การสันนิษฐาน เป็นเอกสิทธิ์ของมนุษย์....ว่าเข้านั่น
แต่การไม่เชื่อ เป็นอภิสิทธิ์ของป๋ม....ว่าเข้านี่
เรื่องธรรมเจดีย์นี่ สงเคราะห์เข้าหมวดศัพท์ศิลปะได้ครับ แต่ต้องใช้สติปัญญามากหน่อย
ตรงนี้ผมอาจจะรับผิดชอบไม่ไหว เพราะต้องรู้เรื่องเจดีย์ทั้ง 4 ของพุทธศิลปะ ดังที่ระบุในเอกสารชั้นพระอรรถกถา
คือเรื่องจารพระธรรมแล้วบันจุในสิ่งก่อสร้างนี่ ต้องพิจารณาสิ่งแวดล้อมแห่งยุคสมัยด้วยครับ
ตรงนี้จะทำให้เข้าใจเรื่องคาถาหัวใจพระพุทธศาสนาได้ด้วย
ผมเชื่อว่า พระธรรมคัมภีร์อย่างที่ทำเป็นเล่มๆ ยึดยาวหลายร้อยหน้า ที่เราคุ้นเคยอยู่ในปัจจุบัน
สมัยอโศกท่านคงไม่รู้จักอะครับ พวกแรกที่รู้จัก คิดว่าเป็นพวกลังกาเขา
เราทราบดีว่าครั้งพุทธกาล ใช้แต่ความทรงจำ และต่างองค์ต่างทรงจำมาคนละสาย
เนื่องจากไม่มีการทำซีดีพุทธโอวาสแจก....
จะเห็นอย่างหนึ่งว่า คาถาสำคัญที่สุด ที่พบตั้งแต่สมัยอโศก มาจนถึงสมัยทวารวดีในบ้านเรา
คือคาถา เยธรรมา....นั้น ชาวเราไม่นับถือครับ นำไปบรรจุไว้ในคำของพระอัสชิตอนท่านสอนพระสารีบุตร
และเก็บไว้ในหัวข้อ สาริปุตตเถราปทาน เสียด้วย ท่านพระอัสสชิแทบจะไม่ได้รับยกย่องเลย
http://202.44.204.76/cgi-bin/stshow.pl?book=32&lstart=290&lend=675&word1=อัสสชิ&word2=สารีบุตร
ข้อนี้นับว่าแปลก
ผมจึงเดาว่า ธรรมเจดีย์ที่แท้ คือการยกย่องคาถา เพราะคาถาเป็นคำย่อ เป็นหัวใจ
เข้าใจคาถา ก็เข้าใจทั้งหมด และคาถาเยธรรมา นี้ ก็ลี้ลับหายไปจากการรับรู้ของคนไทยตั้งพันปี
กว่าพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฏ จะทรงฟื้นคืนความสำคัญกลับมา
ส่วนเจดีย์อื่นๆ อีกสามประเภท ขอมอบเป็นการบ้านให้เพื่อนฝูงเล่าต่อนะครับ
แบ่งกันทำ ช่วยป้ากุนแกหน่อย....