กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 เม.ย. 14, 09:21 วันหนึ่งคุณศรีมนา สุริยะหรือที่ผมเรียกอย่างเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยอยู่มัธยมว่าคุณต้อย ได้เอื้อเฟื้อให้ผมได้ดูสมุดภาพโปสการ์ดเก่าๆของสยามที่เธอสะสมไว้ถึง๓เล่มใหญ่ๆ และอนุญาตให้ผมถ่ายบางรูปที่ผมสนใจมาเผยแพร่ได้ในเรือนไทย ผมได้มาก็เอาดองไว้นานแล้ว ถ้าไม่นำรูปภาพที่มีค่าเหล่านี้ออกมาเผยแพร่ ผู้สนใจประวัติศาสตร์ของชาติก็อาจจะไม่มีโอกาสได้เห็น จึงขอทำการบ้านที่ผลัดวันประกันพรุ่งไว้นั้นให้แล้วเสร็จ
อนึ่งขอแจ้งให้ทราบกันก่อนว่า ภาพสะสมของคุณศรีมนามีเยอะมากก็จริง แต่ก็ซ้ำๆกับที่เราได้เห็นๆกันอยู่แล้วในเวปต่างๆ ดังนั้นภาพที่ผมจะเอามาลง ก็คงมีจำนวนไม่มากนัก เอาเฉพาะที่ผมไม่คุ้นตาก็แล้วกัน ...และระหว่างที่กระทู้ดำเนินอยู่ หากคุณหนุ่มสยามผู้มั่งคั่งด้วยมรดกวัฒนธรรมประเภทนี้ จะกรุณาเอาภาพในกรุ แบบที่ลงในเฟสบุคส์มาลงไว้บ้างก็จะเป็นที่น่ายินดี และเชิญท่านอื่นๆด้วยนะครับ อะไรที่คิดว่าไม่ซ้ำซากกับที่เขาลอกกันมาลงตามเวปทั่วๆไป ชนิดที่เป็นแบบภาพหายาก กรุณาเอามาแลกเปลี่ยนกันชมด้วย กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 เม.ย. 14, 09:27 ยาจกมานั่งแถวหน้าค่ะ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 เม.ย. 14, 09:28 สถานีรถไฟหัวลำโพงสมัยที่สร้างตั้งแต่รัชกาลที่๕
ภาพขณะจะมีการเสด็จพระราชดำเนิน รูปนี้น่าจะถ่ายในรัชกาลที่๖ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 เม.ย. 14, 09:31 สมัยนั้น รถไฟเปิดบริการได้แค่กรุงเทพกับกรุงเก่าเท่านั้น และนี่คือสถานีอยุธยา
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 22 เม.ย. 14, 09:48 สถานีรถไฟหัวลำโพงสมัยที่สร้างตั้งแต่รัชกาลที่๕ ภาพขณะจะมีการเสด็จพระราชดำเนิน รูปนี้น่าจะถ่ายในรัชกาลที่๖ ถ้าจะให้ถูกต้องตามแบบคนโบราณเรียกก็จะต้องเรียกว่า สถานีรถไฟกรุงเทพ ซึ่งอาคารยอดแหลมนี้มีผู้วิเคราะห์ไว้ว่าเป็นโครงสร้างชั่วคราว ไม่ใช่อาคารถาวรคือ ก่ออิฐถือปูน และตัวสถานีตั้งอยู่ตรงแถววัดเทพศิรินทราวาส ไม่ใช่ตรงสถานที่ในปัจจุบันนี้ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 22 เม.ย. 14, 14:49 สถานีรถไฟหัวลำโพงสมัยที่สร้างตั้งแต่รัชกาลที่๕ ภาพขณะจะมีการเสด็จพระราชดำเนิน รูปนี้น่าจะถ่ายในรัชกาลที่๖ (http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5959.0;attach=48055;image) ภาพชัด ๆ หน้าตาเป็นอย่างนี้หนอ (http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png) กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 เม.ย. 14, 16:33 ภาพและคำบรรยาย ป้ายมาจากสมุดหน้าของคุณหนุ่มสยาม
สถานีรถไฟกาญจนบุรี สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นอยู่กันหนาแน่น กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 เม.ย. 14, 18:51 กระทรวงโยธาธิการในภาพนี้ แต่เดิมพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงสร้างเป็นพระตำหนักพระราชทานให้เป็นที่ประทับของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชมพูนุท กรมขุนเจริญผลพูนสวัสดิ์ อยู่บนถนนอัษฎางค์ เขตวังด้านใต้ติดกับถนนหน้าวัดราชบพิธ เมื่อกรมขุนเจริญผลพูนสวัสดิ์สิ้นพระชนม์ จึงดัดแปลงให้เป็นที่ว่าการกระทรวงโยธาธิการ ซึ่งเปลี่ยนมาเป็นกระทรวงคมนาคมในรัชกาลนั้น
เมื่อกษัตริย์ David Kalakaua ซึ่งทรงใช้คำว่ากิงกาลกวัว กษัตริย์องค์สุดท้ายของฮาวายเสด็จมาเยือนสยาม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯได้ถวายการต้อนรับ และโปรดเกล้าฯให้ประทับ ณ วังของกรมขุนเจริญผลพูนสวัสดิ์นี้ ผมเคยเขียนเรื่องราวช่วงนั้นไว้ ท่านที่ยังไม่เคยอ่านสามารถจิ้มระโยงไปยังกระทู้ดังกล่าวได้เลยครับ http://www.reurnthai.com/index.php?topic=5767.30 ภาพของคุณศรีมนาถึงจะไม่ใหม่ขนาดไม่เคยเห็นมาก่อน แต่คมชัดกว่าเดิมที่เคยหาได้ ผมจึงขอนำมาลงซ้ำครับ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: ืnoon ที่ 22 เม.ย. 14, 19:04 มีเรื่องมาเล่าเพิ่มเติมค่ะ คุณศรีมนา เป็นลูกสะใภ้ของท่านผู้หญิงศรีนาถ สุริยะ นักเขียนเรื่องประวัติศาสตร์
และเป็นผู้ทำหนังสือที่ระลึกงานศพท่านผู้หญิง มีเรื่องราวน่าสนใจอยู่มากมายค่ะ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 เม.ย. 14, 19:36 ครับ ครอบครัวสุริยะเป็นผู้ที่มีผลงานฝากไว้ในแผ่นดินทั้งนั้น คุณพ่อสามี พลอากาศโทมานพ สุริยะท่านเป็นนักบินขับไล่ไอพ่นรุ่นแรก(๓คน)ของประเทศไทย ไปรับเครื่องT33Aจากมนิลา บินเกาะหมู่กลับมากรุงเทพได้อย่างปลอดภัย คุณสามี ร.ศ.นพนิธิ สุริยะ นอกจากจะเป็นอาจารย์สอนวิชากฏหมายในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศสาตร์แล้ว ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญกฏหมายระหว่างประเทศ มีผลงานมากมายอีกคนหนึ่งด้วย
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 เม.ย. 14, 19:38 ผมเคยเขียนประวัติของตำรวจไทยไว้ในกระทู้ชื่อ “กัปตันเอมซ์ นายตำรวจแบบยุโรปคนแรกของสยาม” ตามระโยงข้างล่าง
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=5425.0 ในกระทู้ดังกล่าวหารูปโรงพักโปริศที่สามแยกในสมัยนั้นได้มาดังภาพข้างล่าง แต่ในสมุดภาพของคุณศรีมนามีรูปโรงพักเดียวกันอีกรูปลักษณ์หนึ่ง มีเจดีย์อยู่ด้านหน้าด้วย ภาพนี้ผมไม่เคยเห็นจึงขอมาลงไว้ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 เม.ย. 14, 19:40 เจดีย์มาก่อนประดู่ หรือประดู่มาก่อนเจดีย์ ??
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 เม.ย. 14, 06:39 อีกภาพหนึ่ง โรงพักบางรักแบบชัดๆครับ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 23 เม.ย. 14, 07:15 เจดีย์มาก่อนประดู่ หรือประดู่มาก่อนเจดีย์ ?? เจดีย์นี้ปรากฏในแผนที่เก่าเมื่อสำรวจตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๐ แล้วค่อยมีโรงพักกองตระเวนมาตั้งอยู่ เป็นเจดีย์อะไรก็ไม่ทราบแต่ไม่ใช่วัด เพราะไม่มีโบสถ์วิหาร ใบเสมาแต่อย่างใดเลย ในภาพที่แนบมาเป็นภาพถ่ายทางอากาศช่วง พ.ศ. ๒๔๙กว่าๆ จะเห็นบริเวณสามแยกไม่เห็นเจดีย์แล้ว ด้านบนเป็นโรงหนังสิงคโปร์ แนวตึกแถวมีลอดช่องสิงคโปร์อร่อยๆ เป็นลอดช่อง ใส่แก้วใส่น้ำแข็งราดน้ำเชื่อมใส่ขนุน เข้าใจว่าเรียกกันเต็มๆว่า ลอดช่องแถวโรงหนังสิงคโปร์ หรือ ลอดช่องหน้าโรงหนังสิงคโปร์ แต่เอาเรียกกันสั้นๆเลยว่า ลอดช่องสิงคโปร์ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 เม.ย. 14, 08:40 แสดงว่าต้นประดู่โตเร็วมาก และสามารถกลายเป็นสัญญลักษณ์ของสามแยกนี้ ชาวกรุงเรียกสามแยกต้นประดู่แทนการที่จะน่าเรียกว่าสามแยกเจดีย์เดี่ยว
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 23 เม.ย. 14, 08:44 แสดงว่าต้นประดู่โตเร็วมาก และสามารถกลายเป็นสัญญลักษณ์ของสามแยกนี้ ชาวกรุงเรียกสามแยกต้นประดู่แทนการที่จะเรียกว่าสามแยกเจดีย์เดี่ยว เรื่องการปลูกต้นประดูนั้น พระยาอนุมานราชธนท่านบรรยายไว้ว่า ขุนพัฒน์เจ้ามือหวยชื่อดังได้ทำการปลูกไว้เป็นแนวสองฟากฝั่งถนน กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 เม.ย. 14, 09:24 อ้าว ถ้างั้นก็ไม่น่าเรียกสามแยกต้นประดู่ นึกว่าจะปลูกเป็นกลุ่มเฉพาะบริเวณแยกนี้
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 23 เม.ย. 14, 09:37 อ้าว ถ้างั้นก็ไม่น่าเรียกสามแยกต้นประดู่ นึกว่าจะปลูกเป็นกลุ่มเฉพาะบริเวณแยกนี้ ตรงอื่นอาจจะตายหมด ตรงนี้เป็นสามแยกเลยขึ้นชื่อหน่อย กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 23 เม.ย. 14, 09:45 ขออนุญาตเสริมข้อมูลเรื่อง "สามแยกต้นประดู่" จาก เว็บศิลปะไทย (http://www.silpathai.net/tag/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%88/)
เคยมีนักจัดรายการของกรมประชาสัมพันธ์ท่านหนึ่งเอาหนังสือเรื่องความรู้ต่าง ๆ ของพระยาอนุมานราชธนมาอ่าน ในหนังสือเล่มนั้นท่านเอ่ยถึง “สามแยกต้นประดู่” ผู้จัดรายการก็สันนิษฐานทีเดียว “ต้นประดู่คงจะเรียงราย…” ผมขอแก้อรรถให้เสียเลยว่า มีต้นเดียวครับ แต่เป็นต้นใหญ่ อยู่ตรงที่ที่เป็นธนาคารเอเซียอยู่ในปัจจุบันนั้นแหละ แล้วตรงเบื้องหน้าธนาคารมาทางซ้าย คือตรงปากตรอกโรงหนังเฉลิมบุรีนั่นน่ะ มีร้านลอดช่องสิงคโปร์อยู่ร้านหนึ่ง ชื่อสิงคโปร์ ขายมานมนาน กินกันมาตั้งแต่เด็กตั้งแต่แก้วละ ๓ สตางค์จนเดี๋ยวนี้ ๓ บาทแล้วมัง ก็ยังขายอยู่ เป็นต้น ตำหรับของลอดช่องสิงคโปร์ ก่อนที่จะระบาดไปตามหาบเร่และรถเข็น ข้อมูลนี้คงเอามาจากเว็บอื่นอีกทีหนึ่ง จึงไม่สามารถอ้างอิงผู้เขียนได้ ;D กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 เม.ย. 14, 09:56 ถ้ามีต้นเดียว หรือกลุ่มเดียว ก็เป็นสัญญลักษณ์ที่แข็งแรง นำมาตั้งชื่อแยกนี้ได้โดยสมเหตุสมผล
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 23 เม.ย. 14, 10:49 ขออนุญาตเสริมข้อมูลเรื่อง "สามแยกต้นประดู่" จาก เว็บศิลปะไทย (http://www.silpathai.net/tag/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%88/) เคยมีนักจัดรายการของกรมประชาสัมพันธ์ท่านหนึ่งเอาหนังสือเรื่องความรู้ต่าง ๆ ของพระยาอนุมานราชธนมาอ่าน ในหนังสือเล่มนั้นท่านเอ่ยถึง “สามแยกต้นประดู่” ผู้จัดรายการก็สันนิษฐานทีเดียว “ต้นประดู่คงจะเรียงราย…” ผมขอแก้อรรถให้เสียเลยว่า มีต้นเดียวครับ แต่เป็นต้นใหญ่ อยู่ตรงที่ที่เป็นธนาคารเอเซียอยู่ในปัจจุบันนั้นแหละ แล้วตรงเบื้องหน้าธนาคารมาทางซ้าย คือตรงปากตรอกโรงหนังเฉลิมบุรีนั่นน่ะ มีร้านลอดช่องสิงคโปร์อยู่ร้านหนึ่ง ชื่อสิงคโปร์ ขายมานมนาน กินกันมาตั้งแต่เด็กตั้งแต่แก้วละ ๓ สตางค์จนเดี๋ยวนี้ ๓ บาทแล้วมัง ก็ยังขายอยู่ เป็นต้น ตำหรับของลอดช่องสิงคโปร์ ก่อนที่จะระบาดไปตามหาบเร่และรถเข็น ข้อมูลนี้คงเอามาจากเว็บอื่นอีกทีหนึ่ง จึงไม่สามารถอ้างอิงผู้เขียนได้ ;D ชะรอยผู้พูดคงไม่ทันเห็นภาพเก่าของถนนเจริญกรุงในอดีต จึงอนุมานว่าต้นประดูมีอยู่ต้นเดียวตรงสามแยก อันที่จริงแล้วก็ตามที่ได้กล่าวไว้ว่า พระยาอนุมานราชธนท่านเขียนไว้ว่า ขุนพัฒน์ได้ทำการสาธารณประโยชน์ให้กับสังคมมากมาย โดยทำการปลูกต้นประดู่ตั้งแต่สะพานเหล็กบนเป็นระยะๆ ไปจนถึงหมู่บ้านใหม่ บ้านทวาย (แถวโรบินสันบางรัก) ดังนี้แล้วท่านก็กล่าวว่าในสมัยที่ท่านเห็นนั้นต้นประดู่ก็เหลือน้อยเต็มทีแล้ว และเป็นต้นที่ใหญ่โตแล้ว ดังนั้นตรงสามแยกต้นประดู่ไม่ได้โดนโค่นทำลาย การเรียกชื่อจึงใช้สิ่งที่เห็น + จุดเด่นของสถานที่เรียกรวมกันคือ สามแยก + ต้นประดู่ ในภาพถนนเจริญกรุงช่วงสะพานเฉลิมกรุง ๔๘ อยู่ตรงที่ดินพระองค์เจ้าปรีดา ยังเห็นแนวต้นประดู่ที่ขุนพัฒน์ได้ปลูกไว้ครับ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 เม.ย. 14, 11:14 ^
ข้อมูลแน่นปึ่ก ประดุจราชบัณฑิตครั้งแผ่นดินโน้นกลับชาติมาเกิด กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 เม.ย. 14, 11:16 ตกหล่นภาพเกี่ยวกับรถไฟอีกนิดหน่อยครับ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 เม.ย. 14, 11:17 ไม่ทราบใคร มารอท่านผู้ใด
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 23 เม.ย. 14, 11:47 ตกหล่นภาพเกี่ยวกับรถไฟอีกนิดหน่อยครับ สถานีรถไฟสายแปดริ้วนี้เป็นสถานีรถไฟหลังเก่า ตั้งอยู่บริเวณ กม. 63.4 ครับ สระน้ำที่เห็นคือบ่อบัว (ข้อมูลรถไฟไทย / คุณหม่องวิน) ภาพรถไฟแปดริ้วอยู่หลังตลาดบ่อบัว พ.ศ.2510 ถ่ายโดยโดย คุณนิตยา สมบัติถาวรกุล กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 23 เม.ย. 14, 17:05 บุคคลด้านซ้ายสุด สมเด็จชายหรือเล่าครับ แต่ดูจะเตี้ยและบางไปหน่อย ถ้าหากเป็นสมเด็จชายจริง ก็น่าจะเป็นการรอรับเสด็จสมเด็จพระพันปีเสด็จภาคใต้ ไม่งั้นก็คราวรัชกาลที่ 6 เสด็จหัวเมืองใต้ครับ ภาพชุดนั้นมีมากอยู่
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 เม.ย. 14, 17:08 สมเด็จพระองค์ใดหรือครับ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 23 เม.ย. 14, 19:38 สมเด็จชาย = สมเด็จเจ้าฟ้ายุคลธืฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศครับ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: ืnoon ที่ 23 เม.ย. 14, 19:44 ขุนพัฒน์ (แหยม) เป็นพี่ของขุนพัฒน์ (หอย) สมัยรัชกาลที่ห้า ทำกิจการประมูลโรงบ่อนเบี้ย หวย ก.ข. แล้วในรุ่นลูกเปลี่ยนเป็นร้านทอง
ต่อมาใช้นามสกุล เตชะกำพุช ขุนพัฒน์ (หอย) เป็นตาของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 เม.ย. 14, 07:05 ต่อไปเป็นชุดภาพวัดครับ
วัดโสมนัสวิหารอยู่ริมคลองผดุงกรุงเกษม รัชกาลที่๔ท่านทรงสร้างคู่กับวัดมกุฏกษัตริยาราม ภาพนี้หาดูยากอยู่หน่อย แต่เซียนๆคงเคยเห็นแล้ว กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 เม.ย. 14, 07:09 วัดเบญจมบพิตรใช่ไหมคุณหนุ่ม ช่วยบรรยายภาพหน่อยเถิดครับ งงอยู่ ฟิมล์กลับข้างหรือเปล่า
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 เม.ย. 14, 07:17 หรือจะเป็นแบบนี้ เห็นพระที่นั่งทรงธรรมอยู่ด้านหลัง ส่วนตึกขาวๆที่เรียงกันอยู่นั้นคืออะไร ?
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 25 เม.ย. 14, 09:48 วัดเบญจมบพิตรใช่ไหมคุณหนุ่ม ช่วยบรรยายภาพหน่อยเถิดครับ งงอยู่ ฟิมล์กลับข้างหรือเปล่า ในภาพ คห. 30 นั้นถูกต้องแล้วครับ โดยผู้ถ่ายภาพอยู่นอกรั้ววัดเบญจมพิตร (ตรงจุดสีแดง) และอาคารทรงสี่เหลี่ยมเล็กๆเป็นกลุ่มก็คือ บรรดากุฏิพระสงฆ์ครับ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 เม.ย. 14, 07:07 ขอบคุณครับ
มีอีกภาพหนึ่งในวัดเบญจะ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 เม.ย. 14, 07:10 วัดเทพศิรินทราวาส
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 เม.ย. 14, 07:13 วัดราชบพิธ
มุมถ่ายนี้ ไม่ค่อยเห็นอะไรเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่จากสภาพปัจจุบัน กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 เม.ย. 14, 07:18 วัดราชบพิธทางด้านคลองคูเมือง มุมนี้ทัศนียภาพเปลี่ยนไปมาก
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 เม.ย. 14, 07:25 วัดสุทัศนเทพวราราม
ในสมัยที่อย่าว่าแต่ยานพาหนะเลย แม้แต่ผู้คนยังไม่ค่อยจะปรากฏให้เห็น กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 26 เม.ย. 14, 07:34 วัดราชนัดดา แลเห็นโลหะปราสาทระหว่างการบูรณะ
คุณหนุ่มสยามเชิญมาบรรยายหน่อยครับ ถ่ายจากมุมไหน หน้ากำแพงหญ้ารกเชียว กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 เม.ย. 14, 09:24 บุคคลด้านซ้ายสุด สมเด็จชายหรือเล่าครับ แต่ดูจะเตี้ยและบางไปหน่อย ถ้าหากเป็นสมเด็จชายจริง ก็น่าจะเป็นการรอรับเสด็จสมเด็จพระพันปีเสด็จภาคใต้ ไม่งั้นก็คราวรัชกาลที่ 6 เสด็จหัวเมืองใต้ครับ ภาพชุดนั้นมีมากอยู่ (http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5959.0;attach=48090;image) ขยายรูปส่วนนี้ดูแล้ว ไม่ใช่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีฯ ค่ะ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 27 เม.ย. 14, 10:56 วัดราชนัดดา แลเห็นโลหะปราสาทระหว่างการบูรณะ คุณหนุ่มสยามเชิญมาบรรยายหน่อยครับ ถ่ายจากมุมไหน หน้ากำแพงหญ้ารกเชียว ตรงนี้มีถ่ายอยู่มุมเดียวที่เป็นไปได้คือ ถ่ายจากบริเวณลานพลับพลาเจษฎาบดินทร์ ด้านหลังจะมีถนนคั่นอยู่ (ถนนดำเนินใต้) ครับ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 เม.ย. 14, 11:26 ขอบคุณครับ
ใช่แน่เหรอ ? ? กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 27 เม.ย. 14, 11:54 ขอบคุณครับ ใช่แน่เหรอ ? ? อาคารตามที่โยงลูกศรให้ครับ (ถ้าไม่ใช่ จะไปกระโดดแม่น้ำแยงซี ;D ;D) กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 เม.ย. 14, 12:08 งั้น ..ผมไปโดดเองก็แล้วกัน ;D
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 เม.ย. 14, 13:22 ต่อไป วัดพระศรีรัตนศาสดารามในมุมที่คุ้นเคยกันดี แต่อาคารหลังคาทรงโดมข้างหลังน่ะ คืออะไรล่ะคุณหนุ่ม
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 27 เม.ย. 14, 16:01 ต่อไป วัดพระศรีรัตนศาสดารามในมุมที่คุ้นเคยกันดี แต่อาคารหลังคาทรงโดมข้างหลังน่ะ คืออะไรล่ะคุณหนุ่ม เป็นหอสูงริมตึกคอเดียครับ ถ้าปัจจุบันก็ตรงบริเวณทางเข้าจ่ายตั๋วเข้าชมวัดพระแก้วครับ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 27 เม.ย. 14, 16:57 ให้ภาพ อ. Navart.c ดูภาพรถม้าบนถนนราชดำเนิน งามๆ ครับ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 เม.ย. 14, 17:28 ภาพน่ะงามนะ แต่ม้าไม่ค่อยงามเท่าไหร่ ถูกใช้งานหนักจนขาถ่างแล้ว น่าสงสาร
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 เม.ย. 14, 17:47 ตึกคอเดีย ปัจจุบันเรียกรวมๆกันว่าศาลาเครื่องราชอิสริยยศและเครื่องราชอิศริยาภรณ์ ผมไม่ทราบจริงๆว่าคอเดียหมายความว่ากระไร ทำไมตึกนี้จึงต้องมีหอคอยหลังคาเป็นโดมราวกับเป็นสุเหร่าด้วย มีความหมายหรือไม่อย่างไร
แล้วตึกคอเดียรื้อโดมที่ว่าทิ้งไปในสมัยไหนครับ จากภาพถ่ายทางอากาศของ John Thomson ก็ไม่ปรากฏหลังคาโดมให้เห็นแล้ว ขอเชิญคุณหนุ่มรัตนสยามผู้รู้ความโบราณประหนึ่งระลึกชาติได้ช่วยสาธยายหน่อย กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 เม.ย. 14, 17:48 หอคอยของศาลาเครื่องราชอิสริยยศและเครื่องราชอิศริยาภรณ์ในยุคภาพสี
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 27 เม.ย. 14, 17:51 เห็นภาพของคุณหนุ่มสยามในความเห็นที่ ๓๒ เฉพาะกลุ่มอาคารที่ระบายสีแดงทับไว้นั้นไม่ทราบว่า อาคารนั้นงโรงละครหลวงสวนมิสกวันที่ร่ำลือกันว่า เป็นโอเปราเฮาส์ที่สง่างามที่สุดในภาคพื้นเอเชียในยุคนั้นหรือไม่ครับ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 29 เม.ย. 14, 06:53 เห็นภาพของคุณหนุ่มสยามในความเห็นที่ ๓๒ เฉพาะกลุ่มอาคารที่ระบายสีแดงทับไว้นั้นไม่ทราบว่า อาคารนั้นงโรงละครหลวงสวนมิสกวันที่ร่ำลือกันว่า เป็นโอเปราเฮาส์ที่สง่างามที่สุดในภาคพื้นเอเชียในยุคนั้นหรือไม่ครับ เป็นตึกสีน้ำตาลที่ดูยิ่งใหญ่ หนักแน่นมากๆ เลยครับ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 29 เม.ย. 14, 07:00 ตึกคอเดีย ปัจจุบันเรียกรวมๆกันว่าศาลาเครื่องราชอิสริยยศและเครื่องราชอิศริยาภรณ์ ผมไม่ทราบจริงๆว่าคอเดียหมายความว่ากระไร ทำไมตึกนี้จึงต้องมีหอคอยหลังคาเป็นโดมราวกับเป็นสุเหร่าด้วย มีความหมายหรือไม่อย่างไร แล้วตึกคอเดียรื้อโดมที่ว่าทิ้งไปในสมัยไหนครับ จากภาพถ่ายทางอากาศของ John Thomson ก็ไม่ปรากฏหลังคาโดมให้เห็นแล้ว ขอเชิญคุณหนุ่มรัตนสยามผู้รู้ความโบราณประหนึ่งระลึกชาติได้ช่วยสาธยายหน่อย จากภาพถ่ายทางอากาศของ ปีหน้าฟ้าใหม่ราว ๒๕๕๘ จะมีนิทรรศการใหญ่ของช่างภาพรายนี้ การทำโดมต่างๆของพระที่นั่งต่างๆ ของอาคารต่างๆในพระบรมมหาราชวัง จะมีอยู่ช่วงหนึ่งซึ่งสิ่งก่อสร้างบางหลังจะสร้างด้วยอาคารโดมแบบยุโรป เช่น อาคารผลิตเหรียญกษาปณ์ อาคารริมพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท อาคารหมู่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และรวมถึงมุมหอคองคอเดียนี้ก็ได้รับอิทธิพลดังกล่าวด้วย มีภาพเก่าที่จะเห็นโดมของอาคารผลิตเหรียญกษาปณ์ชัดๆ ก็เห็นจะเป็นภาพถ่ายเรือสุพรรณหงส์ฉากริมท่าราชวรดิฐ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ร.๖ ครับ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 29 เม.ย. 14, 07:47 อาคารขนาดใหญ่ถัดจากโรงเรียนมัธยมมัธยมวัดเบญจมบพิตรไปนั้น เห็นจะเป็นโรงโขนหลวงสวนมิสกวันที่ถูกรื้อไปในสมัยรัฐนิยมแน่นอนครับ ซึ่งก็น่ายินดีที่ทำให้ห็นภาพถ่ายอีกมุมหนึ่งของโรงโขนหลวงนี้หลังจากที่เห็นแต่ภาพเขียนลายเล้นกันมาโดนตลอด
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 29 เม.ย. 14, 09:11 ภาพถ่ายและลายเส้น ;D
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 เม.ย. 14, 09:58 อ้างถึง อ้างถึง จากภาพถ่ายทางอากาศของ John Thomson วิลเลี่ยมฮันท์ ครับ จอนห์ ทอมป์สันมีอายุในสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ ตอนปลายสมัยนั้นยังไม่มีพโยมยานเหาะขึ้นเหนือพระนครไม่เพิ่งขึ้นมาจากแม่น้ำแยงซีหยกๆ เดี๋ยวจะกลับไปกระโดดอีกที กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 เม.ย. 14, 10:07 แบ่งๆกันไปค่ะ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 29 เม.ย. 14, 10:09 อ้างถึง อ้างถึง จากภาพถ่ายทางอากาศของ John Thomson วิลเลี่ยมฮันท์ ครับ จอนห์ ทอมป์สันมีอายุในสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ ตอนปลายสมัยนั้นยังไม่มีพโยมยานเหาะขึ้นเหนือพระนครไม่เพิ่งขึ้นมาจากแม่น้ำแยงซีหยกๆ เดี๋ยวจะกลับไปกระโดดอีกที ให้ภาพปรัมพิธี พระที่นั่งทรงธรรมในการพระเมรุสมเด็จพระนางเจ้ารำเพย (สมเด็จพระเทพศิรินทร์) ครับ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 เม.ย. 14, 10:30 นี่ได้ห่วงยางละนะจึงรอดมา
เอารูปของคุณหนุ่มไปล้างในแม่น้ำแยงซีแล้วมาฝากด้วย กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 เม.ย. 14, 07:17 สองภาพต่อไปนี้อาจจะผ่านตาหลายๆท่านในเรือนไทยมาแล้ว แต่ยังไม่ถึงกับเกร่อเท่าไหร่ ผมจัดมาให้ชมใหม่ทั้งคู่ เพราะคาดว่าน่าจะถ่ายในงานพระราชพิธีวโรกาสเดียวกัน ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าอะไร
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 เม.ย. 14, 07:18 ภาพนี้จะแลเห็นตึกที่มีหลังคาทรงโดมชัดเจน
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 เม.ย. 14, 16:34 กลับไปที่วัดใหม่
พระประธานและพระพุทธรูปประทับยืนปางต่างๆในวิหารของวัดมหรรณพาราม ถนนตะนาวครับ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: พีรศรี ที่ 30 เม.ย. 14, 19:06 ภาพที่ว่าเป็นโรงโขนหลวงสวนมิสกวัน ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่ครับ
โรงโขนหลวงเป็นอาคารไม้ ขนาดย่อมกว่านี้ และอยู่เยื้องไปด้านซ้ายของภาพ เห็นแต่หลังคาขาวๆ หลังตึกโรงเรียนวัดเบญจมบพิตร อาคารมหึมานั้นผมคิดว่าเป็นโรงละครใหม่ สร้างขึ้นในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. โดยมีนายหมิว อภัยวงศ์ เป็นผู้ออกแบบ จะเห็นว่าลักษณะหน้าต่างคล้ายๆ กับอาคารถนนราชดำเนินกลาง ฝีมือนายหมิวเช่นกัน นะครับ อาคารนี้มีปัญหาโครงสร้าง ต้องยุติการก่อสร้างไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้นเองครับ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 30 เม.ย. 14, 20:47 กลับไปที่วัดใหม่ พระประธานและพระพุทธรูปประทับยืนปางต่างๆในวิหารของวัดมหรรณพาราม ถนนตะนาวครับ ภาพนี้นำมาใช้อัดเป็นโปสการ์ดสำหรับเขียนจดหมายด้วย กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 พ.ค. 14, 07:09 เช้านี้มี ๓ รูป
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 พ.ค. 14, 07:12 พระแท่นศิลาอาสน์ เป็นชื่อวัดสำคัญเช่นกัน
อยู่ในอุตรดิตถ์ครับ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 พ.ค. 14, 07:18 อยู่ในท้องที่ตำบลคำหยาด ถัดจากวัดโพธิ์ทอง ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 2.5 กิโลเมตร บนถนนสายเดียว สภาพปัจจุบันมีเพียงฝนัง 4 ด้าน ตัวอาคารตั้งโดดเด่นอยู่กลางทุ่งนา ก่อด้วยอิฐถือปูนขนาดกว้าง 10 เมตร ยาว 20 เมตร ยังคงเห็นเค้าความสวยงามทางด้านศิลปกรรมเช่น ลวดลายประดับซุ้มจรนำหน้าต่าง มีมุขเด็จด้านหน้าและด้านหลัง ภายในทาดินแดง ปูพื้นกระดาน
ในคราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เจ้าอยู่หัวเสด็จทอดพระเนตรพระตำหนักคำหยาด พ.ศ.2451 ได้เสด็จมายังโบราณสถานแห่งนี้และทรงมีพระราชวินิจฉัยดังปรากฏ ในพระราชหัตถเลขาอรรถาธิบาย เรื่อง เสด็จลำน้ำมะขามเฒ่าไว้ว่า เดิมทีทรงมีพระราชดำริว่า กรมขุนพรพินิต (ขุนหลวงหาวัด หรือ เจ้าฟ้าอุทุมพร) ทรงผนวชที่วัดโพธิ์ทองแล้วสร้างพระตำหนักแห่งนี้ขึ้นเพื่อจำพรรษาเนื่องจากมีชัยภูมิที่เหมาะสม ครั้นได้ทอดพระเนตรเห็นตัวพระตำหนักสร้างด้วยความประณีตสวยงามแล้วพระราชดำริเดิมก็เปลี่ยนไป ด้วยทรงเห็นว่า ไม่น่าที่ขุนหลวงหาวัดจะทรงมีความคิดใหญ่โต สร้างที่ประทับชั่วคราวหรือที่มั่นในการต่อสู้ให้ดูสวยงามเช่นนี้ ดังนั้น จึงทรงสันนิษฐานว่า พระตำหนักนี้คงจะสร้างขึ้นตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ เพื่อเป็นที่ประทับแรม เช่นเดียวกับที่พระเจ้าปราสาททองทรงสร้างที่ประทับไว้ที่บางปะอิน เนื่องจากมีพระราชนิยมเสด็จประพาสเมืองแถบนี้ ทั้งพระองค์ได้เสด็จพระนอนขุนอินทประมูลถึง 2 ครั้ง และขณะเดียวกันที่กรมขุนพรพินิต (ขุนหลวงหาวัด หรือ เจ้าฟ้าอุทุมพร) ผนวชอยู่ที่วัดราชประดิษฐ์ก็ได้ทรงนำข้าราชบริพารกับพระภิกษุที่จงรักภักดีต่อพระองค์ เสด็จลงเรือพระที่นั่ง ออกจากพระนครศรีอยุธยามาจำพรรษาที่วัดโพธิ์ทองคำหยาด และประทับอยู่ที่พระตำหนักคำหยาดนี้เพื่อไปสมทบกับชาวบ้านบางระจัน ปัจจุบันนี้กรมศิลปากรได้บูรณะ และขึ้นทะเบียนพระตำหนักคำหยาดเป็นโบราณสถานไว้แล้ว ข้อมูลจากเวปของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 01 พ.ค. 14, 09:11 วัดทางเหนือสวยมากๆ เลยครับ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 01 พ.ค. 14, 14:30 โรงพักพลตระเวนบางรัก (ซ้ายภาพ) อีกมุมมองหนึ่ง
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 พ.ค. 14, 11:32 ตึกกระทรวงกลาโหม ในสมัยที่๕ เรียกโรงทหารน่า(หน้า)ครับ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 พ.ค. 14, 11:34 ไม่ทราบว่าเป็นการเดินสวนสนามในวโรกาสใด
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 พ.ค. 14, 11:38 และขบวนนี้ คงไม่ได้เป็นงานเดียวกับภาพที่แล้วแน่
และวงปี่พาทย์ที่ตามบรรเลงในขบวนแถว อยากทราบเหมือนกัน จะเล่นเพลงมาร์ชแบบไทยๆทำนองอย่างไร กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 02 พ.ค. 14, 11:47 ไม่ทราบว่าเป็นการเดินสวนสนามในวโรกาสใด น่าจะเป็นงานแห่ของหลวงอะไรบางงานครับ ซึ่งานลักษณะเช่นนี้มีได้เห็นอย่างทั่วไปในภาพเก่า...ชอบเด็กน้อยขวาภาพจัง ;D กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 พ.ค. 14, 12:28 นั่นน่ะซี ผมก็เล็งๆอยู่ ส่วนคนทางขวาก็หน้าตาท่าทางทันสมัยมาก ราวกับพวกเดินขบวนในกีฬาสีสมัยนี้เลย ถือไม้หน้าสามในมือซะด้วย
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 พ.ค. 14, 12:41 หนุ่มนักกีฬาสีของท่าน NAVARAT.C เห็นจะเป็นหนุ่มซินตึ๊ง ไว้หางเปียพันอยู่บนหัว
ตำรวจเหล่านี้แต่งเครื่องแบบโก้มาก แต่สวมรองเท้า หรือว่าหนังธรรมชาติคะ ฝากดูหน่อยค่ะ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 พ.ค. 14, 13:09 พวกที่ผมวงสีไว้ ดูแข้งขาดำๆไม่เนียนเพราะพันสนับแข้งไว้อย่างเขา ก็น่าจะเป็นพวกที่ไม่ถนัดจะใส่รองเท้า(เดี๋ยวมันกัดเอา)สู้หนังธรรมชาติไม่ได้
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 02 พ.ค. 14, 13:18 ทหารสมัยนั้นก็พอกันละครับ นี่ขนาดไปรบกับฮ่อนะ ต้องบุกป่าฝ่าดงมากมายยังนิยมหนังธรรมชาติ พันสนับแข้งหน่อยกันทากกระโดดเกาะ มุดขากางเกงเข้าไปสูบเลือด ส่วนลูกหาบ หลวงไม่มีงบให้
พวกตำหนวดเมืองเดินป่าคอนกรีตเรียบๆชิวๆอย่างนี้ ซำบาย (ภาพจากอัลบั้มเดียวกัน) กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 02 พ.ค. 14, 13:44 กลุ่มเท้าเปล่านี้เป็นพลตระเวนครับ ไม่สวมรองเท้ากันเพราะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 พ.ค. 14, 16:44 ไม่สวมรองเท้า คงจะเดินได้ทน ไม่ถูกรองเท้ากัดอย่างที่ท่านนวรัตนว่าไว้
และวิ่งไล่กวดผู้ร้ายได้คล่องกว่าสวมรองเท้า กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 02 พ.ค. 14, 19:04 สมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทั้งทหาร ตำรวจ เสือป่าและลูกเสือต่างก็ไม่สวมรองเท้ากันเป็นปกติ แต่ที่ขาดไม่ได้คือ ต้องพันแข้งเพื่อป้องกันสัตว์ร้ายขบกัด
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ค. 14, 07:16 เสด็จพระราชดำเนินโดยชลมารค
ผมชอบคำนี้ครับ ไม่ห้วนเหมือนที่ราชบัณฑิตท่านสอนให้ใช้ “เสด็จพระราชดำเนินชลมารค” แทนคำที่แต่ก่อนแต่ไรใช้กันว่า เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค โดยอ้างว่าความหมายซ้ำซ้อนเพราะมารคก็แปลว่าทาง กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ค. 14, 07:24 ทั้งสองภาพน่าจะถ่ายที่หน้าวัดอรุณ
ฝีพายเรือบตสี่หลักแจวลำนี้ สังเกตุจากหมวกเห็นจะเป็นทหารเกณฑ์ชาวญวน สมัยนั้นใช้ญวนอาสามาเป็นกำลังพลของทหารเรือร่วมกับอาสาจามและอาสามอญ เรือบตคือเรือแบบฝรั่งที่เรียกว่าโบ๊ต(boat) กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 03 พ.ค. 14, 11:16 เพิ่งจะรู้วันนี้เองค่ะ ว่า'เรือบต'มาจากคำว่า boat
ตั้งแต่ลงทะเบียนเป็นนิสิตของเรือนไทยมหาวิทยาลัย ดิฉันได้ความรู้ทั้งเรื่องหลักๆและเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเพิ่มเติมอีกมากมาย ขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านนะคะ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 03 พ.ค. 14, 11:32 ทั้งสองภาพน่าจะถ่ายที่หน้าวัดอรุณ ฝีพายเรือบตสี่หลักแจวลำนี้ สังเกตุจากหมวกเห็นจะเป็นทหารเกณฑ์ชาวญวน สมัยนั้นใช้ญวนอาสามาเป็นกำลังพลของทหารเรือร่วมกับอาสาจามและอาสามอญ เรือบตคือเรือแบบฝรั่งที่เรียกว่าโบ๊ต(boat) ทั้งสองภาพน่าจะถ่ายที่หน้าวัดอรุณ - ถ่ายจากด้านข้างวัดอรุณริมแม่น้ำ ;D (แซวเล่นครับผม) ให้ดูเรือลำนี้ให้หน่อยครับว่า สาวกำลังถือพายเรือนั้น (การผูกพายเรือกับหลักแบบนี้เรียกว่าโล้เรือใช่ไหม) เป็นญวนหรือเปล่าครับ ภาพนี้ถ่ายไว้ในช่วงกลางรัชกาลที่ ๕ ราวพ.ศ. ๒๔๓X ถ่ายติดแม่น้ำเจ้าพระยา กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ค. 14, 11:47 พายที่มีด้ามยาว ตรงปลายมีด้ามน้อยสำหรับใช้มือจับให้มั่น และยึดกับเรือโดยการมัดกับหลักนั้นให้ขยับได้นั้น ถ้าหลักอยู่ที่กราบเรือจะเรียกว่าแจว
กิริยาแจวเรือคือการยืนพาย โดยบังคับการเคลื่อนไหวของใบพายคล้ายกับการพายแบบนั่งพายที่คุ้นตาคนสมัยนี้นั่นเอง แต่ถ้าหลักจะอยู่ค่อนไปทางท้ายเรือมากๆ คนยืนขยับใบพายให้การเคลื่อนไหวคล้ายกับหางปลาโบกไปมาในน้ำเพื่อเคลื่อนตัวไปข้างหน้า จะเรียกว่าโล้ ส่วนใหญ่จะใช้กับเรือที่มีน้ำหนักมากๆ เพราะแจวไม่ไหวต้องโล้ไปช้าๆ คนญวนกับคนจีนโล้เรือเก่ง ในขณะที่คนไทย คนมอญ แจวเรือเก่ง หญิงในรูปน่าจะเป็นคนจีนนะครับ แต่การจับพายจะออกไปทางแจว เพราะเรือเล็กๆอย่างนี้เขาไม่โล้กัน เนื่องจากหัวเรือจะส่ายไปซ้ายทีขวาที ถ้าแจวเอาเรือจะนิ่งกว่าและไปเร็วกว่า กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ค. 14, 12:06 แต่วัฒนธรรมแบบนี้ถ่ายทอดกันไม่ยาก คนไทยไม่ว่าจะเชื้อชาติใดสมัยนั้นก็แจวเรือเก่งเหมือนกันหมด
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ค. 14, 12:27 ภาพที่น่าสนใจจริงๆสำหรับผมคือรูปนี้ครับ
เป็นภาพโปสการ์ดมีภาษาเยอรมันเขียนว่า Zur Erinnerung an den Besuch S.K.H. des Kronprinzen Wilhelm von Preußen in Bangkok " (ที่ระลึกในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนกรุงเทพของ มกุฏราชกุมารวิลแฮล์ม ฟอน พร์อยเซน) ตัวหนังสือด้านบนเป็นชื่อเรือรบลาดตระเวนหุ้มเกราะที่เป็นพระราชพาหนะ ชื่อคไนสเนา (S.M. Panzerkreuzer Gneisenau) กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ค. 14, 12:40 ผมหาข้อมูลที่ไหนไม่ได้เลยจริงๆว่ามกุฏราชกุมารของเยอรมันได้เสด็จหรือจะเสด็จมาเมืองไทยเมื่อไหร่ ใช้อินทรเนตรตรวจหาทั้งภาษาไทยและเยอรมันก็ไม่พบ มีเวปเดียวที่กล่าวถึงการเสด็จเยือนอินเดียเป็นการส่วนพระองค์ในปี ๑๙๑๑
ผมตามรอยต่อไปจากประวัติของเรือรบลำนี้ พบว่าหลังจากขึ้นระวางแล้วในปี ๑๙๑๐ ก็ได้รับคำสั่งเดินทางมาประจำการในกองเรือเอเชียตะวันออก ซึ่งเยอรมันมีฐานทัพเรืออยู่ที่ชิงเตาในจีน ดังนั้นรัฐบาลอาจจัดพระราชกรณียกิจพิเศษให้มกุฏราชกุมารวิลแฮล์ม ฟอน พร์อยเซน พระโอรสพระองค์ใหญ่ของไกเซอร์วิลแฮล์มเสด็จมาเอเซียโดยเรือลำนี้ด้วย แต่ทว่า อาจจะเป็นเพราะการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในปีเดียวกันนั้นก็ได้ ทำให้กำหนดการทั้งหลายทั้งปวงต้องเปลี่ยนไปหมด และไม่มีบันทึกในประวัติศาสตร์ไว้ให้เราๆท่านๆได้ทราบเลย นอกจากโปสการ์ดใบน้อยของคุณศรีมนานี้ ไม่แน่ บางทีคุณเพ็ญชมพูอาจจะไปค้นจดหมายเหตุโบราณมาให้เราได้อ่านกันบ้างก็ได้ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 03 พ.ค. 14, 14:00 ไปดูจัดวังสราญรมย์สำหรับรับรัชทายาทเยอรมัน
วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน เวลาบ่าย ฉันได้ไปที่วังสราญรมย์, เพื่อเตรียมจัดรับรัชทายาทเยอรมัน, ซึ่งกำหนดว่าจะเข้าเยี่ยมกรุงสยามในปลายศก ๒๔๕๓ นั้น วังนี้ได้เปนที่อยู่ประจำของฉันในปลายรัชกาลที่ ๕, และพอทราบว่าทูลกระหม่อมต้องพระราชประสงค์จะใช้เปนที่รับแขกเมือง ฉันก็ได้จัดการแก้ไขและซ่อมแซมขึ้นเปนหลายแห่ง, ฉนั้นจึ่งดูสอาดสอ้านเรียบร้อยดี เมื่อไปดูวังนี้ทำให้รู้สึกออกจะใจหายอยู่บ้าง คือ ข้อ ๑ นึกเสียดายว่าเสียแรงได้จัดการแก้ไขซ่อมแซมแล้วก็เลยไม่ได้ใช้, และอีกข้อ ๑ รู้สึกว่าที่นั้นเปนบ้านเก่าของตน, ที่ได้เคยอยู่เปนสุขแล้วเปนหลายปี, มีเยื่อใยชอบใจติดพันยังไม่หาย รัชทายาทเยอรมันงดมาเมืองเรา ตามที่ฉันได้กล่าวมาแล้ว, เราได้ตระเตรียมการรับรองรัชทายาทเยอรมันไว้ตลอดแล้ว, แต่ครั้นเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ฉันได้รับข่าวจากกระทรวงต่างประเทศ ว่ารัชทายาทเปนอันงดการมาเมืองเรา พระยาศรีธรรมสาสน (ทองดี สุวรรณสิริ), อัครราชทูตของเราที่กรุงเบอร์ลินในเวลานั้น (ภายหลังเปนพระยาบำเรอภักดิ์, แล้วเปนพระยาสุวรรณสิริ), ได้โทรเลขบอกมาว่า มีข้าราชการผู้ใหญ่แห่งกระทรวงการต่างประเทศเยอรมันผู้ ๑ ได้บอกว่า, โดยเหตุที่เกิดมีกาฬโรคที่เมืองจีน, การที่รัชทายาทจะเข้ามาเมืองเราต้องงด, และว่าการไปเมืองจีนและเมืองญี่ปุ่นก็งดด้วย และว่าจะกลับจากอินเดียทีเดียว. แมื่อฉันได้รับข่าวนั้น ฉันรู้สึกไม่พอใจมากอยู่, เพราะประการ ๑ บอกเลิกเอาจวน ๆ เวลาที่กำหนดไว้ว่าจะเข้ามา, ฉนั้นการตระเตรียมต่าง ๆ ก็เปนอันต้องเปลืองเปล่าหมด, เพราะสั่งงดไม่ทัน, อีกประการ ๑ ไหน ๆ จะบอกเลิกทั้งทีแล้ว ตัวรัชทายาทเองจะบอกตรงมายังเราสักคำสองคำก็ไม่ได้, ใช้แต่ให้เจ้าพนักงานบอกทางทูตเท่านั้น ดูไม่มีกิริยาอัชฌาศัยเสียเลย. ต่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ฉันจึ่งได้รับโทรเลขจากไกเส้อร์มีมาว่า, โดยเหตุที่มีโรคภัยไข้เจ็บชุกชุมอยู่ในประเทศจึน, เปนการจำเปนที่จะต้องงดการที่รัชทายาทมาทางบุรพเทศอีก จึ่งจำเปนต้องของดการที่จะมากรุงสยาม, และขอบใจฉันและรัฐบาลที่ได้ตระเตรียมการับรองไว้ เรื่องงดการรัชทายาทเยอรมันเดิรทางต่อมาจากอินเดียครั้งนั้น ออกจะเปนการลึกลับอยู่หน่อย, และได้มีข้อความโจษกันต่าง ๆ นานา, บ้างก็ว่าเปนเหตุเพราะรัชทายาทได้ไปกระทำเหตุฉาวขึ้นในอินเดีย เนื่องด้วยเรื่องผู้หญิง, บ้างก็ว่าสาเหตุมีเนื่องด้วยการเมือง, แต่ความจริงจะเปนอย่างไรก็เลยไม่ได้ความชัด. จาก ประวัติต้นรัชกาลที่ ๖ ;D กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ค. 14, 15:28 เยียมจริงๆครับ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 03 พ.ค. 14, 18:01 อ้างถึง เรื่องงดการรัชทายาทเยอรมันเดิรทางต่อมาจากอินเดียครั้งนั้น ออกจะเปนการลึกลับอยู่หน่อย, และได้มีข้อความโจษกันต่าง ๆ นานา, บ้างก็ว่าเปนเหตุเพราะรัชทายาทได้ไปกระทำเหตุฉาวขึ้นในอินเดีย เนื่องด้วยเรื่องผู้หญิง, บ้างก็ว่าสาเหตุมีเนื่องด้วยการเมือง, แต่ความจริงจะเปนอย่างไรก็เลยไม่ได้ความชัด. พระเจ้าไกเซอร์ วิลเฮล์มที่สอง ทรงไม่ค่อยจะสบพระทัยกับพระราชโอรสพระองค์ใหญ่สักเท่าไหร่ เพราะเหตุที่ทรงหมกมุ่นกับอิตถีสตรีเพศมากไปสักหน่อย ในปี๑๙๐๑ ระหว่างการไปเยือนราชสำนักอังกฤษ แป๊บเดียว พระมกุฎราชกุมารก็ยังไปทรงปลูกต้นรักกับแหม่มที่นั่น ถึงขนาดพระราชทานแหวนให้กันแล้ว แต่โดนพระเจ้าไกเซอร์ทรงบีบให้เอาคืนหลังจากที่ทรงทราบ แถมยังได้จัดการหาเจ้านายหญิงองค์หนึ่งมาอภิเษกสมรสกับพระองค์โดยพลัน กับยังบังคับให้อยู่ในเมืองดันซิก ซึ่งอยู่ห่างไกลไปจากพระราชสำนักและบรรดาคู่ขาหม้อข้าวยังไม่ทันดำ อบขาหมูยังไม่ทันที่หนังจะกรอบ พระมกุฎราชกุมารก็ทรงหมดความสนใจในพระชายาและเริ่มหันกลับไปทรงพระสำราญแบบเดิมๆ โปรดที่จะไปทรงเทนนิสที่สโมสร เพื่อหาวโรกาสอันดีที่จะได้เล็งละอ่อน ชนิดที่อิมพอร์ตมาจากวอร์ซอร์และพำนักอยู่ในสปา ผมไม่รู้จริงๆว่าสปาของฝรั่งเยอรมันสมัยนั้นมันมีอะไรแอบแฝงแค่ไหน ไฉนจึงมีสาวๆพำนักอยู่กันประจำ เมื่อดูปีค.ศ.แล้วก็ช่วงนี่แหละที่พระราชบิดาได้ทรงจัดให้พระโอรสเสด็จพระราชดำเนินโดยชลมารค เดินทางไกลมาเอเซียหลายประเทศ แต่ก็มาได้แค่อินเดียเท่านั้นกำหนดการก็ถูกยกเลิกเสียแล้ว ผู้สันทัดกรณีย์มิได้แจ้งว่าทรงอยากกลับไปเล่นเทนนิสที่เยอรมันเต็มที เพราะเทนนิสที่อินตะระเดียไม่ตรงสเป๊กของพระองค์หรือว่าตรงกันข้าม ขอมอบให้คุณเพ็ญชมพูค้นหาสืบไปด้วยเทอญ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 พ.ค. 14, 19:16 ชักสนใจประวัติเจ้าชายองค์นี้้เสียแล้ว แต่ไม่อยากจะค้น อ่านเจอก็สนุกสู้ท่าน NAVARAT.C ลงมือบรรเลงเองไม่ได้
ใครเห็นด้วยกับดิฉัน เข้าแบ่ง Like ข้างล่างนี้ไปกดทีนะคะ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 03 พ.ค. 14, 19:50 ด้วยครับ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 03 พ.ค. 14, 19:56 อาจารย์NAVARAT.C น่าจะมีงานเข้าอีกแล้ว
นักเรียนยกมือผสมโรงด้วยคน กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 03 พ.ค. 14, 21:31 อาจารย์นวรัตนหนะท่านใจดีครับ แรกๆ อาจมีอิดออดนิดหน่อย แต่ผมเชื่อมือว่า อีกไม่กี่เพลา ต้องมีกระทู้เรื่องนี้พร้อมข้อมูลลับและไม่ลับ บวกสำนวนขั้นเทพให้นักเรียนโข่งได้ศึกษากันแน่นอน
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 03 พ.ค. 14, 22:07 เมื่อดูปีค.ศ.แล้วก็ช่วงนี่แหละที่พระราชบิดาได้ทรงจัดให้พระโอรสเสด็จพระราชดำเนินโดยชลมารค เดินทางไกลมาเอเซียหลายประเทศ แต่ก็มาได้แค่อินเดียเท่านั้นกำหนดการก็ถูกยกเลิกเสียแล้ว ผู้สันทัดกรณีย์มิได้แจ้งว่าทรงอยากกลับไปเล่นเทนนิสที่เยอรมันเต็มที เพราะเทนนิสที่อินตะระเดียไม่ตรงสเป๊กของพระองค์หรือว่าตรงกันข้าม ขอมอบให้คุณเพ็ญชมพูค้นหาสืบไปด้วยเทอญ ข้อมูลนี้คงมีประโยชน์ต่อคุณนวรัตนบ้างในการเดินเรื่องราวต่อไปของรัชทายาทเยอรมัน จาก New Zealand Herald, Volume LI, Issue 15568, 27 March 1914, Page 7 (http://paperspast.natlib.govt.nz/cgi-bin/paperspast?a=d&d=NZH19140327.1.7&e=-------10--1----0--) ;D กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: tita ที่ 03 พ.ค. 14, 22:37 เข้ามาร่วมยกมือค่ะ
(http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2012/07/A12322711/A12322711-27.jpg) กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 พ.ค. 14, 07:02 บรรดาหัวนิ้วโป้งที่ท่านกรุณามอบให้ผมมานั้น ขอยกให้คุณเพ็ญชมพูผู้เป็นเอกะทักคะในการหาข้อมูลยากๆโดยอินทรเนตรทั้งสิ้น ผมคิดว่าที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๖ทรงบันทึกก็มาจากหนังสือพิมพ์ฝรั่งแหล่งเดียวกันนี้ เพราะทรงอ่านเป็นประจำอยู่แล้ว
ระหว่างที่ผมจะแกะคำแปลในคอลัมน์ที่ให้มา ซึ่งอาจช้าหน่อยเพราะผมเป็นโรคตาแฉะเรื้อรังเป็นเดือนมาแล้ว ต้องหยอดตาวันละหลายเพลา ท่านที่ยังไม่ได้ยกนิ้วให้ผมและยังประสงค์จะกระทำอยู่ก็โปรดอย่าได้รีรอนะครับ ผมชอบ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 04 พ.ค. 14, 08:25 http://thumb9.shutterstock.com/display_pic_with_logo/101595/124623916/stock-photo-happy-young-woman-showing-thumb-up-sign-isolated-on-white-background-124623916.jpg
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 พ.ค. 14, 08:35 มาโชว์รูปให้คุณ Anna
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 04 พ.ค. 14, 08:43 ขอโทษค่ะ เห็นในเน็ทเลยก็อปมา เป็นมือใหม่หัดก็อปเลยทำให้อาจารย์พลอยเดือดร้อนไปด้วย :'(
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 พ.ค. 14, 09:15 ร่วมด้วยช่วยกัน like
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 พ.ค. 14, 09:39 เอาละครับ พอหอมปากหอมคอ^ ขอบคุณคร้าบ
สำเนาภาษาปะกิตของคุณเพ็ญ ผมตีความทั้งท่อนมาได้อย่างนี้ เบอร์ลิน มีนาคม 95 องค์รัชเลิกเสด็จเยือนอาณานิคมเยอรมัน-อาฟริกัน พระเจ้าไกเซอร์ทรงพระโกรธ เมื่อปี1911 องค์รัชทายาทได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนซีลอนและอินเดีย ซึ่งหลังจากประทับที่ซีลอนสั้นๆก็เสด็จต่อไปประทับในบอมเบย์หนึงสัปดาห์ และมีโอกาสเสด็จไปกระทำปาณาติบาตสัตว์ป่าขนาดใหญ่ในยัสเปอร์ ทรงอยู่ในอินเดียเหนือนานเกือบสองเดือนก่อนที่เสด็จมาเป็นพระราชอาคันตุกะของท่านอุปราชในกัลกัตตา ตามแผนนั้น พระองค์จะต้องเสด็จต่อไปเยือนถึงเมืองจีนและญี่ปุ่น ก่อนจะเสด็จข้ามกลับเบอร์ลินผ่านเส้นทางไซบีเรีย แต่แล้วก็ยกเลิกกำหนดการดังกล่าวอย่างคาดไม่ถึง คอคัมน์สังคมซุบซิบนินทากาเลในหนังสือพิมพ์ลิเวอร์พูลได้เทน้ำใส่ตอนต่อจากฉากที่พระองค์โดนพระเจ้าไกเซอร์หักดิบเอาอย่างฉาวโฉ่ว่า ครั้งนี้คงจะไม่ทรงเจ็บเท่าไหร่มั้ง ในอินเดียนั้น องค์รัชทายาทหนุ่มทรงสำราญบานฤทัยมาก และพิสูจน์พระองค์ว่าเป็นนักกีฬาและสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้ว แต่ก็ไม่ทรงพยายามจะปิดบังความรู้สึกทรงพระเซ็งต่อพิธีการต่างๆ ทำให้ทรงมีเรื่องกับบรรดานายพลและราชองครักษ์อาวุโสเป็นประจำ จุดระเบิดได้เกิดขึ้นตอนที่ต้องเสด็จงานรับรองของเจ้าภาพชาวอินตระเดีย เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมอยู่แล้วแต่ไม่ทราบว่าจะไปตามหาองค์รัชเจอได้ที่ไหนอย่างไร เวลานับชั่วโมงๆผ่านไป เป็นอันจำเป็นที่เจ้าภาพจะต้องล้มเลิกพิธีกรรมเสียทั้งงาน ภายหลังพบว่า พระองค์ทรงกำลังเพลิดเพลินกับการเรียนการสอนเทนนิสสไตย์ยุโรปอยู่กับนางคณิกาอยู่ถึงขนาดลืมพระวรกาย จนเป็นเรื่องที่ปิดกันแซ่ดไปทั่วอินเดีย ลือกันว่าหลังจากที่พระเจ้าไกเซอร์ได้สดับในเรื่องนี้พระเตโชธาตุก็พลันประทุออกพระกรรณถึงกับทรงเรียกพระปิโยรสกลับบ้านทันที และนี่คืออะไรในกอไผ่ในเหตุที่กำหนดการเยือนตะวันออกไกลถูกหั่นเสียจนสั้น กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 พ.ค. 14, 09:50 And then it was found he had been amusing himself by investigating native haunts after the manner of inquiring Europeans.
โอ้ ประโยคนี้เอง แปลไม่ออกอยู่ซะนาน ไปถามล่ามกู๊ก แกก็แปลให้ฟังว่า "แล้วก็พบว่าเขาได้รับตัวเองขบขันโดยการตรวจสอบหลอกหลอนพื้นเมืองตามลักษณะของการสอบถามชาวยุโรป กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 พ.ค. 14, 10:00 ห้ามเอาอะไรยากๆอย่างนี้มาให้ผมแปลอีกนะครับ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 04 พ.ค. 14, 10:04 และนี่คือเหตุผลว่าทำไมจดหมายเหตุอย่างเป็นทางการของเยอรมันจึงละเลยที่จะกล่าวถึงการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศทางซีกโลกตะวันออกขององค์รัชทายาทของพระเจ้าไกเซอร์นี้ไปเลย
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ค. 14, 09:41 กลับมาเรื่องของเราดีกว่า
จุดที่น้ำมารวมกันเป็นแม่น้ำใหญ่หรือแม่น้ำบรรจบกับทะเลเรียกว่าปากน้ำ ที่กบินทร์บุรีหรือในรัชกาลที่ ๕ สะกดว่ากบิลซึ่งหมายถึงข้าวนั้น มีแม่น้ำหรือแควมารวมกันเป็นแม่น้ำปราจินบุรี ๔ แคว ได้แก่แควพระปรง แควหนุมาน แควห้วยยางและแควห้วยโสมง จุดที่แควหนุมานและแควพระปรงรวมกันเป็นแม่น้ำปราจีนบุรี เรียกว่าบ้านปากน้ำ สมัยโบราณเป็นจุดชุมนุมของเรือข้าวดังที่เห็นในภาพ แม่น้ำปราจีนบุรีไหลผ่าน อำเภอศรีมหาโพธิ(ออกเสียงว่าศรีมหาโพดนะครับ) อำเภอประจันตคาม และอำเภอเมืองปราจีนบุรี ไปรวมกับแม่น้ำนครนายกที่อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นแม่น้ำบางปะกง ไหลผ่านจังหวัดฉะเชิงเทราไปลงทะเลอ่าวไทย คำว่าปะกง ท่านว่าเพี้ยนมาคำว่าบงกง ซึ่งออกสำเนียงว่าบองกองในภาษาเขมร แปลว่ากุ้ง ด้วยเหตุว่าแม่น้ำบางปะกงมีกุ้งนางชุกชุมมาก ท่านที่ไปนม้สการหลวงพ่อโสธร หากมีโอกาสอย่าลืมไปทานกุ้งเผาแถวร้านอาหารพื้นเมืองดังๆริมแม่น้ำด้วยนะครับ ราคาทางฉะเชิงเทราเห็นจะย่อมเยากว่าทางอยุธยาอ่างทองนิดหน่อย ฉะเชิงเทรา ท่านก็ว่ารากเง่ามาจากภาษาเขมรเหมือนกัน คือสร์ตึง หมายถึงแม่น้ำคำหนึ่ง และ โจร์ว ซึ่งแปลว่าลึกอีกคำหนึ่ง แสดงว่าครั้งโบราณนานมาชนชาติเขมรมีอิทธิพลในสุวรรณภูมิแถบนี้มากมาย กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ค. 14, 10:21 แม่น้ำลพบุรี ไม่ได้มีต้นน้ำจากการรวมตัวของแควน้อยใหญ่ แต่แยกออกจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่ตำบลม่วงหมู่ อำเภอเมืองสิงห์บุรี แล้วไหลไปทางทิศตะวันออกเข้าเขตจังหวัดลพบุรี ผ่านตัวเมืองแล้ววกกลับเข้าจังหวัดอยุธยา ไปรวมกับแม่น้ำป่าสักที่ตำบลหัวรอในตัวเมือง กลับเข้าบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาอีกครั้งหนึ่งบริเวณวัดพนัญเชิง สมัยกรุงศรีตำบลนั้นเป็นที่ชุมนุมของเรือสำเภาบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ที่มาจากแดนไกลมากมาย
แม่น้ำลพบุรีมีความสำคัญขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายน์ เพราะพระองค์ทรงใช้เป็นเส้นทางหลักในการเสด็จไปสร้างพระราชวังที่นั่นเพื่อลดแรงรุมเร้าทางการเมือง หมดรัชสมัยแล้ว ลพบุรีก็สิ้นความเป็นนครหลวงอย่างไม่เป็นทางการไป แต่ร่องรอยของอารยธรรมระดับพระราชนิเวศน์ยังคงปรากฏ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 05 พ.ค. 14, 11:48 แม่น้ำลพบุรี ไม่ได้มีต้นน้ำจากการรวมตัวของแควน้อยใหญ่ แต่แยกออกจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่ตำบลม่วงหมู่ อำเภอเมืองสิงห์บุรี แล้วไหลไปทางทิศตะวันออกเข้าเขตจังหวัดลพบุรี ผ่านตัวเมืองแล้ววกกลับเข้าจังหวัดอยุธยา ไปรวมกับแม่น้ำป่าสักที่ตำบลหัวรอในตัวเมือง กลับเข้าบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาอีกครั้งหนึ่งบริเวณวัดพนัญเชิง สมัยกรุงศรีตำบลนั้นเป็นที่ชุมนุมของเรือสำเภาบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ที่มาจากแดนไกลมากมาย แม่น้ำลพบุรีมีความสำคัญขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายน์ เพราะพระองค์ทรงใช้เป็นเส้นทางหลักในการเสด็จไปสร้างพระราชวังที่นั่นเพื่อลดแรงรุมเร้าทางการเมือง หมดรัชสมัยแล้ว ลพบุรีก็สิ้นความเป็นนครหลวงอย่างไม่เป็นทางการไป แต่ร่องรอยของอารยธรรมระดับพระราชนิเวศน์ยังคงปรากฏ เจดีย์สูงใหญ่สร้างบนเกาะกลางแม่น้ำลพบุรี อยู่ในวัดมณีชลขันธ์ ของพระเกจิ พระอาจารย์แสง ซึ่งชาวลพบุรีนับถือมากๆ ครับ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ค. 14, 16:38 ไปหาคลิ๊ปคนจีนโล้เรือมาฝากคุณหนุ่มสยาม หากที่ผมอธิบายไปนั้นยังไม่เห็นภาพชัด
http://www.youtube.com/watch?v=X14DdEMZ_JM กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 พ.ค. 14, 16:40 และนี่เป็นการแจวครับ เพิ่งทราบว่าคนญวนเรียกกิริยานี้ว่าแจวเหมือนกัน ยุ่งละซี แสดงว่าคนญวนอาจจะมาสอนวิธีนี้คนไทยก็ได้ เพราะคนญวนอพยพมาทำมาหากินในเมืองไทยมากกว่าคนไทยจะไปที่นั่น ต้องรบกวนคุณเพ็ญอีกแล้ว
http://www.youtube.com/watch?v=SKDtkaN4fU8 กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 05 พ.ค. 14, 17:11 ชอบคุณครับ เอาภาพการพายเรือของชาวอินเล ของพม่าใช้เท้าไขว้พายเลยครับ
http://www.youtube.com/watch?v=DA49UIWnHb0 กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: ืnoon ที่ 05 พ.ค. 14, 21:40 (http://www.picdee.com/images/2014/05/05/hpqscan0007Mhq5n.jpg)
ภาพคุณแม่ของคุณศรีมนาค่ะ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 06 พ.ค. 14, 06:25 ^สวยนะครับ^
ขอบพระคุณ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 06 พ.ค. 14, 06:27 อ้างถึง และนี่เป็นการแจวครับ เพิ่งทราบว่าคนญวนเรียกกิริยานี้ว่าแจวเหมือนกัน ยุ่งละซี แสดงว่าคนญวนอาจจะมาสอนวิธีนี้คนไทยก็ได้ เพราะคนญวนอพยพมาทำมาหากินในเมืองไทยมากกว่าคนไทยจะไปที่นั่น ต้องรบกวนคุณเพ็ญอีกแล้ว เช้านี้ ขอแก้ไขในสิ่งผิดหน่อยครับ มาคิดดู คนญวนเริ่มอพยพมาไทยมากก็สมัยองเชียงสือหนีขบถภายในมาพึ่งพระบรมโพธิสัมภารในรัชกาลที่๑นี่เอง แต่การแจวเรือในไทยน่าจะมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาสุโขทัยโน้นแล้ว ตอนนั้นเราอยู่ภายใต้อิทธิพลของราชอาณาจักรขอม และภาษาเขมรคือรากเง่าของภาษาไทย ศัพท์เขมรหลายคำที่เรานำมาใช้ จึงรวมทั้งคำว่าแจวด้วย ผมหาพจนานุกรมไทย-เขมรดู ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เขมรว่า แจว ตูก – ไทยว่า แจว เรือ เนียง แจว ตูก ลัวะ นม จ็อมเน็ย – เธอแจวเรือขายพวกขนมพวกของกิน ญวนก็คงรับอารยธรรมจากเขมรไว้ด้วย เรือเป็นพาหนะที่ใช้กันมากในลุ่มแม่น้ำโขงก่อนออกทะเล ซึ่งภูมิภาคนั้นทั้งหมดอยู่ในราชอาณาจักรเขมรจวบจนแพ้สงครามแก่ญวนในรัชกาลที่๓นี้เอง สมัยนั้นสยามยังเคยส่งกองทัพเรือไปช่วยเขมรรบที่เมืองบันทายมาศ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่คุมปากแม่น้ำโขงที่จะนำไปสู่พนมเปญ เมื่อญวนครอบครองได้ในที่สุดแล้วได้เปลี่ยนชื่อเป็นฮาเตียน คนญวนคนเขมรในลุ่มแม่น้ำโขงจึงแทบจะแยกกันไม่ออก และล้วนแต่แจวเรือด้วยกันทั้งสิ้น กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 06 พ.ค. 14, 10:03 คุณนวรัตนวิสัชนาคำว่า "แจว" ได้เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว
ทีนี้มาเรื่องของคำว่า "โล้" คุณม้าเคยวิสัชนาไว้ดังนี้ ที่มาของคำว่าโล้นั้นยิ่งน่าสนใจ และเป็นกุญแจไขสู่คำตอบของเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน เรือสำปั้นนั้น จะมีแจวยึดอยู่กับหลักแจวทางท้ายเรือ เวลาใช้งานจะต้องโยกแจวอันนี้ไปมาซ้ายขวาอย่างลำตัวปลาเวลาว่ายน้ำ กริยานี้เป็นอย่างที่รอยอินบอกว่าคือการ "โล้" นี่แหละครับ ภาษาจีนจะว่า 摇橹 จีนกลางอ่านว่า เหยาหลู่ กวางตุ้งว่า ยิ่วโหลว พวกฮกเกี้ยน-แต้จิ๋วออกเสียงคล้ายกันว่า เอี่ยวโล่ ฝรั่งเอาคำนี้ไปใช้ โดยเขียนว่า yuloh ครับ ทั้งนี้คำว่า "เอี่ยว" นั้นแปลว่าโยก ส่วน "โล่" แปลว่าแจว(คำนาม) ครับ เห็นได้ว่า คำว่า "โล้" มาจากว่า "เอี่ยวโล่" ซึ่งเป็นคำกริยาโดยตัดคำหน้าทิ้ง คำว่า โล่(นาม) ในภาษาจีน จึงกลายมาเป็น โล้(กริยา) ในภาษาไทยด้วยประการฉะนี้เองครับ (http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png) กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 06 พ.ค. 14, 10:13 เอาภาษาจีนของคุณม้าไปหาต่อ ได้ภาพมาบรรยายความที่ผมบอกว่าเรือเล็กถ้าโล้แล้ว หัวเรือจะส่ายไปส่ายมา
http://www.youtube.com/watch?v=YAirwhykEWA กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 พ.ค. 14, 07:46 ภาพชีวิตในแม่น้ำลำคลองต่อครับ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 พ.ค. 14, 07:52 นิวาศสถานและวิถีชีวิตของคนไทยในแม่น้ำแบบนี้ ไม่มีการอนุรักษ์ของจริงไว้แบบมีชีวิตเลยสักแห่งเดียว
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 07 พ.ค. 14, 08:23 นิวาศสถานและวิถีชีวิตของคนไทยในแม่น้ำแบบนี้ ไม่มีการอนุรักษ์ของจริงไว้แบบมีชีวิตเลยสักแห่งเดียว ภาพคลองนี้ ชวนให้นึกถึงจังหวัดอุทัยธานี หรืออยุธยา หรือลพบุรี ที่เป็นช่วงแม่น้ำแคบๆ มีเรือนแพตั้งอยู่ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 พ.ค. 14, 13:20 พระรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 ดิฉันไม่เคยเห็น ก็เลยนำมาลงในกระทู้นี้
ใครเคยเห็นบ้างคะ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 09 พ.ค. 14, 16:26 ดูเหมือนเคยเห็นในหนังสือ'เจ้านายเล็กๆ ยุวกษัตริย์'ค่ะ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 พ.ค. 14, 10:32 ภาพหายากลำดับต่อไป
ขอเชิญคุณวี_มีกรุณาเข้ามาให้ข้อมูลหน่อยครับ ผมหาไม่เจอจริงๆว่า สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จประภาสอำเภอลับแล ซึ่งอยู่ในจังหวัดอุตรดิตถ์เมื่อใด มีบันทึกไว้ที่ไหนบ้าง หาในเวปอย่างไรก็ไม่เจอ แต่ เอ…คุณเพ็ญชมพูผู้ชำนาญในการใช้อินทรเนตรอาจเจอก็ได้ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 พ.ค. 14, 10:43 ข้อมูลที่หากันได้ในเวปจะมาจาก“ลิลิตพายัพ” พระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งดำรงพระยศสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือในพ.ศ. ๒๔๔๗ โดยเสด็จด้วยรถไฟไปลงที่ปากน้ำโพแล้วประทับเรือพระที่นั่ง ทวนน้ำขึ้นไปจนถึงเมืองตาก แล้วเสด็จพระราชดำเนินทางบกต่อไป
เสียดายภาพชุดนี้มีน้อยมาก เช่นที่บันทึกเป็นหลักฐานระบุว่าเป็นลำปางก็มีภาพเดียวเท่านี้ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 พ.ค. 14, 10:48 สุดท้ายที่มีในชุดคือภาพนี้
ไม่น่าจะเป็นที่ประทับระหว่างเสด็จอยู่เชียงใหม่ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 พ.ค. 14, 11:01 ภาพนี้มิได้อยู่ในอัลบั้มของคุณศรีมนา ผู้ที่นำมาลงในเวปบรรยายว่าเป็นที่ประทับแรมของสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ขณะเสด็จประภาสเมืองเชียงใหม่
คุณวี_มีน่าจะทราบว่าเป็นที่ใด กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 12 พ.ค. 14, 15:18 ผมหาไม่เจอจริงๆว่า สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จประภาสอำเภอลับแล ซึ่งอยู่ในจังหวัดอุตรดิตถ์เมื่อใด มีบันทึกไว้ที่ไหนบ้าง หาในเวปอย่างไรก็ไม่เจอ แต่ เอ…คุณเพ็ญชมพูผู้ชำนาญในการใช้อินทรเนตรอาจเจอก็ได้ พ.ศ. ๒๔๕๐ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ได้เสด็จประพาสเมืองกำแพงเพชร เมืองสุโขทัย เมือง สวรรคโลก เมืองอุตรดิตถ์ และเมืองพิษณุโลก เพื่อทรงตรวจตราโบราณวัตถุสถาน และสอบสวนเรื่องตำนานของเมืองเหล่านั้นอันปรากฏอยู่ในหนังสือเก่า ขณะที่เสด็จประพาสอุตรดิตถ์ พระองค์ได้ทรงพระราชนิพนธ์ถึงเมืองลับแลไว้ในหนังสือ "เที่ยวเมืองพระร่วง" ภาคที่ ๔ ระยะทางเสด็จกลับ อุตรดิตถ์ ลับแล ทุ่งยั้ง พิชัย พิษณุโลก สระหลวง ตอนที่ ๑ อุตรดิตถ์-ลับแล-ทุ่งยั้ง (http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=rattanakosin225&group=6) ตอนหนึ่งว่า "เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ข้าพเจ้าได้ไปเที่ยวที่ลับแล ออกจากที่พักที่อุตรดิตถ์ ขี่ม้าไปทางบ้านท่าอิฐ เดินตามถนนอินทใจมีไปเมืองลับแล พระศรีพนมมาศได้จัดแต่งที่พักไว้ที่ตำบลม่อนชิงช้า ที่ริมที่พักนี้พระศรีพนมมาศกับข้าราชการและราษฎรได้เรี่ยไรกันสร้างโรงเรียนขึ้นโรงหนึ่ง ซึ่งขอให้ข้าพเจ้าเปิด ข้าพเจ้าได้เปิดให้ในเวลาบ่ายวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ นั้น และให้นามว่า "โรงเรียนพนมมาศพิทยากร" แล้วได้เลยไปออกที่เขาม่อนจำศีล บนยอดเขานี้แลดูเห็นที่แผ่นดินโดยรอบได้ไกล มีทุ่งนาไปจนสุดสายตา และเห็นเขาเป็นทิวเทือกซ้อนสลับกันเป็นชั้น ๆ รวมกับกำแพงน่าดูหนักหนา" (http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png) กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 พ.ค. 14, 16:36 ดังนั้น น่าจะเป็นขาที่เสด็จพระราชดำเนินกลับ และทำให้ผมจำขึ้นมาได้ว่า นอกจาก“ลิลิตพายัพ”แล้ว ยังมีพระราชนิพนธ์ "เที่ยวเมืองพระร่วง" อีกฉบับหนึ่งด้วย
ขอบคุณมากครับ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 12 พ.ค. 14, 19:13 ยืนยันว่าเสด็จพระราชดำเนินเมืองลับแลคราวเสด็จ "เที่ยวเมืองพระร่วง" ตามที่คุณเพ็ญฯ แถลงไว้ครับ
คราวเสด็จประพาสมณฑลพายัพนั้น เสด็จโดยกระบวนเรือจากปากน้ำโพมาขึ้นบกที่ท่าอิฐ คือ เมืองอุตรดิต๔์ เสด็จตรวจสถานที่ราชการในเมืองแล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินข้ามเขาพรึงไปเมืองแพร่ ซึ่งระหว่างที่ประทับแรมในระหว่างทางที่เขาพรึงนี้ที่มีอสูรชื่อ หิรันย์ มาเฝ้าฯ และเมื่อเสด็จเสวยราชย์แล้วได้พระราชทานนามให้หิรันย์ว่า "ท้าวหิรัญพนาสูร ต่อมาในตอนปลาย พ.ศ. ๒๔๕๐ เสด็จเมืองกำแพงเพชร สุโขทัย ศรีสัชนาลัย แล้วจึงเสด็จประพาสเมืองพิชัย พระแท่นศิลาอาสน์ ดังที่คุณเพ็ญฯ บรรยายไว้ข้างบน ภาพในความเห็นที่ ๑๒๕ ที่มีคำบรรยายว่าเป็นที่ประทับแรมที่เชียงใหม่นั้น ดูจากรูปลักษณะเรือนไทยหลังใหญ่นั้นน่าจะเป็นจวนข้าหลวงใหญ่รักษาราชการมณฑลพายัพ ริมแม่น้ำปิง ที่จัดเป็นที่ประทับแรมในระหว่างเสด็จประพาสเมืองเชียงใหม่ เมื่อยุบการปกครองแบบเทศาภิบาลใน พ.ศ. ๒๔๗๖ แล้ว จวนนี้ถูกทิ้งร้างจนผุพังและได้รื้อลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ แล้วได้มีการก่อสร้างที่ทำการเทศบาลนครเชียงใหม่ขึ้นแทยในบริเวณที่เคยที่เป็นที่ตั้งจวน กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 พ.ค. 14, 21:18 ข้าหลวงใหญ่รักษาราชการมณฑลพายัพ กับอุปราชมณฑลพายัพเห็นจะเป็นท่านเดียวกัน
จากภาพที่คุณakkarachaiนำมาเสนอในเน็ท บรรยายว่าเป็นจวนของท่าน และเคยจัดถวายการรับรองสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ณ เพลานั้น กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 พ.ค. 14, 21:21 ภาพนี้ ผมหามาลงไว้ในเน็ทเองเมื่อนานมาแล้วจนลืมไปเลย เห็นว่าเป็นเรื่องเดียวกันจึงนำมารวมไว้ด้วยครับ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 13 พ.ค. 14, 06:34 ภาพขบวนเสด็จพระราชดำเนินเข้าเมืองเชียงใหม่ทั้งสองภาพนั้น ภาพบนเป็นกระบวนเสด็จพระราชดำเนินขณะยาตรากระบวนข้ามสะพานหมอชีคจากฝั่งวัดเกตุมายังฝั่งตะวันตกของลำน้ำปิง
ส่วนภาพล่างเป็นกระบวนเสด็จพระราชดำเนินจากพลับพลาประทับร้อนบ้านแม่คาว มาตามถนนแก้วนวรัฐ (ถนนสายดอยสะเก็ด - เชียงใหม่) ซึ่งทรงเปิดที่ดอยสะเก็ดในตอนเช้าวันนั้น และพระราชทานนามถนนสายนั้นว่า ถนนแก้วนวรัฐ อันมีความหมายว่า "แก้วเมืองนครเชียงใหม่" เเพื่อป็นเกียรติแก่ เจ้าแก้ว อุปราชเมืองนครเชียงใหม่ ผู้อำนวยการตัดถนนสายดังกล่าว กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 พ.ค. 14, 06:07 ชุดต่อไป แม้ในภาพไม่ได้ระบุแต่ก็สามารถเดาได้ว่าช่างผู้ถ่ายภาพนั้น ได้ร่วมอยู่ในขบวนเสด็จของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทั้งนี้โดยศึกษาจากพระนิพนธ์นิทานโบราณคดี คราวเสด็จตรวจราชการทางอีสานระหว่าง พ.ศ. ๒๔๔๙ –๒๔๕๐
พระรูปสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพข้างล่าง ขณะประทับระแทะระหว่างการเสด็จในบางเส้นทางดังกล่าว ไม่มีอยู่ในอัลบั้มของคุณศรีมนา แต่ผมหามาลงไว้เองเพื่อประกอบเรื่อง กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 พ.ค. 14, 06:15 ผมมิได้ประสงค์จะนำพระนิพนธ์มาลงไว้ทั้งหมด เพราะคุณกัมม์ได้ทำไว้แล้วโดยพิสดารในบล็อกของท่าน สามารถค้นหาได้ไม่ยาก แต่จะขอตัดตอนมาเท่าที่จำเป็นในการบรรยาย และพอเป็นกระสายให้ท่านที่มิเคยอ่าน จะได้ไปหาอ่านเพื่อประดับความรู้เรื่องราวในอดีตต่อไป
ในนิทานที่ ๑๖ เรื่องลานช้าง ทรงเริ่มต้นเล่าไว้ดังนี้ ฉันออกจากกรุงเทพฯเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ไปด้วยรถไฟพิเศษจนถึงนครราชสีมา ออกจากเมืองนครราชสีมาไปมณฑลอุดร ขี่ม้าไป ๑๔ วันถึงเมืองหนองคาย ครั้งนั้นรัฐบาลฝรั่งเศสมีแก่ใจจัดเรือไฟชื่อ ลาเครนเดีย อันเป็นพาหนะสำหรับข้าหลวงลำหนึ่ง กับเรือไฟสำหรับบรรทุกของลำหนึ่งส่งมาให้ฉันใช้ทางลำแม่น้ำโขง จึงลงเรือไฟมาจากเมืองหนองคายระยะทาง ๔ วันถึงเมืองนครพนม ขึ้นเดินบก ขี่ม้าจากเมืองนครพนมทาง ๓ วันถึงเมืองสกลนคร จากเมืองสกลนครเดินบกวกกลับลงไป ๓ วันถึงพระธาตุพนมที่ริมแม่น้ำโขง ลงเรือยาวพายล่องจากพระธาตุพนมทาง ๒ วันถึงเมืองมุกดาหาร ขึ้นเดินบกแต่เมืองมุกดาหารเข้ามณฑลอีสาน ทาง ๕ วันถึงเมืองยโสธร เวลานั้นข้าหลวงปันเขตแดนไทยกับฝรั่งเศสกำลังประชุมกันอยู่ที่เมืองอุบล ฉันจึงไม่ไปเฝ้ากรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เป็นแต่ได้สนทนากันด้วยโทรศัพท์ ออกจากเมืองยโสธรเดินบกไปเมืองเสลภูมิ เมืองร้อยเอ็ด แล้วผ่านเมืองมหาสารคามมาในเขตมณฑลอีสานทาง ๗ วันถึงเมืองผไทสง ปลายเขตมณฑลนครราชสีมา แต่นั้นมาทาง ๓ วันถึงเมืองพิมาย ได้รับสารตรากระทรวงมหาดไทย ว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาตรัสห้ามมิให้เข้าไปพักที่เมืองนครราชสีมา ด้วยเป็นเวลามีกาฬโรค ออกจากเมืองพิมายเดินทาง ๒ วันมาถึงบ้านท่าช้าง ห่างเมืองนครราชสีมา ๔๕๐ เส้น จึงพักแรมอยู่ที่นั้น แล้วออกเดินทางแต่ดึก มาถึงสถานีรถไฟพอได้เวลาขึ้นรถไฟพิเศษกลับมาถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๙ นั้น รวมเวลาที่ไปตรวจหัวเมืองครั้งนั้น ๓ เดือน หย่อน ๔ วัน กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 พ.ค. 14, 06:21 จะพรรณนาถึงหมู่บ้านในตำบลซึ่งฉันได้ไปแห่งหนึ่งให้เห็นเป็นตัวอย่าง แต่เรียกชื่อว่าหมู่บ้านอะไรลืมไปเสียแล้ว อยู่ในระหว่างเมืองชนบทกับเมืองขอนแก่น เป็นตำบลมีบ้านกว่า ๑๐๐ หลังคาเรือนด้วยกัน ราษฎรในตำบลนั้น ครัวหนึ่งก็มีบ้านอยู่แห่งหนึ่ง เรือนโรงในบ้านล้วนทำด้วยไม้มุงแฝก มีรั้วล้อมรอบบริเวณบ้าน ลานบ้านตอนในรั้วทำสวนปลูกผักฝักแฟงที่กินเป็นอาหาร กับคอกเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ ลานบ้านนอกรั้วออกไปทำไร่ฝ้ายและสวนกล้วยสวนพลู สวนปลูกต้นหม่อมสำหรับเลี้ยงไหม กับคอกเลี้ยงวัวเลี้ยงควายต่อหมู่บ้านออกไปถึงทุ่งนา พวกชาวบ้านต่างมีนาทำทุกครัวเรือน และถือกันเป็นธรรมเนียมว่าใครทำงานได้ต้องทำงานทุกคน ผู้ชายทำงานหนัก เช่น ทำนาและเลี้ยงปศุสัตว์ ทั้งทำการปลูกสร้าง และแบกขนต่างๆ ผู้หญิงทำงานเบาอยู่กับบ้าน เช่นทำสวนทำไร่ เลี้ยงไหม และไก่หมู ตลอดจนปั่นฝ้ายชักไหมและทอผ้า ทุกครัวเรือนสามารถหาอาหารและสิ่งของจำเป็นจะต้องใช้ในการเลี้ยงชีพได้ โดยกำลังลำพังตนเพียงพอไม่อัตคัต
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 พ.ค. 14, 06:35 ผมเพ่งมองต้นฉบับขนาดโปสการ์ดอยู่นาน เมื่อขยายแล้วจึงทราบว่าในภาพนี้มิใช่เพิงที่เขาทำถวายริมหนองให้ท่านพักระหว่างการเสด็จ แต่เป็นเพิงที่ทำเป็นประทุนคล่อมเรือมาดขนาดกลางๆสองลำที่ยึดติดกันไว้ น่าจะเป็นการนำเสด็จไปชมทิวทัศน์ของหนองดังกล่าวโดยทั่วไป
ปัจจุบันหนองนี้รู้จักกันในนามบึงทุ่งสร้าง ซึ่งจัดทำเป็นสวนสาธารณะสวยงาม ในเขตเทศบาลนครขอนแก่น กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 พ.ค. 14, 10:38 ฉันเดินบกไปจากเมืองนครราชสีมา ๕ วัน เข้าเขตมณฑลอุดรที่เมืองชนบท พอถึงเมืองชนบทก็เห็นชาวเมืองผิดกับเมืองนครราชสีมา ทั้งเครื่องแต่งตัวและฟังสำเนียงพูดภาษาไทยแปร่งไปอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งชาวกรุงเทพฯสำคัญกันมาแต่ก่อนว่าเป็นลาว แต่เดี๋ยวนี้รู้กันมากแล้วว่าเป็นไทยมิใช่ลาว ถึงในราชการแต่ก่อนก็อ้างว่าหัวเมืองในมณฑลพายัพกับมณฑลอุดรและอีสานเป็นลาว เรียกมณฑลพายัพว่า "ลาวพุงดำ" เพราะผู้ชายชอบสักมอมตั้งแต่พุงลงไปจนถึงเข่า เรียกชาวมณฑลอุดรและอีสานว่า "ลาวพุงขาว" เพราะไม่ได้สักมอมอย่างนั้น
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 พ.ค. 14, 06:45 สงสัยอยู่ครามครันว่า แม่หญิงชาวชนบทสมัยนั้นลงอาบน้ำในชุดผ้าซิ่นห่มสไบอย่างนั้นตามปกติวิสัยหรือว่าจัดฉาก ด้วยเห็นชาวกรุงยกกล้องมาจ้องจะถ่ายรูป
ลองไปค้นชุดอาบน้ำของแหม่มตะวันตกดู ก็เห็นว่ากาลครั้งหนึ่ง พวกเธอก็หวงนวลสงวนตัว ไม่อยากให้สายตาใครได้ค้นพบว่าพุงขาวหรือพุงลายเหมือนกัน กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 พ.ค. 14, 07:00 อันนี้เพื่ออ่านเป็นความรู้ครับ
เมื่อจัดหัวเมืองชายพระราชอาณาเขตเป็นมณฑลในรัชกาลที่ ๕ ราว พ.ศ. ๒๔๓๓ แรกก็ขนานนามหัวเมืองลาวพุงดำว่า"มณฑลลาวเฉียง"มณฑล๑ ขนานนามหัวเมืองลาวพุงขาวว่า"มณฑลลาวพวน"มณฑล๑ "มณฑลลาวกาว"มณฑล๑ เป็นเช่นนั้นมาจนถึงสมัยเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยนแปลงลักษณะการปกครองพระราชอาณาเขตตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๕ เป็นต้นมา ด้วยทรงพระราชปรารภว่า ลักษณะการปกครองแบบเดิมนิยมให้เป็นอย่างประเทศราชาธิราช(Empire) อันมีเมืองคนต่างชาติต่างภาษาเป็นเมืองขึ้นอยู่ในพระราชอาณาเขต จึงถือว่าเมืองชายพระราชอาณาเขต ๓ มณฑลนั้นเป็น"เมืองลาว" และเรียกชาวเมืองซึ่งอันที่จริงเป็นชนชาติไทยว่าลาว แต่ลักษณะการปกครองอย่างนั้นพ้นเวลาอันสมควรเสียแล้ว ถ้าคงไว้กลับให้โทษแก่บ้านเมือง จึงทรงพระราชดำริให้แก้ลักษณะการปกครอง เปลี่ยนเป็นอย่าง พระราชอาณาเขต(Kingdom) ประเทศไทยรวมกัน เลิกประเพณีที่มีเมืองประเทศราชถวายต้นไม้ทองเงิน และให้เปลี่ยนนามมณฑลลาวเฉียงเป็น "มณฑลพายัพ" เปลี่ยนนามมณฑลลาวพวนเป็น "มณฑลอุดร" และเปลี่ยนมณฑลลาวกาวเป็น "มณฑลอีสาน" ตามทิศของพระราชอาณาเขต ทั้งให้เลิกเรียกไทยชาวมณฑลทั้ง ๓ นั้นว่าลาวด้วย แต่นั้นก็เรียกรวมกันว่า "ไทยเหนือ" แทนเรียกว่าลาว ถ้าเรียกแยกกันก็เรียกตามชื่อมณฑลที่อยู่ว่า ชาวมณฑลพายัพ ชาวมณฑลอุดร ชาวมณฑลอีสาน อย่างเช่นที่เรียกชาวมณฑลปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตกว่า "ชาวนคร" (นครศรีธรรมราช) ครั้นมาถึงสมัยเมื่อเลิกมณฑลเสียแล้ว มีผู้รู้โบราณคดีคนหนึ่งแต่งหนังสือเอาชื่อแว่นแคว้นมณฑลพายัพแต่โบราณ มาใช้เรียกชาวมณฑลพายัพว่า "ชาวลานนา" ฉันเห็นชอบด้วย จึงเอาอย่างมาเรียกชาวมณฑลอุดรและอีสานในนิทานนี้ว่า "ชาวลานช้าง" ตามชื่อแว่นแคว้น อันเป็นคู่กันกับ "ลานนา" มาแต่ก่อน เดี๋ยวนี้เขาไม่เรียกลานนา-ลานช้างแล้ว แก้ไขเป็นล้านนา-ล้านช้าง กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 พ.ค. 14, 07:15 เมืองอุดรธานี แต่เดิมเรียกว่า "บ้านเดื่อหมากแข้ง" เพิ่งตั้งเป็นเมืองเมื่อ ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) ยังไม่มีอะไรที่น่าพรรณนาในนิทานนี้......
..........เมื่อภายหลังฉันไปมณฑลอุดรได้สักปีหนึ่ง วันหนึ่งราชทูตฝรั่งเศสให้มาบอกว่า กิจการทางชายแดนฝรั่งเศสกับไทยก็เรียบร้อยมานานแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ได้ทราบว่าสมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดร รับญวนหัวหน้ากบฏที่หนีจากเมืองญวนเลี้ยงไว้คนหนึ่ง เหตุใดจึงทำเช่นนั้น ฉันได้ฟังออกประหลาดใจ ตอบไปว่าฉันไม่ทราบเลยทีเดียว แต่เทศาฯคนนั้นฉันไว้ใจว่าคงไม่ทำอะไรให้ผิดความประสงค์ของรัฐบาล ถ้ารับญวนหัวหน้ากบฏเลี้ยงไว้ ก็เห็นจะเป็นเพราะไม่รู้ว่าเป็นคนเช่นนั้น ฉันจะถามดูก่อน เมื่อมีตราถามไป พระยาโพธิตอบมาว่า เดิมญวนคนนั้นไปหาที่เมืองอุดรธานี ว่าจะขอรับจ้างทำการงานเลี้ยงชีพแล้วแต่จะใช้ พระยาโพธิสืบได้ความว่าเคยเป็นหัวหน้าพวกกบฏหนีมาจากเมืองญวน คิดว่าที่ในมณฑลอุดรธานี มีพวกญวนเข้ามาตั้งค้าขายอยู่หลายแห่ง ถ้าปล่อยญวนคนนั้นไปเที่ยวหากินตามชอบใจ อาจจะไปชักชวนพวกญวนที่อยู่มณฑลอุดรให้ร่วมคิดกับพวกกบฏ ด็จะเกิดลำบากขึ้นในระหว่างรัฐบาลทั้งสองฝ่าย ครั้นจะจับกุมกักขังญวนคนนั้น ก็ไม่ได้ทำความผิดอย่างใดในเมืองไทย เห็นว่าหางานให้ทำอยู่ใกล้ๆจะดีกว่าอย่างอื่น มันทำอย่างไรจะได้รู้ จึงได้จ้างญวนนั้นไว้เป็นคนเลี้ยงม้า ฉันอ่านคำตอบชอบใจ ส่งไปให้ทูตฝรั่งเศสดู ก็ชมมาว่าเทศาฯทำถูกแล้ว พระยาโพธิเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดรมาจนถึงอนิจกรรม ในเวลานั้นฉันยังเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 พ.ค. 14, 07:28 "พระยาโพธิ" ในพระนิพนธ์ผู้เป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดรท่านนี้ รับราชการมีความดีความชอบเป็นเอนกอนันต์ ต่อมาได้เป็นถึงที่พระยาศรีสุริยราชวรานุวัติ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 15 พ.ค. 14, 07:29 สงสัยอยู่ครามครันว่า แม่หญิงชาวชนบทสมัยนั้นลงอาบน้ำในชุดผ้าซิ่นห่มสไบอย่างนั้นตามปกติวิสัยหรือว่าจัดฉาก น่าจะเป็นการจัดฉากครับ เพราะผิดวิสัยการเล่นน้ำต้องผลัดผ้าออก จะตีโป่งลอดผ้านุ่งคงไม่งาม :D ;D กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 พ.ค. 14, 07:45 นั่นดิ๊
แต่จัดฉากแปลว่า เธอนุ่งห่มกันมาสวยงามเพื่อดูขบวนเสด็จ แต่ตากล้องกลับให้พวกเธอลงไปนั่งแช่น้ำเล่นซะยังงั้น เพียงเพื่อจะถ่ายรูปรึ จึงสมควรรอความเห็นแม่หญิงในเรือนไทยนี้ จะด่วนสรุปคงยังไม่ได้ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 พ.ค. 14, 10:50 สงสัยอยู่ครามครันว่า แม่หญิงชาวชนบทสมัยนั้นลงอาบน้ำในชุดผ้าซิ่นห่มสไบอย่างนั้นตามปกติวิสัยหรือว่าจัดฉาก น่าจะเป็นการจัดฉากครับ เพราะผิดวิสัยการเล่นน้ำต้องผลัดผ้าออก จะตีโป่งลอดผ้านุ่งคงไม่งาม :D ;D ช่างสังเกตกันจริงจริ๊ง กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 15 พ.ค. 14, 11:30 แม่หญิงชาวชนบทในภาพ มีหัวหน้าทีมเป็นผู้มีอายุ ส่วนลูกทีมล้วนอายุเยาว์วเรศรุ่นเจริญศรี เห็นทีจะยกทีมมาล้างอะไรซักอย่างในหนองน้ำเป็นแน่แท้ ;D
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 พ.ค. 14, 12:27 เห็นล้างเท้าน่ะคนหนึ่งละ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 พ.ค. 14, 18:22 ไม่รู้ว่าสาวอีสานอาบน้ำ มีผ้าติดตัวอยู่หรือไม่ แต่สาวภาคกลางอย่างนางพิม ลงอาบน้ำที่ท่าน้ำ พร้อมพี่เลี้ยงและบ่าวสาวๆ มีขุนช้างไปแอบดู เธอน่าจะนุ่งกระโจมอก เพราะบรรยายว่า นั่งถูตัวอยู่ ผ้าเลื่อนหลุดลงมาจากรักแร้ จนขุนช้างมองเห็น
ขุนช้างทะยานงุ่นง่านใจ ผ้านางพิมไพล่จากรักแร้ ขุนช้างเห็นนมกลมตละปั้น ........................ จากนั้นก็มีคำบรรยายว่าตอนอาบน้ำเสร็จก็ขึ้นมาผลัดผ้า เดินกลับบ้านกันเป็นขบวน ส่วนในภาพนี้ สาวอีสานลงน้ำไปทั้งชุดใหญ่ สไบยังห่มมิดชิดรัดกุม เช่นเดียวกับผ้านุ่งก็นุ่งเป็นโจงกระเบนอยู่ ไม่เหมาะจะลงอาบน้ำเลย เรียกว่าลงแช่น้ำเฉยๆดีกว่ามั้งคะ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 15 พ.ค. 14, 20:09 จริงๆแล้วเป็นนักเรียนอยู่ข้างจะธัมมะธัมโม อาจารย์ทิ้งวรรคสำคัญเป็นดอทดอทดอทไว้ เลยพลอยงุ่นง่านทะยานใจตามขุนช้างไปด้วย จะไปค้นฉบับจริงต้องไปรื้อค้นอีกหลายเพลา ขอความกรุณาท่านอาจารย์ต่ออีกนิดเถอะครับ จะได้เห็นลีลาฝีปากครูบาอาจารย์สมัยโน้นด้วย
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 พ.ค. 14, 21:32 ท่านอาจารย์อาจจะไม่สะดวกใจ จขกท.จึงขอรับหน้าที่แทนครับ
สายทองนางพิมอยู่ริมตลิ่ง หัวเราะล้มกลิ้งไม่ลุกได้ ขุนช้างทะยานงุ่นง่ามใจ ผ้านางพิมไพล่จากรักแร้ ขุนช้างเห็นนมกลมตะละปั้น มือคั้นหน้าแข้งยึนแยงแย่ โคลงตัวคลุกคลุกเป็นตุ๊กแก อีแม่เอ๋ยวันนี้กูตาย คุณหมอคงทราบได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับขุนช้าง จึงได้ออกอาการจะเป็นจะตายเช่นนั้น กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 15 พ.ค. 14, 23:38 ขอบคุณอาจารย์NAVARAT.C ครับ ค่อยโล่งไปได้
เป็นเด็กต่างจังหวัด เด็กหญิงชายแถวบ้านจะรวมกลุ่มเล่นกันไม่ถือสา สมัยก่อนการเล่นกลางแจ้งก็มี ไม้หึ่ง ตี่จับ ลิงชิงหลัก ช่วงน้ำขึ้น น้ำในคลองแถวบ้านจะใส เด็กๆจะลงเล่นน้ำกัน คลุกคลีตีโมงกันมากๆ ก็เรียนรู้แต่เด็กว่า เอ้อ..ผิวสัมผัสต่างเพศให้ความรู้สึกอีกแบบแฮะ แต่ไม่ได้งุ่นง่านแบบขุนช้างหรอกนะครับ ยังเด็กๆกัน ขอเชิญอาจารย์NAVARAT.C ดำเนินกระทู้ต่อเลยครับ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 16 พ.ค. 14, 07:23 ครับผม
ขอเชิญทุกท่านเดินทางต่อครับ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 16 พ.ค. 14, 07:33 หนองประจักษ์ ตั้งชื่อตามพระนามพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม พระนามเดิม พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ ทรงเคยดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลฝ่ายเหนือ และตั้งกองบัญชาการมณฑลลาวพวนที่บ้านหมากแข้ง ที่ทรงสร้างความเจริญจากหมู่บ้านจนวันนี้เป็นจังหวัดอุดรธานี
เมื่อฉันขึ้นไปมณฑลอุดร กรมหลวงประจักษ์ฯเสด็จกลับลงมากรุงเทพฯเสียกว่า ๑๐ ปีแล้ว เห็นจะเป็นเพราะราษฎรไม่ได้เห็นเจ้านายมาช้านาน พอได้ยินข่าวว่าจะมีเจ้านายเสด็จขึ้นไปก็พากันปิติยินดี ตั้งแต่ฉันเข้าเขตมณฑลอุดรเดินทางผ่านตำบลไหน ก็เห็นราษฎรชาวบ้านในตำบลนั้นทั้งชายหญิงเด็กผู้ใหญ่ พากันมานั่งคอยเคารพอยู่ที่ริมทางเป็นหมู่ๆและมากๆ เวลาไปหยุดพักที่ไหน พวกราษฎรก็พากันนั่งห้อมล้อมรอบข้าง บางคนก็มาไหว้ด้วยมือเปล่า บางคนมีเครื่องสักการะมาด้วย บางคนถึงเอาขันใส่น้ำมาขอให้ทำน้ำมนต์ และอยากเข้าให้ใกล้ชิดทุกคน พวกหนึ่งเข้ามากราบไหว้แล้วถอยออกไป พวกใหม่ก็เข้ามาแทน มีกิจที่ต้องรับและปราศรัยให้พรพวกราษฎรเพิ่มขึ้นตลอดทางที่ไปทุกแห่ง แต่ที่ไหนก็ไม่เหมือนเมืองหนองคาย กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 16 พ.ค. 14, 07:51 เวลาฉันพักอยู่ที่นั่น แต่เช้าก็มีพวกราษฎรมาหาทุกวัน พวกไหนมาถึงก็เข้ามานั่งอยู่ที่หน้าพลับพลา คอยอยู่จนฉันออกไปปราศรัยแล้วจึงกลับไป พวกหนึ่งไปแล้ว พวกอื่นก็มาอีก ถ้าไม่ได้พบฉันก็ไม่กลับ ต้อง "เสด็จออก" ร่ำไปไม่รู้ว่าวันละกี่ครั้ง จนฉันออกปากว่าอ่อนใจ พวกกรมการเมืองหนองคายเขาจึงบอกให้รู้ ว่าราษฎรที่มาหานั้น มิใช่แต่ชาวเมืองหนองคายเมืองเดียว พวกราษฎรทางฝั่งซ้ายในแดนฝรั่งเศสก็มามาก ฉันได้ฟังก็เกิดลำบากใจ ด้วยเดิมคิดไว้ว่าจะหาโอกาสไปดูเมืองเวียงจันทน์ แต่นึกขึ้นว่าถ้าเวลาเมื่อฉันไป มีพวกราษฎรในเมืองเวียงจันทน์พากันมาห้อมล้อมไหว้เจ้า ตามประสาของเขาเหมือนอย่างทางฝั่งข้างนี้ ก็อาจจะกระเทือนไปถึงการเมือง จึงงดความประสงค์ เลยไม่ได้ไปเห็นเมืองเวียงจันทน์ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่พ้นความลำบากได้ทีเดียว
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 16 พ.ค. 14, 08:07 ขอหยอดภาพที่เมืองโคราชสัก ๑ ภาพก่อนที่จะไปหนองประจักษ์ต่อ ;D
ภาพศซุ้มรับเสด็จพระพุทธเจ้าหลวง เสด็จโคราช (ทรงขี่ม้าด้วยองค์เอง) ในปลายรัชกาล กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 16 พ.ค. 14, 11:44 ขออนุญาตขัดจังหวะ เสริมเรื่องนางพิมอาบน้ำตรงนี้อีกสักหน่อย เห็นคุณ Jailto สนใจ
จริงๆแล้วเป็นนักเรียนอยู่ข้างจะธัมมะธัมโม อาจารย์ทิ้งวรรคสำคัญเป็นดอทดอทดอทไว้ เลยพลอยงุ่นง่านทะยานใจตามขุนช้างไปด้วย จะไปค้นฉบับจริงต้องไปรื้อค้นอีกหลายเพลา ขอความกรุณาท่านอาจารย์ต่ออีกนิดเถอะครับ จะได้เห็นลีลาฝีปากครูบาอาจารย์สมัยโน้นด้วย ตามไปอ่านได้ที่กระทู้ นางพิมพิลาไลย ต่อมาเป็นนางวันทอง อาบน้ำที่ไหนบ้าง (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3182.0) สนุกสนานได้วิชาลีลาฝีปากครูบาอาจารย์สมัยโน้นดีเชียวแหละ ;) กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 16 พ.ค. 14, 23:52 เพิ่งเข้ามาในเรือนเมื่อกี้นี้เอง ขอบคุณคุณเพ็ญชมพูที่ช่วยให้เบาะแสแก่หนุ่มๆที่แอบซุ่มอยู่หลังขุนช้างน่ะครับ
นางพิมหรือวันทองอาบน้ำกี่ครั้ง ที่ไหน เอามาเป็นกระทู้ได้เลยหรือครับ 8) กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 พ.ค. 14, 07:57 อ่านทุกอิริยาบถในการอาบน้ำของสาวภาคกลางอย่างนางวันทอง ช่างห่างไกลจากภาพสาวอีสานในภาพที่ผ่านมา จะว่าพวกเธอมานั่งทำงานโดยเอาอะไรมารวมกลุ่มล้างกันเพื่อทำผลิตภัณฑ์โอท๊อป ก็ไม่ปรากฏร่องรอยให้เดา
หนองน้ำ หมายถึงที่ลุ่มที่น้ำฝนไหลลงมารวมกันอยู่ตามธรรมชาติตื้นๆ โดยไม่มีการไหลถ่ายเทได้เช่นแม่น้ำลำคลอง น้ำที่ขังนิ่งเช่นนั้นจึงไม่ค่อยจะสะอาดเท่าไร คนลงไปอาบโคลนใต้น้ำก็ฟุ้งขึ้นมาขุ่นคลั่ก เผลอๆจะทำให้เป็นโรคผิวหนังคันคะเยอ แถมอาจโดนปลิงควายมุดเข้าไปเกาะใต้ร่มผ้าด้วย นอกจากนั้นในพระนิพนธ์ยังมีข้อความนี้เสียอีก ตอนไปในมณฑลอุดรสบฤดูหนาวเย็นสบายดี บางทีถึงเย็นเกินต้องการ เช่น เมื่อวันพักแรมที่ตำบลน้ำซวย แขวงจังหวัดหนองคาย ปรอทลงถึง ๓๘ ดีกรีฟาเรนไฮต์ (3.3 °C)ยังอีก ๖ ดีกรีก็จะถึงน้ำแข็ง ฉันไม่เคยพบหนาวที่ไหนในเมืองไทยเหมือนวันนั้น ตำบลน้ำซวย เดี๋ยวนี้คืออำเภอเพ็ญในหนองคาย มีแม่น้ำสั้นๆอยู่ที่ตำบลจอมศรี มีชื่อตามสมัยนิยมว่าแม่น้ำสวย คงเปลี่ยนด้วยเหตุผลคล้ายๆกับตำบลบางเหี้ยที่เปลี่ยนเป็นตำบลคลองด่าน ตำบลน้ำซวยกับอำเภอชนบท แม้จะอยู่คนละจังหวัดแต่ดูแผนที่ก็ไกล้กันนิดเดียว สะท้อนให้เห็นว่าขณะนั้นเป็นหน้าหนาวที่หนาวสุดๆปีหนึ่ง ไม่เหมาะจะมานั่งแช่น้ำนานๆไม่ว่าจะมานั่งทำงาน หรือมาอาบเล่นโดยแต่งกายอย่างนั้น เสร็จแล้วจะเดินตัวเปียกกลับไปบ้านหรืออย่างไร ถ้าเอาผ้ามาผลัด ทำไมไม่เป็นผลัดชุดอาบน้ำที่ทะมัดทะแมงกว่านี้ตั้งแต่ต้น ดังนั้นหญิงกลุ่มนี้มาทำอะไรให้เขาจับถ่ายรูปจึงขอทิ้งให้เป็นปริศนาอยู่ต่อไป โดยผมจะนำพวกเราตามเสด็จกันต่อ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 พ.ค. 14, 08:23 อ้างถึง เมื่อฉันขึ้นไปมณฑลอุดร กรมหลวงประจักษ์ฯเสด็จกลับลงมากรุงเทพฯเสียกว่า ๑๐ ปีแล้ว เห็นจะเป็นเพราะราษฎรไม่ได้เห็นเจ้านายมาช้านาน พอได้ยินข่าวว่าจะมีเจ้านายเสด็จขึ้นไปก็พากันปิติยินดี ตั้งแต่ฉันเข้าเขตมณฑลอุดรเดินทางผ่านตำบลไหน ก็เห็นราษฎรชาวบ้านในตำบลนั้นทั้งชายหญิงเด็กผู้ใหญ่ พากันมานั่งคอยเคารพอยู่ที่ริมทางเป็นหมู่ๆและมากๆ เวลาไปหยุดพักที่ไหน พวกราษฎรก็พากันนั่งห้อมล้อมรอบข้าง บางคนก็มาไหว้ด้วยมือเปล่า บางคนมีเครื่องสักการะมาด้วย บางคนถึงเอาขันใส่น้ำมาขอให้ทำน้ำมนต์ และอยากเข้าให้ใกล้ชิดทุกคน พวกหนึ่งเข้ามากราบไหว้แล้วถอยออกไป พวกใหม่ก็เข้ามาแทน มีกิจที่ต้องรับและปราศรัยให้พรพวกราษฎรเพิ่มขึ้นตลอดทางที่ไปทุกแห่ง แต่ที่ไหนก็ไม่เหมือนเมืองหนองคาย เวลาฉันพักอยู่ที่นั่น แต่เช้าก็มีพวกราษฎรมาหาทุกวัน พวกไหนมาถึงก็เข้ามานั่งอยู่ที่หน้าพลับพลา คอยอยู่จนฉันออกไปปราศรัยแล้วจึงกลับไป พวกหนึ่งไปแล้ว พวกอื่นก็มาอีก ถ้าไม่ได้พบฉันก็ไม่กลับ ต้อง "เสด็จออก" ร่ำไปไม่รู้ว่าวันละกี่ครั้ง จนฉันออกปากว่าอ่อนใจ พวกกรมการเมืองหนองคายเขาจึงบอกให้รู้ ว่าราษฎรที่มาหานั้น มิใช่แต่ชาวเมืองหนองคายเมืองเดียว พวกราษฎรทางฝั่งซ้ายในแดนฝรั่งเศสก็มามาก ฉันได้ฟังก็เกิดลำบากใจ ด้วยเดิมคิดไว้ว่าจะหาโอกาสไปดูเมืองเวียงจันทน์ แต่นึกขึ้นว่าถ้าเวลาเมื่อฉันไป มีพวกราษฎรในเมืองเวียงจันทน์พากันมาห้อมล้อมไหว้เจ้า ตามประสาของเขาเหมือนอย่างทางฝั่งข้างนี้ ก็อาจจะกระเทือนไปถึงการเมือง จึงงดความประสงค์ เลยไม่ได้ไปเห็นเมืองเวียงจันทน์ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่พ้นความลำบากได้ทีเดียว อ้างถึง ถึงเมืองหนองคาย ครั้งนั้นรัฐบาลฝรั่งเศสมีแก่ใจจัดเรือไฟชื่อ ลาเครนเดีย อันเป็นพาหนะสำหรับข้าหลวงลำหนึ่ง กับเรือไฟสำหรับบรรทุกของลำหนึ่งส่งมาให้ฉันใช้ทางลำแม่น้ำโขง จึงลงเรือไฟมาจากเมืองหนองคายระยะทาง ๔ วันถึงเมืองนครพนม เมื่อลงเรือไฟลาแครนเดียของฝรั่งเศส ล่องลำแม่น้ำโขงลงไปจากเมืองหนองคาย ถึงเวลาบ่ายในวันแรกล่องนั้น นายเรือขอจอดรับฟืนที่สถานีของฝรั่งเศสแห่งหนึ่งทางฝั่งซ้าย เวลาขนฟืนลงเรือ ฉันนั่งอยู่บนดาดฟ้าด้วยกันกับนายพันตรีโนลังฝรั่งเศสซึ่งรัฐบาลให้เป็นผู้ไปกับฉัน มียายแก่คนหนึ่งถือพานเครื่องสักการะเดินไต่ตลิ่งลงมาจากสถานี ฉันเห็นก็นึกว่าคิดถูกที่ไม่ไปเมืองเวียงจันทน์ แต่ที่นี่มีเพียงยายแก่คนเดียวจะประสานการเมืองได้ไม่ยากนัก พอแกลงมาในเรือเดินตรงเข้ามาหาฉัน ฉันชี้มือให้แกไปที่นายพันตรีโนลัง แต่เขาก็คิดทันท่วงที ลุกขึ้นเดินไปรับพานเครื่องสักการะจากมือยายแก่เอามาส่งให้ฉัน ก็เป็นการเรียบร้อยด้วยอัชฌาสัยทั้งสองฝ่าย กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 พ.ค. 14, 08:39 เรือลาแครนเดีย La Grandière เป็นเรือกลไฟที่รัฐบาลฝรั่งเศสต่อขึ้นที่ประเทศแม่ แล้วส่งมาใช้งานที่อาณานิคมอินโดจีน โดยประจำการอยู่ในลาว ตอนที่เรื่องขัดแย้งกับสยาม เรือลำนี้สามารถติดปืนใหญ่เพื่อเตรียมรบกับคนไทยด้วย เมื่อเหตุการณ์สงบลงแล้วฝรั่งเศสก็ถอดปืนใหญ่ออกแล้วใช้ในกิจการด้านพลเรือนต่อไป
แม่น้ำโขงนั้นประกอบด้วยเกาะแก่งใหญ่ๆมากมาย ไม่สามารถเดินเรือผ่านขึ้นล่องได้ ฝรั่งเศสจึงต้องนำเรือมาขึ้นบกที่เมืองโขง แขวงสีพันดอน(สี่พันดอน แปลเป็นไทยว่าสี่พันเกาะ) แล้วต้องลากเรือขึ้นบก ใช้กุลีญวนชักลากไปตามรางรถไฟข้ามไปลงแม่น้ำโขงที่ปลายแก่ง แล้วจึงเดินทางต่อไปยังหลวงพระบางหรือเวียงจันทน์ได้ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 พ.ค. 14, 08:51 สร้าง suspense เรื่องนางแช่น้ำแล้ว ท่าน NAVARAT.C ก็เดินทางตามเสด็จต่อไปซะดื้อๆงั้นละ
(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5959.0;attach=48389;image) แกะรอยจากรูปได้อีกนิดหน่อยว่า นางทั้งโขยงนี้ขณะถ่ายรูปยังไม่ได้ลงอาบน้ำ เพราะเห็นว่าสไบไม่ได้เปียกน้ำแนบตัว อย่างที่ควรเป็นถ้าพวกเธออาบน้ำทั้งชุดนี้แล้ว สไบสาวคนหน้าขวามือ ยังแห้งสนิท ส่วนที่ทิ้งลงจากไหล่ถ้าชุ่มน้ำ ผ้าคงแนบบ่า คนอื่นๆก็เหมือนกัน แสดงว่าเพิ่งจะลงนั่งในน้ำเมื่อถ่ายรูป เป็นได้ว่าเป็นนางแบบหน้ากล้อง ลงนั่งในน้ำให้ถ่ายรูปเท่านั้น กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 พ.ค. 14, 09:11 เอ้า ถอย ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
เชิญครับ เชิญกลับไปดูนวลน้องเล่นน้ำกันอีก วิเคราะห์กันให้แจ่ม กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 พ.ค. 14, 09:54 ครั้นขบวนเสด็จเคลื่อนมาใกล้หนองใหญ่แห่งหนึ่ง บรรดาช้างและโคต่างทั้งหลายได้กลิ่นน้ำก็ทำกิริยาขึ้น ท่านข้าหลวงจึงกราบทูลขอพักให้สัตว์ได้กินน้ำสักชั่วครู่ เพลานั้นมีหญิงสอบถามได้ความว่าเป็นชาวบ้านชนบทที่เพิ่งผ่านมานั้น จะมาอาบน้ำ ด้วยเวลาหัววันเช่นนี้อากาศยังมิหนาวเย็นจนเกินไปนัก ขุนจำลองทัศนีย์จึงเข้าไปเจรจาด้วยจักขอถ่ายรูปหญิงอาบน้ำไว้เป็นที่ระลึก หญิงทั้งสิ้นก็ขวยอายอิดเอื้อนอยู่ คุณนายข้าหลวงจึงได้มาช่วยพูดจากันอยู่นาน สุดท้ายแม่หญิงในกลุ่มบอกว่าจะถ่ายรูปพวกตนตอนอาบน้ำก็ได้ แต่ขอไม่ผลัดผ้าอาบ จะยอมลงไปนั่งแช่น้ำให้ถ่ายในชุดที่แต่งกายมาเช่นนี้ คุณนายข้าหลวงจึงบอกกับขุนจำลองทัศนีย์ว่าฉันหมดปัญญาแล้วเขายอมเพียงเท่านี้แหละ ท่านขุนจงรีบตั้งกล้องถ่ายเสียโดยเร็ว ขืนมัวชักช้าอยู่บัดเดี๋ยวจะไม่ทันขบวนเสด็จ
จขกท.มโนขึ้นเองตามท้องเรื่อง กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 พ.ค. 14, 10:06 ปานประหนึ่งรำลึกชาติได้แต่ปางก่อน เทียวหนอ
น่าจะเคยได้ตามเสด็จไปในขบวนเป็นแม่นมั่น กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 พ.ค. 14, 10:12 นอกจากสไบไม่เปียก ผมเผ้าพวกเธอก็ยังแห้งสนิทด้วยค่ะ
หน้าตายู่ยี่ เหมือนส่งภาษากายมาบอกว่า ท่านเจ้าคุณศรีนวรัตนตั้งกล้อง ใส่กระจกฟิล์ม เล็งอยู่หลังผ้าคลุมนานละเกิ๊น พวกอิฉันถูกแดดเผาซะตายิบหยีไปหมดแล้วนะเจ้าคะ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 พ.ค. 14, 10:15 ขุนจำลองทัศนีย์ พระยาศรีนวรัตน อ๊ะ เข้ากั๊นนนเข้ากัน
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 พ.ค. 14, 10:28 อีกอย่างนะคะ
อิริยาบถที่นั่งพับเพียบ รวมกลุ่มเป็นระเบียบ จัดแถวเรียบร้อย มีหญิงที่ดูหน้าตาเป็นผู้ใหญ่กว่าเพื่อนนั่งหน้า มันไม่ใช่อิริยาบถของคนกำลังลงเล่นน้ำ ซึ่งควรกระจายตัวตามสบายไม่มีระเบียบอะไร ภาพนี้บอกให้รู้ว่าพวกอิฉันกำลังนั่งพับเพียบอยู่ริมหนองน้ำนะเจ้าคะ ข้างล่างถ้าไม่ใช่ทรายก็โคลนคันคะเยอ ข้างบนก็แดดเผา นุ่งห่มก็เต็มเพียบ ทรมานกายยิ้มไม่ออกเลยเจ้าค่ะ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 พ.ค. 14, 11:14 สงสารยายที่นั่งเกาฮ่องกงฟุตยิกๆอยู่ใต้น้ำ แถมบ่นดังๆให้อีหล่าตาฮักตาแพงยิ้มหัวกันกะด้อกะเดี้ย
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 พ.ค. 14, 09:12 ดิฉันแยกคำถามของคุณ anna ออกไปแล้ว เพราะเธอน่าจะโพสผิดกระทู้ เลยพลอยเกี่ยวเอาค.ห.ของคุณ Jalito ออกไปด้วย
ต้องใช้วิธี quote ของคุณ Jalito เอากลับมาอีกครั้งค่ะ อ้างจาก: NAVARAT.C ที่ 16 พ.ค. 14, 07:51 ... แต่นึกขึ้นว่าถ้าเวลาเมื่อฉันไป มีพวกราษฎรในเมืองเวียงจันทน์พากันมาห้อมล้อมไหว้เจ้า ตามประสาของเขาเหมือนอย่างทางฝั่งข้างนี้ ก็อาจจะกระเทือนไปถึงการเมือง... เพิ่งทราบว่าคำ "การเมือง" มีใช้มาแต่สมัยกรมพระยาดำรงฯ รู้สึกว่าใช้กับประเด็นระหว่างประเทศมากกว่าภายในประเทศ เพราะตอนนั้นการเมืองในประเทศเป็นอำนาจของพระมหากษัตริย์แต่พระองค์เดียว อีกไม่กี่สิบปีต่อมาเสด็จในกรมก็หลบเลี่ยงคำนี้ไม่พ้น จนต้องไปประทับต่างประเทศพักใหญ่ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 พ.ค. 14, 06:02 ผมไปค้นดูพบว่าคำว่าการเมืองปรากฏตั้งแต่สมัยต้นรัชกาลที่๕แล้ว ดังเช่นพระราชหัตถเลขาที่มีไปถึงสมเด็จกรมพระยาเทววงศ์ฯคราวเสด็จประพาสแหลมมลายู ร.ศ. ๑๐๘ หรือ พ.ศ. ๒๔๓๒ ช่วงที่เสด็จขึ้นเมืองยิหริ่ง (อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานีในปัจจุบัน)ใจความว่า
เขาแต่งโรงหลังหนึ่งคล้ายโรงเลื่อยไม้เปนพลับพลาที่รับริมท่า ขึ้นนั่งรอพอพรักพร้อมกัน นิโซ๊ะบุตรพระยายิหริ่ง พาสีตวันกรมการมาคอยรับอยู่ที่นั่น แล้วออกเดิรตามหนทางที่เรียกว่าเปนถนนไม่ได้ เพราะเปนพื้นทรายปรกติทั่วไป ทรายลึกเดิรลำบาก ผ่านน่าบ้านพระยายิหริ่งเก่า มีหอนั่งเปนโรงหลังคามุงกระเบื้อง เรือนฝากระดานหลังคามุงกระเบื้องหลายหลังแต่ชำรุดทรุดโทรม ต้นไม้ขึ้นรกเปนที่ร้าง ต่อนั้นไปสุเหร่ามีโรงสวดหลังย่อมๆ หลังคามุงกระเบื้องหลังหนึ่ง มีหอระฆังหอหนึ่ง ที่วัดนั้นก็อยู่ข้างจะโทรมแต่ไม่ถึงร้าง อีกฟากถนนหนึ่งถึงก็เปนบ้านเรือน มีบ้านนิโซ๊ะอยู่ต้นทาง แต่รั้วและเรือนเกือบๆ จะพังอยู่แล้วทั้งนั้น ถนนเลี้ยวไปทางริมน้ำเปนตลาดปลูกต้นประดู่กลางถนน ร่มในใต้ต้นประดู่นั้น มีร้านเล็กๆ เรียงเปนสี่แถวหันหน้าเข้าหากัน เดินเปนสองทางคล้ายตลาดเมืองกลันตัน แต่ขายผ้าและของกินคละปะปนกัน ประมาณสัก ๕๐ – ๖๐ ร้าน ดูก็มีผ้าผ่อนมาก แต่ราคาผ้าที่ซื้อขายกันแพงกว่าเมืองตานี เปนผ้าทอในเมืองยิหริ่งบ้าง ผ้าดอกมาแต่สิงคโปร์บ้าง มีหีบและกลักเหล็กวิลาศอย่างหนึ่ง ซึ่งเปนของทำซื้อขายในเมืองยิหริ่งเอง ได้ไต่ถามในการเมืองยิหริ่งจากนิโซ๊ะก็ทราบบ้างไม่ทราบบ้าง ดูไม่สู้เปนคนคุ้นเคยในราชการนัก แต่พิจารณาในบริบทแล้ว ความหมายของคำว่าการเมืองดังกล่าวในที่นี้น่าจะตรงกับราชการงานเมืองทั่วๆไป ไม่มีความหมายไปถึงงานช่วงชิงรักษาอำนาจการบริหารบ้านเมืองตามความหมายปัจจุบันนะครับ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 พ.ค. 14, 07:19 ก่อนที่จะนำท่านไปยังเนื้อหาของพระนิพนธ์ที่ทรงจะเล่าถึงความโหดในระหว่างการเดินทางโดยแม่น้ำโขง ขอปูความสักนิดว่า หลังจากที่ใช้รับเสด็จครั้งนั้นแล้ว หนึ่งปีให้หลังเรือลาแครนเดียลำนี้ก็อับปางลงในขณะที่เป็นพาหนะนำนายพลเบกีย์ (General Beylié) และ หมอรูเชียนดีส์ (Rouffiandis) นายแพทย์ชาวฝรั่งเศสที่เพิ่งจะหมดวาระราชการในตำแหน่งหัวหน้าการสาธารณะสุขลาวหมาดๆ ขออาศัยเรือจากเมืองหลวงพระบางมุ่งหน้ากลับบ้านในฝรั่งเศสด้วย การเดินทางครั้งนั้นมีกลาสีลาวที่เชี่ยวชาญสองคนเป็นผู้ควบคุมเรือ แต่เมื่อล่องลงมาถึงแก่งโตนสูงห่างจากเมืองลงมาประมาณ๖๕กิโลเมตร เรือได้ถูกกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากพัดพาเข้าไปเกยเข้ากับหินใต้น้ำ ทำให้เรือหมุนคว้างขวางลำแล้วพลิกคว่ำลงไปคร่ากับหินอย่างรุนแรงจนแตกเป็นเสี่ยง จมลงใต้กระแสน้ำอันบ้าคลั่งในพริบตา ทุกชีวิตบนเรือพร้อมกับของกำนัลอันมีค่าที่นายพลฝรั่งเศสเพิ่งจะได้มาจากเจ้ามหาชีวิตจมหายวับไปในห้วงน้ำทันที กว่าซากศพของนายพลผู้นี้จะถูกค้นพบก็อีกแปดวันต่อมา โดยไปโผล่ที่ปากเซ ห่างจากจุดเกิดเหตุร่วม๗๐กิโลเมตร
การตายของคนสำคัญคราวนี้บั่นทอนความตั้งใจของฝรั่งเศสที่จะใช้แม่น้ำโขงเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลัก เพื่อกอบโกยทรัพยากรจากชาติเมืองขึ้นในอินโดจีนนั้น ให้ริบหรี่ไปมากกระทั่งมอดดับไปในที่สุด จนกระทั่งเร็วๆนี้ จีน มหาอำนาจเจ้าถิ่นของแท้ได้ใช้เทคโนโลยี่สมัยใหม่ ระเบิดหินในเกาะแก่งต่างๆเพื่อเปิดร่องน้ำเป็นช่องทางเดินเรือ เอื้ออำนวยให้เรือสินค้าของจีนวิ่งขึ้นล่องได้โดยปลอดภัยจนถึงเชียงรายแล้ว ต่อไปอาจจะได้เห็นเรือรบจีนวิ่งมาอวดธงเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีถึงบ้านเราสักวันหนึ่ง กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 พ.ค. 14, 08:29 ในเรื่องเดียวกันนี้ ในพระนิพนธ์ก็กล่าวถึงเช่นกัน แต่รายละเอียดต่างกับรายงานของฝรั่งเศสเล็กน้อย
จะว่าถึงแก่งแม่น้ำโขงต่อไป เพราะแม่น้ำโขงใหญ่โต แก่งก็ใหญ่โตช่องแก่งก็กว้าง ผ่านได้ทั้งเรือแพ แม้เรือไฟดาดฟ้าสองชั้นก็ผ่านแก่งขึ้นล่องได้ตลอดปี ขาขึ้นแก่งแม่น้ำโขงเขาจะขึ้นกันอย่างไรฉันไม่เคยเห็น แต่เมื่อคิดเทียบกับแก่งเชียงใหม่ เห็นว่าเรือไฟคงแล่นขึ้นได้ ถ้าเป็นเรือพายก็คงต้องใช้เชือกโยงลากเรือขึ้นอย่างเดียวกันกับแก่งเชียงใหม่ เป็นข้อสำคัญอยู่ที่น้ำวนร้าย พวกชาวเมืองเรียกกันว่า "เวิน" กลัวกันเสียยิ่งกว่าหินที่ในแก่ง เพราะธรรมดาแก่งย่อมมีวังน้ำลึกอยู่ข้างใต้แก่ง วังทางแก่งเชียงใหม่ในฤดูแล้งเป็นที่น้ำนิ่งดังกล่าวมาแล้ว ต่อฤดูน้ำจึงเป็นน้ำวนก็ไม่ใหญ่โตเพียงใดนัก แต่แก่งแม่น้ำโขง เพราะสายน้ำแรงทำให้น้ำที่ในวังไหลวนเป็นวงใหญ่เวียนลึกลงไปอย่างก้นหอย มีสะดืออยู่ที่กลางวงเป็นนิจ ผิดกันแต่ในฤดูแล้งน้ำวนอ่อนกว่าฤดูน้ำ เรือแพพายลงแก่งจำต้องผ่านไปในวงน้ำวน ถ้าหลีกสะดือวนไม่พ้น น้ำก็อาจจะดูดเอาเรือจมหายลงไปในวนได้ทั้งลำ ดังเช่นเคยเกิดเหตุแก่เรือไฟลาแครนเดีย ลำที่ฉันลงมานั้นเอง เมื่อปีหลังเขาว่ารับนายพลฝรั่งเศสขึ้นไปตรวจทหารที่เมืองหลวงพระบาง ถือท้ายเรือไม่พ้นสะดือน้ำวนได้ น้ำดูดเอาเรือลาแครนเดียจนหมดทั้งลำ นายพลฝรั่งเศสก็เลยจมน้ำตายด้วย กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 พ.ค. 14, 08:42 ฉันนั่งดูมาในเรือก็เห็นตระหนักว่าผายเรือล่องแก่งเป็นการยาก และมีเสี่ยงภัยจริงๆ เพราะในแก่งมีหินเป็นแง่ระกะไปทั้งนั้น ช่องเรือลงไม่ตรงเหมือนกับลำคลอง เรือลอยลงมากับเกลียวน้ำเร็วเท่ารถไฟแล่น จะยับยั้งไม่ได้ ถ้าค้ำพลาดหัวเรือแปรออกนอกร่องก็ต้องโดนหินล่มทุกลำ ได้เห็นความชำนิชำนาญของพวกเชี่ยวชาญอย่างน่าพิศวง เมื่อใกล้จะถึงแก่ง นายฮ้อยถือท้ายเรือร้องสั่งว่า "เอา" เป็นสัญญาเร่งกรรเชียงคำเดียว แล้วก็ไม่ออกปากพูดจาอะไรกันอีก คนอยู่ตอนหัวเรือถือถ่อขึ้นไปยืนบนโขนเรือคนหนึ่ง อีก ๓ คนยืนถือถ่อประจำสองแคมคอยค้ำให้เรือเลี้ยวหลีกเลี่ยงก้อนหิน นายฮ้อยก็คัดท้ายช่วยคนถ่อ ดูเหมือนกับนัดแนะเข้าใจกันว่า คนไหนควรจะค้ำหินก้อนไหน และนายฮ้อยควรจะเบี่ยงบ่ายท้ายเรือเพียงไหนให้เบาแรงคนค้ำทางหัวเรือ ไม่มีที่จะก้าวก่ายหรือต้องตักเตือนกันอย่างไร
ตามแก่งสำคัญๆในตอนที่ฉันผ่านมามีเครื่องหมายทำไว้แต่โบราณทั้งข้างเหนือข้างใต้แก่ง เมื่อเรือแพชาวเมืองจะผ่านแก่ง ต้องแวะดูคราบระดับน้ำที่เครื่องหมาย ถ้าเห็นระดับน้ำถึงขนาดมีภัย ก็ต้องจอดเรือคอยอยู่นอกแก่ง จนเห็นระดับน้ำได้ขนาดปลอดภัยจึงขึ้นล่อง นอกจากแก่งหินในแม่น้ำโขงยังมี "เรี่ยว" อีกอย่างหนึ่ง เรี่ยวนั้นเป็นแต่ชายหาด ๒ ฟากยื่นออกมาใกล้กัน ทำให้ร่องน้ำแคบคดเคี้ยว น้าไหลเชี่ยวเหมือนเช่นแก่งยืดยาว ถ้าเรือล่องหลีกไม่พ้นชายหาดก็ล่ม เรี่ยวบางแห่งร้ายถึงต้องมีคนนำร่องสำหรับพาเรือไฟผ่านเรี่ยว ทางแม่น้ำโขง ผู้เชี่ยวชาญในการเอาเรือผ่านแก่ง ไม่ได้ตั้งบ้านเรือนรวมกันอยู่เป็นตำบลเหมือนทางแม่น้ำพิงค์ ด้วยแม่น้ำโขงมีแก่งรายไปตลอดทาง แก่งไม่อยู่เป็นเทือกเดียวเหมือนกับแก่งเชียงใหม่ เพราะฉะนั้นผู้ที่ใช้เรือแพในแม่น้ำโขง ต้องเชี่ยวชาญอยู่ในตัวเอง ถ้าไปยังถิ่นที่ตนไม่ชำนาญ ก็ต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญในถิ่นนั้นๆ คงจะเป็นเพราะใช้เรือขึ้นล่องลำบากดังว่ามา การค้าขายทางลำแม่น้ำโขงจึงมีน้อย มักขนสินค้ากันทางบกโดยมาก ประหลาดอยู่ที่พวกล่องแพทางลำแม่น้ำโขง สามารถล่องแพผ่านแก่งได้ทุกชนิด เขาว่าเป็นแพของพวกชาวเมืองหลวงพระบาง บรรทุกสินค้าลงมาขายในมณฑลอุดรเสมอทุกปี สมกับคำเจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐศักดิ์เล่า ว่าท่านเคยมาแพอย่างนั้นตั้งแต่เมืองหลวงพระบางจนถึงเมืองเชียงคาน ฉันถามว่าเมื่อลงแก่งทำอย่างไร ท่านบอกว่าน่ากลัวมาก แต่ท่านไม่สามารถจะทำอะไรได้ ก็ต้องทอดธุระแล้วแต่พวกเชี่ยวชาญเขาจะทำอย่างไรกัน ตัวท่านได้แต่นั่งนึกเสี่ยงกรรม ว่าถ้ายังไม่ถึงที่ตายก็คงรอดไปได้ พวกล่องแพทางแม่น้ำโขงเห็นจะเคยหากินในการล่องแพมาค้าขายในมณฑลอุดรเป็นอาชีพสำหรับตระกูลสืบต่อพ่อลูกหลานมาช้านาน เคยล่องแพจนเจนทางและสายน้ำ ทั้งชำนาญการบังคับแพให้ล่องหลีกเลี่ยงอันตรายได้ดังใจ จึงสามารถล่องแพปลอดภัยลงมาได้ไกลถึงเพียงนั้น ที่ทำแพเป็นรูปร่างอย่างเช่นที่พรรณนามาแล้ว ก็คงเป็นเพราะได้ทดลองกันมาจนตระหนักแน่ว่าแพรูปร่างอย่างนั้น และขนาดเท่านั้นล่องได้สะดวกกว่าอย่างอื่น จึงทำแพแต่อย่างเดียวเหมือนกันหมด ดูน่าพิศวง กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 พ.ค. 14, 06:52 ฉันไปเห็นแม่น้ำโขงเป็นครั้งแรกที่เมืองหนองคาย พอแลเห็นก็ตระหนักใจว่า ใหญ่โตกว่าแม่น้ำอื่นๆในเมืองไทยทั้งสิ้น ยืนบนตลิ่งแลดูไปทางฟากข้างโน้น เห็นวัวควายที่อยู่ตามชายหาดตัวเล็กจิ๋ว ถึงถามกันว่า "นั่นวัวหรือควาย" คนที่อยู่ทางฝั่งโน้นก็เห็นถนัดต่อเมื่อเดิน ถ้านิ่งอยู่กับที่ก็มิใคร่สังเกตได้ แต่นอกจากเห็นว่าใหญ่โตแล้ว ดูแม่น้ำโขงที่เมืองหนองคายยังไม่เห็นอย่างอื่นผิดกับแม่น้ำเจ้าพระยาทางเมืองเหนือเท่าใดนัก ต่อเมื่อล่องเรือจากเมืองหนองคายจึงรู้ว่าแม่น้ำโขงผิดกับแม่น้ำอื่นในเมืองไทยอย่างไรบ้าง…
….. ฝรั่งเศสเอาเรือไฟไปใช้ในแม่น้ำโขงตอนนั้น นอกจากเรือไฟของรัฐบาลที่มาส่งฉัน ฉันได้เห็นเรือไฟบริษัทฝรั่งเศสรับจ้างส่งคนโดยสารและสินค้ามี ๒ ลำ เป็นเรือดาดฟ้าสองชั้นยาวราวสัก ๑๕ วา ขึ้นล่องในระหว่างเมืองสุวรรณเขตกับเมืองเวียงจันทน์ สัปดาห์ละครั้งหนึ่ง แต่รัฐบาลต้องช่วยมาก เป็นต้นแต่ตั้งสถานีให้มีฟืนสำหรับเรือไฟเป็นระยะตลอดทาง และให้มีพนักงานตรวจร่องน้ำก่อกรุยหมายทางแล่นเรือตามแก่งและที่น้ำตื้น บางแห่งก็มีคนสำหรับนำร่อง นอกจากนั้นว่ายังต้องให้เงินหนุนทุนบริษัทที่เดินเรือไฟในแม่น้ำโขง ทั้งตอนนี้และตอนอื่นถึงปีละ ๔๐๐,๐๐๐ แฟรงก์ มิฉะนั้นบริษัทก็ขาดทุน ไม่สามารถเดินเรือในแม่น้ำโขงได้ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 พ.ค. 14, 07:17 เรือรับจ้างส่งคนโดยสารและสินค้าของฝรั่งเศสซึ่งนำมาวิ่งในแม่น้ำโขงที่ทรงกล่าวถึง
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 พ.ค. 14, 07:27 ยังมีหินนอนวันอยู่ในท้องน้ำ คนล่องเรือแลไม่เห็นด้วยน้ำขุ่น แม้เรือไฟฝรั่งเศสลำที่ฉันมาก็โดนหินนอนวันใกล้กับเมืองหนองคาย แต่โดนเบาเพียงทำให้เรือเอียงหน่อยหนึ่งแล้วหลุดได้ นอกจากนั้นยังมีหาดทรายลอยอีกอย่างหนึ่ง คือทรายซึ่งลอยมากับสายน้ำตกพูนกันขึ้นเป็นหาดอยู่ใต้น้ำชั่วคราว แล้วสายน้ำพัดเปลี่ยนที่ไปตกพูนที่อื่นอีก ไม่รู้ที่ไหนแน่ เรือไฟที่ฉันมาก็เกยติดทั้งสองลำ ติดอยู่นานหลายชั่วโมง ทำอย่างไรก็ไม่หลุด จนเรือเมืองหนองคายพายตามลงมาทัน มาช่วยกันลำเลียงของให้เรือไฟลอยจึงหลุดมาได้....
......ตอนล่องแม่น้ำโขงแต่เมืองหนองคายจนเมืองนครพนม ฉันมาในเรือไฟลาแครนเดีย นั่งอยู่บนดาดฟ้าชั้นบน มิใคร่จะได้เห็นสายน้ำที่ในแก่ง จนมาลงเรือยาวพายล่องจากพระธาตุพนมลงมาเมืองมุกดาหาร ฉันลงเรือพายของเจ้าเมืองมา จึงได้เห็นน้ำวนในแม่น้ำโขงถนัดที่แก่งคันกะเบา เป็นแก่งใหญ่แห่งหนึ่งในแขวงเมืองมุกดาหาร แม้ในฤดูแล้วน้ำก็ยังไหลวนเป็นวงใหญ่ ที่กลางวงลึกดูน่ากลัว ถ้าเรือพลัดเข้าไปถึงสะดือวนก็คงดูดจมเป็นแน่ไม่ต้องสงสัย เรือยาวที่ฉันไปเป็นเรือขุดมาดอยู่ข้างจะเปลี้ยน้ำ น่ากลัวอยู่บ้าง แต่อุ่นใจที่ฝีพายล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญสัก ๑๕ คนด้วยกัน เมื่อใกล้จะถึงแก่ง ได้ยินนายเรือสั่งให้ฝีพายเตรียมตัว พอเรือเข้าวงวนก็ตั้งข้อพายเต็มเหนี่ยวพรักพร้อม รู้ท่วงทีกันทั้งคนคัดหัวถือท้ายและฝีพายตลอดลำราวกับได้ซักซ้อมกันไว้ สังเกตดูวิธีเขาเอาเรือผ่านน้ำวน ดูเหมือนจะต้องเข้าตามน้ำให้ค่อนข้างขอบวงวนซึ่งสายน้ำอ่อน แล้วเร่งฝีพายเต็มเหนี่ยว ให้สายน้ำกับแรงพายพาเรือแล่น ให้หัวพุ่งออกจากขอบวงทางข้างโน้น มิทันให้น้ำพัดเรือแปรไปวงของสายน้ำ เรืออยู่ในวงวนราวสักนาทีเดียวก็พ้นไปได้ พอเรือออกนอกวงวน พวกฝีพายก็พากันรื่นเริงตลอดลำ... ... ลักษณะของแม่น้ำโขงตามที่พรรณนามา ตามความเห็นของฉัน เห็นว่าน่ากลัวยิ่งกว่าน่าชม ถ้ามีใครถามว่าน่าไปเที่ยวหรือไม่ ฉันตอบว่า ถ้าใครยังไม่เคยเห็นก็น่าไปดู ด้วยแปลกกับแม่น้ำอื่นๆแต่เห็นจะไม่รู้สึกสนุกสนาน เหมือนอย่างไปเที่ยวทางแม่น้ำพิงค์หรือแม่น้ำสักและแม่น้ำไทรโยค ฉันไปหนหนึ่งแล้วยังไม่นึกอยากไปล่องแม่น้ำโขงอีกจนเดี๋ยวนี้ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 พ.ค. 14, 07:31 แม่น้ำโขงผิดกับแม่น้ำในเมืองไทยอีกอย่างหนึ่ง ที่ภัยอันตรายในการขึ้นล่องมีมากกว่า และแปลกกับแม่น้ำอื่นๆ เป็นต้นแต่สัตว์ร้ายที่ในน้ำเช่น จระเข้ก็มี และยังมีเงือกเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง เขาว่าเป็นปลาชนิดหนึ่งที่มีแรงไฟฟ้าในตัว ถ้าใครไปพ้องพานให้ตกใจ มันก็ปล่อยพิษไฟฟ้าให้ถูกตัวสลบเลยจมน้ำตาย ปลาอย่างนี้ไม่เคยได้ยินว่ามีในเมืองไทยที่แม่น้ำอื่น
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 พ.ค. 14, 07:42 เมื่อวานจั้งแต่เช้าจนค่อนคืน จระเข้ตัวนี้เข้ามาอาละวาดในเรือนไทย ผู้คนทั้งหลายรวมทั้งแอดมินหนีจระเข้กันอลหม่านปล่อยให้จอว่างเปล่า ประหนึ่งโดนใบสั่งของกอ.รสเข้าไปด้วย
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 พ.ค. 14, 09:23 เมื่อวาน ดิฉันเป็นคนหนีจระเข้ ส่วนแอดมินสวมวิญญาณหมอจระเข้สามพราน โรมรันพันตูกับจระเข้อย่างดุเดือดตั้งแต่กลางดึกไปจนตลอดวันและถึงกลางคืน
จับจระเข้ไปปล่อยได้สำเร็จแล้วค่ะ กลับมาเมื่อไหร่ก็คงได้จับปล่อยกันอีก ขอเชิญท่านทั้งหลายล่องแม่น้ำโขงตามพระยาศรีนวรัตน ดิฉันเคยไปล่องก้นแม่น้ำโขงมาแล้ว ไต่ตลิ่งที่ชันแทบจะ 90 องศาไปลงเรือ นั่งเรือไปก็เห็นเกาะหินแหลมๆระเกะระกะอยู่เต็มไปหมด ให้เรือต้องหลีกหลบไปตลอดทาง กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 พ.ค. 14, 10:16 ลงเรือไฟมาจากเมืองหนองคายระยะทาง ๔ วันถึงเมืองนครพนม ขึ้นเดินบก ขี่ม้าจากเมืองนครพนมทาง ๓ วันถึงเมืองสกลนคร
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 พ.ค. 14, 10:19 ท่าอุเทน ทางผ่านที่ขบวนเสด็จได้หยุดพักแรม เดี๋ยวนี้เป็นอำเภอหนึ่งในอุบลราชธานีครับ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 พ.ค. 14, 10:29 คุณหนุ่มได้นำภาพซุ้มรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯที่โคราชมาให้ชมไปแล้วในตอนต้นๆ ในอัลบั้มของคุณศรีมนาก็มีภาพซุ้มรับเสด็จเหมือนกัน ที่เมืองสกลนคร
ในพระนิพนธ์กล่าวถึงซุ้มรับเสด็จอยู่ตอนหนึ่ง ที่อุดร แต่ผมไม่มีรูปดังกล่าวเลยยังไม่ได้คัดให้อ่าน จะทิ้งก็เสียดาย เอามาบรรยายภาพนี้ดีกว่า เมื่อฉันผ่านไปในแขวงเมืองกุมภวาปี ถึงตำบลบ้านสองเปลือย ผู้นำทางเขาบอกว่าในตำบลนั้นมีพวกลาว (ไทยลานช้าง) ชาวเมืองนครนายกที่อพยพกลับมาจากเมืองเวียงจันทน์ แต่หมดกำลังไม่สามารถจะลงไปให้ถึงเมืองนครนายกได้ ยังต้องตั้งทำมาหากินอยู่ที่บ้านสองเปลือยหลายครัว ฉันได้ยินแทบจะออกปากว่า "สมน้ำหน้า" แต่หากละอายใจด้วยสงสาร เพราะฉันเคยรู้เรื่องของคนพวกนั้นมาแต่ต้น ด้วยในหนังสือสัญญาที่ไทยทำกับฝรั่งเศสเมื่อ ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) มีข้อความหนึ่งว่า "ถ้าลาวเชื้อสายชาวเวียงจันทน์ที่ไทยกวาดเป็นเชลย(เมื่อรัชกาลที่ ๓) อยากจะกลับไปบ้านเมืองเดิม รัฐบาลไทยจะยอมให้ไปไม่ขัดขวาง" ดังนี้ แต่แรกไม่มีใครอยากไป ต่อมาฝรั่งเศสแต่งให้กรมการชาวเมืองเวียงจันทน์คนหนึ่ง เป็นพระยา แต่ชื่อไรฉันลืมเสียแล้ว จะสมมติเรียกในนิทานนี้ว่า "พระยาเมือง" กับพรรคพวกลงมาเที่ยวเกลี้ยกล่อมพวกเชื้อสายชาวเวียงจันทน์ มีพวกที่อยู่เมืองนครนายกสมัครจะไปเมืองเวียงจันทน์ราวสัก ๒๐๐ คน เพราะพระยาเมืองมาสัญญาว่าเมื่อขึ้นไปถึงเมืองเวียงจันทน์ รัฐบาลฝรั่งเศสจะให้ที่ไร่นา กับทั้งบ้านเรือน วัว ควาย ไถคราด และเงินทุน ให้พอทำมาหากินเป็นสุขทุกคน ฉันให้เจ้าเมืองกรมการชี้แจงว่าไม่จริงได้ดังว่าดอก ก็ไม่เชื่อ พากันขายเหย้าเรือนไร่นาแล้วอพยพไป ต่อมาฉันได้ยินว่ามีพวกเวียงจันทน์ลงมาเกลี้ยกล่อมคนอีก ฉันนึกขึ้นถึงคำที่เขาพรรณนาว่า นิสัยแมว ถ้าใครดึงหนังท้องมันก็โก่งหลัง ถ้าใครดึงหลังมันก็แอ่นท้อง จึงเปลี่ยนอุบายใหม่คราวนี้สั่งอย่าให้ห้ามปราม ถ้าใครอยากไปให้ไป เจ้าเมืองกรมการสงเคราะห์ช่วยหาคนซื้อไร่นาวัวควาย เร่งให้มันไปตามใจสมัคร ก็กลายเป็นอย่างแมวได้จริงๆ ไม่มีใครไป ฝ่ายพวกที่อพยพไปคราวแรกนั้น ไปถึงเมืองเวียงจันทน์ก็ไม่ได้ลาภผลตามสัญญา ทั้งไปได้ความรู้ว่านาทางลานช้างทำไม่ได้ผลมากเหมือนนาทางข้างใต้ ก็พากันอพยพกลับมา ที่ยังมีทุนกลับมาได้ถึงเมืองนครนายกก็มี ที่หมดทุนก็ต้องตกค้างอยู่ที่บ้านสองเปลือย แต่เรื่องนี้ยังมีข้อขำต่อไปอีก เมื่อวันฉันไปถึงเมืองอุดรธานี เขากระซิบบอกให้ดูชายคนหนึ่ง ซึ่งยืนรับอยู่ที่ซุ้มคร่อมถนนที่ทำรับฉัน สังเกตดูเป็นคนกลางคน อายุราวสัก ๕๐ ปี เขาบอกคนนั้นแหละคือ พระยาเมือง ที่ได้ลงมาเกลี้ยกล่อมคนที่เมืองนครนายก เมื่อกลับไปอยู่เวียงจันทน์ ไปเกิดผิดใจกับฝรั่งเศสขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงอพยพครอบครัวของตนข้ามมาขอพึ่งไทย พระยาศรีสุริยราชวรานุวัติรับไว้ให้อยู่ในเมืองอุดร แล้วเลยให้เป็นนายงานทำซุ้มรับฉัน จึงยืนรับอยู่ที่ซุ้มนั้น อ่านแล้วได้ความรู้อย่างหนึ่งว่า แม้จะล่วงเลยมาถึงสมัยรัชกาลที่๕แล้ว ทรัพยากรมนุษย์ในเชิงปริมาณก็ยังเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญอยู่ แม้จะกวาดต้อนกันไม่ได้ง่ายๆเหมือนผู้ชนะสงครามในโบราณกาล ก็ต้องใช้วิธีอื่นหลอกล่อกันไป กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 พ.ค. 14, 10:38 จากเมืองสกลนครเดินบกวกกลับลงไป ๓ วันถึงพระธาตุพนมที่ริมแม่น้ำโขง ลงเรือยาวพายล่องจากพระธาตุพนมทาง ๒ วันถึงเมืองมุกดาหาร
วันแรกที่ประทับค้างคืน กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 พ.ค. 14, 10:40 อ้างถึง .....มาลงเรือยาวพายล่องจากพระธาตุพนมลงมาเมืองมุกดาหาร ฉันลงเรือพายของเจ้าเมืองมา จึงได้เห็นน้ำวนในแม่น้ำโขงถนัดที่แก่งคันกะเบา เป็นแก่งใหญ่แห่งหนึ่งในแขวงเมืองมุกดาหาร แม้ในฤดูแล้วน้ำก็ยังไหลวนเป็นวงใหญ่ ที่กลางวงลึกดูน่ากลัว ถ้าเรือพลัดเข้าไปถึงสะดือวนก็คงดูดจมเป็นแน่ไม่ต้องสงสัย เรือยาวที่ฉันไปเป็นเรือขุดมาดอยู่ข้างจะเปลี้ยน้ำ น่ากลัวอยู่บ้าง แต่อุ่นใจที่ฝีพายล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญสัก ๑๕ คนด้วยกัน เมื่อใกล้จะถึงแก่ง ได้ยินนายเรือสั่งให้ฝีพายเตรียมตัว พอเรือเข้าวงวนก็ตั้งข้อพายเต็มเหนี่ยวพรักพร้อม รู้ท่วงทีกันทั้งคนคัดหัวถือท้ายและฝีพายตลอดลำราวกับได้ซักซ้อมกันไว้ สังเกตดูวิธีเขาเอาเรือผ่านน้ำวน ดูเหมือนจะต้องเข้าตามน้ำให้ค่อนข้างขอบวงวนซึ่งสายน้ำอ่อน แล้วเร่งฝีพายเต็มเหนี่ยว ให้สายน้ำกับแรงพายพาเรือแล่น ให้หัวพุ่งออกจากขอบวงทางข้างโน้น มิทันให้น้ำพัดเรือแปรไปวงของสายน้ำ เรืออยู่ในวงวนราวสักนาทีเดียวก็พ้นไปได้ พอเรือออกนอกวงวน พวกฝีพายก็พากันรื่นเริงตลอดลำ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 พ.ค. 14, 10:46 แก่งกะเบาวันนี้
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 พ.ค. 14, 10:49 ขึ้นเดินบกแต่เมืองมุกดาหารเข้ามณฑลอีสาน ทาง ๕ วันถึงเมืองยโสธร เวลานั้นข้าหลวงปันเขตแดนไทยกับฝรั่งเศสกำลังประชุมกันอยู่ที่เมืองอุบล ฉันจึงไม่ไปเฝ้ากรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เป็นแต่ได้สนทนากันด้วยโทรศัพท์ ออกจากเมืองยโสธรเดินบกไปเมืองเสลภูมิ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 พ.ค. 14, 11:02 ตั้งแต่รู้ความจนกระทั่งมาเขียนกระทู้นี้ จึงได้ค้นพบว่าเสลภูมิ มิได้อ่านว่า สะ-เหล-ภูม ตามความเข้าใจ แต่อ่านว่า เส-ละ-ภูม ซึ่งแปลความดังนี้
เสล คือ หิน หรือเต็มไปด้วยหิน เช่นเดียวกับคำว่า ศิลา ไม่รู้คำไหนแผลงมาจากคำไหน ภูมิ คือ แผ่นดิน เสลภูมิ แปลว่า แผ่นดินที่เต็มไปด้วยหิน ใครไม่รู้ก็โปรดรู้นะครับ ขับรถไปแถวนั้นจะได้คุยกับชาวบ้านรู้เรื่อง กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 พ.ค. 14, 11:04 ออกจากเมืองยโสธรเดินบกไปเมืองเสลภูมิ เมืองร้อยเอ็ด แล้วผ่านเมืองมหาสารคามมาในเขตมณฑลอีสานทาง ๗ วันถึงเมืองผไทสง ปลายเขตมณฑลนครราชสีมา แต่นั้นมาทาง ๓ วันถึงเมืองพิมาย
ได้รับสารตรากระทรวงมหาดไทย ว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาตรัสห้ามมิให้เข้าไปพักที่เมืองนครราชสีมา ด้วยเป็นเวลามีกาฬโรค ออกจากเมืองพิมายเดินทาง ๒ วันมาถึงบ้านท่าช้าง ห่างเมืองนครราชสีมา ๔๕๐ เส้น จึงพักแรมอยู่ที่นั้น แล้วออกเดินทางแต่ดึก มาถึงสถานีรถไฟพอได้เวลาขึ้นรถไฟพิเศษกลับมาถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๙ นั้น รวมเวลาที่ไปตรวจหัวเมืองครั้งนั้น ๓ เดือน หย่อน ๔ วัน กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 พ.ค. 14, 11:05 จบภาพชุดอิสานเพียงเท่านี้ครับ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 22 พ.ค. 14, 11:10 ตลิ่งริมแม่น้ำโขงก็ยังเหมือนเดิมคือ ตลิ่งสูงกว่าน้ำโขงมากๆ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 พ.ค. 14, 11:33 ^เข้ามาก็ดีแล้ว^
ยังมีภาพของคุณศรีมนาอีก๔-๕ภาพ แต่จะขอลัดคิวเอาภาพนี้ก่อนเลย กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 พ.ค. 14, 11:39 หนุ่มรัตนะพันทิป ณล (เป็นคนละคนเดียวกันกับหนุ่มสยาม siamese) ได้ลงภาพนี้ในสมุดหน้าของท่านไว้แบบสาธารณชนอ่านได้ ดังนั้นผมจึงขอนำมาขยายผลต่อ เพราะบรรจุความรู้อยู่ในนั้นแน่นปึ่ก
เกาะลอยในอดีต เมื่อราว ๗๐ ปีที่ผ่านมา ใครจะมาไหว้พระต้องเดินมา ไม่สามารถนำรถมาได้ และทางที่เห็นคาดว่าจะเป็นเส้นทางรถไฟที่บริษัท ศรีราชา ค้าไม้สักก่อสร้างไว้ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 พ.ค. 14, 11:44 ข้อความที่มีผู้แสดงความเห็นไว้มีดังนี้
รัชดา หัวหน้าหมายกโหล บริษัทของจมื่นไวยเหรอเปล่าคะ นายเก่า คนก่อน สมัยวัยเด็ก 7-8ขวบ ได้เคยมาเที่ยวกับแม่ จำได้ว่าทางเดินเป็นไม้ ตอกห่างมีร่อง มีทางรถไฟเล็กๆ เหมือนทางรถไฟเล็กงานรัฐธรรมนูญ จำไม่ได้ว่า มีรถไฟไหมหรือมีเพียงแต่ แคร่ล้อเลื่อนสำหรับบรรทุกไม้ ลือกันว่าเคยเห็นฉลามบริเวณนี้ด้วย ข้อเท็จจริงน่าจะเล่าไว้ หลอกเด็กๆ ครับ Loong Kai บริษัทศรีมหาราชาที่จอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีได้รับพระบรมราชานุญาตให้สัมปทานตัดไม้ในภาคตะวันออกทั้งหมด บังโมทย์ ขำทั้งวัน ทางรถไฟเส้นนี้ผมไม่แน่ใจว่าผ่านตลาดหัวกุญแจหรือป่าวครับ Warawut Klannurak ยายเล่าให้ฟังแม่ฟังว่า แหม่มฝรั่งข้างๆบ้าน(ยายอยู่สีลม) มาหาตอนเย็นน้ำตานองหน้า บอกว่าผัวหล่อนลงไปว่ายน้ำเล่นที่เกาะลอย แล้วถูกปลาฉลามกัดตาย...... Thinnaphat Thanyacharoen เรื่องนี้มีการศึกษาครับ ของ รศ.ภารดี มหาขันธ์ แห่งมหาวิทยาลัยบูรพาครับ ชื่อหนังสือว่า บริษัท ศรีมหาราชา จำกัด ....กิจการสัมปทานป่าไม้ภาคตะวันออกส่วนใหญ่ ไม่ใช่ไม้สักครับ แต่เป็นไม้กระยาเลย เป็นไม้เนื้อแข็ง เป็นที่ต้องการของประเทศในตะวันตกยุคนั้น โดยเอาไปสร้างไม้หมอนรถไฟครับ ไม้ของศรีมหาราชาเป็นที่ต้องการของตลาดโลกเพราะมีมาตรฐาน แต่ปัญหาเกิดจากท่าาเจ้าพระยาสุรศักดิ์ฯ ไม่มีความเชี่ยวชาญในการค้า กอปรกันท่านโดนโกงในเรื่องส่วนต่างกับบริษัทที่ร่วมหุ้นด้วย ทำให้ท่านต้องล้มละลาย แล้วหนี้ที่ท่านกู้จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พอเมื่อท่านไม่มีเงินมาใช้ บรริษัทก็โดนยึด แต่ว่าศรีมหาราชาไม่ได้มีเพียงแต่กิจการค้าไม้ มีการทำที่นอนใยมะพร้าวยี่ห้อสายรุ้งครับ แต่สุดท้ายกิจการทั้งสองของศรีมหาราชาก็ต้องปิดตัวลงไป กลายเป็นตำนานของบริษัทแห่งแรกของภาคตะวันออกครับ.... บ้านท่านเจ้าพระยาสุรศักดิ์ฯ ที่ศรีราชาอยู่ที่แหลมฟาน พอเมื่อมีการขายออก ตระกูลไรวาจึงซื้อบ้านเพื่อเป็นท่าเรือใช้ขนส่งแป้งมัน ปัจจุบันเป็นร้านอาหารแกรนด์ ซีไซด์ครับ ส่วนเรื่องรถไฟศรีมหาราชา ผมขอแนะนำกระทู้นี่ครับ มีการศึกษาอย่างสนุกสนาน ผมลองอ่านแล้วถือว่าใช้ได้ครับ http://portal.rotfaithai.com/modules.php?name=Forums... Rotfaithai.Com Forums-viewtopic-ทางรถไฟของบริษัท ป่าไม้ศรีมหาราชา จำกัด ลงทะเลไปเกาะลอยตรงไหน portal.rotfaithai.com Rotfaithai.Com : The Best & Biggest Online Community for Rail Transport Fans in Thailand รัชดา หัวหน้าหมายกโหล ขอบคุณค่ะ ยังนึกสงสารท่านเจ้าพระยาสุรศักดิ์ฯ อยู่เลย จากข้าราชบริพารใกล้ชิดสมัยต้นรัชกาล ไปปราบฮ่อสำเร็จ จัดการระบบทหารจนเรียบร้อย ท้ายสุดต้องล้มละลาย บ้านที่ศาลาแดงถูกกดราคาขายไปถูกๆ ระหว่างร.5เสด็จยุโรป Thinnaphat Thanyacharoen ใช่ครับ ด้วยตัวท่านเองเป็นคนที่มีน้ำใจกว้างขวางและไว้ใจใครหลายๆคน ประกอบตัวท่านเองไม่เชี่ยวชาญด้านการค้า เพราะท่านเป็นทหารจึงไม่เชี่ยวชาญด้านการค้าท่าที่ควร ท่านเคยถูกค้านในเรื่องการทำกิจการป่าไม้มาก่อน แต่ท่านกลับเลือกที่จะทำต่อไป ด้วยความที่ท่านไม่เชี่ยวชาญเลยกลายเป็นปัญหาให้ตัวท่านและท่านเองต้องล้มละลายครับ Sloka Dinesvara จอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีนั้น เป็นคนมีความคิดริเริ่มดี แต่ไม่รอบคอบ สมัยที่ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ ก็ก่อหนี้อันเกิดจากการใช้จ่ายที่ประมาณผิดพลาด ที่ประชุมเสนาบดีสภาตำหนิมาก ในหลวงก็ทรงตำหนิว่าเจ้าคุณใช้เงินเกินตัวมาก เจ้าคุณต้องทำหนังสือกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานลาออก กระนั้นก็ยังพยายามดิ้นรนทำธุรกิจอีก แต่ก็ล้มเหลว ในสมัยรัชกาลที่ ๗ มีคนเล่าว่า พยายามเข้าหา... แล้วก็พากันไปเผา... เจ้านายพระองค์หนึ่งทรงกริ้วมาก เรื่องที่ดินที่ศรีราชาพอเจ้าคุณถึงแก่อสัญกรรม ก็มีคดีความฟ้องร้องกัน มีพิมพ์เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ Art Pattarapol อุปนิสัยส่วนตัวของเจ้าคุณสุรศักดิ์ฯ นั้น ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ทรงทราบดี มีแจ้งอยู่ในพระราชนิพนธ์บางเรื่องด้วย Amon Bunn เดี๋ยวนี้เกาะลอยสภาพแย่มาก แทบจะหมดสภาพความเป็นเกาะ ไม่มีเสน่ห์อะไรน่าสนใจเลย ผมเห็นความเปลี่ยนของมันแล้วเศร้าครับ อนุชา ดุริยะมโนรม เรือฉลอมเกลื่อนเทียวนะขอรับ Nin Wasin อยากหาข้อมูลเก่าๆเกี่ยวกับประวัติ ผู้คน เศรษฐกิจของศรีราชา สัก 30 - 100 ปีที่แล้วครับ ไม่ทราบว่าพอจะหาได้จากไหนครับ ที่เทศบาลพอจะมีไหมครับ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 พ.ค. 14, 11:46 เมื่อกี้ใครนะกล่าวถึงเรือฉลอม
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 พ.ค. 14, 11:50 จากวันนี้ไป ผมมีกิจธุระจะกระทำไปอีกสามสี่วัน จึงจะขอลงรูปที่เหลือให้หมดเผื่อจะไม่ว่าง ส่วนท่านใดยังมีประเด็นค้างอยู่ กรุณาต่อได้เลยครับ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 พ.ค. 14, 11:52 ผู้ถ่ายภาพคงเริ่มต้นเดินทางจากกรุงเทพ นั่งเรือขึ้นไปทางเหนือแล้วเลี้ยวเข้าคลองรังสิต
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 พ.ค. 14, 11:53 สุดปลายทางที่นี่ครับ
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 พ.ค. 14, 11:55 ขอบคุณคุณต้อย ศรีมนา สุริยะ อีกครั้งครับ ที่เอื้อเฟื้อภาพ
ขอเพิ่มรูป BEFORE & AFTER ไว้ซักหน่อย กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 23 พ.ค. 14, 02:54 จากวันนี้ไป ผมมีกิจธุระจะกระทำไปอีกสามสี่วัน จึงจะขอลงรูปที่เหลือให้หมดเผื่อจะไม่ว่าง ส่วนท่านใดยังมีประเด็นค้างอยู่ กรุณาต่อได้เลยครับ สงสัยท่านเจ้าคุณศรีนวรัตนจะโดน คสช. เรียกไปรายงานตัว อย่าลืมถ่าย selfie รวมถึงบรรยากาศการเก็บตัวช่วงเวลาอีกหน้าในประวัติศาสตร์มาตั้งกระทู้ฝากเด็กๆ ด้วยนะครับ ;D ;D ;D กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 23 พ.ค. 14, 07:56 สุดปลายทางที่นี่ครับ เห็นข้าวเรียงรายพร้อมฉัตรทำด้วยรวงข้าวเช่นนี้ ก็น่าจะเป็นการประกวดพันธุ์ข้าวที่เมืองธัญบุรี กระมังครับ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 พ.ค. 14, 09:20 จากวันนี้ไป ผมมีกิจธุระจะกระทำไปอีกสามสี่วัน จึงจะขอลงรูปที่เหลือให้หมดเผื่อจะไม่ว่าง ส่วนท่านใดยังมีประเด็นค้างอยู่ กรุณาต่อได้เลยครับ สงสัยท่านเจ้าคุณศรีนวรัตนจะโดน คสช. เรียกไปรายงานตัว อย่าลืมถ่าย selfie รวมถึงบรรยากาศการเก็บตัวช่วงเวลาอีกหน้าในประวัติศาสตร์มาตั้งกระทู้ฝากเด็กๆ ด้วยนะครับ ;D ;D ;D คุณชายประกอบเทพนี่หาเรื่องหัวขาดซะแล้วมั้ยล่ะ ท่านศรีนวรัตนไปเก็บตัว เป็นแคนดิเดท PM คนใหม่ตะหากล่ะคะ อุ๊บ... กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 23 พ.ค. 14, 11:59 อาบน้ำจริงๆ ต้องมีท่าทางแบบนี้ เห็นมีการซักผ้าด้วย มิใช่นั่งเอี่ยมเฟี้ยม ;D
กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 พ.ค. 14, 17:06 อ้างถึง สงสัยท่านเจ้าคุณศรีนวรัตนจะโดน คสช. เรียกไปรายงานตัว อย่าลืมถ่าย selfie รวมถึงบรรยากาศการเก็บตัวช่วงเวลาอีกหน้าในประวัติศาสตร์มาตั้งกระทู้ฝากเด็กๆ ด้วยนะครับ ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม อ้างถึง คุณชายประกอบเทพนี่หาเรื่องหัวขาดซะแล้วมั้ยล่ะ ท่านศรีนวรัตนไปเก็บตัว เป็นแคนดิเดท PM คนใหม่ตะหากล่ะคะ อุ๊บ... และจากคนละกระทู้เดียวกัน อ้างถึง แหม คุณ Anna บะหมี่อ่างบัวน่ะระดับฮ่องเต้นะคะ ส่วนสองชามของดิฉันระดับธรรมดา ไปว่าของท่านไม่น่ากิน เดี๋ยวก็โดนขว้างป้ายประหารหัวสุนัขซะหร็อก "Far From the Madding Crowd" บรรยากาศรอบตัวผมขณะนี้ครับ กระทู้: รูปหายากจากสมุดภาพเก่าของคุณศรีมนา เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 พ.ค. 14, 17:14 ขอหยุดเอ่ยถึงท่านนวรัตนนับแต่นี้
กลัวตกนรกค่ะ |