[/img]
สมัย ๖๐ ปีก่อนตอนเรียนอยู่รร.เซ็นต์คาเบรียล ตอนเลิกเรียนบางวันเดินออกประตูหลังทะลุป่าช้าคริสต์ไปรับน้องสาวที่รร.เซ็นต์ฟรังส์ (ต้องเดินเร็วๆเพราะกลัวผี) จำได้ว่าสมัยนั้นชาวบ้านในย่านบ้านญวณมีหลายคนที่แต่งตัวแบบเวียตนาม รวมทั้งหมวกสานด้วย
สมัยนั้นชั้น ป.๑ ถึง ป.๓ เรียนเรือนไม้ติดกับป่าช้า มองออกนอกหน้าต่างก็เห็นฮวงซุ้ยกับไม้กางเขน บางวันมีพิธีฝังศพ ก็ทำให้ครู(เราเรียกมะเซ่อ คงมาจากคำว่า master) ต้องเข้มงวดมากขึ้นเพราะสนใจงานศพมากกว่าที่จะเรียน บางทีเห็นโลงเล็กๆ เด็กในห้องบางคนจะกระซิบว่าเป็นเด็กเพิ่งคลอดของใคร มีบ่อยเหมือนกัน สงสัยว่าอัตราตายของเด็กเพิ่งคลอดสมัยนั้นคงสูงพอดู
ปากถนนเข้ารร.เซ็นต์ฟรังส์ (ดูเหมือนจะชื่อถนนบ้านญวณ ดูแผนที่แล้วเข้าใจว่าสมัยนี้เรียก สามเสน ๑๑) เคยมีร้านหมอมีตู้โชว์ตลอดหน้าร้าน ภายในตู้มีโถแก้วใส่ specimens น่ากลัวน่าทึ่ง (สำหรับเด็ก) อยู่มากมาย จำได้ว่าบางโถมีซากเด็กก่อนคลอดแฝดบ้าง พิการบ้าง เต็มไปหมด เวลายืนรอรถรางที่วิ่งตามถนนสามเสนไปบางกระบือ ก็มีโอกาสดูได้เต็มที่
ดูแผนที่ไม่เห็นมีรร.เซ็นต์ฟรังส์ มีแต่โบสถ์ แต่มีรร.พานิชย์การโจนออฟอาร์ค อยู่ที่เดียวกัน
สมัยนั้นนักเรียนเซ็นต์คาเบรียลนุ่งกางเกงสีกรมท่า ใส่เสื้อนอกสีขาวแขนยาว คอแบบเครื่องแบบนายทหาร (ราชปะแตน?) ลงแป้งแข็ง มีกระดุมสีเงินตัวอักษร SG สีแดงกับน้ำเงินพันกัน ใส่หมวกกะโล่สีขาว (ต้องหมั่นเอาสีทาทุกอาทิตย์) ถุงน่องขาว รองเท้าหนังดำ กระเป๋าเสื้อมีปัก ซคบ ข้างบนกระเป๋ามีปักเลขประจำตัว (ของผม ๒๙๔๕) ไม่รู้ว่าทนร้อนได้ยังไง (สมัยก่อนกทม.อาจไม่ร้อนเท่าสมัยนี้)
ตอนโรงเรียนเลิกถ้าออกทางประตูใหญ่ จะต้องเปิดหมวกให้อธิการ(เป็นบาดหลวงแต่งชุดดำ) ยืนคุมอยู่ตรงประตูออกแทบทุกวัน
สมัยนั้นใช้ปากกาจิ้มหมึกตั้งแต่ ป.๑ โต๊ะทาสีดำ มีหมึกหกมาหลายชั่วคน กลับบ้านแขนเสื้อข้างขวาเปื้อนหมึกตั้งแต่ข้อมือถึงข้อศอกทุกวัน เพราะถูไปถูมาบนโต๊ะทั้งวัน ใช้ปากกาคอแร้งไว้เขียนอังกฤษมีเส้นหนักเส้นเบา ภาษาไทยใช้ปากกาเบอร์๕ ปากตัดป้าน หมึกต้องใช้ตราสิงโตสีดำกับแดง สีแดงไว้ขีดเส้นใต้
คิดดูแล้วก็แปลกใจว่ายังรอดมาได้
ปี 1952 นักบวชยังสวมเสื้อหล่อดำ แล้วค่อยๆทยอยเปลี่ยนเป็นขาวในอีก 3-4 ปีต่อมา