เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 14 15 [16] 17 18 ... 37
  พิมพ์  
อ่าน: 172336 เก็บตกมาจากการเดินทาง
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 225  เมื่อ 23 ก.ค. 12, 17:30


อ่านบทความที่เขียนลงในหนังสือพิมพ์ จำไม่ได้ว่าในยุโรปหรือญี่ปุ่นว่า ด้วยความที่คนอเมริกันเป็นนักคิดดัดแปลงสิ่งของเครื่องใช้เพื่อความสะดวกสะบายในการใช้สอย ผนวกกับความสะดวกและรวดเร็วในการสื่อสารด้วยคอมพิวเตอร์ และผนวกกับห้างร้านในจีนรับผลิตสินค้าทุกชนิดด้วยราคาที่ย่อมเยาว์   เป็นผลทำให้มีการสั่งผลิตสินค้าโดยคนเอมริกันมาก (โดยเฉพาะที่เป็นประเภท tools ใช้ในสวน ในครัว ฯลฯ หน้าตาแปลกๆอยู่มากมาย) เพื่อขายหารายได้ให้กับตนเอง สินค้าพวกนี้ มักจะไม่มีขายอยู่ในห้างสรรพสินค้า  (บางอย่างจีนก็คงจะก๊อปส่งออกมาขายในไทยและที่อื่นๆทั่วโลก)    คุณเทาชมพูเคยสังเกตเห็นว่าเป็นเช่นนั้นหรือเปล่าครับ

การหาซื้อสินค้าที่ไม่มีตามร้าน  ทำได้ง่ายมากคือสั่งซื้อออนไลน์สะดวกที่สุดค่ะ   ไปรษณีย์ที่นี่ส่งตามกำหนดได้แม่นยำมาก  ไม่เคยพลัดหลง   ใช้อินทรเนตรกวาดมองหาสินค้าที่ต้องการได้เลย   โดยไม่ต้องรอว่าจะต้องไปเดินหาตามร้านหรือไม่
ที่น่าสังเกตอีกอย่างคือสินค้าทั่วไป   โดยเฉพาะของใช้เล็กๆน้อยๆ  และของที่ระลึก  ล้วนเมดอินไชน่าทั้งนั้น  เหมือนสมัยก่อนเราเจอสินค้าในไทยที่เมดอินโคเรียกันเป็นแถว        ค่าแรงในอเมริกาแพงมากจนผลิตของพวกนี้ไม่คุ้ม     ยังสงสัยเลยว่ามีสินค้าอะไรเหลือให้ผลิตในอเมริกาบ้างนะคะ   
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 226  เมื่อ 23 ก.ค. 12, 19:23

(ต่อ)
ของที่ซื้อมาเมื่อ 3  ปีก่อนในรูปข้างล่างนี้    หน้าตาเหมือนขนมเค้ก  เป็นอุปกรณ์ใช้กับคอมพิวเตอร์  คือ thumb drive ขนาด 2 GB    TD ทั่วไปเป็นแท่งเล็กๆแบบๆธรรมดา ขายตามร้านเครื่องเขียนทั่วไป
เดี๋ยวนี้  มีสินค้าออกแบบสวยๆกัน  เป็นพวก fancy thumb drive  ซึ่งไม่มีขายตามร้าน   ดูตัวอย่างได้จาก amazon   จากนั้นก็เมล์ไปสั่ง  เขาก็เอามาส่งให้เร็วทันใจ    เรียกได้ว่าไม่ต้องง้อห้างร้านในเมือง  ซึ่งไม่มีของแบบนี้ขายแน่นอน
แต่ไม่รู้เหมือนกันนะคะ   ว่าวันหนึ่งจะเดินไปเจอวางขายอยู่ที่พันทิพย์พลาซ่าด้วยราคาถูกกว่าที่อเมริกาหลายเท่าตัวหรือเปล่า     เพราะดูออกว่าเมดอินไชน่าแน่นอน

อเมริกาเต็มไปด้วยสินค้าผลิตจากเมืองจีน    เรียกว่าถ้ากวาดสินค้าเมืองจีนออกไปจากชั้นวางของในร้านสรรพสินค้า น่ากลัวทั้งร้านจะเหลือแต่ชั้นวางของ   ไม่ว่าอะไรแม้แต่พวงกุญแจของที่ระลึก เป็นสัญลักษณ์ของรัฐต่างๆก็มีสติกเกอร์แปะเอาไว้ทุกอันว่าทำจากเมืองอาเฮียของเรานี่เอง  ยังสงสัยว่าอเมริกาผลิตอะไรไปชดเชยกับค่าสินค้านำเข้าพวกนี้   อาจจะพวกอาวุธยุทโธปกรณ์ หรือชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ระดับสูงละมัง    เพราะระดับโน้ตบุ๊คนี่ก็เหลือแต่แอปเปิ้ลยี่ห้อเดียวที่เป็นของอเมริกา แถมชิ้นส่วนอาจผลิตในจีนเสียก็ไม่รู้


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 227  เมื่อ 23 ก.ค. 12, 19:36

อีกเรื่องหนึ่งที่เก็บได้จากการเดินทาง  คือดิฉันเป็นคนอยู่ในเมืองเล็ก ทั้งในประเทศไทยและอเมริกา     เมืองเล็กในอเมริกาเท่าที่ดู  คนมีธุรกิจเล็กๆส่วนตัวน้อยมาก  แทบจะนับหัวได้     จนน่าแปลกใจ  เพราะเมื่อเทียบกับครั้งโน้นเมื่อไปเรียน  จำได้ว่าธุรกิจเล็กๆส่วนตัวเช่นร้านซักรีด ร้านขายของที่ระลึก  ร้านขายยา  ยังมีให้เห็นตามถนนใกล้ๆที่พักมากกว่านี้    กลับไปอีกครั้ง หายไปหมดแล้ว

ในศูนย์การค้า  ร้านที่เปิดอยู่ล้วนเป็นแฟรนไชส์ หรือสาขาย่อยของร้านใหญ่ ไม่ว่าร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด  ก็เจอ McDonald และ KFC อยู่ทุกหนทุกแห่ง   ร้านหนังสือก็เจอ Barn&Noble  ร้านไอศกรีมเจอ Coldstone  ร้านอาหารตามสั่งก็เจอ Applebee's , Kenny  พวกนี้    แทบจะหาร้านที่เจ้าของเปิดกิจการเล็กๆของตัวเองไม่เจอ    เคยเห็นอยู่ 2 ร้าน ที่ร้านหนึ่งรับทำบัญชี คิดภาษีรายได้   อีกร้านรับซ่อมคอมพิวเตอร์ แต่ร้านแรกปิดกิจการไปแล้ว

ผิดกับในประเทศไทย แม้แต่ในจังหวัดเล็กๆ ก็เจอชาวบ้านจะมีธุรกิจเล็กๆของตัวเองเต็มไปหมดทุกถนน    ถึงไม่มีร้าน ก็ยังมีรถเข็นตามบาทวิถีหรือหัวมุมถนน  รวมพวกตลาดนัดตอนเย็นและเสาร์อาทิตย์อีกด้วย ตัวเองเป็นเจ้าของไม่ต้องมีนายจ้าง     เจอพิษเศรษฐกิจยังไงก็ตาม  ธุรกิจเล็กๆทำกันคนเดียวหรือสองคน ก็ยังอยู่กันได้
แต่ในเมืองในอเมริกาที่ดิฉันอยู่  เขาอยู่กันไม่ได้     ถ้าถามว่าชาวบ้านทำอะไรกิน  ส่วนใหญ่เข้าใจว่าทำงานกินเงินเดือนกันหมด คือเป็นลูกจ้างกิจการใหญ่ๆ
ในเมื่อเราพัฒนาตามแบบอเมริกามาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2   ก็เลยไม่รู้ว่า นี่คืออนาคตของคนไทยหรือเปล่า ที่วันหนึ่งจะเป็นลูกจ้างกันเท่านั้น
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 228  เมื่อ 23 ก.ค. 12, 22:42

ปีนี้โคโลราโดเป็นรัฐที่เจอเคราะห์หนัก    ถ้าหากว่าเป็นคน ป่านนี้คงจะวิ่งเข้าวัดเจ็ดวัดเจ็ดวาขอรดน้ำมนต์  เพราะนอกจากเกิดไฟป่าเผาไหม้บนเทือกเขาที่สวยงาม เป็นจุดขายของรัฐให้นักท่องเที่ยวมาชม และเศรษฐีมาซื้อบ้านอยู่บนเขาแล้ว   ไม่กี่วันมานี้ ในเมืองออโรร่า ก็มีมือปืนบุกเข้าไปในโรงหนังรอบเที่ยงคืน  ยิงกราดคนดูหนังที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ตายไป 12 คนและบาดเจ็บอีก 38 คน  แถมยังวางระเบิดไว้ในอพาตเม้นท์ กะให้คนเปิดเข้าไปโดยไม่รู้เรื่องถูกระเบิดตายอีกด้วย

นายคนนั้น ข่าวบอกว่าเป็นนักศึกษาปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยของรัฐ    เท่าที่สอบถามจากคนรู้จัก แกก็เป็นคนเรียบร้อย ตอนเป็นเด็กก็เป็นเด็กหงิมๆ  ไม่เคยเกะกะเกเร  ไม่มีประวัติอาชญากร  แต่กว่าผู้คนจะรู้ว่ามีความผิดปกติทางจิต   คนบริสุทธิ์ก็ต้องมาสังเวยอาการแกเป็นข่าวไปทั่วโลก
อเมริกามีข่าวแบบนี้มาหลายครั้งแล้วค่ะ   อย่างหนึ่งคืออาวุธปืนเป็นสินค้าที่ขายกันง่ายและเปิดเผย    ใครอยากซื้อก็ซื้อได้
อย่างที่สอง  ดิฉันสังเกตเป็นส่วนตัวว่า คนที่ก่อปัญหาแบบนี้มักเป็นพวกเงียบๆ มีโลกส่วนตัวสูง มากกว่าคนนิสัยเฮฮาชอบสมาคม 
อเมริกามีคนแบบนี้เยอะ   ส่วนหนึ่งสังคมของเขาทำให้คนอยู่กับความเปลี่ยวเหงามากเอาการอยู่เหมือนกัน    แต่เหมือนกับถูกกำหนดให้เชื่อว่าความเปลี่ยวเหงานั้นคือความเป็นส่วนตัว ซึ่งคนอเมริกันฝังหัวว่าเป็นค่านิยมที่ดี
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 229  เมื่อ 23 ก.ค. 12, 22:50

     ไม่รู้ว่าทางตะวันออกที่คุณตั้งเคยไปเรียน ชีวิตอยู่กันแบบไหน  แต่ในรัฐที่ดิฉันอยู่  ผู้คนเขาต่างคนต่างอยู่กันมาก    พอค่ำก็เข้าบ้านปิดประตูเงียบอยู่คนเดียว     นักศึกษาที่มีเพื่อนร่วมห้องอยู่ด้วยก็ค่อยยังชั่ว พอเห็นหน้ากันได้บ้าง   แต่ทุกคนก็อยู่แบบตัวใครตัวมัน  เป็นมิตรกันก็จริงตามมารยาทของคนอเมริกัน แต่ไม่คลุกคลีกัน
    นักศึกษาระดับปริญญาโทหรือเอก ยิ่งอยู่โดดเดี่ยวกันเข้าไปใหญ่   บางคนเช่าบ้านทั้งหลังอยู่คนเดียว   บางคนก็เช่าอพาตเม้นท์อยู่คนเดียว   มีหมาเป็นเพื่อน   วันๆไม่ได้พูดกับใครเลยก็มี  ถ้าไม่อยากพูดกับใครสักปีก็ไม่มีใครว่า  เพราะไม่มีใครเอาใจใส่ใคร
    คนที่จิตใจเข้มแข็งก็อยู่กันได้  แต่ถ้าจิตใจอ่อนแอหน่อยมักจะฟุ้งซ่านได้ง่าย    นอกจากนี้ยาเสพติดก็มีส่วนช่วยให้จิตใจอ่อนแอหนักเข้าไปอีก   
   ทางออกของพวกนี้คือมีแฟน อย่างน้อยก็มีใครสักคนเป็นเพื่อน   ยิ่งถ้าเป็นคนในชนบทเขาจะแต่งงานเร็วมาก  อายุยี่สิบต้นๆก็ลูกเข้าไปสองสามคนแล้ว   เพราะพวกนี้ไม่เรียนมหาวิทยาลัย จบไฮสกูลก็ทำงานเลย   เมื่อแต่งงานแล้ว ครอบครัวก็เป็นสังคมอย่างเดียวของพวกเขา  อยู่กันพ่อแม่ลูกจนลูกโตจบโรงเรียนออกจากบ้านไป ก็เหลือพ่อแม่อยู่กันสองคน ในบ้านที่เรียกว่า empty nest 
   จากนั้นก็อยู่กันสองคนจนชรา คนใดคนหนึ่งจากไปก่อน คนที่เหลืออยู่ก็อาจจะแต่งงานใหม่ในวัยทอง  ไม่แปลกอะไรที่จะทำเช่นนั้น เพราะแต่งงานเพื่อต้องการเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันในบั้นปลาย   ทำให้ชีวิตมีชีวาขึ้นมาอีกครั้ง   เขาไม่อยู่จับเจ่าเหงาหงอยจนเฉาตายไปเอง
   เดินทางไปอเมริกาหลายครั้งเข้า ก็เก็บตกชีวิตฝรั่งมาได้แค่นี้ละค่ะ 
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 230  เมื่อ 24 ก.ค. 12, 15:17

   ธรรมเนียมอีกอย่างหนึ่งของคนอเมริกันในเมืองเล็ก  คือเวลาเดินสวนกัน   ถ้าเราไม่ได้สนใจจะมองเขาก็แล้วไป  แต่ถ้ามองหน้าเขาจะด้วยเหตุอะไรก็ตาม   เขาจะไม่ทำหน้าว่า "เอ๊ะ มองหาอะไร"   แต่เขาจะยิ้มให้นิดๆแล้วพูดว่า hello   ตามมารยาทเราก็ต้องยิ้มแล้ว hello ตอบ   
   แต่...
   แต่ก็เท่านั้นนะคะ   ไม่ต้องนึกว่าถ้าเขา hello มาแล้วเราจะต้องทักทายชวนคุยมากไปกว่านี้     และไม่ต้องนึกว่าหมอนี่หรือยัยนี่จะมาตีสนิทรึไง    เขาจะไม่สนใจมากไปกว่านั้น    ฝ่ายเราก็ไม่ต้องสนใจมากไปกว่านั้น     ขนาดเดินสวนกันอยู่ทุกวันเพราะบ้านติดกันก็ไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่า hi  หรือ hello     
   แต่คนในเมืองใหญ่อาจจะไม่ค่อยทักทายกัน   เพราะชีวิตเร่งรีบในแต่ละวันทำให้ไม่มีเวลาจะสนใจ   หรือไม่ก็ไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับคนแปลกหน้า
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 231  เมื่อ 24 ก.ค. 12, 20:09

ที่จอดรถที่เคยเห็นแถบเยอรมัน-ออสเตรียจะไม่ใช้มิเตอร์แยกคันต่อคันอย่างที่เคยเห็นในอเมริกาครับ แต่จะเป็นตู้หยอดเหรียญ ระบุเวลาที่ต้องการจอด จะได้ตั๋วมาใบหนึ่งเอาไปวางไว้บนคอนโซล นายตรวจนั้นจะมาเมื่อใดก็ไม่ทราบเพราะยังไม่เคยเห็นสักครั้งครับ
ในบางแห่งจะมีที่ป้ายพากย์ภาษาเยอรมัน อ่านไม่ออก แต่เดาได้ว่าจำกัดเวลาจอด ที่น่าสงสัยคือจอดได้เฉพาะผู้ได้รับอนุญาตหรือบุคคลทั่วไป อันนี้เดาไม่ถูกครับ เดินไปด้อมๆมองๆรถคันอื่นๆ เห็นได้ว่าแต่ละคันจะมีป้ายกระดาษแข็งมีสัญญลักษณ์แสดงเวลาได้ทุกคัน ผมเดาเอาว่าต้องไปรับป้ายแบบนี้จากที่ไหนสักแห่ง จะเสียเงินหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่เมื่อเดินหาจนตากลับก็ยังหาไม่เจอ ก็ต้องขอความช่วยเหลือคนท้องถิ่นกันล่ะครับ
คุณลุงที่ผมไปถามก็ดีใจหาย พอผมถามว่าไอ้ป้ายจอดรถนี่ผมจะไปขอได้ที่ไหน แกก็ตอบอย่างไวว่า "อยู่ในรถของคุณน่ะสิ น่าจะมีในลิ้นชักนะ" เล่นเอาผมเหวอไปเลยว่าลุงแกมีตาทิพย์หรือเล่นกลเสกของใส่รถที่ผมเช่าเขามาขับได้อย่างไร
สรุปได้ว่า ไอ้เจ้าป้ายอย่างนี้ (parking card) เป็นอุปกรณ์ประจำรถทุกคันครับ เจอป้ายจอดฟรีมีกำหนดเวลาก็หมุนหน้าปัดเวลาให้ตรงกับเวลาปัจจุบัน วางไว้บนคอนโซลเป็นอันเสร็จธุระ ขอให้กลับมาก่อนหมดเวลาเป็นใช้ได้ครับ

ที่เล่ามานั้นถูกต้องแล้วครับ แต่จะขออนุญาตขยายความให้กระจ่างมากขึ้น ดังนี้ครับ

แต่ละเมืองในออสเตรียและเยอรมัน ดูจะมีข้อกำหนดในการจอดรถไม่เหมือนกัน มีทั้งแบบว่าอนุญาตให้เฉพาะคนที่มีถิ่นพำนักหรือมีถิ่นฐานอยู่ในเขต (ตำบล) ของเมืองนั้น หรือในเมืองนั้น สามารถจอดรถข้างถนนเพื่อทำธุระได้ (แบบจำกัดเวลา) พวกนี้จะมีต้องสติกเกอร์ติดหน้ากระจก เจ้าพนักงานที่ๆมีหน้าที่ตรวจตราเห็นแต่เพียงป้ายทะเบียนก็พอจะบอกได้แล้วว่าเป็นรถจากนอกเมืองนอกเขตมาจอดหรือไม่ เนื่องจากที่ป้ายทะเบียนจะมีตัวเลขแรกที่บอกว่าเป็นเมืองอะไร (ลำดับตามขนาดของเมือง)

สำหรับรถนอกเขตหรือแม้จะเป็นรถในเขตนั้นๆ บางที่ก็เป็นเรื่องที่วุ่นวายเหมือนกัน ระหว่างต้องไปซื้อตั๋วสำหรับจอดหรือไม่ต้อง คนต่างถิ่นจะไม่ค่อยรู้ เห็นเขาจอดได้ บางคันก็ไม่มีบางคันก็ตั๋วมีแปะที่กระจกรถ พอไปจอดเข้าละเป็นเรื่องอาจจะโดนใบสั่งเลยทีเดียว

ตั๋วจอดรถก็เหมือนกัน บางถนนก็เห็นตู้หยอดเหรีญที่จะไปซื้อเวลาจอด บางถนนตู้นี้อยู่ที่ใหนก็ไม่รู้ บางทีต้องเดินตั้งไกลกว่าจะพบ อยู่หัวถนนบ้าง ท้ายถนนบ้างก็มี ได้ตั่วแล้วก็ต้องเดินกลับมาที่รถเพื่อเอาตั๋วนั้นแปะไว้ที่กระจกรถ จึงจะไปทำธุระได้   หลายๆแห่งไม่มีตู้หยอดเหรียญขายตั๋วนี้ คนไม่รู้ระบบก็คงจะลำบากอยู่ทีเดียว  ต้องเดินไปซื้อที่ Tabac (บูทหรือร้ายขายของเล็กๆน้อยๆที่ขึ้นป้ายหราว่า Tabac ) ครับ จะซวยหน่อยก็หากมัวแต่ชักช้า เดินอ้อยอิ่งไปกลับ ก็อาจโดนใบสั่งในช่วงเวลานั้นได้

กรณีป้ายบอกเวลาที่เป็นนาฬิกานั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่ของมีประจำในรถครับ  เป็นสิ่งของที่เจ้าของรถซื้อหามาเพื่อช่วยให้เจ้าหน้าที่ได้เห็นอย่างชัดเจนว่า เขาเสียเงินค่าจอดไปจนถึงเวลาใด

ส่วนที่ไม่ค่อยจะเห็นเจ้าหน้าที่นั้น เขามีครับ แต่งนอกเครื่องแบบก็มีมาก อย่างที่เล่าครับว่า มันไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้าที่ต้องใช้ตำรวจในเครื่องแบบเสมอไป 
 
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 232  เมื่อ 26 ก.ค. 12, 21:54

การเดินทางเป็นหมู่คณะของเรามักจะให้บริษัททัวร์เป็นผู้ดำเนินการให้ หรือเราร่วมไปในโปรแกรมทัวร์นั้นๆ 

ผมคิดว่า คงจะพอทราบกันอยู่แล้วว่า บริษัททัวร์ของภายในของเราจะเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องวีซ่า ตั๋วเครื่องบิน ฯลฯ คือเรื่องที่เกิดขึ้นภายในประเทศของเรา จนถึงขึ้นเครื่องบิน พอไปถึงปลายทางก็จะมีคนอื่น (บริษัทอื่น) มารับช่วงต่อ พาเราไปใหนต่อไหนจนถึงส่งเราขึ้นเครื่องบินกลับที่สนามบิน เขาเรียกบริษัทที่รับช่วงนี้ว่า Land operator ซึ่งมักจะมีคนไทยทำงานอยู่ด้วย อันที่จริง Land operator เหล่านี้ บางทีก็เป็นบริษัทของคนไทยที่ไปลงทุนร่วมอยู่กับคนท้องถิ่น ด้วยสภาพนี้จึงมีผู้จัดการคณะทัวร์ของเราที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องและสามารถจัดการอะไรต่อมิอะไรให้เราได้มากนักเมื่อเครื่องบินเหิรฟ้าพ้นแผ่นดินไทย  ก็เพราะที่ปลายทางจะมีผู้รับช่วงอยู่และดำเนินการต่อให้ในทุกๆเรื่อง

ผมพอจะรู้เรื่องบ้างก็เพราะต้องเข้าไปเกี่ยวพันในการจัดโปรแกรมให้คณะดูงานต่างๆบ่อยครั้งมากๆ จนเกือบจะเป็น land operator ตัวจริงไปแล้ว

จะขอต่อพรุ่งนี้ครับ

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 233  เมื่อ 26 ก.ค. 12, 22:12

เคยไปทัวร์แบบนี้ค่ะ  พอปลายทางเขาก็มีทัวร์ท้องถิ่นมารับผิดชอบ   แต่ไกด์คนเดิมของเราก็ยังร่วมคณะไปด้วย และมีมัคคุเทสก์ท้องถิ่นพาชมสถานที่ต่างๆ  เรียกว่า local guide
ตอนไปทัวร์โบราณสถานวัดวาอารามต่างๆในอังกฤษก็มีไกด์ท้องถิ่นเป็นคุณป้าชาวอังกฤษ   ซึ่งทำงานอย่างเอาจริงเอาจังมาก   พร้อมจะอธิบายให้ฟังถึงเรื่องหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์ต่างๆตามโปรแกรมทัวร์ ที่บรรจุเรื่องเหล่านี้ไว้ยาวเหยียด    เธอไม่รู้ฤทธิ์พี่ไทย  ขนาดมาโปรแกรมที่เขาพาเที่ยวดูวัฒนธรรม    ยังเลี้ยวไปดู Mark & Spencer กันได้หมด  เหลือแต่ไกด์กับหัวหน้าทัวร์เลี้ยวไปหอศิลป์กันสองคน 
วันสุดท้ายเมื่อกลับลอนดอน ไม่เห็นคุณป้าไกด์  พนักงานขับรถบอกว่าเธอเครียดจัด  ไมเกรนกำเริบเลยต้องลากลับบ้าน ไม่กลับมาส่งพวกเราที่ลอนดอน

ตั้งใจฟังว่า land operator เจออะไรบ้าง  ไมเกรนรับประทานบ้างหรือไม่
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 234  เมื่อ 28 ก.ค. 12, 19:08

^
ใช่เลยครับ รายการหลักของทัวร์ไทย คือ shopping

เคยได้ยินว่า เขามีความตกลงที่มีความผูกพันเชิงกฎหมาย (Legal binding) ระหว่างประเทศต่างๆว่า คณะนักท่องเที่ยวในรูปของทัวร์ที่ไปท่องเที่ยวในแดนของประเทศใดจะต้องใช้ไกด์ของประเทศนั้น ดังนั้น จึงมีบริษัททัวร์ของไทยที่เป็นบริษัทเล็กๆจัด package ทัวร์อยู่มากมาย เหนื่อยเฉพาะการทำเรื่องในประเทศไทย แต่ไม่ต้องเหนื่อยเมื่อเดินทางไปถึงปลายทางแล้ว เมื่อเกิดผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างบริษัทต้นทางกับปลายทาง ฝ่ายหนึ่งได้กำไรจากต้นทาง อีกฝ่ายหนึ่งได้กำไรจากการรับที่ปลายทาง เมื่อเป็นรายได้ของทั้งคู่ธุรกิจ ทุกอย่างก็เกิดขึ้นได้ ส่วนจะผูกพันกันนานไปเพียงใดนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

หากสังเกตดูดีๆ จะเห็นว่า package ทัวร์จะซ้ำๆกันและยืนยงอยู่พอสมควร  โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว และร้านอาหารก็จะไม่แตกต่างกันไปเพียงใด    ทั้งหมดนี้มีพื้นฐานมาจากไม่กี่เรื่อง  จะไม่เล่าขยายความนะครับ   

เมื่อเส้นทางและสถานที่ไปท่องเที่ยวซ้ำๆกัน ประกอบกับการสื่อสารด้วยภาษากลาง (ภาษาอังกฤษ) ที่คนในคณะทัวร์ไม่สันทัด หัวหน้าทัวร์ก็ต้องก็เลยต้องเป็นผู้เล่าเรื่องต่างๆแทนไกด์ท้องถิ่น  ไกด์ท้องถิ่นก็เลยสบาย แต่เป็นความสบายที่ผนวกไปด้วยความเซ็งแบบสุดๆ คือ ต้องนั่งร่วมไปกับคณะทัวร์ตามความตกลงที่เล่ามา โดยที่ไม่รู้เรื่องที่หัวหน้าทัวร์เล่าให้ลูกทัวร์ฟังเลย  หน้าที่ของไกด์ท้องถิ่นนั้น นอกจากจะต้องนั่งร่วมไปในรถแล้ว ก็มีหน้าที่เพียงนำพาไปยังสถานที่ท่องเที่ยว จัดการซื้อตั๋วเข้าชมสถานที่ และประสานกับร้านอาหารที่คณะทัวร์จะไปกินมื้อเที่ยงและมื้อเย็น   

กรณีเหตุการณ์ที่คุณเทาชมพูเคยพบนั้น เกิดขึ้นบ่อยเหมือนกัน คิดว่ามาจากหลายสาเหตุ ที่ผมได้ประสบพบมาในระหว่างการทำงานประสานในเรื่องการดูงานของราชการ คือ ประการแรก เนื่องจากเป็นการทัวร์ที่ไม่ใช่เส้นทางและสถานที่ตามปรกติที่บริษัททัวร์ของไทยนั้นๆเคยจัด (ไม่รู้เรื่องดีพอ หรือ ยังไม่สันทัด)   ประการที่สอง เนื่องจากหัวหน้าคณะทัวร์ของไทยเป็นคนใหม่ที่ยังไม่สันทัด หรือ เป็นบริษัททัวร์ที่เพิ่งเริ่มดำเนินธุรกิจ (มักจะเป็นบริษัทของลูกหลานของคนในคณะทัวร์เอง)  ประการที่สาม เนื่องจากไกด์ท้องถิ่นนั้นๆมีความรับผิดชอบในหน้าที่อย่างจริงจัง ในหลายๆครั้งเขาก็รู้ดีนะครับว่า ทัวร์ไทยนี้มุ่งจะ shopping เป็นหลัก ก็เลยพยายามจะยัดเยียดเรืองราวของประเทศของเขาให้เราได้รับรู้บ้าง

อาการเบื่อหน่ายของไกด์ท้องถิ่นที่ต้องไปกับคณะทัวร์ไทยนั้น ผมเห็นแทบจะทุกครั้งที่ต้องเข้าไปสัมผัสและร่วมไปกับคณะทัวร์ทางราชการต่างๆ   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 235  เมื่อ 28 ก.ค. 12, 21:10

สาเหตุที่ผมต้องเข้าไปสัมผัสและยุ่มย่ามกับเรื่องทัวร์นี้  ก็เนื่องมาจากการดูงานของฝ่ายราชการไทยที่จัดกันในวาระต่างๆในโครงการต่างๆที่จะต้องมีเรื่องของการไปดูงานต่างประเทศ ซึ่งเพื่อความสะดวกเขาก็ให้บริษัททัวร์เป็นผู้ดำเนินการทั้งระบบ ตั้งแต่การจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม อาหาร เรื่องที่อยากจะดูงาน เส้นทางการเดินทางที่อยากจะไป ฯลฯ     ข้อกำหนดในลักษณะนี้ บริษัททัวร์มีเรื่องจนปัญญาอยู่เรื่องเดียว คือ สถานที่ๆจะไปดูงาน     สำหรับกรณีเรื่องที่จะไปดูงานนั้น ก็ดูจะมีไม่กี่เรื่องตามโครงการอบรมที่ลอกกันไปมาและนิยมกันเป็นยุคๆ ซึ่งก็จะง่ายสำหรับบริษัททัวร์ เนื่องจากเคยติดต่อเคยพาไปแล้ว จึงสามารถเสนอให้ผู้ดำเนินการฝึกอบรมทำหนังสือเป็นทางการเพื่อการประสานอย่างเป็นทางการ ส่วนในรายละเอียดบางอย่างก็ให้บริษัททัวร์ประสานต่อไป    สถานที่ดูงานบางแห่งมีคณะจากไทยไปขอดูงานปีละสองสามครั้งก็มี รวมๆกันแล้วมีทุกปีและเป็นเวลาหลายปีต่อเนื่องกัน แถมยังมาจากหน่วยงานเดียวกันอีกด้วย   แรกๆเมื่อผมต้องเข้ามาช่วยประสานงานนั้น (ด้วยหน้าที่และการรับมอบหมาย) ครั้งแรกก็ไม่เจออะไร แต่ต่อมาก็เจอฝ่ายผู้รับพูดเสียดสีเอาจนเรานี้หน้าม้านไปเลย เขาว่ามาดูงานกันหลายรอบแล้ว จากหลายหน่วยงาน ในประเด็นเรื่องเดียวกัน หลายปีมาแล้ว แล้วยังไม่มีการทำอะไรต่อไปกันบ้างหรือ        ผมเคยเจอขนาดที่เขาถามว่า ตกลงจะให้เขารับคณะใดกันแน่ อันใหนจริงอันใหนปลอม หรือจริงทั้งสองเรื่อง เนื่องมาจากมีจดหมายติดต่อขอมาดูงานจากกรมเดียวกัน ในเรื่องเดียวกัน ต่างคณะกัน ลงนามโดยอธิบดีคนเดียวกัน ในช่วงเวลาติดๆกัน 

ด้วยสภาพดังที่เล่ามานี้  บริษัททัวร์ที่เป็น land operator เขาก็คงเซ็งและอยากจะเสนอที่ใหม่ๆบ้าง เพื่อที่บริษัทจะได้รับงานต่างๆอีกต่อๆไป  ผนวกกับที่ผมก็เจอสภาพดังที่เล่ามา ผมก็ประสานกลับผ่านทางระบบราชการบ้างผ่านทางระบบไกด์ท้องถิ่นบ้าง เสนอแหล่งใหม่ๆ  อือ น่าสนใจทั้งฝ่ายผู้จัดดูงานและบริษัททัวร์ทั้งสองฝ่าย ก็เลยมีสถานที่แปลกๆเพิ่มขึ้น ผมก็สนิทสนมกับพวก land operator มากขึ้น หลายครั้งหากเป็นทัวร์ของผู้บริหารระดับสูงและฝ่ายการเมือง ผมก็แนะนำร้านอาหารบ้างและสถานที่ๆพึงไปและจะได้ความรู้บ้าง (จากการเห็น) รวมทั้งแหล่ง shopping ที่มิใช่ห้างบ้าง อย่างน้อยที่สุด ผมก็คิดว่าน่าจะต้องได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปบ้างจากการที่ได้เห็น ผนวกกับเรื่องที่ผมอาสายืนเล่าเรื่องและข้อสังเกตต่างๆอยู่ในรถทัวร์  ผมเสียดายเงินหลวงครับ  ไกด์ท้องถิ่นก็ได้ความรู้ไปฝอยต่อให้ลูกทัวร์คณะอื่นๆ  ก็คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์เพิ่มขึ้นบ้าง ดีกว่า shopping เฉยๆ 
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 236  เมื่อ 28 ก.ค. 12, 21:26

ตั้งใจจะต่อความจากคุณตั้งเรื่องการดูงานของคนไทย  พิมพ์มา 3 ครั้งเกิดเซ็งขึ้นมาทั้ง 3 ครั้งเลยลบทิ้ง  ขอเป็นฝ่ายฟังคุณตั้งเล่าดีกว่าค่ะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 237  เมื่อ 29 ก.ค. 12, 21:29

เล่าเรื่องอื่นสลับฉากบ้างค่ะ
วิธีเที่ยวด้วยตัวเอง ไม่ได้ใช้บริการทัวร์ คือเช่ารถ(หรือถ้ามีรถของตัวเองก็ยิ่งดี) ขับกันไปเอง  ค่ำไหนนอนนั่น     ถ้าเป็นอเมริกา วิธีนี้สะดวกมาก ถ้าจะท่องเที่ยวกันไปตามรัฐต่างๆ เพราะความสะดวกสบายด้านหาที่พักและที่กินมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง    แต่จะต้องอาศัยคนขับที่ทรหดหน่อย เนื่องจากแต่ละรัฐใหญ่พอๆกับประเทศเล็กๆอย่างไทย 1 ประเทศ    เมืองแต่ละเมืองก็ห่างกันมาก  ที่ท่องเที่ยวก็ยิ่งห่างกันหนักไปอีก  ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คนขับอาจต้องขับตั้งแต่เช้าถึงดึก กว่าจะเจอที่พัก

ถนนหนทางในอเมริกาเป็นถนนกว้างใหญ่ชั้นดี  ถนนระหว่างรัฐก็ราบเรียบ   และเกือบ 100% เป็นทางวันเวย์    ทางที่สวนกันคือทางเล็กๆในชนบทที่นักท่องเที่ยวไม่ค่อยจะไปกันอยู่แล้ว  เว้นแต่อยากจะดั้นด้นไปเสาะหากันจริงๆ    แต่ทั้งๆที่ราบเรียบแสนสะดวกเช่นนี้ก็มิได้หมายความว่าจะไม่หลงทาง     ดิฉันกับพรรคพวกเคยหลงกันเรียกว่าหลงเป็นเมืองๆไปเลย   ถ้าหากว่ารถวิ่งกันค่ำมืด  ดูป้ายข้างทางไม่ทัน     แล้วถ้าหากว่าเลยไปแล้ว  หาทางวกกลับมายากเพราะมันเป็นทางวันเวย์  จะกลับมาได้ต้องวิ่งไปเจอเส้นทางให้กลับได้เสียก่อน  ส่วนใหญ่กว่าจะเจอตรงนี้ก็มักจะไปถึงอีกเมืองเรียบร้อยแล้ว   

ปัจจุบัน เรามีเครื่องมือบอกระยะทาง GPS  ติดเอาไว้ในรถก็ช่วยได้เกือบเต็มร้อย    แต่ไม่ถึงร้อยเพราะบางทีไปแจ๊กพ็อทเจอมันบอกผิดเข้าก็มีเหมือนกัน   ถึงกระนั้นก็ควรจะมีอย่างยิ่ง   เพราะวิ่งข้ามรัฐกันระยะทางหลายร้อยไมล์  อาศัยแผนที่อย่างเดียวดูไม่ทันแน่นอน
GPS  เป็นสิ่งจำเป็นในการเดินทาง  ส่วนอาหารการกินไปหาเอาข้างทางได้ไม่ยาก   แต่ใครกินอาหารฝรั่งไม่ได้จะเอาข้าว หรือก๋วยเตี๋ยวผัดใส่กล่องติดรถไปก็ไม่ผิดกติกาอันใด     

อีกเรื่องหนึ่งคือโรงแรมที่พัก  ขอแนะนำโรงแรมเล็กๆ ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในเมืองเล็กรายทาง     แวะพักสะดวกกว่าโรงแรมใหญ่     และราคาถูกกว่าด้วย    โรงแรมเล็กได้เปรียบอีกอย่างคือมักเป็นโรงแรมใหม่  ดังนั้นห้องหับจึงใหม่ทันสมัย สีสันสดใสกว่า อุปกรณ์ห้องน้ำก็สะอาดเอี่ยมอ่อง   ทำให้พักได้สบาย     แล้วก็มักจะมีเพียงสองชั้น  จึงไม่ต้องกลัวว่าไฟไหม้แล้วจะวิ่งลงบันได 10 ชั้นไม่ทันอย่างโรงแรมใหญ่     บางแห่งมีสระว่ายน้ำภายในตัวโรงแรมให้ลงว่ายในน้ำอุ่นได้ด้วย   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 238  เมื่อ 30 ก.ค. 12, 18:29

^
ใช่ครับ ขับรถเที่ยวเองสนุกกว่ามาก 
ในอเมริกานั้นมีระบบถนน Interstate สำหรับใช้ในการขับระยะทางไกลๆระหว่างเมืองและระหว่างรัฐ แล้วก็ีระบบถนนเชื่อมระหว่างเมืองภายในรัฐ คิดว่าเรียกว่า Highway ไม่ทราบว่าบนถนนเหล่านี้ยังคงมีการจำกัดความเร็วที่ 55 ไมล์ต่อชั่วโมงหรือไม่ครับ    ด้วยความเร็วคงที่ ถนนราบเรียบ มีวิวสวยงามข้างถนน หากวิ่งอยู่ในที่ราบกลางประเทศก็จะเห็นพื้นที่ราบเรียบไปจนสุดขอบฟ้าเลยทีเดียว แถมหากใช้ Cruise control ของรถอีกด้วย ก็ต้องระวังอาการเข้าสู่ภวังค์ หลับไนต่อไป  วิธีแก้ที่มักใช้กันก็คือ มีเพื่อนนั่งไปด้วย หรือไม่ก็ต้องเปิดวิทยุฟังเพลงเสียงดังๆ และอย่างหนึ่งก็คือการเล่นเอาเถิดกับตำรวจ เช่น ขับรถด้วยความเร็วมากกว่าที่กำหนดตามกันไปเป็นขบวน หรือขับเร็วตามติดพวกรถ Trailer  รถพ่วงเหล่านี้เขามีวิทยุติดต่อกันตลอดเวลา บอกกันหมดว่าตำรวจอยู่ที่ใหนบ้าง มากกว่านั้นรถพ่วงเหล่านี้ยังมีเครื่องจับสัญญาณคลื่นเรดาร์ของตำรวจที่ใช้จับความเร็วอีกด้วย

เรื่องน่ากลัวที่ผมเคยพบบนถนนเหล่านี้ คือ Minimum speed ในช่วงที่ทัศนวิสัยไม่ดี  เคยขับเข้าในหน้าหนาว หมอกหนาแน่นมองแทบไม่เห็นอะไรเลย นอกจากป้ายสะท้อนแสงกลมๆที่ปักไว้เป็นระยะๆข้างทาง เพื่อช่วยบอกขอบถนน ความเร็วต่ำสุดที่ขอให้ขับคือ 40 ไมล์ต่อชั่วโมง มิฉะนั้นรถคันหลังอาจจะชนท้ายได้ ผมลองไล่ตามพวกรถพ่วง หวกนั้นขับในระดับ 70 ไมล์ต่อชั่วโมงเลยทีดียว ขับตามไม่ไหวครับ เร็วเกินไป     แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง เพื่อนที่ขับรถรู้สึกง่วง ก็จอดข้างทางเพื่อเปลี่ยนคนขับ พอจอดสนิท ตำรวจก็มาจ่อท้ายรถพอดี ไม่รู้ว่าโผล่มาจากใหน เร็วจัง จะลงจากรถก็ไม่ได้ ต้องรอตำรวจเดินมา คนหนึ่งคุมเชิงอยู่ที่รถตำรวจ อีกคนเดินมาที่ประตูด้านคนขับ บอกเหตุผลไปว่าจอดทำไม ตำรวจบอกว่า ให้ขับไปถึง Rest area จึงค่อยเปลี่ยน ยังนึกเลยว่าแล้วมันจะมิอันตรายมากไปหรือที่จะขับต่อไป     แล้วก็อีกเรื่องหนึ่งคือ ถนนที่ใกล้จะเข้าเขตเมืองจะเป็นถนนขนาดใหญ่มากๆตามที่คุณเทาชมพูเล่ามา ยิ่งจะเข้าเมืองก็ยิ่งใหญ่ขึ้น สมัยผมเรียนหนังสือก็ปาเข้าไปตั้ง 10 เลนไป 10 เลนมา แล้ว ป้ายบอกเส้นทางขวางเป็นแผงลอยตะหง่านเต็มจากขอบถนนถึงขอบถนน อ่านไม่ทันเลยครับ แถมเปลี่ยนเลนก็ยากเข้าไปอีก
อันนี้คงต้องใช้คำว่าทารุณสำหรับคนที่ิมิได้อยู่ในพื้นที่นั้นๆ

มาแย่งพื้นที่เรื่องในอเมริกาของคุณเทาชมพูไปเสียแล้ว ขออภัยครับ  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม  ไปเล่าในเรื่องของยุโรปเปรียบเทียบดีกว่านะครับ  ยิงฟันยิ้ม
     
     
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 239  เมื่อ 30 ก.ค. 12, 19:35

ในยุโรปไม่มีระบบถนนแบบ Interstate ของสหรัฐฯ มีแต่แบบ Highway ที่เชื่อมต่อกันเป็นโครงข่าย ใช้ในการสัญจรข้ามไปมาระหว่างประเทศต่างๆ  ระบบถนนทั้งสองแบบนี้ให้ความรู้สึกในการขับรถที่ต่างกัน ถนนดีเหมือนกัน ป้ายบอกทางดีเหมือนกัน (แต่ในปรัชญาที่ต่างกัน)

จำกัดความเร็วบนถนนอยู่ทีื่ 120 กม.ต่อ ชม. ขับสบายๆโดยไม่มีปัญหาใดๆคือ 130 กม. ซึ่งก้ำกึ่งระหว่างเร็วเกินหรือไม่ ขีดจำกัดที่แท้จริงอยู่ที่ 140 กม.ต่อ ชม.   เพื่อแก้ความเซ็ง ถนนเหล่านี้ก็จะมีบางช่วงที่ขยายเป็น 8 หรือ 10 เลน (ไปกลับ) ระยะทางคงจะประมาณ 10 -15 กม. สำหรับปล่อยผี ปลดความง่วงเหงาหาวนอน ให้ห้อกันให้เต็มที่แบบไม่จำกัดความเร็ว ไม่มีการตรวจจับ  ผมขับที่ 170+ ยังต้องชิดซ้าย (คือไปอยู่ในเลนที่ถัดมาจากเลนทั้ใช้ความเร็วต่ำสุด) ผมคิดว่าเขาขับกันในระดับ 200++ เลยทีเดียว

ระยะของแต่ละ Rest area อยู่ไม่ห่างไกลมากเท่ากับในอเมริกา ความสะอาดของห้องสุขาก็แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ที่สุดๆของความสะอาดอยู่ในออสเตรียครับ  rest area หลายๆแห่งตั้งอยู่ในบริเวณที่มีวิวสวยมากๆ มีร้านอาหารดีๆ ซึ่งอร่อยมากพอที่คนจะขับรถไปนั่งชมวิวกินอาหารกันเลยทีเดียว เป็นอาหารแบบกึ่งจานด่วนกึ่งภัตตาคาร 
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 14 15 [16] 17 18 ... 37
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.055 วินาที กับ 19 คำสั่ง