เจ้ากระทรวงต่างๆ เห็นว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะทำการเช่นนั้น  ความคิดเรื่องจัดตั้งกระทรวงยุติธรรมของพระองค์เป็นอันพับไป

ปี ร.ศ. ๑๑๐ (๒๔๓๔) เกิดปัญหาเรื่องการปกครองหัวเมืองอีสาน ที่เป็นหัวเมืองชั้นนอกบ้างและหัวเมืองประเทศราชบ้าง  รัชกาลที่ ๕ จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  เสด็จไปจัดการหัวเมืองอีสานในฐานะข้าหลวงใหญ่สำเร็จราชการมณฑลอีสาน  และเผอิญเกิดเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ขึ้น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  ก็ทรงรับพระภาระจัดการหัวเมืองอีสานให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี  จนเมื่อเหตุการณ์ทางอีสานเรียบร้อยมากขึ้น รัชกาลที่ ๕ จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  เสด็จกลับมากรุงเทพฯ  ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฏ์ ต้องเสด็จไปราชการ ณ ต่างประเทศ ทำให้ตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมว่างลง  จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม และได้ทรงชำระคดีพระยอดเมืองขวางในฐานะหัวหน้าผู้พิพากษาฝ่ายไทยด้วย

ปี ร.ศ.๑๑๓ (๒๔๓๗) พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร เริ่มมีพระอาการประชวรด้วยพระโรคชนิดหนึ่ง  พอปี ร.ศ. ๑๑๕ พระอาการพระโรคนั้นกำเริบหนัก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม  ซึ่งรัชกาลที่ ๕ ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตตามที่ทรงขอ  แต่ยังโปรดเกล้าฯ ให้ทรงเป็นกรรมการศาลฎีกาอยู่ ด้วยรัชกาลที่ ๕ ทรงเสียดายพระปรีชาและพระเกียรติคุณของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร    กระนั้นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  ก็ทรงปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวเป็นครั้งคราว เพราะต้องเสด็จไปประทับรักษาพระองค์ที่หัวเมืองชลบุรี  จนกระทั่งพระอาการพระโรคกล้ามากขึ้นจึงเสด็จกลับมาประทับที่วังริมประตูสามยอด

วันที่ ๑๑ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๘ (๒๔๕๒) เวลา ๔ โมงเช้าเศษ  พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร  สิ้นพระชนม์  สิริพระชันษาได้ ๕๔ ปี ๔ เดือน ๑๕ วัน


กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 11 ธ.ค. 09, 15:46
โคลงและฉันท์จารึกอนุสาวรีย์พระองค์เจ้าประไพพรรณพิลาส ได้รับยกย่องว่าเป็นพระนิพนธ์โคลงที่แต่งได้ดีที่สุด  แต่งถวายพระเจ้าบรมวงศ์เธอ  พระองค์เจ้าประไพพรรณพิลาส  หนึ่งในพระราชธิดาแฝด ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ซึ่งสิ้นพระชนม์เมื่อปี  พ.ศ. ๒๔๒๙  พระชันษา  ๑  ปี ๓ เดือน
ดิฉันพยายามจะไปลอกพระนิพนธ์มาจากเว็บที่เจอในกูเกิ้ล แต่หลุดทุกที   เข้าไปไม่ได้

คงต้องขอพึ่งคุณเพ็ญชมพู   เผื่อจะมีพระนิพนธ์บทนี้มาให้อ่านกัน

พระนิพนธ์ ภุชงคประยาตฉันท์ และโคลงสี่สุภาพ โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคัคณางคยุคล กรมหลวงพิชิตปรีชากร บนแผ่นจารึกใต้ปราสาทอนุสาวรีย์พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าประไพพรรณพิลาศ ในสุสานวัดราชบพิธ แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร จังหวัดกรุงเทพมหานคร



กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 11 ธ.ค. 09, 15:49
.


กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 11 ธ.ค. 09, 15:51
..


กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 11 ธ.ค. 09, 15:52
...


กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 11 ธ.ค. 09, 16:04
คำจารึกข้างบนนี้นำมาจากหนังสือ ชุมนุมพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๕ ภาคปกิณณกะ ภาค ๑
http://161.200.145.33/rarebook-ft/toc.asp?dirid=I0034&dirname=ชุมนุมพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่%20๕%20ภาคปกิณณกะ%20ภาค%20๑ (http://161.200.145.33/rarebook-ft/toc.asp?dirid=I0034&dirname=ชุมนุมพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่%20๕%20ภาคปกิณณกะ%20ภาค%20๑)
http://161.200.145.33/rarebook-ft/doc.asp?dirid=I0034&page=0000_10&dirname=ชุมนุมพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่%20๕%20ภาคปกิณณกะ%20ภาค%20๑ (http://161.200.145.33/rarebook-ft/doc.asp?dirid=I0034&page=0000_10&dirname=ชุมนุมพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่%20๕%20ภาคปกิณณกะ%20ภาค%20๑)



กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: luanglek ที่ 11 ธ.ค. 09, 16:20
ขออนุญาตเพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับพระนิพนธ์ฉันท์และโคลงจารึกอนุสสาวรีย์พระองค์เจ้าประไพพรรณพิลาศเล็กน้อยครับ

"...ฉันท์แลธดคลงจารึกอนุสาวรีย์นี้  ใครได้อ่านมีความเห็นเป็นอันเดียวกันว่าแต่งดีที่สุดในกลอนไทย  ไม่มีกวีคนใดที่ปรากฏมาแต่ก่อนแต่งดีกว่านี้ได้  มีคำกระซิบกล่าวกันในเวลานั้นว่า  กรมหลวงพิชิตฯ ทรงแต่งดีได้อย่างนี้อาจจะร้อนพระทัยในภายหน้า  เมื่อโปรดฯ ให้แต่งสำหรับจารึกอื่นซึ่งสำคัญยิ่งขึ้นไป  กรมหลวงพิชิตฯ จะไม่สามารถทรงแต่งได้ดีถึงอนุสสาวรีย์นี้  คำที่กล่าวนี้ทราบถึงกรมหลวงพิชิตฯ ครั้นภายหลังมาก็เป็นจริงอย่างเขาว่า  เคยตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า "มันจริงของเขาเสียแล้วนะน้องเอ๋ย"..."

ข้อความนี้เป็นคำของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ทรงเล่าไว้ในหนังสือประชุมพระนิพนธ์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร เมื่อพิมพ์ครั้งแรก ปี ๒๔๗๒ ในคราวฉลองอายุครบ ๗๐ ปี หม่อมสุ่น คัคณางค์ ณ อยุธยา โดยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภาพรรณี โปรดให้พิมพืแจกในงานดังกล่าว แล้วได้พิมพ์อีกครั้งในในปี ๒๔๙๓ ในงานศพหม่อมสุ่นฯ


กระทู้: สนุกนิ์นึก ต้นและจบ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ธ.ค. 09, 21:24
ขอบคุณคุณเพ็ญชมพูค่ะ   :D