เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์ไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: เทาชมพู ที่ 19 ส.ค. 02, 00:41



กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ส.ค. 02, 00:41

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีเจ้าฟ้าพระราชอนุชาอันประสูติร่วมพระบรมราชชนนีเดียวกันอีก ๔ พระองค์
อันดับแรกคือ
๑  สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ   กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ   ทรงสำเร็จการศึกษานายร้อยทหารบกจากประเทศรัสเซีย
๒  สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ  กรมหลวงนครราชสีมา  ทรงศึกษาจากประเทศอังกฤษ
๓  สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก  กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย  ทรงสำเร็จ Bachelor of Arts จาก Cambridge ๊University
๔  สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมหลวงสุโขทัยธรรมาธิราช  ทรงศึกษาวิชาทหารบกจากประเทศอังกฤษ

ทั้งนี้ไม่รวมพระเชษฐาและพระอนุชาที่ประสูติจากพระมเหสีเทวีพระองค์อื่นในรัชกาลที่ ๕ อีกหลายพระองค์
ในเมื่อทรงเป็นพระอนุชาพระองค์ท้ายที่สุด    จึงไม่มีผู้ใดคิดว่าจะเสด็จขึ้นครองราชย์
 รวมทั้งพระองค์เองด้วย
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเห็นความสามารถในการศึกษาพระธรรมวินัยได้ดี  จึงทรงชักชวนให้อยู่ในสมณเพศตลอดไป    แต่ก็ไม่ได้เป็นไปตามพระราชประสงค์ เพราะทรงมีพระสุขภาพพลานามัยไม่แข็งแรงนัก

ใน ๑๕ ปีของรัชสมัย  (๒๔๕๓-๒๔๖๘)  เกิดเหตุน่าเศร้าสลดอย่างไม่นึกฝันหลายครั้ง
พระราชอนุชา ๓ พระองค์ สิ้นพระชนม์ตามๆกันไปทั้งที่พระชนมายุยังไม่มากด้วยกันทั้งนั้น
อย่างเช่นเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกฯ สิ้นพระชนม์เมื่อพ.ศ. ๒๔๖๓  พระชนม์เพียง ๓๗ พรรษา
ต่อมาอีก ๓ ปี   เจ้าฟ้ากรมขุนเพชรบูรณ์ฯ ก็สิ้นพระชนม์  พระชันษาเพียง ๓๒ ปี
ปีต่อมา ๒๔๖๗ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครราชสีมาฯ ก็ประชวรสิ้นพระชนม์ไปอีกพระองค์หนึ่ง  พระชนม์แค่ ๓๕ พรรษา

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงมีพระราชโอรส  มีแต่พระราชธิดาซึ่งประสูติก่อนหน้าวันสวรรคตเพียงวันเดียว คือสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ
ในพระราชหัตถเลขานิติกรรม  ทรงระบุไว้ว่า หากทรงมีพระราชโอรสก็ขอให้ได้สืบราชสมบัติต่อไป  โดยให้เจ้าฟ้ากรมหลวงสุโขทัยฯเป็นประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
จนกว่าพระมหากษัตริย์จะทรงบรรลุนิติภาวะ
แต่ถ้าไม่มีพระราชโอรส  ก็มีพระราชประสงค์ให้เจ้าฟ้ากรมหลวงสุโขทัยฯทรงสืบสันตติวงศ์

ในตอนแรก  เจ้าฟ้ากรมหลวงสุโขทัยฯ ทรงปฏิเสธตำแหน่งนี้ ว่าไม่เคยแก่ราชการเพียงพอ   เจ้านายพระองค์อื่นที่อาวุโสพอจะรับราชสมบัติได้ก็ยังมี
แต่ที่ประชุมพระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดี ลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ ถวายราชสมบัติ
โดยเฉพาะสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงกรมพระนครสวรรค์วรพินิต  ซึ่งเป็นพระโอรสอันประสูติจากสมเด็จพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี  ทรงรับรองแข็งแรงว่าจะภวายความช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถ
จึงทรงยินยอมรับเชิญขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน  
ทรงพระนามว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว



จากหนังสือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ
เรียบเรียงโดยศาสตราจารย์พิเศษ ทองต่อ กล้วยไม้ ณ อยุธยา  


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ภูวง ที่ 14 ส.ค. 02, 06:42
 ผมเคยอ่านที่มจ. จงจิตรถนอมประทานสัมภาษณ์คุณ ส. ศิวรักษ์ วันที่ตัดสินพระทัย ยอมรับ  เป็นภาพที่น่าประทับใจมากครับ ที่กรมพระนครสวรรค์ ทรงรับรอง กับพระอนุชาแต่จำเนื้อความละเอียดไม่ได้ ตอนอ่านรู้สึกประทับใจจนขนลุกทีเดียว


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ส.ค. 02, 10:45

ไม่มีหนังสือเล่มนั้น ไม่งั้นจะลอกมาให้อ่านกันค่ะ  

ในรัชสมัยสมเด็จพระปกเกล้าฯ มีกฎหมายพระราชบัญญัติสำคัญอยู่ฉบับหนึ่ง ที่พลิกผันโครงสร้างครอบครัวของไทย แต่โบราณ คือพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะผัวเมีย พ.ศ. ๒๔๗๓

สังคมไทยโบราณ เป็นแบบ polygamy คือมีคู่สมรสได้พร้อมๆกันหลายคน (นับเฉพาะฝ่ายชาย)
เมียหลวงเมียน้อย นับเป็นเมียถูกต้องตามกฎหมาย
กฎหมายตราสามดวงในรัชกาลที่ ๑ อิงหลักการจากสมัยอยุธยา  รับรองเมียน้อยว่ามีศักดินากึ่งหนึ่งของเมียหลวง
แปลว่าถูกต้องตามกฎหมายทุกคน

ธรรมเนียมครอบครัวแบบนี้ฝังรากกันมาหลายร้อยปี  จะเปลี่ยนให้เป็นผัวเดียวเมียเดียว ไม่ใช่เรื่องง่าย
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯจึงทรงริเริ่มแบบละมุนละม่อม ให้มีการจดทะเบียนสมรส   ทะเบียนหย่า  ทะเบียนรับรองบุตร
เพื่อปลูกฝังค่านิยมแบบใหม่  แทนธรรมเนียมดั้งเดิม

จนกระทั่งมีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕
ว่าด้วยครอบครัว
ยอมรับหลักการเรื่องการมีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายเพียงคนเดียว  
ใช้ถือมาถึงปัจจุบัน

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์พระองค์แรก และพระองค์เดียว
ที่มีพระบรมราชินีเพียงพระองค์เดียว   ไม่มีเจ้าจอมพระสนมใดๆทั้งสิ้น  


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ทองรัก ที่ 14 ส.ค. 02, 20:28
 ขออนุญาตเล่าเสริมจากคุณเทาชมพูสักเล็กน้อยค่ะ ไม่แน่ใจว่าจะทำให้หัวข้อกระทูเบี่ยงเบนไปหรือเปล่านะคะ ทองรักอยากเล่าถึงสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ฯ นะค่ะ คือได้อ่านพระราชประวัติแล้วประทับใจในพระองค์ท่านมากค่ะ  รู้สึกว่าท่านทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชินีคู่พระราชหฤทัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างแท้จริงทั้งในขณะที่พระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่ในราชสมบัติและทั้งในขณะที่ทรงสละราชสมบัติ แล้วเสด็จไปประทับ ณ ประเทศอังกฤษ  อย่างที่ตอนนี้ที่เคยอ่านพบในหนังสือเจ้าชีวิตของพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ค่ะ

……..เมื่อครั้งที่คณะราษฎรทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 นั้น ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จ ฯ เสด็จประทับแรมอยู่ ณ "วังไกลกังวล หัวหิน"  ภายหลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีลายพระราชหัตถเลขาทรงเล่าเหตุการณ์ดังกล่าวพระราชทานพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ว่า  "ฉันจะนั่งอยู่บนราชบัลลังก์อันเปื้อนไปด้วยโลหิตไม่ได้"   พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จกลับกรุงเทพ ฯ และในครั้งนั้นสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีได้ตัดสินใจพระราชหฤทัยที่จะเสด็จกลับกรุงเทพฯเคียงคู่กับพระราชสวามีด้วย  พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ทรงเล่าเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ในเจ้าชีวิตว่า…….ฉัน (พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว) ต้องยอมรับว่าทั้งสมเด็จและหญิงอาภา (พระมารดาของสมเด็จฯ) ควรจะได้รับเกียรติศักดิ์อย่างสูงที่แสดงความกล้าหาญอย่างยิ่งเช่นนั้น เพราะเราทุก ๆ คนทราบดีว่า ถึงเรายอมกลับกรุงเทพฯต่อไปเขาจะฆ่าเราเสียก็ได้  ผู้หญิงสองคนนั้นเขากล้ายอมตายเสียดีกว่าที่จะเสียเกียรติศักดิ์……….


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ภูวง ที่ 15 ส.ค. 02, 06:53
 ผมกำลังคิดจะเสริมในจุดที่คุณทองรักเอ่ยพอดีครับ แต่ไม่ได้ความละเอียดเท่าว่าพระองค์ท่านคงเป็นแบบอย่างของสามี ที่ผู้หญิงเกือบทุกคน อยากจะมีตรงที่ทรงให้เกียรติ ให้ความสำคัญกับภรรยา
ได้ไปชมนิทรรศการเกี่ยวกับพระองค์ท่าน ก็ ยิ่งชื่นชม เหลือเกิน พระวรกายเล็ก คงสูงแค่๑๕๐ ซม. แต่ทรงเข้มแข็งและกล้าหาญ แม้จะไม่ทรงเตรียมพระองค์มาเพื่อเป็นในหลวงแต่ก็ทรงทำได้ดี
คุณปู่ ของผมท่านเอ่ยถึงพระองค์ท่านว่าเป็นในหลวงที่อาภัพที่สุด


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ภังคี ที่ 15 ส.ค. 02, 06:59
 จุ๊ จุ๊ ผมอดคิดไม่ได้ทุกทีครับว่าถ้าคณะราษฎร์ทำงานไม่สำเร็จ แล้วให้พระองค์ท่านดำเนินการปกครองตามที่ทรงวางแผนไว้(พระองค์ท่านก็มีพระดำริจะสละพระอำนาจให้ประชาชนอยู่แล้ว)  เราอาจจะไม่ล้มลุกคลุกคลาน ประดัก ประเดิด กันจนบัดนี้ แหมอยากเป็นนักเขียนเก่งๆจังจะเขียนเรื่องเอกภพคู่ขนานถึงเหตุการ์ณตรงนี้ซะหน่อยเชียว


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ทองรัก ที่ 15 ส.ค. 02, 07:05
 ประทับใจพระราชดำรัสตอนหนึ่งของพระองค์ท่านด้วยค่ะ
ที่ว่า....ท่านยินดีจะสละพระราชอำนาจที่มีอยู่ให้แก่ราษฎรทั้งหมด แต่ไม่ยินดีที่จะสละพระราชอำนาจนั้นให้แก่บุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง.....
(ขออภัยด้วยค่ะ ถ้าจำมาไม่ถูกต้องทั้งหมด)

ทองรักเคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าคณะราษฎรทำการช้ากว่านี้ซัก 10 ปี
บางทีประชาธิปไตยบ้านเราอาจจะเติบโตและสมบูรณ์พร้อมกว่านี้
ไม่ใช่โตแต่ตัว แต่หัวเล็กลีบเหมือนที่เป็นอยู่

จะรออ่านเรื่องเอกภพคู่ขนานฝีมือคุณภังคีค่ะ


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: สร้อยสน ที่ 15 ส.ค. 02, 07:32
 ฮิ ฮิ คุณทองรักขา รออ่าน ฝีมือคุณภังคี ท่าทางจะเป็นโครงการข้ามชาติล่ะค่ะ

เคยอ่านบทบรรยายนานมาแล้วค่ะถึงสถานที่ที่ทรงพำนักจนสวรรคต อ่านแล้วเศร้าเหลือเกิน สงสารพระองค์ท่านจนน้ำตาซึมเลย เห็นด้วยกับที่คุณปู่พูดค่ะว่าท่านเป็นในหลวงที่อาภัพเหลือเกิน


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: หนูหมุด ที่ 15 ส.ค. 02, 11:17
 ในคณะราษฎร์นั้นก็มีบุคคลอยู่ 2 กลุ่ม คนกลุ่มรุ่นใหม่ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในเวลากันรวดเร็วกับอีกกลุ่มที่ประวิงเวลา แต่เนื่องจากเป็นเรื่องของคนกลุ่มใหญ่ เรื่องราวจึงออกมาเป็นแบบนี้ ซึ่งเราก็มองว่าเร็วกว่าที่ควรจะเป็น หนูหมุดเองก็สงสัยเหมือนกัน ว่าครั้งนั้นหากมีการออกแถลงการณ์ว่ามีโครงการที่จะเปลี่ยนระบอบการปกครองแล้วในไม่ช้านี้ แต่กำลังรอความพร้อมต่างๆก่อน เช่นกำลังส่งเสริมให้ความรู้แก่ประชาชน หากเป็นแบบนี้เหล่าคณะราษฎร์จะก่อการหรือไม่ แล้วเราจะเป็นอย่างไรในวันนี้  
เอ...สงสัยหนูหมุดจะเบี่ยงประเด็นไปเสียอีกแล้วค่ะ


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: หนูหมุด ที่ 15 ส.ค. 02, 11:26
 ที่เคยอ่านๆมา เมื่อครั้งที่ทรงสละราชสมบัตินั้น ในแถลงการณ์ซึ่งมีข้อความที่คุณทองรักพูด ซึ่งเป็นประโยคที่ในสมัยหนึ่งเป็นประโยคที่ถูกหยิบยกมาบ่อยมากๆ เวลาจะประท้วงรัฐบาล จนวันนี้หนูหมุดเองคิดว่าอำนาจก็ยังคงอยู่ที่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งอยู่ดี แม้จะมีความพยายามที่จะกระจายอำนาจให้เป็นของประชาชนเพียงใดก็ตาม ทำให้หนูหมุดคิดว่าเป็นเพราะโดยธรรมชาติคนไทยมีลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนการปกครองเมื่อใด ช้าเร็ว เราก็ต้องล้มลุกคลุกคลานไปแบบนี้ล่ะค่ะ


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: สร้อยสน ที่ 15 ส.ค. 02, 12:00
 หนูหมุดขา ไหนๆเราเบี่ยงประเด็นแล้ว ดิฉันอยากออกความเห็นนิดนึงค่ะ ที่หนูหมุดว่านี่คล้ายๆดูถูกคนไทยกันเอง(ซึ่งมีส่วนจริง) แต่ดิฉันขอออกความเห็นตามประสบการ์ณและความนึกคิดของตัวเองนะคะ ดิฉันไม่มีความรู้ทางด้านรัฐศาสตร์ว่า ประเทศเรา"พลาด"เพราะความใจร้อนก้าวกระโดดมาก็หลายครั้ง
ครั้งพศ.๒๔๗๕ นี่ก็น่าจะใช่ และที่เห็นชัดๆคือช่วงหลัง๑๔ตุลา เราพยายามก้าวกระโดดกันสะเปะสะปะ  ทั้งที่นั่นเป็นโอกาสทองที่เราจะเปลี่ยนจากเผด็จการทหาร เป็นประชาธิปไตย แต่เราใช้กันไม่เป็น ลำพองกันเกินเหตุ ทำให้เกิดความขัดแย้ง  เหตุการณ์แบบ๖ตุลาจึงตามมา พร้อมกับความตกขอบ ด้านการปกครอง


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ทองรัก ที่ 15 ส.ค. 02, 12:12
 ในฐานะที่เป็นคนแรกที่ทำให้ประเด็นเบี่ยงเบนไป ทองรักอยากขอโทษคุณเทาชมพูเจ้าของกระทู้ด้วยค่ะ และอยากออกความเห็นเพิ่มเติมอีกซักนิดหนึ่งค่ะว่า โดยส่วนตัวแล้วทองรักคิดว่า การที่อำนาจตกอยู่ในมือของคนเพียงกลุ่มเดียวนี่เป็นเรื่องปลายเหตุ นะคะ แต่ทองรักก็ไม่คิดว่ามีสาเหตุมาจากธรรมชาติของคนไทย  ส่วนสาเหตุจริง ๆ จะมาจากอะไรนั้น ทองรักว่าถ้าเราอยากแสดงความคิดเห็นกันต่อในประเด็นนี้ เราไปขึ้นกระทู้ใหม่กันดีไหมคะ ตรงนี้ยังอยากเก็บไว้คุยถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อกระทู้นะคะ


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: สร้อยสน ที่ 15 ส.ค. 02, 12:29
 ขออนุญาตต่ออีกนิดเดียวค่ะ ความจริงดิฉันคิดว่าเรื่องที่พูดมีความเกี่ยวโยงกับกระทู้นี้บางส่วนนะคะ  สิ่งที่ดิฉันยังอยากพูดต่ออีกนิดคือ

จากนั้น เราก็เบนเข้าหาสมดุลย์และความประนีประนอม ในช่วง
๒๕๒๓-๒๕๓๐  ระยะเวลานั้นดิฉันมองว่าบ้านเมืองของเรากำลังดูดีนักศึกษาช่วงนั้นมีบทบาทที่น่าชม ตั้งใจเรียนแต่ก็ไม่ทิ้งกิจกรรมที่ดี
ความฟุ้งเฟ้อ ยังไม่มีมาก  ถ้าเรายึดจุดนั้นไว้ได้ คือความพอเพียง  วันนี้ทุกอย่างคงดีกว่านี้แม้จะไม่เจริญก้าวกระโดดแบบทุกวันนี้
แต่เพราะความใจร้อนอีกนั่นแหละค่ะ ที่ใครๆในสมัยนั้นว่า ยืดยาดแบบนี้บ้านเมืองเราจะเจริญไม่ทันเขา แล้วตอนนี้เป็นอย่างไรกันบ้างละคะ
ดิฉันและคนรุ่นเดียวกันได้แต่หวังว่าโอกาสทองแบบนั้นคงจะมาอีกครั้งและคงมีผู้ตระหนักที่จะประคับประคองให้ไม่ล้มลุกคลุกคลานเช่นที่ผ่านมา
ประเทศเราได้เปรียบตรงที่เรามีพระประมุขที่แสนประเสริฐแต่พวกเราเองกลับไม่เห็นคุณค่า และภูมิใจ เท่าที่ควร
การแสดงถวายพระพรโดยจัดงานกันเอิกเกริกนั่นไม่ใช่การแสดงความภักดีที่ถูกที่ควร แต่การปฏิบัติตนตามรอยพระยุคลบาทต่างหากคะ
คือการแสดงความจงรักภักดีที่จริงใจ


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ส.ค. 02, 18:45
 เหตุการณ์นี้ใช่ไหมคะที่คุณภูวงถาม



เจ้านายสำคัญในรัชกาลที่ ๖  พระองค์หนึ่งคือเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต  ทรงมีพระชนม์มากกว่าเจ้าฟ้าประชาธิปก

เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต

เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตเพิ่งเสด็จกลับจากสิงคโปร์ ทรงจับไข้ในเรือมาตลอดทาง

แต่ก็เสด็จมาเข้าร่วมประชุมกับพระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดี



เมื่อได้ยินคำปฏิเสธของเจ้าฟ้าประชาธิปก   ทรงกอดพระศอและจับพระกรพระราชอนุชา  ดำเนินกลับไปกลับมาหลายเที่ยว เพื่อทำความเข้าพระทัย

รับสั่งว่า



"ทูลกระหม่อมเอียดน้อย   เธอทำได้  รับเถิดแล้วฉันจะช่วยทุกอย่าง"



เมื่อเจ้าฟ้าประชาธิปกทรงยอมรับตำแหน่งพระมหากษัตริย์ในที่สุด    เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์กทรุดพระองค์ลงกราบ เช่นเดียวกับพระบรมวงศานุวงศ์



ต่อจากนั้นเมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงประทับลงบนพระเก้าอี้   เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯก็ถวายบังคมอีก ๓ ครั้ง

กราบบังคมทูลว่า

" จะทรงใช้สอยในราชการสิ่งหนึ่งสิ่งใด    ก็จะสนองพระเดชพระคุณในราชการสิ่งนั้นทุกอย่าง

แต่ขอพระราชทานเลิกคิดว่าจะเป็น 'ขบถ' เสียที  เพราะได้รับหน้าที่นี้มา ๑๕ ปีแล้ว  เบื่อเต็มที"



พระเจ้าอยู่หัวทรงพระสรวล  มีพระราชดำรัสว่าอนุญาตให้เลิกได้



ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีข่าวลือมาตลอดรัชกาลที่ ๖ ว่า เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ จะก่อการขบถ  ทั้งที่ไม่เคยมีเหตุการณ์ขึ้นมาจริงๆสักครั้ง



พระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ ทรงรับราชการมาด้วยดีตลอดจนถึงพ.ศ. ๒๔๗๕

เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง   ก็ต้องเสด็จออกไปประทับที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย

จนสิ้นพระชนม์  ไม่ได้เสด็จกลับมาประเทศไทยอีก


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: wimma ที่ 15 ส.ค. 02, 21:20
จากที่ได้อ่านเรื่องที่คุณเทาชมพูเขียนไว้เกี่ยวกับรัชกาลที่ 7 มีพระมเหสีเพียง พระองค์เดียว จึง นำเรื่องราวที่เคยอ่านมา จากเมล์
มาเสริมค่ะ
....................................................

แต่เดิมพระมหากษัตริย์ไทยจะมีพระมเหสี เจ้าจอม หรือพระสนมเอก จำนวนมาก นับเนื่องจากกษัตริย์สมัยสุโขทัยลงมาจวบจนกระทั่ง ร.6 แต่เมื่อถึง ร.7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านรัก ผู้หญิงคนเดียวในชีวิต กุลสตรีสาวสวยที่โชคดีนั่นคือ สมเด็จพระนางเจ้า รำไพพรรณี พระบรมราชินี

พระองค์ทรงเป็นพระธิดาองค์ใหญ่ในสมเด็จพระสวัสดิวัฒนวิศิษฏ์ (ต้นสกุลสวัสดิวัฒน์) กับพระองค์วรวงศ์เธอพระองคเจ้าอาภาพรรณี (พระธิดาในกรมหลวงพิชิตปรีชากร ต้นสกุล คัคณางค์)

ท่านหญิงรำไพพรรณีได้ถูกถวายตัวมาอยู่ภายในการดูแลของสมเด็จ พระศรีพัชรินทราฯ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 5 โดยเฉพาะในช่วง วัยรุ่นได้มาประทับที่พระราชวังพญาไท ซึ่งมีพระราชนัดดา และหม่อมราชวงศ์ที่สืบสายมาจากสกุลต่างๆมารับใช้ สมเด็จพระศรีพัชรินทร์ฯ

รักแรกพบระหว่างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯกับสมเด็จพระนางเจ้า รำไพพรรณีนั้น เริ่มต้นที่ วัง พญาไทนี้เอง เมื่อครั้ง ร.7 ดำรงพระอิสริยศ เป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าฯ กรมสุโทัยธรรมราชา ได้เสด็จนิวัติเมื่องไทย เมื่อปี 2457

หลังจากว่างเว้นภาระกิจต่างๆ พระองค์ทรงเดินทางมาเข้าเฝ้าสมเด็จ พระศรีพัชรินทราฯ ณ วังพญาไท อยู่เนืองๆ หรือในบางครั้งก็ประทับอยู่ ที่วังหลายวัน จึงได้มีโอกาสรู้จักหม่อมเจ้าหญิงหลายพระองค์

จากการใกล้ชิดและพูดคุยกัน และด้วยพระองค์ทรงคุยสนุกและไม่ถือ พระองค์ ทำให้พระองค์และหม่อมหญิงรำไพพรรณีสนิทสนมใกล้ชิด และได้กลายเป็นความรักผูกพันอย่างลึกซึ้ง

และเรื่องราวความรักได้ปรากอย่างเด่นชัด ในขณะที่ สมเด็จพระเจ้าน้อง ยาเธอฯ ทรงผนวชจำพรรษาอยู่ที่พนะตำหนักปั้นหยา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปี พ.ศ. 2460

ในขณะนั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราช ทรงเล็งเห็นว่า สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์นี้ทรงเป็นพระราชกุมารลำดับสุดท้ายในจำนวนพี่น้องทั้งหมด ที่ร่วมพระราชชนนีเดียวกันถึง 5 พระองค์ ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะได้สืบ ราชสมบัติจึงเป็นได้ยาก เพราะต้องทรงผ่านลำดับถึง 4 พระองค์

วันหนึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯได้กราบทูลเชิญพระองค์ให้คงอยู่ ในสมณเพศตลอดไป เพื่อได้ทรงเป็นประมุขปกครองฝ่ายศาสนจักรต่อไป แต่พระองค์ทรงปฏิเสธ โดยทรงมีพระราชดำรัสว่า ทรงมีรักผูกพันกับหญิง ไว้แล้วคนหนึ่ง

และหญิงท่านนั้นคือ หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี หรือ ท่านหญิงนา นั่นเอง

หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าพระชาธิปกศักดิเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ ได้ทรงลาผนวช ได้เข้ารับราชการในกรมทหาร ปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ตามปกติ

ในปี 2461 พระองค์ได้ทรงมีหนังสือกราบบังคมทูลพระกรุณาต่อ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระราชทานพระบรม ราชานุญาตอภิเษกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ซึ่งพระบาท สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชานุญาต

และในพระราชพิธีสมรสในครั้งนี้ ได้เป็นครั้งแรกที่ทรงริเริ่มให้มีการจด ทะเบียนสมรสในหมู่พระราชวงศ์ไทย

ในเวลาต่อมา เมื่อพระบามสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดช กรมขุนสงขลา นครินทร์ ได้เสด็จขึ้นเป็นพรบามสมเด็จพระปกเกล้าเข้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 และหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ได้รับพระราชอิสริยายศ เป็น สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ

ในเวลา 10 ปีที่ พระองค์ทรงครองราชย์ เรื่องที่ดูหนักหนาสาหัสที่สุด คือ การปฏิวัติที่เกิดขึ้นโดยคณะราษฎร์ ในปี 2475 ซึ่งขณะนั้นทั้งสอง พระองค์ ทรงประทับอยู่ที่ พระราชวังไกลกังวล ได้มีคณะตัวแทนคณะราษฎร์ กราบบังคับทูลเชิญทั้งสองพระองค์เสด็จ กลับพระนคร ซึ่งในตอนนั้น พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสถามความ เห็นจากสมเด็จฯ ในฐานะคู่ชีวิตว่า "หญิงว่ายังไง" ทางด้านสมเด็จฯนั้น แม้จะทรงเป็นสตรีเพศ แต่ได้กราบบังคมทูลด้วยความเด็ดเดี่ยวไปว่า "เข้าไปตายไม่เป็นไร แต่ต้องมีศักดิ์ศรีมีสัจจะ" ซึ่งทำให้พระเจ้าอยู่หัว ตัดสินพระทัยเสด็จกลับพระนคร

และทั้งสองพระองค์เสด็จกลับมาเป็นพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีนาถ ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ

และแล้วในวันที่ 12 มกราคม 2476 ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จเยือนยุโรป และนั่นเป็นการอำลาสยามครั้งสุดท้ายของรัชกาลที่ 7 เนื่องจากขณะที่ พระองค์ทรงรักษาพระเนตรจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในประเทศอังกฤษ ได้ทรงขัดแย้งกับคณะรัฐบาล จึงตัดสินพระราชหฤทัยสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2477 ณ พระตำหนัดโนล

ในขณะที่ทั้งสองพระองค์มิได้เป็น คิงส์และควีน แห่งสยาม นับเป็นช่วง เวลาที่สงบสุข ณ พระตำหนักเวนคอร์ต ประเทศอังกฤษ และต่อมาได้ย้าย พระตำหนักมาประทับที่พระตำหนัก เวนคอร์ต

ในเดือนพฤษภาคม 2484 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมี พระอาการประชวร และในวันที่ 30 พฤษภาคม ปีนั้น สมเด็จฯได้ประทับ รถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์ไปยังพระตำหนักเดิม คือ เวนคอร์ต เพื่อทรงเด็ดดอกไม้จากสวนมาถวายพระบรมราชสวามี เพื่อให้บรรยากาศ ภายในห้องบรรทมดูสดชื่น

ในระหว่างทรงขับรถยนต์อยู่นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้โบกมือให้รถยนต์ พระที่นั่งหยุด พร้อมได้กราบบังคมทูลว่า "พระสวามีมีพระอาการทรุดหนัก ให้รีบกลับพระตำหนักด่วน" และเมื่อพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินกลับ มาที่ตำหนักก็ได้ทราบว่า ร.7 ได้เสด็จสวรรคตแล้ว โดยพระชนมายุได้ 48 พรรษา

นั่นย่อมเป็นวันที่สมเด็จฯได้พบกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่


คัดย่อจาก : รักเพียงหนึ่งเดียวของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ โดย กิตติพงษ์ วิโรจน์ธรรมากูร


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ทองรัก ที่ 15 ส.ค. 02, 22:12
 มาเล่าต่อจากคุณ wimma ค่ะ

หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว สมเด็จพระนางจ้ารำไพพรรณีทรงจัดการถวายพระเพลิงพระบรมสพอย่างเรียบง่ายที่สุสานโกลเดอร์ส กรีน (Golders Green) ชานกรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2484 แต่ทรงเก็บพระบรมอัฐิและพระบรมราชสรีรางคารกลับที่ประทับตามแบบไทย ซึ่งในระหว่างนั้นเป็นช่วงเวลาแห่งสงครามโลกครั้ง 2สมเด็จได้เสด็จ ฯ นิวัติสู่ประเทศไทยโดยทรงอัญเชิญพระบรมอัฐิมาด้วย เสด็จถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2492 และมีการจัดงานพระราชกุศลทักษิณานุปทานถวายพระบรมอัฐิ ณ พระที่นั้งจักรีมหาปราสาท และได้อัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิขึ้นสู่ที่ประดิษฐาน ณ หอพระบรมอัฐิในพระบรมมหาราชวัง พระบรมอัฐิอีกส่วนหนึ่ง สมเด็จฯอัญเชิญเก็บไว้ในพระโกศ ประดิษฐานไว้ ร ห้องพระ บนพระตำหนักใหญ่
วังศุโขทัย สมเด็จฯจะเสด็จทรงบูชาพระพุทธรูปและถวายบังคมพระบรมอัฐิพระราชสวามีในห้องนี้พระองค์เดียวทุกวัน ไม่ว่างเว้น  และทุกครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปต่างจังหวัด เช่น เมื่อเสด็จไป "สวนบ้านแก้ว" จันทบุรี สมเด็จ ฯจะทรงอัญเชิญพระบรมอัฐิไปกับพระองค์เสมอ ทรงระลึกถึงพระราชสวามีตลอดมามิได้ขาด

เก็บความจาก รำไพพรรณี ศรีประชาธิปก สยามินทราชินี
                  โดย ม.ร..พฤทธิสาณ ชุมพล
ตีพิมพ์ในหนังสือรายงานกิจการประจำปีของ มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ภูวง ที่ 16 ส.ค. 02, 07:00
 ต้องขอบคุณคุณเทาชมพูเป็นอันดับแรก ใช่แล้วครับ อ่านครั้งใดก็ประทับใจมาก  
ขอบคุณอีกสองท่านด้วยครับ ถ้าท่านใดมีพระบรมฉายาลักษณ์ มาแสดงให้ชมที่นี่กันบ้างก็ดีครับถ้าไม่รบกวนจนเกินไป

มีเกร็ดย่อยขำๆเกี่ยวกับพระองค์ท่านว่าไม่โปรดทุเรียน นึกแล้วก็ขำพวกข้าราชบริพารนะครับ ที่เกิดอยาก กินนี่จะแอบเอาเข้าไปกินคงยากเพราะกลิ่นมันฟ้อง

ท่านใดมีเกร็ดย่อยๆที่เกี่ยวกับพระองค์ท่านมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ภังคี ที่ 16 ส.ค. 02, 07:09
 เอาเป็นว่าผมก็มีส่วนให้ประเด็นเบี่ยงนี้ดๆเหมียนกันครับก็ผม"เชื่อ"ของผมแบบนี้จริงๆนี่  ผมเห็นตามคุณภูวงว่าทรงเป็นในหลวง ที่ประเสริฐ และทำหน้าที่ของพระองค์ท่านได้ดีแม้จะไม่ได้เตรียมพระองค์เพื่อจะเป็นในหลวง

เอ้าผมมีเกร็ดย่อยมั่งเหมือนกันนะว่าพระองค์ท่านประสูติวันพุธ
ในหลวงทั้งเก้าพระองค์นี่ ประสูติวันพุธ สาม  วันจันทร์สอง
วันพฤหัส วันอังคาร วันเสาร์ วันอาทิตย์  วันละหนึ่งพระองค์(พูดถูกมั้ยเนี่ย) ใครทายถูกมั่งเอ่ยว่า พระองค์ไหนประสูติวันไหน
อันนี้ก็ออกนอกประเด็นอีกแล้ว ขออภัยคุณเทาชมพูครับ อยากให้บรรยากาศการคุย ผ่อนคลายซักหน่อย


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ทองรัก ที่ 16 ส.ค. 02, 07:14
 คุณภังคีรู้ละเอียดดีจังเลย
ทองรักทราบแค่ว่าในหลวงพระองค์ปัจจุบันประสูติวันจันทร์ค่ะ
และถ้าเดาไม่ผิด ในหลวงรัชกาลที่ 5 ประสูติวันอังคารค่ะ
ทายถูกมีรางวัลไหมคะ
คุณภูวงคะ ทองรักมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่านและสมเด็จ ฯ อยู่หลายรูป แล้วจะสแกนมาให้ดูนะคะ


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: สร้อยสน ที่ 16 ส.ค. 02, 08:01
 รอชมภาพด้วยค่ะ อะไรๆที่ไม่เกี่ยวกับกระทู้นี้ที่ทำให้เกิดความขุ่นมัว ก็เว้นๆไปเถอะนะคะ ต่างคน ต่างความคิดคุยกันแต่เรื่องที่ทุกคนสบายใจกันดีกว่าค่ะ
 
เออ ท่านใดทราบบ้างคะ ว่าพระองค์ท่านโปรดสัตว์เลี้ยงอะไรบ้างไหม


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 16 ส.ค. 02, 17:37
 ไม่ทราบว่าเคยอ่านนิยายวิทยาศาสตร์ชุด the foundation -สถาบันสถาปนา ของ Isaac Asimov กันหรือเปล่าครับ

ผมอ่านมาแล้ว 3 รอบ ในระยะเวลา 15 ปี แต่ละรอบให้มุมมองที่แตกต่างไปตามประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป

รอบล่าสุดของผม ให้ความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า การเปลี่ยนแปลงของสังคมนั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยปัจเจกบุคคลคนใดคนหนึ่ง แต่เกิดขึ้นจากกลุ่มคนทั้งหลายในสังคม

จริงอยู่ว่าจุดพลิกผันสำคัญๆในประวัติศาสตร์นั้น มีผู้นำมาวิพากษ์กันบ่อยครั้ง ในลักษณะ ถ้า... แล้ว... ซึ่งในทัศนะคติของผมนั้น ถ้า... แล้ว... จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้ต่อเมื่อ ถ้า... แล้ว... นั้นได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแง่แนวทางการ "สร้างคน" ของสังคมใหม่นั้น

ด้วยวิธีคิดแบบนี้ ผมรู้สึกว่าสังคมไทยถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาหลายครั้ง แต่วิธีการพัฒนาคนนั้นไม่เคยมี(แม้จนถึงปัจจุบันนี้)การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่สำคัญจากภาครัฐเลย

ผมชักอยากให้มีสถาบันสถาปนาจริงๆอยู่ในบ้านเราซะแล้ว...

เอ้า... ตื่น  


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 02, 09:48
 ขอต่อความคิดคุณCH หน่อยเถอะค่ะ
เป็นไปได้ไหมว่าเราตั้งสมมุติฐานผิดว่า ต้องมีการ"พัฒนา" คน  ทั้งที่ความจริงแล้ว  ไม่มีสังคมใดพัฒนาคนขึ้นมาได้แบบปุบปับในชั่วข้ามคืนหรือข้ามปี
ความเปลี่ยนแปลงในค่านิยมของมนุษย์มาพร้อมกับกระบวนการอื่นๆในสังคม   ที่ค่อยเป็นค่อยไป ใช้เวลานานนับศตวรรษ
เรียกได้ว่าถึงเวลาเปลี่ยนมันเปลี่ยนของมันเองตามความจำเป็นแวดล้อม
ความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆของยุโรปมี ๓ ขั้นตอน  คือเดิมมีสังคมเกษตรกรรม  ต่อมาเปลี่ยนเป็นสังคมอุตสาหกรรม และคลื่นลูกที่สามที่เขาว่ากัน คือสารสนเทศ การสื่อสารไร้พรมแดน
แต่ทั้งหมดนี้ก็ใช้เวลาเปลี่ยนนานมาก

สังคมบนแหลมทองตั้งแต่เรายังมีอาณาจักรเล็กๆกระจัดกระจายกันอยู่ ไม่เฉพาะแต่สุโขทัย  มาถึงอยุธยา และรัตนโกสินทร์  เป็นสังคมแบบผู้นำ หรือผู้ปกครองต่อคนส่วนใหญ่
แยกย่อยลงไปถึงสังคมเล็กคือครอบครัว พ่อก็ปกครองบ้าน  คือแม่ลูกและบริวาร
ไม่เคยมีการโหวตเสียงในบ้านว่าส่วนใหญ่ต้องการอะไร แล้วให้พ่อบริหารไปตามนั้น
ไม่ต่ำกว่า ๗๐๐ ปีที่เราอยู่กันมาด้วยความเคยชินแบบนี้
จนกระทั่งไปรับความคิดใหม่มาจากยุโรป  เอามาต่อยอดสวมเข้ากับฐานเดิม
โดยไม่ดูว่ามันผสมกลมกลืนกันได้มากน้อยแค่ไหน
แม้แต่ผู้เปลี่ยนเอง  ก็ยังมีความเคยชินดั้งเดิมของวัฒนธรรมอยู่
สืบทอดกันมาอีก  หลายยุคสมัย  เราก็เลยมีอย่างที่มีกันอยู่ทุกวันนี้ละค่ะ ใน ๗๐ ปี


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ทองรัก ที่ 17 ส.ค. 02, 12:08
 ขออนุญาตเสริมด้วยคนค่ะ
โดยความเห็นส่วนตัวแล้วคิดว่า "เรามีอย่างที่มีกันอยู่ทุกวันนี้" อย่างที่คุณเทาชมพูว่านี่ คงเป็นเพราะความเชื่อดั้งเดิมในสังคมไทยด้วยค่ะ เราเชื่อกันว่ามนุษย์มีกำเนิดมาแตกต่างกันตามบุญวาสนา เวรกรรม  ซึ่งความเชื่อลักษณะนี้ค่อนข้างจะไม่สอดคล้องกับอุดมการขั้นพื้นฐานของประชาธิปไตยที่เชื่อว่า ทุกคนมีความเท่าเทียมกันในฐานะที่เป็นมนุษย์  เมื่อเรารับแนวคิดเรื่องประชาธิปไตยมาใช้  จริงอยู่ว่าเราสามารถบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญให้ทุกคนมีสิทธิเสมอภาคกันได้  แต่เราไม่สามารถเปลี่ยนความเชื่อของคนในสังคมให้เชื่อและปฏิบัติตามที่บัญญัติไว้ได้ ทองรักเชื่อว่าการจะพัฒนาเพื่อเปลี่ยนแปลงความเชื่อแบบนี้คงต้องใช้เวลายาวนานมากอย่างที่คุณเทาชมพูบอกค่ะ  นอกจากนี้ความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทยมาเป็นเวลายาวนานก็น่าจะมีส่วนทำให้เราเป็นไปในแบบที่เป็นอยู่นี้ด้วย


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ทองรัก ที่ 17 ส.ค. 02, 15:02

อัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
มาฝากกันตามสัญญาค่ะ

พระบรมฉายาลักษณ์ในวันอภิเษกสมรส
วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ.2461 ณ พระราชวังบางปะอิน  


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ทองรัก ที่ 17 ส.ค. 02, 15:05

พระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ฯ
ทรงฉายที่สตูดิโอ เมืองบันดุง เกาะชวา (อินโดนีเซีย) พ.ศ. 2472  


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ทองรัก ที่ 17 ส.ค. 02, 15:09

ประทับสำราญพระราชอิริยาบทในสวน บริเวณวังไกลกังวล
สัตว์เลี้ยงที่ทรงโปรดน่าจะเป็นสุนัขนะคะ คุณสร้อยสน เสียดายที่รูปนี้ไม่ค่อยชัดเท่าที่ควร


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ทองรัก ที่ 17 ส.ค. 02, 15:11

ล้นเกล้า ฯ ทั้งสองพระองค์ ขณะประทับอยู่ ณ ประเทศอังกฤษ  


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ทองรัก ที่ 17 ส.ค. 02, 15:21

สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ฯ ทรงพระดำเนินตามพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวลงจากเรือ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึงกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2492

ทองรักเห็นด้วยจริง ๆ ที่คุณปู่ของคุณอาภูวงเอ่ยถึงพระองค์ท่านว่าทรงเป็นในหลวงที่อาภัพที่สุด เพราะแม้แต่พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระองค์ท่านก็ต้องจัดอย่างเรียบง่ายในต่างแดน หลายปีต่อมาจึงอัญเชิญพระบรมอัฐิกลับเมืองไทย พสกนิกรของพระองค์ท่านไม่มีแม้โอกาสได้แสดงความเคารพและถวายความจงรักภักดีเป็นครั้งสุดท้ายเหมือนที่ได้แสดงต่อพระมหากษัตริย์องค์ก่อนๆ ทั้งที่พระองค์เองทรงมีพระราชกรณียกิจและพระมหากรุณาธิคุณต่อประเทศชาติบ้านเมืองของเรามิใช่น้อย


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: หนูหมุด ที่ 20 ส.ค. 02, 00:41
 ขอนุญาตยกข้อความมาจากหนังสือเจ้าชีวิต ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ค่ะ
“ถึงแม้พระปกเกล้าฯจะดูทรงมีพระสุขภาพแข็งแรงกว่าแต่ไหนแต่ไรมา คือทรงออกกำลังกาย เล่นกอล์ฟ เทนนิสและสควอช แต่กลับรู้สึกพระองค์ว่าพระเนตรจะแลไม่เห็นอะไรเลย เพราะประชวรเป็นต้อ(Cataract) ทั้ง 2 พระเนตร พระเนตรข้างหนึ่งเป็นมากกว่า และถึงเวลาเหมาะที่จะทำการผ่าตัดได้ใน พ.ศ. 2474 ทรงตกลงจะเสด็จประพาสประเทศญี่ปุ่น แคนาดา และสหรัฐอเมริกา และเมื่อการเสด็จประพาสและการเยี่ยมเยียนจบลงแล้วก็จะทรงรับการผ่าตัด จึงนับว่าาพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่จะเสด็จไปเยี่ยมประเทศทั้ง 3 นั้นเป็นทางการ การเสด็จพระราชดำเนินเป็นไปโดยเรียบร้อย ที่อเมริกาพระเจ้าอยู่หัวทรงแย้มกล่าวกับผู้แทนหนังสือพิมพ์ออกมานิดหนึ่งว่า กำลังทรงคิดเตรียมจะพระราชทานรัฐธรรมนูญในไม่ช้า การผ่าตัดพระเนตรข้างหนึ่งก็เป็นไปอย่างเรียบร้อยได้ผลสำเร็จดี ที่คฤหาสน์ของสตรีผู้ร่ำรวยชื่อนางไวต์ลอ รีด (Mrs. Whitelaw Reid) ซึ่งได้ถวายให้ยืมเป็นที่ประทับในรัฐนิวยอร์ก”
จากคำบรรยายประกอบภาพ (ขอโทษด้วยค่ะ ไม่มีเครื่องสแกน)
“พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับการผ่าตัดพระเนตรด้านซ้ายโดยเซอร์สจ๊อต ดุ๊ก เอลเดอร์ ผู้เชี่ยวชาญจักษุแพทย์เป็นผู้ทำการถวายการผ่าตัด ณ ลอนดอนคลินิกและเนอร์ซิงโฮม นครลอนดอน เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2477”

กลับมาเข้าเรื่องแล้วค่ะ แต่ความรู้น้อย ได้แต่อ่านจากท่านเป็นส่วนมาก ขอบพระคุณค่ะ


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Le Roi du Soleil ที่ 09 ธ.ค. 05, 04:08
 คุณ WIMMA พิมพ์ไว้ในคห.ที่ ๑๔ ว่า

"...รักแรกพบระหว่างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯกับสมเด็จพระนางเจ้า รำไพพรรณีนั้น เริ่มต้นที่ วัง พญาไทนี้เอง เมื่อครั้ง ร.7 ดำรงพระอิสริยศ เป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าฯ กรมสุโทัยธรรมราชา ได้เสด็จนิวัติเมื่องไทย เมื่อปี 2457..."   และ

"...หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าพระชาธิปกศักดิเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ ได้ทรงลาผนวช ได้เข้ารับราชการในกรมทหาร ปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ตามปกติ..."

ในย่อหน้าแรกต้องไม่มีคำว่า "พระบาท" นะครับ เป็นเพียงแค่ "สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอฯ" เท่านั้น และในย่อหน้าที่ ๒ ที่ถูกคือ "กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา" ครับ

ผมไม่ได้มาจับผิดนะครับ แต่เห็นว่าควรจะแก้ไขให้ถูกต้อง เพราะไม่ใช่กรณีพิมพ์ผิดหรือพิมพ์ตกธรรมดา ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของผู้ที่ต้องการศึกษาค้นคว้าต่อไปครับ


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ธ.ค. 05, 06:12
 ขอบคุณค่ะ  ที่มาช่วยแก้ไขให้

หลงหูหลงตาดิฉันไปตั้ง ๓ ปี  


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Dominio ที่ 09 ธ.ค. 05, 19:33
 ขอดิฉันแก้ไขโพสต์ของคุณ WIMMA ในคห.ที่ ๑๔ ด้วยนิดนึงนะคะ

...ในเดือนพฤษภาคม 2484 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมี พระอาการประชวร
และในวันที่ 30 พฤษภาคม ปีนั้น สมเด็จฯได้ประทับ รถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์
ไปยังพระตำหนักเดิม คือ เวนคอร์ต เพื่อทรงเด็ดดอกไม้จากสวนมาถวายพระบรมราชสวามี
เพื่อให้บรรยากาศ ภายในห้องบรรทมดูสดชื่น
-----------

ช่วงนั้นเป็นช่วงสงคราม น้ำมันเป็นของหายาก คงไม่มีใครอุตส่าห์ลงทุนขับรถไปหลายสิบก.ม.
เพื่อเก็บดอกไม้ คุณหญิงมณี สิริวรสาร เล่าไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของท่านว่า
ช่วงสงคราม ทหารอังกฤษได้ใช้ตำหนักท่านเป็นที่ทำการ พอสงครามคลายความตึงเครียดลง
ด้วยกองทัพนาซีเริ่มส่อเค้าปราชัยในยุโรป สมเด็จฯ ทรงต้องการกลับไปตำหนักเดิมเพื่อสำรวจข้าวของ

เช้านั้น ล้นเกล้าฯ ร. 7 ทรงมีพระอาการดี รับสั่งว่าพระองค์ทรงรู้สึกสบายดี "เธอจะไปไหนก็ไปเถิด"
แล้วทรงเข้าบรรทมต่อ ประมาณ 8 โมงเช้า พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต (โอรสบุญธรรม)
เข้าไปเฝ้าพระองค์ท่านตามปกติ พระองค์บรรทมหลับ แต่พระพักตร์เขียวคล้ำ คลำองค์ดู พบว่ายังอุ่น
แต่ไม่ทรงขยับพระวรกาย

พระองค์จิรศักดิ์ฯ จึงทรงไปปลุกหม่อมมณีฯ (สถานภาพขณะนั้น) ว่าพ่อสิ้นเสียแล้ว


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Dominio ที่ 10 ธ.ค. 05, 10:38

ในช่วงหลังของพระชนม์ชีพ พระพลานามัยอ่อนแอลง แต่ก็ยังทรงพระดำเนิน
ตามป่าละเมาะ ทรงจักรยานไปตามถนนในหมู่บ้านที่ประทับเพื่อออกกำลังพระวรกาย
และสำราญพระทัยท่ามกลางธรรมชาติอย่างสงบ ปราศจากพระราชภาระทั้งปวง
เกี่ยวกับการแผ่นดิน


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Dominio ที่ 10 ธ.ค. 05, 10:49

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยศิลปวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง
ทรงฝึกดนตรีไทยกับครูดนตรี คือ หลวงไพเราะเสียงซอ (อุ่น ดูรยชีวิน) และหลวงประดิษฐ์ไพเราะ
(ศร ศิลปบรรเลง)จนสามารถทรงดนตรี เช่น ซอด้วง และซออู้ได้  พระราชอัจฉริยภาพ
ด้านดนตรียังปรากฎในบทเพลงพระราชนิพนธ์ที่มีความไพเราะเป็นอมตะมาจนถึงปัจจุบัน
สามเพลง คือ เพลงเถาราตรีประดับดาว เพลงเถาเขมรละออองค์ และเพลงสามชั้นโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง  


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Dominio ที่ 10 ธ.ค. 05, 11:30

ระลึกถึงพระองค์ท่าน เนื่องในวันรัฐธรรมนูญ

-ทรงฉายร่วมกับพระราชโอรสบุญธรรม (พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต)


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Dominio ที่ 10 ธ.ค. 05, 20:00

.


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Dominio ที่ 10 ธ.ค. 05, 20:18

ภาพประกอบกระทู้
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงฉายพร้อมพระราชโอรสทั้ง 5 พระองค์
ทูลกระหม่อมเอียดน้อย (ร. 7) ประทับยืน (หลังขวา)

ย่อภาพสุดๆ ทำให้ภาพไม่คมชัดนักค่ะ


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Dominio ที่ 10 ธ.ค. 05, 21:17

Happy time at Vane Court


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Dominio ที่ 11 ธ.ค. 05, 11:17

ในเมื่อทูกกระหม่อมเอียดน้อยทรงเป็นเจ้าฟ้าองค์เล็ก จึงไม่มีผู้ใดคิดว่าจะเสด็จขึ้นครองราชย์
ทั้งพระชนกชนนีก็คาดหมายว่า โอรสรุ่นโตคงจะเป็นผู้สืบทอดพระราชบัลลังค์

จากรูป
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ น้องชายโต
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว น้องชายเล็ก
ประทับยืน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: DrJfk ที่ 05 ก.ค. 16, 19:46
<table cellspacing="0" cellpadding="0" width="100%"><tr><td> <img src=" rtimages/RW1101x30.jpg" align="left">  ขอบคุณค่ะ  ที่มาช่วยแก้ไขให้


หลงหูหลงตาดิฉันไปตั้ง ๓ ปี  </td></tr></table>

ฮั่นแน่ อันนี้ ผมตาดีกว่า วันนี้เข้ามาอ่านกระทู้นี้ เผอิญวันก่อน เพิ่งอ่าน เรื่องสมเด็จ ว่าถ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก้อเติมพระบาท ไส้ข้างหน้า เลยคิดว่าตรงนั้น น่าจะผิด

แต่ มองข้ามจุดผิด ตรง กรมหลวงสงขลานครินทร์ สมเด็จพระราชบิดาไปเหมือนกัน อิๆ


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ก.ค. 16, 20:13
 ;D


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 25 ต.ค. 16, 20:11
คุณ Neo ถามมาว่า

"คือผมอยากจะศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของ รัชกาลที่ ๗ ควรจะหาหนังสือเล่นไหน มาเริ่มอ่านดีครับ

ควรจะเริ่มจากเล่มไหนดีครับ รบกวนอาจารย์ ช่วยแนะนำทีครับ

ปกติเข้ามาศึกษา หาความรู้ในเรือนไทยเงียบๆ น่ะครับ ขอบคุณครับ"


ส่งต่อคำถามถึงท่านอาจารย์ใหญ่และท่านอาจารย์ใหญ่กว่าช่วยกรุณาแนะนำ  ;D


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ต.ค. 16, 20:19
ดิฉันเริ่มที่เล่มข้างล่างนี้ค่ะ
คิดว่ามีขายเป็นหนังสือมือสอง  ต้องไปถามครูกู๊กเอาเองนะคะ   พิมพ์ชื่อหนังสือลงไปแล้วครูจะค้นมาให้ค่ะ


กระทู้: พระรัชทายาทผู้ปฏิเสธราชบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Neo ที่ 25 ต.ค. 16, 22:23
ดิฉันเริ่มที่เล่มข้างล่างนี้ค่ะ
คิดว่ามีขายเป็นหนังสือมือสอง  ต้องไปถามครูกู๊กเอาเองนะคะ   พิมพ์ชื่อหนังสือลงไปแล้วครูจะค้นมาให้ค่ะ

ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านด้วยนะครับ จะลองหาเล่มนี้ดูครับ