สนใจเรื่องการถลุงเหล็กและโลหะอย่างอื่นค่ะ. สมัยโบราณเขาทำกันอย่างไร. เครื่องไม้เครื่องมือเป็นแบบไหน
การถลุงเหล็กการที่ถลุงแร่เหล็กนี้ก็ใช้ทุบโขลกให้ตัวแร่แตกแต่ชั้นนอก หรือแตกละเอียดไปหมดทั้งนั้นก็ตาม
แล้วจึ่งรวมลงในเบ้ายกขึ้นตั้งบนเตาสูปไป การที่ปั้นเบ้าสำหรับหลอมแร่ที่ถลุงแล้วนี้ ก็ทำเหมือนเบ้าที่
หลอมทอง แต่ทำให้ใหญ่ สูงประมาณศอกหนึ่งปากกว้างประมาณคืบหนึ่ง ตัวเบ้าหนาประมาณนิ้วหนึ่ง
มีสัณฐานเหมือนเบ้าหลอมทอง ทำด้วยดินเหนียวผสมด้วยแกลบเผาเหมือนทำเบ้าหลอมทอง การที่
ตั้งเตาก็ทำเหมือนเตาตีเหล็ก เมื่อเขายกเบ้าขึ้นตั้งบนเตาไฟแล้วก็ตั้งสูบไป เสียงสูบดังสนั่นไปตามที่ๆ
เขาตั้งเตาหลอมเหล็ก ด้วยในตำบลที่เขาตั้งเตาหลอมเหล็กนั้น มีโรงหลายโรงตั้งอยู่เปนหมู่ ๆ ราย
กันทั่วไป คราวที่เขาหลอมเหล็กเปนเวลาเช้าตอนหนึ่งเวลาเย็นตอนหนึ่ง ครั้นจะทำในเวลากลางวันก็เปน
เวลาร้อนมาก ในชั่ววันหนึ่ง ๆ เขาลงมือทำตั้งแต่เวลาตีสิบเอ็ดทุ่มจนถึงเช้าสองโมงหยุด ตั้งแต่เวลาบ่าย
๔ โมงแล้วไปลงมือทำจนถึงเวลา ๒ทุ่มหยุด
การที่หลอมแร่เหล็กนี้เขาสูบไปพักนึ่ง ประมาณชั่วโมงเศษจึ่งเทออกจากเบ้าเดิมเปลี่ยนเบ้าใหม่ ตั้งสูบไปอีกกว่า
จะได้ที่ ในคราวที่สูบพักหนึ่ง ๆ ต้องเปลี่ยนคนสูบเสมอ ๒ คนหรือ ๓ คนจึ่งจะได้ ถ้าจะตั้งสูบไปแต่ผู้เดียว
ในชั่วพักหนึ่งนั้นสูบไปไม่ไหว เพราะสูบที่เขาใช้ในการหลอมแร่เหล็กนี้ เปนสูบใหญ่กว่าสูบที่เขาใช้ตี
เหล็กในสยามนี้ การที่หลอมคราวแรกเขามักหลอมพร้อมกันสองเบ้าในเตาอันเดียว ด้วยประสงค์ว่าถ้า
แร่เหล็กในเบ้าทั้งสองนั้นละลายแล้ว ถึงจะยังไม่สิ้นโทษคือมูลเหล็กก็ตาม เมื่อสูบเต็มที่ในพักหนึ่งแล้ว
จะได้เทรวมลงในเบ้าใหม่เบ้าเดียวพอดี ครั้นเมื่อเขาสูบลอมละลายชั่วพักหนึ่งแล้ว ก็เทรวมเข้าเบ้าใหม่
คราวที่ ๒ ตั้งสูบไปประมาณชั่วเวลาเท่าพักคราวแรกแล้วก็เทออกจากเบ้าที่สองไปเข้าเบ้าที่สาม แล้วยกขึ้นตั้ง
บนเตาไฟสูบไฟอีก ในคราวที่ ๓ นี้เปนคราวที่แร่เหล็กที่หลอมจะสิ้นโทษ แลดูที่ในเบ้าเมื่อกำลังละลายคว้าง
อยู่นั้นประหนึ่งว่าทองคำที่เนื้อสุก เขาเห็นว่าสิ้นโทษคือมูลเหล็กที่พาให้เปราะ แลที่ปนด้วยกรวดทราย
ต่าง ๆ แล้ว ก็เทออกจากเบ้าที่สามลงในรางดิน
เรียกว่ารางดินนั้นคือ เขาขุดแผ่นดินให้เปนรูปเหมือนที่เททอง หรือจะให้เปนรูปอย่างไรก็ตาม แล้วแต่ความประ
สงค์ของเขา แต่ที่รางนั้นต้องขุดไว้ในที่ไม่สู้ไกลนัก แต่เตาเหล็กไปประมาณ ๓ ศอก ครั้นไกลนักก็จะเปนที่ลำบาก
ในคราวที่เอาคีมคีบเบ้าจะไปเท เบ้าที่หลอมแร่เหล็กนี้ที่ปากเบ้ามีลิ้นอยู่ข้างปากที่จะเอียงเทเนื้อเหล็กออก ลิ้นปากเบ้า
นั้นสำหรับจะได้กันเอาฝ้ามูลเหล็กที่ลอยอยู่บนเนื้อเหล็ก ไม่ให้ ไหลปนลงกันเนื้อเหล็กได้ ปากเบ้าข้างที่มีลิ้นนั้นทำให้เพล่
ไว้ แลเจาะให้เปนช่องใต้ลิ้นนั้นประมาณเท่าสองนิ้วเหมือนรูปกรวยตรงออกไปตามปากเบ้าที่ทำเพล่ไว้นั้น เนื้อเหล็ก
ที่เขาเทลงไว้ที่รางดิน นั้นย่อมไหม้ดินควันพลุ่งอยู่นานประมาณเกือบ ๒ ชั่วโมงจึ่งเย็น เมื่อเย็นแล้วเขาก็เก็บรวมกอง
ไว้ตั้งหลอมใหม่ต่อไปกว่าจะสิ้นคราว ในคราวหนึ่ง ๆเตาหนึ่งย่อมได้เนื้อเหล็กเสมอ ๑๐๐ ก้อนขึ้นไป
การที่ขายเนื้อเหล็กที่หลอมแล้วนี้ เขาก็ขายแก่คนที่อยู่ในบ้านเมืองเดียวกันนั้นบ้าง
ขายไปแก่คนที่อยู่ในประเทศที่ใกล้เคียงกัน เปนต้นว่าเมืองยโสธร หรือเมืองอุบลราชธานี ประเทศ
เหล่านี้เปนต้น ย่อมใช้เหล็กเมืองสุวรรณภูมิทั้งสิ้นผู้ที่ซื้อเอาเนื้อเหล็กไปทั้งก้อน ๆ นั้น เขาก็เอาไปตีแผ่
ออกทำเปนมีด, พร้า, จอบ, เสียม, ดาบ,ขวาน, เปนต้นสำหรับจะได้ซื้อขายแก่ผู้ที่มีความต้องการ แลเปนส่วน
ที่จะหาประโยชน์กำไร
ของพวกช่างเหล็กทั้งปวงด้วยแลเหล็กบ่อเมืองสุวรรณภูมินี้ เปนเหล็กไม่สู้ดีทีเดียว
เมื่อทำเปนอาวุธมีมีดเปนต้น ใช้ไม่สู้ดีเหมือนเหล็กประเทศจีนแลประเทศฝรั่งทั้งปวง เหล็กบ่อเมือง
สุวรรณภูมินั้น เปนเนื้อเหล็กอยู่ข้างจะอ่อนมากเพราะฉนั้นเมื่อช่างเหล็กเขาเอามาตีเปนอาวุธมีมีดเปนต้น
จึงไม่สู้คมถึงคมก็ไม่ทนได้นาน ต้องอาไศรยชุบบ่อย ๆจึ่งจะเปนการดีได้ ด้วยเหตุนี้เนื้อเหล็กที่บ่อเมือง
สุวรรณภูมิ จึ่งไม่ค่อยแพร่หลายไป ในประเทศต่าง ๆผู้ที่ถลุงแร่เหล็กแลหลอมเนื้อเหล็ก ในปีหนึ่ง ๆ
คราวหนึ่ง ๆ จึ่งมีประโยชน์แต่น้อย ไม่สมควรแก่ความเหนื่อย ถึงอย่างนั้นในทุกปีที่ล่วงแล้วมาจนเดี๋ยวนี้
ราษฏรในประเทศนั้น ก็ยังประกอบการถลุงแร่หลอมเนื้อเหล็กเสมอมาทุกปีมิได้ขาด ด้วยเปนสิ่งหาผล
ประโยชน์ของเขาส่วนหนึ่ง