ในภายหลัง ตำแหน่งพระศรีพิพัทฯ เปลี่ยนเป็น พระยาศรีพิพัฒน์รัตนโกษา จางวางกรมท่า
ส่วน พระพิพัฒน์โกษา เปลี่ยนเป็น พระยาพิพัฒน์โกษา ปลัดทูลฉลองกรมท่า แต่ตำแหน่งไหน จะทำหน้าที่อันใด ก็ยังไม่เข้าใจซักทีครับ ?
ปลายรัชกาลที่ ๓ ตำแหน่งเสนาบดีว่างลง แต่ไม่ทรงเลื่อนใครขึ้นมาแทน เพราะมีพระราชดำริว่า "ให้พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ ท่านตั้งเอง"
ปลัดพระคลังราชการ หลวงอินทรโกษา จึงเลื่อนขึ้นมาแทน เป็นพระยาพิพัฒน์โกษา ปลัดทูลฉลอง
( เทียบเท่าปลัดกระทรวงการคลังควบต่างประเทศ ปัจจุบัน ได้หรือเปล่านา แต่ก็น่าจะใหญ่อยู่........... )
ตำแหน่งจางวางในกรมต่างๆ ในระบบราชการสมัยก่อน มีหน้าที่แตกต่างกันไปตามกรมที่สังกัด
ถ้ากรมใด มีเจ้ากรมเป็นผู้บังคับบัญชา ตำแหน่งจางวางในกรม คือ ตำแหน่งที่ปรึกษาราชการในกรมนั้นๆ
โดยมากก็คือ ขุนนางที่เคยเป็นเจ้ากรมมาก่อน เมื่อเจ้ากรมมีอายุมากขึ้นจะรับราชการต่อไปได้ไม่เต็มที่
(นัยว่า โรคภัยเบียดเบียน ร่างกายอ่อนแอ) ในหลวงจะโปรดเกล้าฯ เลื่อนบรรดาศักดิ์ให้พระยา จางวาง
เพื่อที่จะเลื่อนปลัดกรมขึ้นมาเป็นเจ้ากรมต่อไป ข้าราชการหัวเมืองก็เป็นอย่างเดียวกัน เจ้าเมืองชราภาพมาก
ก็จะโปรดเกล้าฯ ให้เลือนเป็นพระยาหรือเจ้าพระยา จางวางกำกับราชการเมืองนั้นๆ
แต่ในราชการบางหน่วย มีจางวางเป็นผู้บังคับบัญชาแทนเจ้ากรม เช่น กรมมหาดเล็ก เป็นต้น
ส่วนปลัดทูลฉลอง เป็นตำแหน่งที่ทำหน้าที่ถือหนังสือราชการใบบอกเข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูลแทนเจ้ากรม
รวมไปถึงเป็นผู้ทำหน้าที่กราบบังคมทูลเบิกนำข้าราชการหัวเมืองในสังกัดกรมนั้นๆ เข้าเฝ้าฯ พระเจ้าแผ่นดิน
อนึ่งในกระทรวงใหญ่ อย่างกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพระกระลาโหม ปลัดทูลฉลอง จะมีชื่อเรียกพิเศษขึ้นว่า ราชปลัดทูลฉลอง
การไม่โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งใครเป็นเสนาบดีแทนในตำแหน่งที่ว่างลง ในปลายรัชกาลนั้น
เป็นเพราะว่า พระเจ้าแผ่นดินอาจจะทรงเล็งเห็นว่า ถึงไม่ทรงตั้งใครเป็นเสนาบดี ปลัดทูลฉลองก็สามารถทำการว่าที่แทนได้
ที่ไม่ทรงตั้งใครในปลายแผ่นดินนั้น มีอีกเหตุผลหนึ่งว่า ธรรมเนียมราชการสมัยก่อน หากสิ้นแผ่นดินรัชกาลใดแล้ว
ขุนนางที่ทำการอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ใด จะกลายเป็นผู้รักษาราชการในตำแหน่งนั้นทันที และรักษาราชการนั้นไปจนกว่า
พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่จะโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในการพระราชพิธีนั้น จะมีพระราชดำรัส
อยู่องค์หนึ่งที่ว่า ข้าราชการที่เคยรับราชการอยู่ในตำแหน่งหน้าที่มาแต่เดิมในแผ่นดินรัชกาลก่อน ก็ขอให้ทำราชการนั้นต่อไป
(ถ้าตำแหน่งว่างอยู่ก็จะโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง) ในหลวงบางรัชกาลทรงเห็นว่า จะดำรงพระชนมชีพต่อไปได้ไม่นานนัก
ก็จะไม่โปรดเกล้าฯ ใครขึ้นมาดำรงตำแหน่งราชการใหญ่ที่ว่างอยู่ เพราะหากตั้งไปแล้ว เกิดเปลี่ยนรัชกาลแล้ว
ขุนนางผู้นั้นอาจจะถูกโยกหรือพระเจ้าแผ่นดินใหม่อาจจะโปรดเกล้าฯ ผู้อื่นที่ทรงไว้พระราชหฤทัยมาทำการแทน
กรมท่านั้น นอกจากทำหน้าที่พระคลัง และการต่างประเทศแล้ว ยังมีหน้าที่กำกับราชการหัวเมืองชายทะเล
(อยากรู้มีเมืองอะไรบ้าง ก็หาดูเอาเถิด) ด้วย หน้าที่เท่ากับปลัดกระทรวงอย่างน้อย ๓ กระทรวงในปัจจุบัน