เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์โลก => ข้อความที่เริ่มโดย: แสงดาวฝั่งทะเล ที่ 21 พ.ย. 14, 00:42



กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: แสงดาวฝั่งทะเล ที่ 21 พ.ย. 14, 00:42
รบกวนสอบถามท่านผู้รู้ว่า เหตุใดจึงไม่มีการอัญเชิญพระบรมศพพระเจ้าสีป่อและพระนางศุภยาจีกลับประเทศพม่า เพื่อถวายพระเพลิงและประกอบพระราชพิธีพระบรมศพให้ถูกต้องตามโบราณราชประเพณี ปล่อยให้พระบรมศพอยู่ในต่างบ้านต่างเมืองอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่พระองค์ก็มีพระราชประสงค์จะนิวัติพระนครตั้งแต่ยังมีพระชนม์ชีพ ขอบคุณค่ะ  ???


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 พ.ย. 14, 06:31
พระนางศุภยลัตได้รับอนุญาตให้ออกจากวังในรัตนคีรีกลับคืนสู่แรงกูนในวันที่๑๐เมษายน๑๙๑๙ แต่มิได้เป็นอิสระแท้จริง เพราะยังคงอยู่ใต้อารักขาของอังกฤษต่อไปจวบจนสิ้นพระชนม์ในปี๑๙๒๕ อย่างไรก็ดี พระนางมีโอกาสได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์ หม่อง กา เล เมื่อทรงมีพระชนมายุ๖๕พรรษาว่า

"ตอนพระเจ้าเหนือหัวสวรรคตเมื่อ๑๕ธันวาคมปี๑๙๑๖ เราไม่มีเงินพอที่จะจัดพิธีพระบรมศพถวาย ไม่มีแม้กระทั่งโอกาสจะได้ทำบุญอุทิศพระราชกุศลตามประเพณี เราตั้งพระบรมศพไว้ในห้องๆหนึ่งที่วัง จนวันที่๑๗กุมภาพันธ์ ๑๙๑๗ จึงย้ายมาบรรจุที่พระราชสุสานที่สร้างไว้ในบริเวณวังนั่นเอง จนกระทั่งเดือนมีนาคม ๑๙๑๗ พวกเจ้าหน้าที่รัฐบาลก็มาย้ายพระราชสุสานไปตั้งใหม่ในป่าแห่งหนึ่ง"

พระราชธิดาเจ้าหญิงมธุรสศุภรา (Princess Madarus Suphara - her daughter and Princess) เคยประทานประทานสัมภาษณ์นิตยสารมหาพันธุละว่า “พระราชสุสานตั้งอยู่ใจกลางป่า ไกลจากวังมาก ต้องเดินทางกันครึ่งค่อนวันจึงจะไปถึง”

พระนางศุภยาลัตทรงอ้างในระหว่างการสัมภาษณ์ครั้งนั้นว่า ทรงอยากจะย้ายพระราชสุสานกลับมาพม่า แต่รัฐบาลอังกฤษปฏิเสธเพราะเกรงว่าจะเกิดกระแสต่อต้านจากมวลชนที่เห็นว่าอังกฤษเอากษัตริย์ของพวกตนไปเป็นๆแต่คืนกลับมาให้แค่ร่างที่หาชีวิตไม่แล้ว ไม่ยอมแม้แต่จะให้นำส่วนใดส่วนหนึ่งของพระบรมศพกลับมาพม่า จึงเฝ้าระวังการเคลื่อนไหวของบรรดาพระราชวงศ์ ทั้งยังจัดยามคอยเฝ้าดูพระราชสุสานด้วย

เมื่อพระนางศุภยลัตเสด็จกลับพม่าในปี๑๙๑๙นั้น พระนางศุภยาจี พระขนิษฐาซึ่งเป็นพระมเหสีอีกองค์หนึ่งของพระเจ้าสีป่อมิได้เสด็จด้วย คงอยู่ในวังที่รัตนคีรีนั่นเองจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในสองสามปีต่อมา รัฐบาลอังกฤษได้นำพระศพไปบรรจุไว้ในพระราชสุสานเคียงข้างกัน

ทุกวันนี้พระราชสุสานที่ว่ากันว่าอยู่ใจกลางป่าในครั้งกระนั้น กลายมาเป็นป่าคอนกรีตซึ่งเป็นย่านพักอาศัยของชาวเมืองไปแล้วอย่างน่าพิศวง ขอบคุณรัฐบาลอินเดีย(จากใจชาวพม่า)ที่ได้ทำการบูรณะพระราชสุสานเมื่อปี๑๙๙๔ และเว้นที่ตรงนั้นไว้ให้โดยการสร้างกำแพงเล็กๆ ป้องกันมิให้คนเข้าไปใช้พระราชสุสานเป็นลานตากเสื้อผ้าดังเช่นที่เคย


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 พ.ย. 14, 06:47

ผู้สือข่าวหนังสือพิมพ์อิระวดี- ข้าพุทธเจ้าอยากทราบเรื่องการสวรรคตของพระเจ้าธีบอ

พระนางศุภยาลัต- ท่านสิ้นพระชนม์ตอนเที่ยงคืนวันที่15 ธันวาคม 1916 หลังจากนั้น3ปี ฉันก็เดินทางออกจากรัตนคีรีในวันที่ 10 เมษายน  1919 มาถึงพม่าวันที่18

ผู้สือข่าว- ข้าพุทธเจ้าอยากทราบเรื่องพระบรมศพของพระเจ้าธีบอ

พระนางศุภยาลัต- เมื่อพระองค์สวรรคต ฉันไม่มีเงินพอที่จะจัดพระราชพิธี ไม่มีแม้โอกาสที่จะทำบุญสวดศพตามประเพณี  ตอนแรกก็ตั้งพระบรมศพไว้ในห้องของพระตำหนัก หลังจากนั้น ในวันที่ 9 กุมภาพันธุ์ 1917 ก็อัญเชิญมาไว้ในสุสานที่สร้างไว้บนสนาม แต่พอถึงเดือนมีนาคม1919 หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องก็มาย้ายสุสานไปไว้ในป่าแห่งหนึ่ง

เจ้าหญิงศุภพญา- สุสานนี้อยู่ไกลวังมาก ใช้เวลาตั้งครึ่งวันที่จะเดินทางไปถึง สุสานสร้างขึ้นบนภูเขา อยู่ใจกลางของป่าเลย

พระนางศุภยาลัต- เมื่อฉันรู้ว่าฉันจะกลับพม่า ฉันก็คิดจะนำพระบรมศพกลับมาด้วย แต่ฉันก็ครุ่นคิดว่าประชาชนพม่าจะชื่นชอบความคิดของฉันหรือไม่ ตอนที่ฉันบอกกับเจ้าหน้าที่อังกฤษที่เกียวข้องว่าฉันจะเอาพระบรมศพกลับไปพม่าพร้อมกับฉัน เขาบอกว่าคนพม่าจะโกรธที่ส่งพระราชาของเขากลับในสภาพที่เป็นศพ เพราะตอนที่จับตัวไปยังไม่ตาย ความตายของศุภยาเล น้องสาวของฉันก็แปลก  เธอตายอย่างเฉียบพลัน หลังจากที่ปวดท้องอย่างรุนแรง เธอตายในวันที่23 มิถุนายน1912 ตอนนั้นเราก้ไม่มีโอกาสทำบุญตามธรรมเนียมพิธีศพเหมือนกัน

จาก
มาดูรูปพิธีกรรมสำเร็จโทษเจ้านายในพม่ากัน

http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/10/K8387677/K8387677.html (http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/10/K8387677/K8387677.html)

คคห.ที่ ๗๖ 

โดยแท้แล้ว อังกฤษที่ยังปกครองพม่าเป็นอาณานิคมอยู่กลัวว่าคนพม่าจะถือโอกาสก่อความวุ่นวายให้ต้องเหนื่อยอีกน่ะครับ



กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 21 พ.ย. 14, 07:28
ที่ตั้งของเมืองรัตนคีรี อยู่ในแคว้นมหาราช ทิศตะวันตกของประเทศอินเดีย


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 21 พ.ย. 14, 07:33
วังที่รัฐบาลอังกฤษจัดให้เสด็จมาประทับ ตั้งอยู่บนยอดเขา ใกล้ปากแม่น้ำ Kajari มองเห็นทิวทัศน์ท้องทะเลได้สวยงาม


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 21 พ.ย. 14, 07:36
วังของพระเจ้าธีป่อ ที่รัตนคีรี และหลุมพระศพก็ตั้งอยู่ไม่ไกลจากวังนี้เท่าไรนัก


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 21 พ.ย. 14, 07:39
มุมมองจากวังไปสู่ทะเลอาระเบียน


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 พ.ย. 14, 08:15
รูปข้างบนของคุณหนุ่มน่าจะเป็นมุมมองจากจุดชมวิว Thiba point  พระตำหนักของพระเจ้าสีป่ออยู่ไปอีกไกลเชียว  ;D


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 พ.ย. 14, 08:30
คราที่ ประธานาธิบดีเต็งเส่งเยือนอินเดียเมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๕ (http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9550000155418&Html=1&CommentReferID=22485671&CommentReferNo=4&)  มีเพียงการมอบเงินและของขวัญแก่เชื้อพระวงศ์พระเจ้าสีป่อในอินเดีย

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=2700.0;attach=38082;image)

และเชิญเชื้อพระวงศ์กลับประเทศพม่า ไม่มีการพูดถึงการอัญเชิญพระบรมศพพระเจ้าสีป่อและพระนางศุภยาจีกลับประเทศพม่า  เหตุผลหนึ่งน่าจะเป็นเพราะปัจจุบันพม่าอยู่ในการปกครองระบบใหม่ จึงไม่อยากเชิดชูระบบเก่าให้มากเกินไป  ;D


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 พ.ย. 14, 08:47
การพบกันระหว่างพระเจ้าสีป่อและประธานาธิบดีเต็งเส่ง ที่พระตำหนักรัตนคีรี  ;D


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 พ.ย. 14, 09:41
อังกฤษในสมัยนั้นถ้าตัดสินตามมาตรฐานศีลธรรมสมัยนี้นับว่าโหดร้ายมาก เนรเทศกษัตริย์จากบ้านเมืองหนึ่งไปสวรรคตที่อีกบ้านเมืองหนึ่ง นอกจากพระเจ้าสีป่อซึ่งถูกอังกฤษเนรเทศไปสวรรคตที่รัตนคีรี ประเทศอินเดียแล้ว จักรพรรดิบาฮาดูร์ชาห์ที่ ๒ (http://en.wikipedia.org/wiki/Bahadur_Shah_II) จักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์โมกุลก็ถูกอังกฤษเนรเทศมาสวรรคตที่ย่างกุ้ง ประเทศพม่านี้เหมือนกัน ปัจจุบันพระบรมศพก็ยังอยู่ที่ย่างกุ้งนี่เอง

พระราชสุสาน "Dargah of Bahadur Shah Zafar" ที่ฝังพระบรมศพจักรพรรดิบาฮาดูร์ ชาห์ที่ ๒ ที่ย่างกุ้ง


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 พ.ย. 14, 09:43
“โลงพระศพ” ๓ องค์เรียงลำดับจากซ้ายไปขวาคือ จักรพรรดิบาฮาดูร์ ชาห์ที่ ๒ (ที่มีมงกุฎครอบไว้) พระนางซีนาทมาฮาล พระอัครมเหสี และเจ้าหญิงเรานัคซามานี เบกุม พระราชนัดดา

ภาพและข้อมูลโดย คุณออกญาศรีราชเดโชชัยแห่งพันทิป  (http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2008/11/K7199874/K7199874.html)   :(



กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 21 พ.ย. 14, 10:17
ภาพหลุมพระศพ


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 21 พ.ย. 14, 10:18
ให้คุณเพ็ญฯ ช่วยแกะตัวอักษรที่เลือนลาง


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 พ.ย. 14, 10:37
IN THIS TOMB
ON THE  19TH MARCH 1919
WERE DEPOSITED THE MORTAL REMAINS OF THEBAW
THE LAST KING OF UPPER BERMA
WHO WAS DEPOSED ON THE 1ST DECEMBER 1985
AND WAS REMOVED TO RATNAGIRI WHERE HE DIED ON THE 15TH DECEMBER 1916
AT THE AGE OF 58
ALSO THE REMAINS OF TEIK SU PAYA DALE *
THEBAWS MINOR QUEEN
WHO DIED AT RATNAGIRI ON THE 25TH JUNE 1912 AGED 50

* TEIK SU PAYA DALE  แกะอักษรตามที่เขียนเอาไว้ แต่ที่ถูกต้องน่าจะเป็น TEIK SUPAYAGALE


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 พ.ย. 14, 11:41
ระหว่างเยือนอินเดียเพื่อ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประธานาธิบดีเต็งเส่งได้ไปเคารพพระบรมศพของพระเจ้าสีป่อที่พระราชสุสาน เมื่องรัตนคีรี รัฐมหาราษฎร์ ด้วย  ;D


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 พ.ย. 14, 12:02
โปรดสังเกตว่าคุณเต็งเส่งยืนเคารพพระบรมศพด้านที่มีจารึกเป็นภาษาอังกฤษ ทั้ง ๆ ที่อีกด้านหนึ่งในรูปของคุณหนุ่มมีจารึกภาษาพม่า  ;D


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 21 พ.ย. 14, 13:29
โปรดสังเกตว่าคุณเต็งเส่งยืนเคารพพระบรมศพด้านที่มีจารึกเป็นภาษาอังกฤษ ทั้ง ๆ ที่อีกด้านหนึ่งในรูปของคุณหนุ่มมีจารึกภาษาพม่า  ;D

คงต้องดูจุดยืนและการทำความเคารพว่า จุดนั้นเป็นภาษาอะไร


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 พ.ย. 14, 13:45
จุดที่คุณเต็งเส่งยืนทำความเคารพ เป็นภาษาอังกฤษแน่นอน  ผนังสุสานทาสีใหม่เอี่ยมเชียว ;D


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: แสงดาวฝั่งทะเล ที่ 21 พ.ย. 14, 14:43
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาตอบและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นค่ะ เห็นด้วยกับอาจารย์เพ็ญชมพูนะคะ ตอนนี้พม่าเป็นสังคมนิยมแล้ว คงไม่อยากให้ประชาชนหวนไปคิดถึงระบบกษัตริย์อีก แต่ในแง่ศักดิ์ศรีของชาติ การปล่อยให้อดีตกษัตริย์ของตัวเองไปนอนอยู่ต่างบ้านต่างเมืองแบบนั้น โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่าไม่เหมาะสมเลย เพราะไม่ว่าคนพม่าจะคิดอย่างไรกับท่าน แต่ท่านก็เป็นกษัตริย์เป็นเจ้าเป็นนาย เคยเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ รวมถึงอินเดียด้วยประเทศก็ออกจะใหญ่โต ทำไมไม่อัญเชิญกษัตริย์ของตัวเองกลับบ้านกลับเมือง เพราะดิฉันไม่เชื่อว่ากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ท่านจะไม่เคยทำคุณงามความดีให้แก่ประเทศชาติเลย ทีเพชรนิลจินดาเห็นทวงกันข้ามประเทศให้วุ่นวาย แต่นี้เป็นคนนะแล้วไม่ใช่คนธรรมดาด้วย ทำไมจึงเห็นวัตถุมีคุณค่ามากกว่าคน มากกว่าประวัติศาสตร์ของตนเอง  ท่าจะให้ดีอังกฤษนั่นแหล่ะควรจะเป็นเจ้าภาพในการอัญเชิญพระบรมศพของทั้งสองพระองค์กลับบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 14 มี.ค. 17, 12:55
วันนี้ของเชื้อพระวงศ์ "คองบอง" ทายาทกษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่า

เป็นเวลานานกว่าหนึ่งศตวรรษแล้วที่พระเจ้าธีบอ กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์คองบองและของพม่า ถูกเจ้าอาณานิคมชาวอังกฤษเนรเทศให้ไปประทับยังเมืองรัตนคีรีในอินเดียเป็นเวลานานถึง ๓๑ ปี จนเสด็จสวรรคตลงในต่างแดน

นับแต่นั้นมา เรื่องราวของกษัตริย์ผู้อาภัพและเชื้อพระวงศ์ผู้เป็นทายาท ก็ถูกลบเลือนไปจากตำราประวัติศาสตร์และจากความทรงจำของชาวเมียนมายุคปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ในโอกาสที่ครบรอบ ๑๐๐ ปี การสวรรคตของพระเจ้าธีบอใน พ.ศ. ๒๕๕๙ สถานการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนไปในเมียนมาหลังรัฐบาลพลเรือนซึ่งนำโดยนางออง ซาน ซูจี เข้ารับตำแหน่ง ทำให้ประวัติศาสตร์ที่เคยถูกลืมเลือนกลับมาสู่ความสนใจของผู้คนอีกครั้ง โดยรัฐบาลได้สนับสนุนการจัดพิธีรำลึกถึงกษัตริย์องค์สุดท้ายที่สุสานของพระองค์ในอินเดีย และได้อนุญาตให้บรรดาเชื้อพระวงศ์ผู้เป็นทายาทที่อาศัยอยู่ในเมียนมา สามารถเดินทางไปร่วมงานรำลึกได้เป็นปีแรกอีกด้วย โดยมีผู้บัญชาการทหารระดับสูงและพระสงฆ์ที่ทรงสมณศักดิ์สำคัญของประเทศเข้าร่วมงานเช่นกัน


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 14 มี.ค. 17, 13:01
อเล็กซ์ เบสโคบี ผู้ถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Burma's Lost Royals (เชื้อพระวงศ์พม่าที่ถูกลืม) ซึ่งจะออกฉายในกลางปีนี้ (พ.ศ. ๒๕๖๐) รายงานถึงบรรยากาศของพิธีรำลึกครบรอบ ๑๐๐ ปีการสวรรคตของพระเจ้าธีบอว่า เต็มไปด้วยตำรวจนอกเครื่องแบบและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการลับที่เฝ้ารักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา เนื่องจากมีบุคคลสำคัญของเมียนมาเดินทางมาร่วมงานหลายคน เช่นนายมินต์ ส่วย รองประธานาธิบดีเมียนมา และพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพ

เชื้อพระวงศ์ผู้เป็นทายาทของพระเจ้าธีบอต่างมาร่วมงานในชุดประจำชาติสีขาว ซึ่งเป็นสีไว้ทุกข์ตามธรรมเนียมดั้งเดิม นำโดยนายอู ซอ วิน พระปนัดดา (เหลน) ของกษัตริย์พม่าองค์สุดท้าย ซึ่งทุกวันนี้เขาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศเมียนมา และมีฐานะเป็นหัวหน้าของบรรดาเชื้อพระวงศ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่งส่วนใหญ่ได้กลับไปยังเมียนมาหลังพระเจ้าธีบอสวรรคต และต่างใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชนอยู่อย่างเงียบ ๆ มาโดยตลอด บ้างก็มีอาชีพเป็นเจ้าของโรงพิมพ์ ทำไร่ชา หรือขายไอศรีม

มีชาวเมียนมาน้อยคนในปัจจุบันที่จะรู้ถึงเรื่องราวของเชื้อพระวงศ์ที่ถูกลืมเหล่านี้ โดยนับแต่พระเจ้าธีบอถูกเนรเทศไปยังดินแดนที่ห่างไกล สถาบันกษัตริย์เริ่มถูกลืมเลือน จนในปัจจุบันตำราเรียนประวัติศาสตร์ของรัฐบาลได้กล่าวถึงเรื่องราวของพระเจ้าธีบอไว้เพียงหนึ่งบรรทัดเท่านั้น บรรดาเชื้อพระวงศ์เองแม้จะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายดูกลมกลืนไปกับหมู่คนทั่วไป แต่ก็ถูกจับตาดูอย่างใกล้ชิดจากรัฐบาลทุกยุคสมัย เนื่องจากความหวาดระแวงว่าสถาบันกษัตริย์อาจกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง เชื้อพระวงศ์บางรายถูกจับกุมคุมขังในยุคหลังได้รับเอกราชและยุคเผด็จการทหาร บ้างก็ถูกลอบสังหารเช่นบิดาของอู ซอ วิน ซึ่งเสียชีวิตเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๑ หลังพยายามฟื้นฟูสถาบันกษัตริย์ให้กลับมาอีกครั้ง


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 14 มี.ค. 17, 13:03
ในปีที่แล้ว (พ.ศ. ๒๕๕๙) เชื้อพระวงศ์ที่กลับไปอยู่อาศัยในเมียนมา ได้มีโอกาสพบกับญาติฝ่ายทางอินเดียเป็นครั้งแรก ซึ่งฝ่ายตระกูลนี้สืบเชื้อสายจาก "ตูตู" บุตรสาวของพระธิดาพระองค์ใหญ่ในพระเจ้าธีบอซึ่งเกิดกับยามเฝ้าประตูวังและคนขับรถชาวอินเดีย ทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากเชื้อพระวงศ์คนอื่น ๆ มานาน แต่ในครั้งนี้ต่างเข้าทักทายกันด้วยความยินดี และเชื้อพระวงศ์ฝ่ายเมียนมาบางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เมื่อได้ทราบว่าอีกฝ่ายมีความเป็นอยู่ที่ลำบากยากจนมานาน

พิธีรำลึก ๑๐๐ ปีการสวรรคตของพระเจ้าธีบอในครั้งนี้ ยังทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า ถึงเวลาอัญเชิญพระบรมศพกลับสู่แผ่นดินเกิดได้แล้วหรือยัง เนื่องจากที่ผ่านมามีข้อขัดข้องทางการเมืองที่ห้ามไม่ให้นำพระบรมศพกลับสู่เมียนมาหลายครั้ง เนื่องจากรัฐบาลเกรงว่าจะมีผู้ฉวยโอกาสปลุกปั่นสร้างความไม่สงบขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม อู ซอ วิน บอกว่า การนำพระบรมศพกลับสู่เมียนมานั้นเป็นสิ่งที่เขาต้องพยายามทำให้เกิดขึ้นให้จงได้ ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใด เพราะการคืนสู่บ้านเกิดเป็นพระราชประสงค์ที่แรงกล้าของพระเจ้าธีบอเมื่อยังทรงพระชนมชีพอยู่ ส่วนเชื้อพระวงศ์สายทางอินเดียนั้นคัดค้านการนำพระบรมศพกลับเพราะจะไม่เหลือสิ่งใดเป็นอนุสรณ์ไว้ที่รัตนคีรีเลย

ด้านเชื้อพระวงศ์ทางเมียนมาบางรายเห็นว่า ขณะนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะนำพระบรมศพกลับ เนื่องจากเมียนมายังมีปัญหาต่าง ๆ ที่ต้องแก้ไขอีกมากมาย รวมทั้งปัญหาความขัดแย้งทางเชื้อชาติศาสนา ซึ่งการเชิญพระบรมศพกลับอาจยิ่งเพิ่มความยุ่งยากซับซ้อนให้กับปัญหาเหล่านี้ได้

ข่าวจาก บีบีซี (http://www.bbc.com/thai/features-38435295)


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: ราชปักษา ที่ 19 พ.ค. 18, 15:56
ไหนๆ เข้ามากระทู้เกี่ยวกับพระเจ้าสีป่อ ก็อยากทราบว่า ครั้งยังมีพระชนม์ชีพ พระเจ้าสีป่อตรัสอย่างใน ข้อความนี้จริงปล่าวครับ

พระเจ้าธีบ่อเคยตรัสกับพระราชธิดา มีในจดหมายเหตุในพม่า เกี่ยวกับการเสด็จเยือนยุโรป ของล้นเกล้ารัชกาลที่๕ เพียงมินานมานี้ที่ พระเจ้าอลองพญา ผู้ทรงเป็นสมเด็จทวดของพระเจ้าสีป่อ และพระเจ้าพะคยีดอ ผู้ทรงเป็นสมเด็จปู่ กรีธาทัพรุกรานสยาม บดขยี้กองทัพอยุธยา ปลดกษัตริย์ผู้ครองบัลลังก์ และปล้นสะดมกรุงศรีอยุธยา เมืองหลวงเก่าของสยาม ผลภายหลังคือ ผู้มีบรรดาศักดิ์ซึ่งถูกปราบพ่ายแพ้เลือกพระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่ บางกอกกลายเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ต่อมา มันเป็นเพราะพระเจ้าแผ่นดินพม่า เพราะบรรพกษัตริย์ของพระเจ้าสีป่อ เพราะพระราชวงศ์คองบอง สยามจึงได้มีพระราชวงศ์ปัจจุบันและกษัตริย์ผู้ครองแผ่นดิน

 วันหนึ่งพระเจ้าสีป่อรับสั่งกับเหล่าพระราชธิดาว่า

"เมื่อครั้งที่บรรพกษัตริย์ของเรา พระเจ้าอลองพญาผู้เกรียงไกร ทรงยกทัพรุกสยาม พระองค์มีพระราชสาสน์ถึงพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา"

พระราชสาสน์ฉบับคัดลอกเก็บอยู่ที่หอจดหมายเหตุในพระราชวัง กล่าวใจความว่า

"หาได้มีความเป็นคู่ขันแข่งในพระเกียรติยศและบุญญาธิการระหว่างเราทั้งสองไม่ การวางพระองค์เทียบข้างพวกหม่อมฉัน เป็นการเปรียบพญาครุฑของพระวิษณุกับนกนางแอ่นพระอาทิตย์เปรียบกับหิ่งห้อย พฤกษเทวดาแห่งสรวงสวรรค์เปรียบกับไส้เดือนดิน พญายูงทอง ธตรัฏฐะ เปรียบกับแมลงเสพคูถ"

นั่นเป็นวาจาที่บรรพกษัตริย์ของเราตรัสกับพระเจ้ากรุงสยาม ทว่าบัดนี้ พวกเขากลับได้นอนพำนักในพระราชวังบัคกิงแฮม ขณะที่พวกเราถูกฝังจมราบอยู่ในกองมูลสัตว์เยี่ยงนี้.......


https://www.youtube.com/watch?v=1E6p4g9Gos4 (https://www.youtube.com/watch?v=1E6p4g9Gos4)







กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 19 พ.ค. 18, 16:58
ผมเคยอ่านที่ใครต่อใครลอกกันมาลงในอินเทอเน็ต แบบไม่ทราบว่าใครเป็นคนแรกที่นำต้นเรื่องจากนาย อมิตาภ โฆษ นักเขียนอังกฤษเชื้อชาติอินเดียมาแปล สำนวนที่ดีที่สุดเป็นดังนี้ครับ

Amitav Ghosh เขียนเกี่ยวพันถึงการเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 1 ของ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" ผ่านการ "คิดสะท้อน" ของพระเจ้าสีป่อ โดยยกชะตาชีวิต-ชะตาชาติตัวเองเปรียบเทียบ ดังนี้

มีการตัดสินอนุญาตให้ส่งหนังสือพิมพ์จากบอมเบย์ไปยังเคหาสน์เอาท์แรม พร้อมกับเที่ยวเรือขนส่งเนื้อหมูของพระเจ้าสีป่อ หนังสือพิมพ์ปึกแรกอ่านพบรายงานข่าวที่ทำให้จิตใจจดจ่อหมกมุ่น มันคือข่าวบรรยายการเสด็จประพาสยุโรปของ "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจุฬาลงกรณ์แห่งกรุงสยาม" นับเป็นครั้งแรกที่พระราชวงศ์เอเชียเสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรปอย่างเป็นทางการ การเสด็จประพาสกินเวลานานหลายสัปดาห์ และตลอดช่วงเวลานั้น ไม่มีสิ่งอื่นใดครอบงำความสนพระทัยของพระเจ้าสีป่อได้อีกเลย

ที่กรุงลอนดอน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจุฬาลงกรณ์ประทับ ณ พระราชวังบัคกิงแฮม พระองค์ทรงรับการถวายการต้อนรับสู่ออสเตรียโดยสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ ทรงรับการถวายพระราชไมตรีโดยกษัตริย์แห่งเดนมาร์ก ณ กรุงโคเปนเฮเกน และประธานาธิบดีฝรั่งเศสถวายพระราชทานเลี้ยง ณ กรุงปารีส ที่ประเทศเยอรมนี พระเจ้าไกเซอร์ วิลเฮล์ม ทรงยืนคอยรับเสด็จที่สถานีรถไฟ จนกระทั่งขบวนรถไฟพระที่นั่งของ "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจุฬาลงกรณ์" แล่นเข้าเทียบ พระเจ้าสีป่อทรงอ่านรายงานข่าวครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งทรงจดจำขึ้นพระทัย

เพียงมินานมานี้ที่ พระเจ้าอลองพญา ผู้ทรงเป็นสมเด็จทวดของพระเจ้าสีป่อ และพระเจ้าพะคยีดอ ผู้ทรงเป็นสมเด็จปู่ กรีธาทัพรุกรานสยาม บดขยี้กองทัพอยุธยา ปลดกษัตริย์ผู้ครองบัลลังก์ และปล้นสะดมกรุงศรีอยุธยา เมืองหลวงเก่าของสยาม ผลภายหลังคือ ผู้มีบรรดาศักดิ์ซึ่งถูกปราบพ่ายแพ้เลือกพระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่ บางกอกกลายเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ต่อมา มันเป็นเพราะพระเจ้าแผ่นดินพม่า เพราะบรรพกษัตริย์ของพระเจ้าสีป่อ เพราะพระราชวงศ์คองบอง สยามจึงได้มีพระราชวงศ์ปัจจุบันและกษัตริย์ผู้ครองแผ่นดิน


ส่วนสำนวนข้างล่างที่คุณลอกมา ผมก็เคยอ่าน แต่หาที่มาที่ไปไม่ได้

"หาได้มีความเป็นคู่ขันแข่งในพระเกียรติยศและบุญญาธิการระหว่างเราทั้งสองไม่ การวางพระองค์เทียบข้างพวกหม่อมฉัน เป็นการเปรียบพญาครุฑของพระวิษณุกับนกนางแอ่นพระอาทิตย์เปรียบกับหิ่งห้อย พฤกษเทวดาแห่งสรวงสวรรค์เปรียบกับไส้เดือนดิน พญายูงทอง ธตรัฏฐะ เปรียบกับแมลงเสพคูถ"


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 19 พ.ค. 18, 17:02
ที่คุณอยากทราบว่า ครั้งยังมีพระชนม์ชีพ พระเจ้าสีป่อตรัสอย่างใน ข้อความนั้นจริงปล่าว คงไม่มีใครยืนยันได้ นอกจากคนที่ได้ยินกับหู แต่ก็คงพร่ำรำพันบ่อยครั้ง ประมาณนั้นนั่นแหละ นายอมิตาภก็คงได้ยินมาอีกทีหนึ่ง แล้วเขาก็คงเขียนตามที่เขาอยากเขียน

ผมหามาได้เป็นข้อความที่คนอื่นเขียนถึงเนื้อความของเขาอีกที


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 19 พ.ค. 18, 17:10
ส่วนเนื้อข่าวในหนังสือพิมพ์ก็ประหลาดไปอีกแบบ เป็นว่าพระเจ้าสีป่อถึงกับประท้วงเจ้าหน้าที่ชาวอังกฤษเลยทีเดียว ที่ไปรับรองกษัตริย์ประเทศเล็กๆเสียอย่างดี แต่กับพระองค์ เอามาขังไว้ในกระท่อมที่ประดุจคอกวัว ฯลฯ


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: แสงดาวฝั่งทะเล ที่ 23 พ.ค. 18, 16:07
ขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาตอบกระทู้นี้ แม้เวลาล่วงเลยถึง 4 ปีแล้ว
ทำให้ได้รับความรู้ที่น่าสนใจและไม่เคยทราบมาก่อนค่ะ :)


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 พ.ค. 18, 16:48
ถ้าหนังสือพิมพ์ฮินดูสถานไทมส์ ไม่ได้ใส่สีใส่ไข่     ลงตามจริง ก็นับว่าพระเจ้าสีป่อทรงดูถูกไทยมาก   ราชวงศ์จักรีและอาณาจักรรัตนโกสินทร์ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นพม่า  อย่างที่ทรงตีขลุมอ้างดื้อๆแบบนี้
เลยเลิกสงสารค่ะ   โดนยังงั้นน่ะดีแล้ว


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: ราชปักษา ที่ 23 พ.ค. 18, 22:40
ไม่น่าต่อประเด็นเล้ย อาจารย์หญิงเลยของขึ้น

ส่วนตัว คิดว่าจะจะเสี้ยมนะขอรับ เพราะ จากราชประวัติพระเจ้าสีป่อนั้น ได้รับการศึกษาเรื่องการต่างประเทศและโลกภายนอกน้อย ขนาดบริติชราชใหญ่คับโลกสมัย ศัตรูของบ้านของเมืองอันดับหนึ่ง พระองค์ยังไม่ใคร่จะรู้จักตื้นลึกหนาบาง  แล้วจะทรงรู้จัก"โยเดีย" หรือ สยาม หรือเปล่ายังไม่รู้เลย แล้วรัชสมัยพระองค์ เราก็ไม่ได้รบกับเขาแล้ว ชายแดนไม่ติดกัน แถมเจอภัยฝรั่งทั้งคู่


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: Naris ที่ 24 พ.ค. 18, 09:46
ท่านกำลังน้อยอกน้อยใจอยู่กระมังครับ
(ถ้าเป็นข้อสอบสมัยนี้ อาจจะถามว่า ข้อความนี้ผู้พูดรู้สึกอย่างไร? ก) เสียใจ ข) คับข้องใจ ค) น้อยเนื้อต่ำใจ ง) ถูกทุกข้อ อะไรประมาณนั้น) 


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: ราชปักษา ที่ 25 พ.ค. 18, 22:06
ถ้านี่เป็นข้อสอบ ผมกา ข.


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: ราชปักษา ที่ 17 ต.ค. 18, 22:26
แต่ผมยังติดใจ ข้อเท็จจริง ที่บอว่า พระเจ้าสีป่อทรงอ่านหนังสือพิมพ์ข่าวสาร ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประพาสยุโรป  

แต่ตามพระราชประวัติ พระองค์ไม่ใช่ว่า ไม่ได้ทรงชำนาญภาษาอังกฤษรึครับ ถึงเคยเรียนกับมิชชันนารีฝรั่ง แต่เพียงก็ช่วงสั้นๆ เช่นนี้ พระองค์ทรงอ่านหนังสือพิมพ์ที่น่าจะเป็นภาษาอังกฤษได้เลยรึครับ?  หนังสือ the exile king ก็ยังบอกว่า พระองค์แม้ประทับที่รัตนคีรี ก็ไม่มีโอกาสได้ศึกษษภาษาอังกฤษอีก (เอาจริง หนังสือเล่มนี้ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องพระองค์ ติดตามข่าวประพาสยุโรปของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย)


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ต.ค. 18, 06:23
เรื่องราวบางเรื่องนั้น บางที แค่ดูภาพ อ่านคำบรรยายไม่ออกก็เข้าใจได้ครับ


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 ก.พ. 19, 12:46
อังกฤษในสมัยนั้นถ้าตัดสินตามมาตรฐานศีลธรรมสมัยนี้นับว่าโหดร้ายมาก เนรเทศกษัตริย์จากบ้านเมืองหนึ่งไปสวรรคตที่อีกบ้านเมืองหนึ่ง นอกจากพระเจ้าสีป่อซึ่งถูกอังกฤษเนรเทศไปสวรรคตที่รัตนคีรี ประเทศอินเดียแล้ว จักรพรรดิบาฮาดูร์ชาห์ที่ ๒ (http://en.wikipedia.org/wiki/Bahadur_Shah_II) จักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์โมกุลก็ถูกอังกฤษเนรเทศมาสวรรคตที่ย่างกุ้ง ประเทศพม่านี้เหมือนกัน ปัจจุบันพระบรมศพก็ยังอยู่ที่ย่างกุ้งนี่เอง

คุณกรกิจ ดิษฐานได้เขียนขยายความเรื่องนี้ไว้ในบทความ

เยี่ยมสุสานจักรพรรดิองค์สุดท้าย: จากเวียงวังแห่งเดลีสู่ซอกหลืบในย่างกุ้ง

น้อยคนที่จะทราบว่าอังกฤษเนรเทศกษัตริย์พม่าไปตายที่อินเดีย เนรเทศจักรพรรดิอินเดียมาตายที่พม่า ทุกวันนี้พระศพของทั้งสองก็ยังไม่มีโอกาสกลับบ้านเกิดเมืองนอน

พระเจ้าสีป่อ (ธีบอ) กษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่า ถูกเนรเทศไปอยู่เมืองไกลปืนเที่ยงที่อินเดีย ริมทะเลอาหรับ ส่วนบาฮาดูร์ ชาห์ที่ ๒ จักรพรรดิองค์สุดท้ายของจักรวรรดิโมกุลถูกเนรเทศจากอินเดีย ไปอยู่เมืองย่างกุ้ง ใกล้กับอ่าวเบงกอล

ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ผู้เขียนเดินเตร่ไปตามท้องถนนของย่างกุ้ง ท่ามกลางอาคารยุคอาณานิคมที่เก่าคร่ำคร่า คือสุสานของบาฮาดูร์ ชาห์ จักรพรรดิโมกุลองค์สุดท้ายของจักรวรรดิโมกุล ที่ระหว่างถนนชเวดากองกับถนนอูวิสาระ พระองค์เป็นทั้งจักรพรรดิ นักบุญของชาวศูฟีย์และสัญลักษณ์ชาตินิยมต้านอังกฤษที่ผู้นำอินเดียและปากีสถานต่างพร้อมใจกันมาคำนับ   

ตอนที่ผู้เขียนเดินทางไปถึง ชาวศูฟีย์กำลังประกอบพิธีสวดเหนือหลุมพระศพด้วยท่วงทำนองที่สะกดความรู้สึก จะโหยหวยครวญคร่ำก็ไม่ใช่ จะสรรเสริญเยินยอก็มีบางจังหวะ เป็นพิธีที่ Solemn คือสุขุมลุ่มลึกและเต็มไปด้วยอารมณ์ในเวลาเดียวกัน

แม้จะคุยกันคนละภาษา ผู้ดูแลที่เป็นเอเชียใต้ในพม่าให้การต้อนรับอย่างดี เขาคงจะดีใจที่มีคนแปลกหน้ามาเยือนนอกจากศาสนิกชาวอินเดีย-ปากีสถาน หรือฝรั่งบางคน

สำหรับคนที่ชอบประวัติศาสตร์อันน่าสลดใจของการสิ้นแผ่นดิน สิ้นราชวงศ์ สุสานสุสานของบาฮาดูร์ ชาห์เป็นอีกที่ที่ควรแวะเวียนไปชมท่ามกลางของที่น่าชมอีกมากในย่างกุ้ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือสุสานของพระนางศุภยาลัต ซึ่งตั้งอยู่อีกซีกถนนหนึ่งไม่ไกลจากกัน คือถนนมุ่งไปยังประตูด้านทิศใต้ของพระเจดีย์ชเวดากอง คือที่ Kandawmin Garden Mausolea

ความรู้สึกในใจของผู้เขียนต่อบาฮาดูร์ ชาห์ เกิดขึ้นอย่างแรงกล้าหลังอ่านบทความเรื่องชะตากรรมของเชื้อพระวงศ์โมกุลหลังตกเป็นเมืองขึ้นอังกฤษเมื่อ ๒-๓ ปีก่อน แล้วนึกถึงภาพของบาฮาดูร์ ชาห์ที่ ๒ จักรพรรดิองค์สุดท้ายของจักรวรรดิโมกุล เป็นภาพที่ถ่ายไว้ก่อนที่พระองค์จะถูกอังกฤษจับขึ้นศาลฐานอยู่เบื้องหลังการลุกฮือต้านอังกฤษ หลังขึ้นศาลถูกส่งตัวไปคุมไว้ที่เมืองพม่าย่างกุ้ง ต้องอยู่อย่างคนอนาถากระทั่งสวรรคตแล้ว อังกฤษก็ยังปิดบังหลุมพระศพ เพราะกลัวคนอินเดียจะใช้เป็นหลักยึดเหนี่ยวเรียกร้องเอกราช


ภาพของบาฮาดูร์ ชาห์ ถ่ายที่พม่ากับ “มอระกู่” หรือกล้องยาสูบ ภาพของ British Library


กระทู้: พระบรมศพพระเจ้าสีป่อ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 ก.พ. 19, 12:48
ภาพของจักรพรรดิองค์สุดท้ายกับพระเนตรที่ห่อเหี่ยวไร้ความหวัง เป็นภาพที่ดีที่สุดภาพหนึ่งในความคิดผม ... อังกฤษนี่ร้ายนัก พอตีพม่าได้ก็จับกษัตริย์มาคุมไว้ที่อินเดีย แล้วจับจักรพรรดิอินเดียมาคุมตัวไว้ที่พม่า พระบรมวงศ์บางส่วนของทั้ง ๒ ฝ่ายมีชีวิตที่น่าอเนจอนาถพอ ๆ กัน สายตรงของพระเจ้าสีป่อที่กลายเป็นยาจกก็มี ส่วนสายของบาฮาดูร์ ชาห์ต้องขอทานเขากินเช่นกัน

เช่น เจ้าชายมีรซา นาซีร์ อุลมุลก์ รอดจากอังกฤษมาได้ แต่สุดท้ายไม่มีจะกินต้องมาเร่ร่อนขอทาน ขาข้างหนึ่งยังเป็นอัมพาต ต้องใช้ถุงห้อยที่คอ แล้วลากสังขารไปตามท้องถนนของเดลี เจอใครก็ได้แต่มองหน้าขอความเห็นใจ หากคนผู้นั้นทราบว่าพระองค์เป็นเจ้าชายมาก่อนก็จะโยนเศษเหรียญลงในถุงที่ห้อยคอด้วยความเวทนา มีคนถามว่าท่านคือใคร เจ้าชายจะตอบว่า นามของเราคือมีรซา นาซีร์ อุลมุลก์ เป็นพระนัดดาของจักรพรรดิบาฮาดูร์ ชาห์

อีกพระองค์คือมีรซา กามาร์ ซุลตาน พระนัดดาขององค์จักรพรรดิเช่นกัน ต้องเร่ร่อนขอทานในเมืองหลวง ถนนสายเดียวกับที่พระองค์เคยควบอาชาผ่านมาแล้วชาวพาราต้องค้อมคำนับให้ มาวันนี้ทรงกลายเป็นคนจรขอทานเขายังชีพ และเพราะความอับอายจึงต้องหาเลี้ยงชีพยามค่ำคืน แต่เวลาจะขอใครเขากินท่านจะแสดงขัตติยะมานะอยู่บ้าง

ทั้ง ๒ เรื่องนี้อยู่ในบทความชื่อ What happened to the Mughals after the fall of the Mughal Empire? ในเว็บไซต์ DailyO

แต่จะว่าไปแล้วชะตากรรมของเจ้าชายยาจกแห่งโมกุลทั้ง ๒ พระองค์ ยังดีกว่าอีกหลายพระองค์ เช่นเจ้าชายมีร์ซามูฆัล ซึ่งนำการลุกฮือต้านอังกฤษ เมื่อทรงยอมแพ้แล้ว ถูกอังกฤษจับตัวขึ้นเกวียนกับพระโอรสอีก ๒ พระองค์ ครั้นถึงประตูเมืองเดลี มีชาวอินเดียมารุมต้อนรับ คิดว่าเป็นขบวนของเจ้าชายที่กำชัยชนะกลับมา แต่เมื่อมาถึงเจ้าชายทั้ง ๓ พระองค์กลับถูกฝรั่งไล่ให้ลงมาจากเกวียน แล้วจับเปลื้องผ้าผ่อนท่อนบน จากนั้นยิงทิ้งต่อหน้าฝูงชน ตายไปแล้วยังถูกทหารอังกฤษปล้นทรัพย์ที่ติดตัวไว้อีก จากเจ้านายผู้สูงศักดิ์ กลายเป็นศพอนาถา เป็นที่น่าอเนจอนาถยิ่งนัก

ทุกวันนี้มีการตั้งมูลนิธิเพื่อติดตามเชื้อพระวงศ์โมกุลเพื่อช่วยเหลือ เพราะส่วนใหญ่มีฐานะยากจน มีคนหนึ่งดังมากคือ ซุลตานา เบกุมภรรยาของพระราชปนัดดาของจักรพรรดิองค์สุดท้าย ขายน้ำชาริมถนนตามยถากรรม ส่วนสามีเชื้อพระวงศ์ตายไปนานแล้วอย่างแร้นแค้นแสนสาหัส

ชะตากรรมของพวกเชื้อพระวงศ์โมกุลแสดงถึงหลักอนิจจตาได้เป็นอย่างดี จากชีวิตหรูหราฟุ้งเฟื่อง ต้องมานั่งขอทานเขากิน ชีวิตคนเรานั้นอะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้

นึกถึงเจตนารมณ์ในการบันทึกประวัติศาสตร์ของคนโบราณ ดังในคัมภีร์มหาวงศ์ พงศาวดารพุทธศาสนาในลังกา ที่ชี้แจงไว้ว่าการบันทึกประวัติศาสตร์นั้นก็เพื่อ “จะให้เกิดความเลื่อมใสแลสังเวช”


เพราะแม้แต่ “ท้าวพระยาทั้งหลาย ... ก็มิได้เที่ยงถึงแก่มรณะสืบกันมา”

จาก http://www.gypzyworld.com/article/view/1212