เรื่องการนำผักพืชอาหารไทยเข้าในหลายๆประเทศนั้น มีอยู่หลายลักษณะ ที่พอจะทราบแน่ชัดนั้น คือ
ลักษณะแรกคือการนำเข้าเป็น lot โดยบริษัทนำเข้า ในลักษณะนี้จะถูกตรวจ ทั้งในลักษณะการขอตรวจทุกครั้ง และการสุ่มตรวจเป็นบางครั้ง ขึ้นอยู่กับการได้รับใบอนุญาตนำเข้าเป็นรายคาบ ผู้นำเข้าชั้นดีก็อาจได้รับใบอนุญาตเป็นรายปี ที่ยังไม่ค่อยไว้ใจก็เป็นตั้งแต่รายเดือน สามเดือน หรือหกเดือน สำหรับหน้าใหม่ก็กักตรวจทุกครั้งเลย การนำเข้าโดยบริษัทนำเข้านี้ จะถูกตรวจน้อยหน่อยก็เพราะการใช้หลักการปล่อยก่อน หากเจอในภายหลังผู้นำเข้าจะต้องรับผิดชอบไปเอา lot ที่มีปัญหานั้นจากทุกร้านที่จำหน่ายแจกจ่ายไป นำไปทำลายหรือส่งกลับทั้ง lot ด้วยค่าใช้จ่ายของตนเอง อันนี้เป็นไปตามลักษณะของกฎหมายที่เขามี
ลักษณะที่สองคือการนำเข้าโดยผู้ประกอบการร้านอาหารเอง อันนี้เป็นไปตามหลักการว่าเป็นวัสดุเครื่องปรุงที่ใช้เฉพาะในการประกอบอาหารท้องถิ่น โดยนัยว่ารัฐไม่ได้กีดกันแต่ยอมรับในความสวยงามของการมีความหลากหลายในสังคมของตน ลักษณะนี้ นำเข้าไม่ได้มาก ให้เฉพาะในปริมาณที่พอเพียงต่อการประกอบการในแต่ละคาบ ในลักษณะนี้ เท่าที่เคยคุ้ยข้อมูลจากเจ้าของร้าน ก็ทราบว่าในครั้งแรกๆก็อาจจะติดขัดต้องคอยชี้แจง ต่อมาเมื่อเห็นว่าเป็นปกติก็จะไม่มีปัญหาใดๆ ประกอบกับอาจจะมีคอรัปฯแบบเบาๆ เช่น เชิญมากินอาหาร อะไรทำนองนี้ แต่สิ่งที่ตามมาก็คือ การเพิ่มปริมาณและความหลากหลายจนกลายเป็นร้านอาหารที่มีของขายด้วย เมื่อร้านอาหารแต่ละร้านมักจะเป็นร้านเล็กๆ ก็จึงมีคนไทยทำธุรกิจส่งคนไปตามร้านเหล่านี้ สอบถามและรับจัดซื้อและรวบรวมจัดส่งให้ ด้วยระบบปกติที่มันไม่ค่อยจะตรงไปตรงมาของเราและของเขา แล้วก็การเอาเปรียบกัน คุณภาพของพืชผักจึงเป็นไปอย่างเท่าที่จะนึกถึงได้ แช่ด้วยน้ำยา...นั้นไม่ต้องพูดถึงมีตลอด แต่เรามักจะรู้ก็เมื่อผักมันเริ่มเฉา
ด้วยสภาพดังกล่าวนี้ ความหลากหลายของพืชผักไทยจึงมีต่ำ อย่างไรก็ตามร้านขายของไทยก็พอจะสนองตอบความต้องการได้บ้าง โดยเฉพาะการใช้ทำอาหารในครอบครัว แต่มักจะไม่มีปริมาณมากพอสำหรับธุรกิจร้านอาหาร ก็ต้องไปพึ่งพาร้านจีน ที่พอทราบมาอีกก็คือ พืชผักตามร้านจีนเหล่านี้ มันก็มาจากไทยโดยคนจีนที่มาทำธุรกิจอยู่ในไทย นอกจากนั้นเรายังใช้พืชผักชนิดเีดียวกันร่วมกับอีกหลายประเทศ ลาวใช้ใบกุยช่ายเป็นจำนวนมาก เวียดนามใช้ผักไผ่ (พริกม้า) แนมกับจ๋อยยอ ไทยใช้แกล้มลาบ ใส่แกง เวียดนามมีน้ำปูที่เราเอามาทำนำพริกร้ำปูได้ เยอะครับ ร้านอาหารไทยก็รู้แต่อาจอยากจะเลือกไม่ทำก็ได้
อย่างไรก็ตาม การกีดกันผักไทยนั้น มีมากมายหลายกรณีก็เพราะมันมีการปลูกกันในประเทศเขา ผักคะน้าจากไทยถูกห้ามเข้าญี่ปุ่นแล้วก็เพราะมีการปลูกกันในโอกินาวา มะละกอดิบทำส้มตำก็กำลังจะเป็นอีกหนึ่ง (ขนาดญี่ปุ่นผลิตสับเสร็จใส่ถุงพลาสติกขนาดหนึ่งจานพอดีๆ) นอกจากนั้นแล้ว ยังมีกรณีการแจ้ง Origin ที่ไม่ตรงกับความจริง เช่น ที่นึกออกในทันทีขณะนี้คือ ปอสาไทยที่ส่งเข้าญี่ปุ่นมาจากลาว เป็นต้น
สำหรับกรณีสารเคมีและสารตกค้างนั้น โดยแท้จริงแล้ว หากจะเอาตามมาตรฐานที่ใช้เกือบจะเหมือนกันทั่วโลกซึ่งเป็นรายการยาวเหยียดหลายหน้ากระดาษนั้น แม้แต่ปลูกโดยธรรมชาติจริงๆก็ยังมี ยกเว้นจะเป็นพวกพืชจากสวนน้ำ มันจึงมีแท็คติกมากมายที่ฝ่ายรัฐจะต้องร่วมมือกันทำ ของเรานั้น กษ.ปลูก อก.ทำให้เป็นอุตสาหกรรม รับรองโดยหลายหน่วยงาน เอกชนส่งขายทำตลาด พณ.ตามดูคอยแก้ ที่แย่ไปกว่านั้น ตามที่ผมเข้าใจ คือ ส่งของเข้า EU ในลักษณะทำการค้ากับแต่ละประเทศ มีปัญหากับประเทศนั้นๆ แต่ถูกห้ามโดย EU ทั้งกลุ่ม
ความหลากหลายของอาหารไทยจึงถูกจำกัดไป แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเครื่องปรุงจะเพี้ยนไปอย่างไร ด้วยอัตลักษณ์ของวิธีการทำอาหารไทย เราก็สามารถจะทำให้อาหารนั้นๆมีความเป็นไทยได้ เช่น ส้มตำก็ไม่จำเป็นต้องทำจากมะละกอ ทำจากหัว Turnip ก็ได้ จากแครอตก็ได้ ต้มยำแซบๆทำจากหัวปลาแซลมอนที่เขาไม่เอาจะทิ้งแล้วในตลาด ไม่ถึง 10 ปีนี้เองต้มยำนี้ก็ไปอยู่ในร้านอาหาร หัวปลาแซลมอนก็ขายกันแล้ว ฯลฯ
ท้ายนี้ขอตอบคุณดีดี เรื่องวาซาบิ
วาซาบิมีรสออกไปทาง Bite ไม่เป็นทาง Hot และวิธีการกินนั้นก็แตกต่างจากที่เราทำกันครับ
ในซูชิ เขาเอาวาซาบิป้ายในเนื้อปลาก่อนแปะลงข้าวที่ผสมนำ้ส้มมิรินและเกลือ สำหรับร้านที่ฝีมือดีๆของคนญี่ปุ่นนั้น ก็เพียงเอาซูชิจิ้มกับโชยุเพียงเล็กน้อยก็อร่อยแล้ว หากยังซาบซ่าไม่พอก็จะเอาวาซาบิมเป็นก้อนเล็กๆวางใว้ในถ้วยโชยุ ไม่ละเลงแบบเรานะครับ แล้วป้ายชิ้นซูชิจากด้านวาซาบิผ่านลงไปในน้ำโชยุ เป็นวิธีการกินที่ถูกต้องที่สุด เหตุที่เขาต้องใส่วาซาบิด้วยก็เพราะเชื่อว่ามันช่วยฆ่าเชื้อครับ
ผมจะหายไป ตจว.สักอาทิตย์หนึ่งครับ