naitang
|
ความคิดเห็นที่ 780 เมื่อ 28 ส.ค. 20, 18:58
|
|
ลักษณะจำเพาะทางกายภาพและองค์ประกอบของภูมิประเทศที่กล่าวมาเหล่านั้น ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกิดมาเป็นปกติทั่วๆไปของแม่น้ำสายหนึ่งที่ไหลอยู่ในพื้นที่ราบ ยิ่งเป็นพื้นที่ราบกว้างและไกลจากปากแม่น้ำ ก็จะยิ่งมีการกระจายซ้ำซ้อนกันและทับซ้อนกัน ซึ่งทั้งหลายเหล่านั้นเกิดมาจากการกวัดแกว่างของเส้นทางน้ำ (meandering) สิ่งที่ได้ตามมาก็คือปุ๋ยและแร่ธาตุที่ถูกกระจายออกไปเป็นบริเวณกว้าง ยิ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านที่ราบนั้นๆ ก็จะยิ่งปนเปสลับซับซ้อนกันจนแยกไม่ค่อยจะออกว่าเป็นของแม่น้ำสายใด ปุ๋ยและแร่ธาตุก็จะมีความหลากหลายมากขึ้น อีกทั้งบางพื้นที่ก็อาจจะมีกระเปาะน้ำเค็มอยู่ในชั้นทรายใต้ดิน ซึ่งยังผลให้พื้นดินที่ใช้ปลูกต้นไม้นั้นมีความกร่อยอ่อนๆสำหรับพืชผักผลไม้และต้นไม้บางชนิดที่ชอบดินในลักษณะนี้ ในพื้นที่ของนครปฐมมีหลายบริเวณเลยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 781 เมื่อ 28 ส.ค. 20, 19:32
|
|
คงพอจะให้ภาพได้ว่า พืชผลชั้นดีจึงมีกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ แล้วก็ดีมากพอจนมีชื่อทางภูมิศาสตร์ผูกติดอยู่ด้วยเพื่อจำแนกคุณลักษณะบางประการ เช่น __อัมพวา, __ดำเนินสะดวก, __สามพราน, __ชัยนาท, __พิจิตร .....
พวกสัตว์น้ำก็เช่น __สุพรรณบุรี, __สิงห์บุรี, __บางบ่อ(สมุทรปราการ), __พิษณุโลก, __นครสวรรค์, __อุทัยธานี .....
คงจะนึกออกอีกเช่นกันว่าคำหน้าชื่อสถานที่เหล่านี้จะเป็นอะไรบ้าง ของเหล่านี้หลายๆอย่างมีวางขายอยู่ทั่วไป หลายอย่างหาชื้อของจริงได้เฉพาะในพื้นที่ และหลายๆอย่างอาจจะถูกหลอกได้เช่นกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 782 เมื่อ 29 ส.ค. 20, 19:59
|
|
เดินตลาดชาวบ้านในกรุงเทพฯก็มีโอกาสได้ซื้อผักสดผลไม้และของกินชื่อดังของจังหวัดต่างๆได้ และก็ยังค่อนข้างจะได้ของสดใหม่อีกด้วย ซึ่งมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ ของที่แม่ค้าที่เป็นชาวเมืองหลวงเจ้าประจำของตลาดไปหาซื้อมาจากตลาดขายส่งแล้วเอามาวางขาย และของที่แม่ค้าที่เป็นชาวถิ่น(ตจว.)เอามาวางขาย ซึ่งจะเห็นว่ามาบ้างไม่มาบ้างหรือไม่ก็มาเป็นฤดูกาล
กรณีแรก เราจะเห็นแผงขายสินค้าสินค้าพืชผักซึ่งมีอยู่หลายๆเจ้าในตลาดเดียวกัน แล้วเราก็จะเห็นผู้ซื้อแวะซื้อของเจ้านี้บ้างเจ้าโน้นบ้าง ทั้งๆที่ก็มีสินค้าชนิดเดียวกันวางขายอยู่ แน่นอนครับตัวเลือกเรื่องแรกคือราคา ต่อมาก็คือความสดใหม่ ต่อมาก็คือลักษณะทางคุณภาพ ซึ่งมีหลากหลายเรื่องมากๆ เช่น จะเน้นการใช้ส่วนใหนของพืชนั้นๆในการทำอาหารเมนูนั้นๆ (ส่วนราก ส่วนโคนต้น ส่วนใบ หรือคละกัน) หรือจะเน้นที่ขนาด หรือจะเน้นที่ความอ่อนแก่ หรือจะเน้นที่เรื่องขอลสี หรือจะเน้นที่ซื้อเก็บไว้เผื่อเหลือเผื่อขาด ฯลฯ สำหรับในกรณีที่เป็นคนชอบทำอาหารที่ค่อนข้างจะละเมียดละไมและคำนึงถึงความปลอดภัย ก็อาจจะเลือกมากขึ้นไปกว่านั้นอีก คือลงไปถึงแหล่งผลิตหรือผู้ผลิตเลยทีเดียว
กรณีที่สอง แม่ค้าชาวต่างจังหวัดเอามาวางขายเอง แผงขายของๆแม่ค้าประเภทนี้มีทั้งที่เป็นแผงใหญ่ มีของพื้นบ้านหลากหลายชนิดวางขาย และมีแบบแผงเล็กๆที่มีของอยู่อย่างเดียวหรือไม่กี่อย่างวางขาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 783 เมื่อ 30 ส.ค. 20, 19:00
|
|
กรณีที่สองนี้มีเรื่องที่น่าสนใจ ซึ่งจำแนกออกได้ะเป็น 3 รูปแบบ คือตัวผู้ขายเองมาอยู่กรุงเทพฯเพราะมาอยู่/ดูแลคู่ชีวิต ญาติและลูกๆ แล้วเอาของท้องถิ่นมาขายอาชีพเสริม อีกรูปแบบหนึ่งคือ ตั้งใจมาทำหน้าที่เป็นตัวแทนขายของพื้นบ้านที่เก็บเกี่ยวได้ของชุมชนในละแวกที่ตนอยู่ และในรูปแบบสุดท้าย เป็นลักษณะของผู้ขายชั่วคราวที่กลับไปเยี่ยมบ้าน เมื่อกลับมาก็เอาของตามฤดูกาลของบ้านตนติดตัวมาวางขายหารายได้พิเศษเพิ่มเติมเล็กๆน้อยๆ
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับของที่กลุ่มผู้ขายเหล่านี้นำมาวางขายก็คือ มันเป็นของพื้นบ้านจริงๆที่หาซื้อไม่ได้หรือหาซื้อได้ยากตามตลาดแบบชาวเมือง มันเป็นพืชผักตามธรรมชาติที่ปราศจากสารเร่งต่างๆ และที่สำคัญคือมันไม่มียาฆ่าแมลง หรือหากจะมีก็น้อยมาก ของเหล่านี้มันจะมีความสดใหม่ได้เช่นใด ไม่ยากเลย เขามีคนรวบรวมของที่ต้นทาง จัดส่งมาทางรถทัวร์บ้าง รถไฟบ้าง ส่งตอนบ่ายหรือตอนเย็น มาถึงตอนเช้าก็ไปรับของเอามาวางขายได้แล้ว ของเหล่านี้คงจะพอจัดไห้อยู่ในลักษณะของ niche market ได้ (ซึ่งต่างไปจากของในลักษณะของ mass market) จึงมิต้องผ่านกระบวนการออกไปรวบรวมซื้อจากผู้ผลิต นำไปขายในตลาดขายส่ง แล้วขนใส่รถนำมาส่งขายในตลาดขายส่งของแต่ละพื้นที่ แล้วจึงมีการกระจายไปยังตลาดต่างๆในพื้นที่เมือง
ผมมีความเห็นว่าพืชผักผลไม้ที่ต้องผ่านกระบวนการตลาดขายส่งนั้น มันอยู่ในบริบทของเรื่องทางปริมาณและคุณภาพทางกายภาพ (appearance_ใหญ่กว่า สะอาดกว่า สวยกว่า ...) มิใช่ในบริบทของ a touch of taste and flavor
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 784 เมื่อ 30 ส.ค. 20, 19:55
|
|
ผมนิยมที่จะไปเลือกซื้อหรือหยุดดูของที่วางขายในแผงของชาวบ้านดังกล่าวบน 2 พื้นฐานคือ ได้ของดีตามธรรมชาติการเติบโตของเขา ได้รสและกลิ่นที่เป็นจริงของเขา มีความปนเปื้อนของสารเคมีต่างๆน้อย และอีกพื้นฐานหนึ่งคือการช่วยกระจายรายได้ในเชิงของ wealth (แล้วค่อยขยายความในพื้นฐานความเห็นนี้) ตราบใดที่การซื้อขายมีความสมดุลย์ระหว่างราคา คุณภาพ และปริมาณ ยังพอมีความเหมาะสมอยู่
ในนัยของพื้นฐานแรก ลองเปรียบเทียบระหว่างผักที่มีใบใหญ่สวยงามไม่มีแมลงเจาะกินกับผักชนิดเดียวกันที่มีใบขนาดย่อมลงมาแล้วเห็นว่ามีจุดมีรูที่แมลงกิน ลองเปรียบเทียบระหว่างผักที่มีใบสดปิ๊งกับผักที่มีใบสยบ(เหี่ยว)ไปตามระยะเวลาที่ถูกถอนออกมาจากการปลูก ลองเปรียบเทียบระหว่างผักซื้อมาเก็บแล้วเหี่ยวแบบแห้งแต่ยังคงรูปทรงกับผักที่ค่อยๆเน่าไปจากขอบนอก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 785 เมื่อ 31 ส.ค. 20, 19:07
|
|
แต่ก่อนนั้น แกงเขียวหวานจะต้องใสใบโหระพาแล้วคนให้ทั่วก่อนปิดฝาหม้อแล้วยกลงจากเตาในทันที ปัจจุบันนี้ มีใส่บ้าง ไม่ใส่บ้าง หรือใส่แต่เพียงน้อยนิด ที่ขายกันในร้านอาหารดีๆก็เลือกที่จะใช้ใบใหญ่โรยหน้าเสมือนหนึ่งผักชี
ผมค่อนข้างจะเรื่องมากและเลือกมากในการเลือกซื้อแกงเขียวหวาน ก็มีข้อสังเกตที่ใช้ในการเลือกซื้อด้วยการดูจากการหั่นมะเขือที่ใส่ลงไป ดูว่ามีการใส่มะเขือพวงด้วยหรือไม่ ดูว่ามีการใช้ใบโหระพาหรือไม่และอย่างไร เหล่านี้ล้วนเป็นการแสดงออกของความรู้จักและความพิถีพิถันในการทำอาหารของผู้ขาย ซึ่งหมายถึงคุณภาพและความน่าจะอร่อย มะเขือควรจะใช้ลูกประมาณไข่แดงต้มสุก ผ่าสี่ แล้วด้านที่ถูกมีดผ่าจะต้องไม่มีสีดำคล้ำ ใช้มะเขือพวงขนาดลูกไม่ใหญ่ ใบโหระพาดูยังเป็นใบโหระพา ผักเหล่านี้จะสุกแต่ยังคงรูป ไม่นิ่มจนเละ
นำความมายืดยาวก็เพียงแต่จะบอกว่า จะซื้อแกงเขียวหวานที่ดูน่ากินมาจากแม่คนใดก็ได้ แล้วไปเดินตลาดชุมชน ซื้อใบโหระพาแบบชาวบ้านปลูกเอง ซึ่งจะมีใบที่หนากว่าพวกใบใหญ่ๆที่แก่ปุ๋ย เด็ดใบใส่ลงไปในแกงในระหว่างที่ทำการอุ่น เราก็จะได้แกงเขียวหวานที่มีความหอมอร่อยแตกต่างออกไปในทันใด
ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของความต่างระหว่างพืชผักที่ชาวบ้านปลูกเองกับที่ปลูกเป็นธุรกิจเชิงอุตสาหกรรม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 786 เมื่อ 31 ส.ค. 20, 19:59
|
|
ใบกะเพราก็เช่นกัน ก็มีกะเพราแบบพื้นบ้านปกติใบไม่ใหญ่กับแบบที่แก่ปุ๋ยซึ่งมีขนาดใบใหญ่ ความหอมของกะเพราพื้นบ้านจะมีมากกว่าพวกใบใหญ่ที่แก่ปุ๋ยมาก คงทราบกันอยู่แล้วว่ากะเพรามี 2 ชนิด คือ กะเพราะแดง กับ กะเพราะขาว กะเพราขาวมีวางขายอยู่ทั่วไป แต่กะเพราแดงจะหาซื้อได้ตามแผงของแม่ค้าที่ขายของแบบพื้นบ้าน
เราคุ้นเคยกับกะเพราขาวมากกว่ากะเพราแดงเพราะว่าผัดกะเพราเกือบจะทุกร้านจะใช้กะเพราะขาว กะเพราแดงจะมีกลิ่นที่ฉุนแรงมากกว่า ซึ่งก็จะมีไม่มากร้านในพื้นที่นอกเมืองของ ตจว.ที่ใช้กะเพราะแดง แต่หากเราจะทำผัดกะเพรากินเอง ก็ลองนึกถึงการใช้กะเพราทั้งสองชนิดอย่างละเท่าๆกันในการผัดนั้นๆ ใช้พริกขี้หนู และเจียวไข่ดาวแบบไข่ขาวกรอบแต่ไข่แดงยังพอไหลอยู่ เราก็จะได้ผัดกะเพราไข่ดาวที่อร่อยสุดๆไปเลย ยิ่งมีน้ำปลาที่ใส่หอมแดงและพริกขี้หนูสวนซอยละเอียด บีบมะนาวลงไปเล็กน้อย สุดยอด
หากเห็นกะเพราแดงก็น่าจะซื้อมา แล้วไปซื้อต้มยำอะไรก็ได้มาด้วย กลับมาบ้านก็เทต้มยำใส่หม้ออุ่นให้ร้อนจัด เอาพริกขี้หนูมาบุบใส่ถ้วยแกง เหยาะน้ำปลาลงไป บีบมะนาวลงไป ริดใบกะเพราแดงใส่ลงไป แล้วตักต้มยำที่อุ่นร้อนๆนั้นใส่ลงไป เท่านั้นเองก็แซบเหลือหลายเลยทีเดียว จะลองเปรียบเทียบเทียบกับการใช้กะเพราขาว ก็จะรู้สึกในความแตกต่างได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 787 เมื่อ 01 ก.ย. 20, 09:30
|
|
ไม่มีใครไม่รู้จัก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 788 เมื่อ 01 ก.ย. 20, 18:44
|
|
ภาพของอาจารย์ทำให้เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนดี ผมเคยเห็นพวกแก่ปุ๋ย(ใบใหญ่)ที่มีทั้งสองสีปะปนกันอยู่ โดยพื้นๆทั่วไปจะมีลักษณะเป็นกะเพราขาว แต่ที่บริเวณขอบใบและกิ่งก้านจะมีขนสีเรื่อๆของกะเพราแดง เคยซื้อมาทำผัดกะเพราอยู่ครั้งหนึ่ง แล้วก็ไม่ซื้ออีก และก็ไม่อยู่ในความสนใจอีกเลย ความแตกต่างที่เด่นชัดเท่าที่พอจะนึกออกก็คือ เกือบจะบอกไม่ได้เลยว่านั่นคือผัดกะเพรา
ผัดกระเพรานี้ดูเป็นของทำไม่ยาก สำหรับผม ในการผัดจะเลือกใช้พริกขี้หนูเม็ดใหญ่ที่ให้รสเผ็ด แล้วใช้พริกขี้หนูสวนเม็ดเล็กซอยใส่น้ำปลากับหอมแดงเพื่อระเบิดความหอมและความเผ็ดที่ร้อนแรงออกมา
ผัดกระเพราเกือบทั้งหมดจะใช้เนื้อหมู การใช้เนื้อไก่ดูจะไม่เข้ากันได้ดีนัก สำหรับกะเพราเนื้อวัวจะให้ดีควรจะต้องใช้เนื้อที่หั่นเป็นชิ้นๆ ซึ่งจะอร่อยกว่าแบบที่ใช้เนื้อสับ สำหรับผม หากร้านเขามีเครื่องและทำได้ ผมจะสั่งผัดกะเพราปลากะพง ของอร่อยอีกอย่างหนึ่งที่ดูง่ายๆแต่หากินไม่ค่อยจะได้ ก็มีแห่งหนึ่งที่สั่งกินได้ เป็นร้านอาหารในโรงแรมที่อยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าพญาไท
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 789 เมื่อ 01 ก.ย. 20, 19:48
|
|
ก็มีข้อสังเกตในตลาดอยู่เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับแผงขายของในตลาดของแม่ค้าชาวถิ่นที่มาจากต่างจังหวัด คือ ถิ่นที่มาของแม่ค้าเหล่านี้ก็ดูจะมีความจำกัดอยู่ในระดับหนึ่ง ในประเภทพืชผัก แมลง และของหมักดอง จะเป็นแม่ค้าจากอิสานเป็นหลัก โดยเฉพาะจากกาฬสินธุ์ จากภาคใต้เป็นพวกพืชผักของทางใต้ เช่น สะตอ ใบเหลียง ลูกเนียง ขมิ้น ไตปลาแห้ง ... ซึ่งส่วนมากจะมาจากสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช จากภาคเหนือมักจะมุ่งเน้นไปในด้านอาหารสำเร็จรูป ซึ่งส่วนมากจะมาจากพะเยา โดยเฉพาะ อ.เชียงคำ
ในอีกมุมหนึ่ง อาหารอิสานโดยทั่วไปทั้งที่ขายในตลาดและในร้านอาหาร จะจำกัดอยู่แต่เฉพาะในกลุ่มของเมนูที่เรียกว่าข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ย่าง ซึ่งมีขายทั้งในลักษณะที่เรียกว่าหน้าปั้ม รถเข็น หรือร้านอาหารอิสาน มีน้อยร้านมากที่จะขายอาหารประเภทที่อยู่ในในเมนูของสำรับใหญ่ (พวกอ่อม จี่ หลาม ต้ม ลวกจิ้ม ก้อย...)
ในอีกมุมของอาหารภาคเหนือ ก็ดูจะจำกัดเช่นกัน
(ต่อพรุ่งนี้ครับ)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Anna
|
ความคิดเห็นที่ 790 เมื่อ 02 ก.ย. 20, 11:40
|
|
ผัดกะเพราปลากะพง ของอร่อยอีกอย่างหนึ่งที่ดูง่ายๆแต่หากินไม่ค่อยจะได้
เวลาที่มีปลากะพงจะนึกออกแค่ข้าวต้มปลา นึ่งซีอิ้ว แกงส้ม เพิ่งทราบว่าปลากะพงผัดกะเพราได้อร่อย ขอบคุณนะคะที่แนะนำ มีโอกาสจะลองทำกินค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 791 เมื่อ 02 ก.ย. 20, 19:28
|
|
เลือกซื้อเนื้อปลาที่แล่แล้วของปลาตัวใหญ่ๆที่ตัดขายเป็นชิ้นๆนะครับ หากใช้ปลากะพงตัวเล็ก เนื้อของมันจะค่อนข้างยุ่ยมาก พวกนี้เป็นปลากะพงขาวเลี้ยง เหมาะที่จะเอามานึ่งซีอิ๊ว นึ่งบ้วย นึ่งมะนาว
หรือทำแปะซะที่ใส่กระเทียมดองสักลูกหนึ่งที่หั่นเป็นแว่นหนา จะเพิ่มขิงซอยก็ได้ แต่ก็ควรจะเป็นขิงอ่อน กินกับน้ำจิ้มแบบบ้านๆที่ทำแบบง่ายๆแบบรุ่นเก่า ด้วยการละลายน้ำตาลผสมกับน้ำส้มสายชู ใส่เกลือ และเจือน้ำลงไปเล็กน้อย คนให้เข้ากันดี แล้วใสถั่วลิลงบดหยาบ แต่งด้วยใบผักชีซอย ผักนึ่งที่กินร่วมด้วยนั้น จะนึ่งไปพร้อมกับปลาก็ได้ หรือจะแยกนึ่งก็ได้ ซึ่งที่ดูจะเข้ากันได้ดีก็มี กะหล่ำปลี และใบคื่นช่าย หากไปเดินตลาดแล้วนึกถึงเมนูนี้ ด้วยเหตุใดเล่าจะไม่แวะไปดูแผงผักพื้นบ้านที่ชาวบ้านเขาเอาวางขาย เพื่อซื้อพวกผักสมุนไพรเอามานึ่งกินร่วมด้วย เช่น ข่าอ่อน เชียงดา ก้านจอง(ผักพาย) สะแล ยอดเถาผักต่างๆ
หรือไม่ก็นึกถึงการแล่เอาเนื้อออกมาชุบไข่และแป้งทอด จะให้เป็นฝรั่งหน่อยก็กินกับ tartar sauce ที่ทำง่ายๆด้วยการใช้ครีมมายองเนส ใส่เกลือ ใส่พริกไทย ใส่ของดองแบบเค็มเปรี้ยว ใสต้นหอมสดซอย บีบมะนาว จะกินกับผักเป็นสลัดก็ได้หรือจะกินกับข้าวสวยก็ได้ ดัดแปลงเสียหน่อยให้เกิดความสุนทรีย์ด้วยการใช้ตะเกียบ พุ้ยข้าวในถ้วยแทนการใช้จาน สำหรับผมจะขอเพิ่มน้ำจิ้มวาซาบิในซีอิ๊วขาวและขิงดอง หรือไม่ก็เหยาะที่ชิ้นปลาด้วยซอสไก่งวง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 792 เมื่อ 02 ก.ย. 20, 20:13
|
|
ปลากะพงมีอยู่หลายเผ่าพันธุ์ แต่ที่เรารู้จักกันแพร่หลายนั้น นิยมจะแยกออกเป็นเพียงปลากะพงขาวกับปลากะพงแดง หากความจำของผมยังดีและยังมีความถูกต้องอยู่ จำได้ว่าแต่ก่อนนั้น ปลากะพงขาวมีราคาสูงมากกว่าปลากะพงแดง ในปัจจุบันนี้มีการเลี้ยงปลากะพงขาวในกระชังกันมาก และมีการเลี้ยงเพื่อการขายในพิกัดขนาดต่างๆ (เช่น ในพื้นที่ชายทะเล จ.สตูล เป็นการเลี้ยงปลาขนาดใหญ่) แต่สำหรับปลากะพงแดงนั้นมีแต่จับได้ในทะเลเปิด ซึ่งดูจะหมายความว่าปลากะพงแดงซึ่งเป็นปลาที่จับได้ในธรรมชาติก็น่าจะมีราคาสูงกว่าและมี texture ของเนื้อที่ดูจะดีมากกว่าปลาเลี้ยง
อือม์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
pratab
อสุรผัด
ตอบ: 29
|
ความคิดเห็นที่ 793 เมื่อ 03 ก.ย. 20, 12:54
|
|
ผัดกะเพราปลากะพง ของอร่อยอีกอย่างหนึ่งที่ดูง่ายๆแต่หากินไม่ค่อยจะได้
เวลาที่มีปลากะพงจะนึกออกแค่ข้าวต้มปลา นึ่งซีอิ้ว แกงส้ม เพิ่งทราบว่าปลากะพงผัดกะเพราได้อร่อย ขอบคุณนะคะที่แนะนำ มีโอกาสจะลองทำกินค่ะ ก่อนจะลองทำกิน แนะนำให้คุณ Anna ลองหาเวลาไปชิมดูก่อนที่ห้องอาหารเก่าแก่ Florida ในโรงแรมชื่อเดียวกัน อยู่ใกล้รถไฟฟ้า BTS พญาไท อร่อยมาก อาจไม่มีในเมนูแต่สั่งได้ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 794 เมื่อ 03 ก.ย. 20, 18:08
|
|
ถุกต้องครับ รายการนี้ไม่มีอยู่ในเมนูแต่สั่งได้ ลองไปชิมดูก่อนก็ดีครับ เป็นร้านเรียบง่ายๆ สะอาด และราคาไม่แพง
แต่หากจะลองทำเองเลย ก็ควรจะหั่นปลาเป็นชิ้นขนาดพอคำ เอาลงทอดในน้ำมันร้อนๆให้สุกเกรียมเล็กน้อยที่ผิว เพื่อให้เนื้อปลารัดตัว ไม่แตกยุ่ย ตักออกพักไว้ แล้วจึงเอามาผัดกะเพราตามวิธีการปกติ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|