เรือนไทย

General Category => ศิลปะวัฒนธรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: นวล ที่ 10 เม.ย. 01, 05:42



กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: นวล ที่ 10 เม.ย. 01, 05:42
ไปอ่านเจอเรื่องเกี่ยวกับเขาพระสุเมรุแบบย่อๆ
แต่ได้ใจความดี เลยแปะมาให้อ่านค่ะ เผื่อว่า
- มีคนสนใจ แต่หาอ่านไม่เจอ
- เคยอ่านแล้ว แต่ลืมแล้ว อยากอ่านอีก
- ไม่เคยอ่านเลย แต่อยากทราบ
- หลวมตัวคลิ้กเข้ามา..... (5555)
- คลิ้กเข้ามา แล้วรีบคลิ้กออกไป..... (ว้าาาาา...)

แต่ถ้าเคยมีคนมาโพส์ตไว้แล้ว กรุณาลบทิ้งเลยคะ
จะได้ไม่เปลืองเนื้อที่เรือนไทย... ขอบคุณค่ะ
<><><><><><><><><><>

ตามคติพราหมณ์นั้น เขาพระสุเมรุนี้ เป็นภูเขาที่เป็นหลักของโลก เป็นภูเขาที่ตั้ง
อยู่ในจุดศูนย์กลางของโลกหรือจักรวาล ตามตำนานกล่าวว่า พระอิศวรทรง
สร้างน้ำด้วยพระเสโท (เหงื่อ) สร้างแผ่นดินด้วยเมโท (ไคล) ของพระองค์ (บาง
ตำนานว่าทรงสำรอกพระมังสะในพระอุระออกมาบันดาลให้เป็นแผ่นดิน)

พระอิศวรมีพระประสงค์จะประดิษฐานภูเขาใหญ่ให้เป็นหลักของโลก จึงทรงเอา
พระจุฑามณี  (ปิ่นปักผม) ปักลงที่ใจกลางของพื้นภพ บันดาลให้เป็น
เขาพระสุเมรุ แล้วเอา พระสังวาลมาสร้างเป็นทิวเขาสวมรอยเขาพระสุเมรุอีก
7 ทิว เรียกว่า สัตบริภัณฑคีรีก็เพื่อจะให้เป็นที่อาศัยของทวยเทพทั้งหลาย

เขาพระสุเมรุนี้ สูงจากพื้นน้ำ 84,000 โยชน์ ใต้เขาพระสุเมรุมีเขา 3 ลูกรองรับ
เป็นฐานเรียกว่า ตรีกูฏ (สามเส้าหรือสามยอด) มีภูเขาล้อมรอบ 7 ทิว เรียกว่า
สัณบริภัณฑคีรี คือ ทิวเขา ยุคนธร กรวิก อิสินธร สุทัศ เนมินธร วินตก
และอัสกัณ  เป็นที่สถิตของเทวดาจตุมหาราชิก และบริวาร ภายในจักรวาล
มีภูเขาชื่อ หิมวา (หิมาลัย)  ของของจักรวาลทั้งหมด เป็นเทือกเขายาวติดกัน
เป็นพืด เรียกว่าเขาจักรวาล ทุกๆ จักรวาลมีพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาวดึงษ์
อุสุรพิภพ  อเวจีนรก และมหาทวีปทั้ง 4 คือ ชมพูทวีป อมรโคยาน ปุพพวิเทห
และ อุตรกุระ มหาทวีปทั้ง 4 มีทวีปน้อยๆ เป็นบริวารอีก 2000 ในทิศทั้ง 4
ของจักรวาล มีมหาสมุทรทั้ง 4 อันมีน้ำเต็มเป็นนิจ คือทิศเหนือมีมหาสมุทร
ชื่อ - ปิตสาคร มีน้ำสีเหลือง ทิศตะวันตก ชื่อ -  ผลิกสาคร มีน้ำใสสะอาด
เหมือนแก้วผลึก ทิศตะวันออกชื่อ - ขีรสาคร เกษียรสมุทร น้ำสีขาว และทิศใต้
ชื่อ - นิลสาคร มีน้ำสีเขียว

อุตรกุรุทวีป อยู่เหนือของภูเขาพระสุเมรุ มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม เนื้อที่กว้าง
8,000 โยชน์ เป็นที่ราบ มีต้นไม้นานาชนิด คนรูปร่างงาม ในแผ่นดินอุตรกุรุ
มีต้นกัลปพฤกษ์ต้นหนึ่ง ถ้าอยากได้อะไร ก็ไปนึกเอาที่ต้นกัลปพฤกษ์

ชมพูทวีป คืออินเดีย อยุ่ตอนใต้เขาพระสุเมรุ รูปเหมือนเกวียน มีต้นไม้หว้ามาก
ในทวีปนี้ ด้านตะวันออกมีต้นชุมพู่ (บ้างก็เรียกไม้หว้า) สูง 1000 โยชน์ กว้าง
โดยรอบ 1000 โยชน์ น้ำของชมพู่ไหลลงมาเป็นแม่น้ำสู่ทิศตะวันตก
เป็นน้ำกายสิทธิ์ ถูกสิ่งใดสิ่งนั้นกลายเป็นสีทอง มีนามว่า พังครนที เป็นน้ำไหล
ลงมาเป็นแม่น้ำชมพู ประชาชนใช้น้ำนี้กินไม่เกิดดรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีกลิ่นตัว
ไม่รุ้สึกเหนื่อย และไม่ชรา น้ำลาดดินสองข้างฝั่ง ได้รับโอชะดูดน้ำชมพู่ไว้ต้องลม
โชยงวดเป็นทอง เรียกว่า ทองชมพูนุช ซึ่งพวกนักสิทธิ์เอาไปทำเป็น
เครื่องประดับ

ปุพพวิเทหะ ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเขาพระสุเมรุ มีรุกเหมือนพระจันทร์
เต็มดวง เนื้อที่กว้าง 7000 โยชน์ มีเกาะ 400 เกาะ คนหน้ากลมเหมือน
ดวงจันทร์

อมรโคยาน ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเขาพระสุเมรุ มีรูปเหมือนพระจันทร์
ครึ่งซีก เป็นแผ่นดินกว้าง 9000 โยชน์ ประกอบด้วยเกาะ และแม่น้ำใหญ่น้อย
มีไม้กระทุ่มประจำทวีปนี้ คนหน้าเหมือนดั่งเดือนแรม จมูกโด่ง คางแหลม

(ต่อ)


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: นวล - พนักงานแปะข้อมูล ที่ 12 มี.ค. 01, 23:15
เหนือเขาพระสุเมรุนี้ มีไพชยนต์ปราสาทตั้งอยู่กลางสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
(ตรัยตรึงศ์) อันเป็นที่พระอินทร์สถิตอยู่ และสวรรค์ดาวดึงษ์นี้เป็นสวรรค์ชั้นหนึ่ง
ของ ฉกามาพจร (สวรรค์ที่เกี่ยวข้องกับความรัก) สวรรค์ ชั้นนี้ มีดังนี้

1. จตุมหาราชิก เป็นที่อยู่ของท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 มี"ท้าวกุเวร" หรือบางทีเรียก
ว่า ท้าวเวสสุวรรณ รักษาทางทิศอุดร มีพวกยักษ์เป็นบริวาร  "ท้าวธตรฐ" รักษา
ทางทิศบูรพา มีพวกคนธรรพ์เป็นบริวาร "ท้าววิรุฬหก" รักษาทางทิศทักษิณ มี
พวกุมภัณฑ์ (อสูรจำพวกหนึ่ง) เป็นบริวาร "ท้าววิรุฬปักษ์" รักษาทางทิศประจิม
มีฝูงนาคเป็นบริวาร

2. ดาวดึงส์ มีวิมานอยู่บนเขาพระสุเมรุ มีพระอินทร์เป็นใหญ่

3. ยามะ มีท้าวสยามเทวราชปกครอง

4. ดุสิต มีท้าวสันนุสิต เป็นใหญ่ สวรรค์ชั้นนี้กล่าวกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ คือ
เป็นที่เกิดแห่งพระโพธิสัตว์ในชาติที่กำลังบำเพ็ญบารมี และยังเป็นสวรรค์ชั้น
ที่พุทธบิดามารดา และผู้มีบุญวาสนาอื่นๆ อีกมาก เคยถือกำเนิดเป็นเทวดา
ในสวรรค์ชั้นนี้ ในวรรณคดีไทยกล่าวถึงสวรรค์ชั้นนี้มาก

5. นิมมานรดี มีท้าวสุนิมมิตปกครอง เทวดาผู้สถิตในสวรรค์ชั้นนี้มีบุญญานุภาพ
มาก มีความประสงค์สิ่งใด ก็เนรมิตได้สมความปราถนา

6. ปรนิมมิตวสวัสดี มีท้าวปรินิมมิตวสวัสดี ปกครอง สวรรค์ชั้นนี้มีความเป็นอยู่
สุขสบายกว่าทุกชั้น แม้จะเนรมิตอะไร ก็มีเทวดาชั้นที่ 5 เนรมิตให้

(ต่อ)


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: นวล - พนักงานแปะข้อมูล ที่ 12 มี.ค. 01, 23:17
ป่าหิมพานต์มีสระอยู่ 7 สระ คือ สระอโนดาต มันทากินี กุณาล สหัปปดาต
กัณมุณฑ์ รดาการ ฉัททันต์  สระที่รู้จักกันดีคือ สระอโนดาต มีภูเขาล้อมรอบ
5 ลูก คือ - สุทัศนกูฏ ซึ่งล้วนไปด้วยทอง - เขาจิตรกูฏ ซึ่งล้วนไปด้วยแก้ว -
เขากาลกูฏ ล้วนแล้วด้วยนิลมณี - เขาไกรลาส ล้วนแล้วด้วยเงิน ที่สถิตของ
พระอิศวร และ - คันธมาทกูฏ ล้วนแล้วด้วยแก้วมณีและพันธ์ไม้หอมต่างๆ
บางชนิดดอกหอม บางชนิดเปลือกหอม บางชนิดยางหมอ บางชนิดรากหอม
เขานี้ ถ้าเดือนมืดจะแลเห็นรุ่งเรือง เหมือนถ่านเพลิงอันลุกโชน ถ้าเดือนหงาย
ก็เรืองเหมือนไฟไหม้ป่า ส่วนที่เชิงเขามีผาชะโงก เรียกว่า นันทมูล
เป็นที่ซึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายโปรดประทับ มีถ้ำคูหา 3 แห่ง คือ
สุวรรณคูหา มณีคูหา และรัชฏคูหา

น้ำในสระอโนดาตใสสะอาด และเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ สระนี้มีท่าน้ำอยู่ 4 ท่า
เป็นที่อาบน้ำของเทวดา เทพธิดาท่าหนึ่ง พระปัจจเจกพุทธเจ้าท่าหนึ่ง
ฤาษีวิทยาธรท่าหนึ่ง พระอรหันต์ท่าหนึ่ง

น้ำในสระอโนดาตนี้ไหลออกตามซอกภูเขาที่อยู่รอบ 4 ทิศ ภูเขานี้มีรูปปากช่อง
เป็นหน้าสิงห็ หน้าช้าง หน้าม้า และหน้าวัว  น้ำที่แยกออกไปทางเขาหน้าสิงห์
ผ่านไปทางแดนตะวันออกของเขาหิมพานต์  อันเป็นที่อยู่ของราชสีห์นานาชนิด
ซึ่งกล่าวว่ามี 4 ชนิด คือ - ติณราชสีห์ กินหญ้าเป็นอาหาร รูปร่างคล้ายวัว
ขนสีหม่น หรือมัว - กาฬราชสีห์ มีขนสีดำ รูปร่างคล้ายวัว กินเนื้อเป็นอาหาร
- บัณฑูสุรมฤคราชสีห์ มีขนสีเหลือง เลื่อมงาม รูปร่างเหมือนสองชนิดแรก
ที่ปลายเท้าและปากเป็นสีแดงตัดกันที่กลางหลัง ที่สะโพก โคนขามีขนรอบเวียน
ทักษิณาวัฏ (เวียนขวา) มีขนปกคลุมคอสีแดง เสพสัตว์เป็นอาหาร

ส่วนน้ำในสระที่ไหลออกจากเขาวัว ก็กลายเป็นแม่น้ำสายต่างๆ อันแยกออกเป็น
5 สาย เรียกว่า ปัญจมหานที คือ คงคา ยมนา อจิรวดี สรภู และมหิ ส่วนที่ไหล
ออกจากหน้าม้า น้ำเป็นสีเขียว ผ่านเป็นแม่น้ำสินธุ ซึ่งเป็นที่อยู่ของม้าสินธพ
ส่วนที่ผ่านด้านหน้าเหนือที่ไหลออกจากเขาหน้าช้าง น้ำเป็นสีเหลือง ผ่านแดน
อันเป็นที่อาศัยของช้างตระกูลต่างๆ 10 ตระกูล คือ
1. กาฬวกหัตถี สีดำ เกิดที่เขากาฬคีรี
2. คังไคยหัตถี สีน้ำ เกิดใกล้แม่น้ำคงคา
3. บัณฑรหัตถี สีเหลือง หรือขาวสะอาด
4. ตามพหัตถี สีทองแดง
5. ปิงคลหัตถี สีจำปาหรือน้ำตาล
6. คันธหัตถี ช้างตระกูลนี้กลิ่นหอม สีไม้กฤษณา
7. มังคลหัตถี กิริยาท่าเดินงดงาม สีนิลอัญชัญ
8. เหมหัตถี สีทอง
9. อุโปสถหัตถี สีทอง
10. ฉัททันตหัตถี สีขาวบริสุทธิ์ มีปากและเท้าแดง

(แหล่งที่มา - ประวัติวรรณคดี : รศ. ประจักษ์ ประภาพิทยากร)


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: นวล - พนักงานแปะข้อมูล ที่ 12 มี.ค. 01, 23:24
และในวรรณคดี ขุนช้างขุนแผน มีกลอนสองแห่งเกี่ยวกับ
สัตบริภัณฑคีรี ไว้ด้วย.... ทราบไหมคะ กลอนบทไหน?

ขอแก้ไขตัวสะกดผิดด้วยค่ะ สัณบริภัณฑคีรี เป็น สัตบริภัณฑคีรี


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 มี.ค. 01, 23:43
ขอบคุณมากค่ะคุณนวล  น่าสนใจมากค่ะสำหรับคนชอบเรื่องไทยๆ
เพราะเรื่องราวที่ว่า เข้ามาปะปนอยู่ในวรรณคดีและจิตรกรรมไทยอยู่มาก
ดิฉันคงจะผสมโรงคุยด้วยอีกหลายเรื่อง เท่าที่นึกออก

ตอนนี้นึกได้แต่ว่าสวรรค์ชั้นที่ ๓ ที่ชื่อยามา  ผู้ครองหรือนายกรัฐมนตรีตลอดกาลของชั้นนี้  ชื่อท้าวสุยามเทวราชค่ะ ไม่ใช่สยาม
ส่วนสวรรค์ชั้นที่ ๖  ปรนิมมิตวสวตี มีนกยกฯ ๒ องค์ องค์หนึ่งไม่ค่อยจะมีบทบาทนัก  
อีกองค์คือพญามารวสวตีที่มาผจญพระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้  
ทั้ง ๒ องค์แบ่งเขตกันอยู่  ไม่เกี่ยวข้อง ไม่ไปมาหาสู่และไม่มีใครนอบน้อมทำความเคารพอีกฝ่ายว่าเหนือกว่า

เรื่องราชสีห์ที่เล่ามา บอกว่ามี ๔ ชนิดแต่ยกมา ๓   ที่พลัดตกหล่นไปคือไกรสรราชสีห์หรือเปล่าคะ  ดิฉันยังไม่ได้ไปหารายละเอียดเลยค่ะ  ทราบแต่ว่าสวยกว่า และมีฤทธิ์กว่าเพื่อนๆราชสีห์ด้วยกัน

คำถามเกี่ยวกับขุนช้างขุนแผน   เดี๋ยวคงมีเจ้าประจำของเรือนไทยเข้ามาตอบเองละค่ะ  ได้ยินเสียงดนตรีปี่พาทย์ประโคมแล้วคงไม่ใจดำนิ่งเงียบอยู่หรอก


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: นวล - พนักงานแปะข้อมูล ที่ 13 มี.ค. 01, 01:19
ขอบคุณค่ะ คุณเทาชมพูที่ท้วงมา

แต่ในกรณีนี้ ต้องบอกว่า ผิด ตก ยกเว้น ค่ะ

เพราะมันมาอย่างนั้นจริงๆ อิฉันเลยคีย์ตามไปเรื่อยๆ (แย่จัง)

แล้วในบทเขียนของ อ. ประจักษ์ ก็ไม่ได้กล่าวถึงไกรสรราชสีห์ด้วย

... แหะ แหะ สงสัย 'จารย์ ก็คงลืมเหมือนกัน



คุณเทาชมพูช่วยเติมที่ขาดไปด้วยได้หรือเปล่าคะ

ข้อมูลจะได้ครบ ขอบคุณค่ะ


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 13 มี.ค. 01, 01:28
ราชสีห์อีกชนิดหนึ่ง พญาไกรสรราชสีห์แน่ครับ
แต่สงสัยว่า คชสีห์หายไปไหนไม่อยู่ในประเภทราชสีห์ด้วย


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 มี.ค. 01, 10:14
ไปเปิดหนังสือของ ส.พลายน้อยเรื่องสัตว์หิมพานต์  พบว่าราชสีห์ที่หายไปจากฉบับ  อ.ประจักษ์ คือไกรสรราชสีห์จริงๆละค่ะ
แต่คำอธิบายไม่เหมือนกันนะคะ
๑) ติณสีหะ หรือติณราชสีห์  มีร่างกายสีแดงเหมือนขานกพิราบ  และใหญ่เท่ากับวัวหนุ่ม  กินหญ้าเป็นอาหาร
๒) กาฬสีหะ มีร่างกายสีดำ และใหญ่เท่ากับวัวหนุ่ม กินหญ้าเป็นอาหาร
๓)บัณฑุสีหะ หรือบัณฑุสุรมฤคินทร์  มีร่างกายใหญ่เท่าวัวหนุ่ม  กินเนื้อเป็นอาหาร
๔) ไกรสรสีหะ มีริมฝีปาก  หางและเท้าสีแดงตั้งแต่ศีรษะลงไปถึงหลัง  มีลายแดงพาดสามแถว  และวนรอบๆตะโพก ๓ รอบ   ที่ต้นคำมีขนปกคลุมลงมาตั้งแต่บ่ามีสีเหมือนผ้ากำพล   ส่วนร่างกายที่เหลือนอกจากนี้เป็นสีขาวทั้งหมด  กินเนื้อเป็นอาหาร

ดิฉันเข้าใจว่าฉบับของส. พลายน้อยถูกต้องค่ะคุณนวล  ฉบับของอ.ประจักษ์คงพิมพ์ตกไปตอนสุดท้าย

และอีกอย่างคือฉบับของท่าน แปลคลาดเคลื่อนค่ะ
ที่แปลว่าราชสีห์รูปร่างคล้ายวัวน่ะผิดค่ะ  ราชสีห์รูปร่างก็ต้องเป็นราชสีห์ซิคะ  จะไปคล้ายวัวได้ยังไง
ที่จริงคือ ใหญ่เท่าวัวค่ะ

คุณนกข.  คชสีห์ไม่ใช่ราชสีห์ค่ะ   หน้าตาเป็นลูกผสม ระหว่างช้างกับราชสีห์    ราชสีห์ของแท้หน้าตาแบบโลโก้เบียร์ไทยตราสิงห์ค่ะ  ไม่มีงวงช้าง
ในกระทู้เรือนไทยกระทู้แรกๆก็เคยบอกเว็บสัตว์หิมพานต์ไว้นะคะ   ใครจำได้บ้างว่ากระทู้ไหนช่วยบอกด้วยค่ะ ขอบคุณ


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 มี.ค. 01, 10:36
ติดลมแล้วค่ะ
เรื่องขุนช้างขุนแผนยังไม่มีใครเข้ามาตอบ  จะรออีกวันนะคะ  ถ้าไม่มีใครยอมตอบดิฉันจะเข้ามาตอบเอง
ตอนนี้ชวนคุณนวลคุยต่อเรื่องเขาพระสุเมรุไปก่อน

วรรณคดีไทยรับเขาพระสุเมรุเข้ามาตั้งแต่สุโขทัย ในไตรภูมิพระร่วง   ป่าเขาลำเนาไพรและอมนุษย์ต่างๆที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วยก็ปรากฏในวรรณคดีไทย(เชื้อสายอินเดีย) มาโดยตลอด
ในโองการแช่งน้ำ   การอ้างทั้งหลายมาจากภูมิศาสตร์โลกโบราณ เกี่ยวกับดินแดนที่มีเขาพระสุเมรุเป็นหลักทั้งนั้น
ในมหาเวสสันดรชากด  พระเวสสันดรก็ออกจากเมืองไปอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์
ในสมุทรโฆษ วิทยาธรที่ถวายพระขรรค์สำหรับเหาะให้พระสมุทรโฆษ ก็มาจากแถวๆนั้นละค่ะ

มาถึงสมัยรัตนโกสินทร์  ในรามเกียรติ์รัชกาลที่ ๑ และ ๒  ภูมิศาสตร์ดังกล่าวกลายมาเป็นเครื่องหมายของความยิ่งใหญ่โอฬาร
อย่างตอนที่สมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ทรงบรรยายรถทรงของทศกัณฐ์ตอนออกศึกครั้งแรกกับพระราม  ในเมื่อจอมทัพผบ.สูงสุดแห่งลงกาออกศึกทั้งที  ก็ต้องให้ยิ่งใหญ่กว่าทัพก่อนๆของกุมภกัณฑ์ หรืออินทรชิต หรือญาติวงศ์พงศาพญายักษ์
จึงทรงแต่ง ว่า

รถเอยรถที่นั่ง.........................บุษบกบัลลังก์ตั้งตระหง่าน
ใหญ่ยาวเทียมเท่าเขาจักรวาล..ห้ายอดเทียมวิมานเมืองแมน
ดุมวงกงหันเป็นควันคว้าง.......เทียมสิงห์วิ่งวางข้างละแสน
สารถีขี่ขับเข้าดงแดน..............พื้นแผ่นดินกระเด็นไปเป็นจุล

ทรงแต่งถึงความมโหฬารมาได้แค่นี้ ก็หยุด   ในเกร็ดพงศาวดารเล่าว่า ยังทรงนึกไม่ออกว่าจะบรรยายต่ออย่างไร
ตอนนั้นสุนทรภู่ถูกจำคุกด้วยข้อหาทุบตีญาติผู้ใหญ่ที่เข้าไปห้ามขณะเมาสุรา     เมื่อได้รับพระบรมราชโองการให้แต่งต่อ  ก็แต่งได้ว่า

นทีตีฟองนองระลอก...................คลื่นกระฉอกกระฉ่อนชลข้นขุ่น
เขาพระเมรุเอนเอียงอ่อนละมุน.....อานนท์หนุนดินดาลสะท้านสะเทือน
ทวยหาญโห่ร้องก้องกัมปนาท......สุธาวาทไหวหวั่นลั่นเลื่อน
บดบังสุริยันตะวันเดือน................คลาดเคลื่อนจตุรงค์ตรงมา

ก็เป็นที่พอพระราชหฤทัย  สุนทรภู่ก็เลยหลุดจากคุกกลับมาเป็นกวีได้ดังเดิม

สำนวนโวหารแบบนี้เรียกว่า อติพจน์ หรืออธิพจน์ (hyperbole) คือว่าให้เกินจริงเพื่อเน้นความรู้สึกอลังการในอารมณ์  ไม่ว่าจะรัก โศก หรือบรรยายความยิ่งใหญ่  ไม่ใช่กล่าวเท็จ

เขาพระสุเมรุเป็นหลักของโลก   ถ้ารถของทศกันฐ์วิ่งออกมา กระเทือนจนเขาพระสุเมรุเอียง และสะเทือนไปถึงปลาอานนท์ที่หนุนโลก  ก็แสดงว่า "บิ๊ก" จริงๆ น่าครั่นคร้ามมากค่ะ
แต่อย่าถามว่า ขนาดรถใหญ่ยาวเท่าเทือกเขาจักรวาลที่ล้อมโลกแล้ว  รถจะเอาแผ่นดินที่ไหนมาวิ่งนะคะ


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 มี.ค. 01, 12:21
เอาภาพบัณฑุราชสีห์มาฝากคุณนวลและเพื่อนคนอื่นๆในเรือนไทยค่ะ

พร้อมรายละเอียด

http://www.kmitnb.ac.th/ThaiArt/Himaphan/pic15.html


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 มี.ค. 01, 12:24
แล้วนี่ก็ติณราชสีห์

http://www.kmitnb.ac.th/ThaiArt/Himaphan/pic13.html


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 มี.ค. 01, 12:35
เปิดไปเจอภาพเทพนรสีห์เข้าค่ะ เลยเอามาฝากคุณนกข.

หน้าตาเป็นเทพ    ไม่ใช่สิงห์

ถ้าจะเล่นบทผู้ร้ายอย่างในนรสิงหาวตาร  ก็คงจะเป็นผู้ร้ายรูปหล่อ

http://www.kmitnb.ac.th/ThaiArt/Himaphan/pic6.html


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: โมโน ที่ 13 มี.ค. 01, 13:39
คุ้นๆว่าเป็นตอน ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง
บรรยายถึงม่านที่นางวันทองปักไว้

ปักเป็นหิมพานต์ตระหง่านงาม
อร่ามพระสุเมรุภูผา
วินันตกอัศกรรณเป็นหลั่นมา
การวิกอิสินทรยุคนทร


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: นวล ที่ 13 มี.ค. 01, 14:30
คุณเทาชมพู... คารวะค่ะ.... อิ อิ
อ่านทวนอีกที เห็นแล้วล่ะคะว่า คำบรรยายระหว่าง
สิงห์เหลือง กับ สิงห์ขาวคาดแดง นั้น ของ อ.ประจักษ์
หายไป ขอยกความดีให้แก่ช่างพิสูจน์อักษรก็แล้วกันนะคะ อิ อิ

เทพนรสีห์ เหตุไรตัวคล้ายคน บั้นท้ายเป็นกวาง แต่ชื่อเป็นนรสีห์
มันชวนให้เข้าใจผิดได้จริงๆ นะคะเนี่ย
แต่ราชสีห์ทั้งหลายนั้น หน้าตาเหมือนเบียร์สิงห์จริงๆ ด้วย
รู้สึกว่าขนตามตัวนั้น ของสิงห์ขาวคาดแดงคงขอดหยิกหยักโศก
อะไรประมาณนั้น เพราะเห็นวาดเป็นเส้นขมวดเป็นวง
ส่วนของสิงห์เหลือง คงจะยาวสลวยตรงๆ

เห็นด้วยกับคุณเทาชมพู วรรณคดีไทยนั้น มีหลายเรื่อง
(เยอะมาก) ที่จะพบการใช้สถานที่ต่างๆ อมนุษย์ เทพ สัตว์
เต็มไปหมด จนบางขณะ ต้องมานั่งเรียงลำดับว่า ใครใหญ่กว่าใคร
สวรรค์ชั้นไหนสูงกว่าชั้นไหน ฯลฯ จนทำให้คิดว่า ถ้าไม่ทราบเรื่องเลย
จะดีกว่าทราบเรื่องหรือไม่ เพราะจะได้ไม่ต้องสะดุดหยุดอ่าน
เพราะคิดมาก... อิ อิ อิ

คุณโมโน ... ม่านนี้ฝีมือวันทองทำ จำได้ไม่ผิดนัยน์ตาพี่....
เส้นไหมแม้นเขียนแนบเนียนดี สิ้นฝีมือแล้วแต่นางเดียว...
ว่าแล้วขุนแผนก็.........................??????

แต่อิสินธรนี่ อิฉันจำได้แม่นเลยว่าเป็นชื่อประเทศของทรรศิกา
ใน ดั่งดวงหฤทัย อิ อิ อิ (ขอนอกเรื่องค่ะ)


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 มี.ค. 01, 15:08
มิบังอาจค่ะ  คุณนวล  อิอิ
 เห็นด้วยค่ะ  ดิฉันเองบางครั้งก็เบื่อที่จะมัวจำรายละเอียด เพราะถ้าหากว่าหมกมุ่นกับมันมากเกินไป  เราอาจจะไปหลงกับสิ่งเล็กๆจนลืมรสชาติสำคัญกว่านั้น คือวรรณศิลป์ และการวิเคราะห์วิจารณ์

ขอลอกตอนเต็มๆจากขุนช้างขุนแผนมาลงให้อ่านกันค่ะ

ม่านนี้ฝีมือวันทองทำ......................จำได้ไม่ผิดนัยน์ตาพี่
เส้นไหมแม้นเขียนแนบเนียนดี........สิ้นฝีมือแล้วแต่นางเดียว
เจ้าปักเป็นป่าพนาเวศ.....................ขอบเขตเขาคลุ้มชอุ่มเขียว
รุกขชาติดาษใบระบัดเรียว.............พริ้งเพรียวดอกดกระดะดวง
ปักเป็นมยุราลงรำร่อน....................ฟายฟ้อนอยู่บนยอดภูเขาหลวง
แผ่หางกางปีกเป็นพุ่มพวง...............ชะนีหน่วงเหนี่ยวไม้ชม้อยตา
ปักเป็นหิมพานต์ตระหง่านงาม........อร่ามรูปพระสุเมรุภูผา
วินันตกหัสกันเป็นหลั่นมา...............การวิกอิสินธรยุคุนธร
อากาศคงคาชลาสินธุ์.....................มุจลินท์ห้าแถวแนวสลอน
ไกรลาสสะอาดเอี่ยมอรชร..............ฝูงกินนรคนธรรพ์วิทยา
ลงเล่นน้ำดำดั้นอโนดาต..................ใสสะอาดเยือกเย็นเห็นขอบผา
หมู่มังกรล่อแก้วแพรวพรายตา.........ทัศนารำลึกถึงวันทอง

เชิญจอมยุทธหญิงสั่งสอน   โปรดออมมือ...


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: นวล ที่ 13 มี.ค. 01, 21:57
มิกล้าหรอกคะ คุณเทาชมพู พลังฝีมือของอิฉันยังน้อยนิด..
เทียบเคียงผู้รู้จริงอย่างคุณไม่ได้...

คือว่าจะขอต่ออีกตอนหนึ่งในขุนช้างขุนแผน
อยู่ไม่ไกลกันละคะ

ปักเขาสุทัศน์สัตภัณฑ์........... วินันตกการวิกยุคนธร
ถัดมาห้าแถวแนวสมุทร........ คงคาใสสุดแลสลอน
เป็นละลอกกระฉอกชโลธร.... ฝูงกินนรวิทยามาอาบกิน

อ่านแล้ว วันทองเขามีฝีมือจริงๆ ไม่ต้องวาดลาย ไม่ต้องจัด
สี ก็ปักได้จนขุนแผนเห็นเป็นเรื่องเป็นราว เก่งเจงๆ
พูดถึงแล้ว เรื่องขุนช้างขุนแผน นี่ อิฉันไม่ชอบเนื้อเรื่องเลย
แหม... แม่วันทองนี่ น่าจะกู่ก้องร้องหาสิทธิสตรีเสียหน่อย....


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 13 มี.ค. 01, 22:12
ในเมืองไทย รูปสิงห์เป็นสัญลักษณ์ของมหาดไทย และพลอยเป็นสัญลักษณ์ของคณะหรือภาควิชารัฐศาสตร์ ของหลายๆ มหาวิทยาลัยด้วย
ที่ผมจำได้ ซึ่งไม่เกี่ยวกับราชสีห์ 4 ชนิด ข้างบน แต่เป็นสิงห์ 5 สี คือ สิงห์ดำ - รัฐศาสตร์จุฬา สิงห์แดง - มธ. สิงห์ขาว - เชียงใหม่ สิงเขียว - เกษตรศาสตร์ และสิงห์ทอง - รามคำแหง
ดูเหมือนว่า สิงห์เขียวจะตรงกับติณราชสีห์ เพราะกินหญ้าเป็นอาหาร (หนุ่มเกษตรเขาก็กินผักเหมือนกัน) ส่วนสิงห์ดำของผมจะเป็น กาฬสีหะเสียก็ไม่รู้ แต่กาฬสีหะที่เป็นเพื่อนผมนั้นไม่ยักกะ (แย่งติณราชสีห์) กินหญ้าเป็นอาหาร ไพล่ไปกินเหล้าแทน...


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 13 มี.ค. 01, 22:17
สงสัยเหมือนคุณนวลครับว่า เทพนรสีห์ ทำไมมีขาเป็นกีบ? หางน่ะพอจะกล้อมแกล้มได้ว่าเป็นหางสิงห์หรอก หน้าตาเทพนรสีห์นี่เหมือนสัตว์ในนิยายกรีกครับ เป็นญาติกับ แพน Pan หรือเปล่าครับ


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 มี.ค. 01, 22:19
ขอบคุณท่านจอมยุทธหญิงที่ออมมือ

เริ่มเรื่องสิทธิสตรีของนางวันทองทีไร  ก็คงจะได้พูดกันอีกยาว
ว่านอกจากไม่อาจกู่ก้องได้แล้ว  เธอยังเจอสารพัด ทั้งsexual abuse / assault โดยขุนช้าง  เจอ verbal abuse  โดยขุนแผน  แม้แต่ลูกชายคือพระไวย ก็ยังข่มขู่ฉุดคร่าแม่ไปให้พ่อ
แต่ผลสุดท้าย  พระพันวษาสั่งประหารเหยื่อ  ไม่ยักประหารโจรแม้แต่คนเดียว  ปล่อยตัวไปหมด  ให้เจริญรุ่งเรืองในราชการเสียด้วย

แต่ดิฉันก็ชอบคนที่แต่งขุนช้างขุนแผนในข้อหนึ่งนะคะ ไม่รู้ว่าคนไหน  คือคนที่แต่งให้นางวันทองตายไปเสียก่อนจะได้สาธยายว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ว่าเธอจะเลือกอยู่กับขุนช้าง ขุนแผน หรือพระไวย
ทำให้เราไม่รู้มาจนบัดนี้ว่าใครกันแน่คือพระเอกตัวจริงในหัวใจของนางวันทอง
หรือจะเป็นผู้ร้ายหมดทั้ง ๓ คนก็ไม่แน่อีกเหมือนกัน

ถือว่าเป็นสิ่งสุดยอดในการแต่งวรรณคดี    เป็นความลึกลับที่ไม่มีวันคลี่คลายออกมาได้จนแล้วจนรอด  ไม่กระจ่างแจ้งดูออกง่ายๆอย่างเรื่องแต่งไร้ฝีมือ ที่มักจบลงด้วยการคลี่คลายทุกอย่างอย่างหมดเปลือก

ปมปัญหาที่ชวนสนเท่ห์อยู่ตลอดากลนี้ เหมือนการที่เราไม่อาจฟันธงลงไปได้ว่าเหตุใดว่าแฮมเล็ตไปทำอะไรอ้อมค้อมวกวนอยู่เสียหลายอย่าง ในการจะแก้แค้นแทนพ่อ   ปล่อยพ่อเลี้ยงให้เฉลียวใจกำจัดตัวเองเสียก่อน
เพราะคำตอบชวนให้สันนิษฐานได้หลายทางเหลือเกิน  แม้แต่ที่ฟรอยด์บอกว่าแฮมเล็ตมี Oedipus complexกับแม่ตัวเอง ก็เป็นการสันนิษฐานทางหนึ่งว่าฟรอยด์แกคง" อิน" เรื่องนี้บ้างไม่มากก็น้อย

เอ๊ะ พาออกนอกขุนช้างขุนแผนไปถึงเชกสเปียร์จนได้ อย่าถือสาเลยนะคะ


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 มี.ค. 01, 22:33
คุณนกข. ดิฉันกลับไปดูรูปเทพนรสีห์อีกครั้งแล้วก็สงสัยขึ้นมาอีกคนค่ะ
ท่อนบนดูจะเป็นเทพ หรือมนุษย์ระดับสูงประเภทตัวพระ เพราะสวมชฎามีเครื่องประดับเหมือนตัวสำคัญในละคร
แต่ข้างล่าง อาจะเป็นได้ตั้งแต่กวาง เนื้อทราย ไปจนกระทั่งม้า
มี ๒ขาหลังทำนองเดียวกับ Pan  ถ้ามี ๔ ขา ก็คงเป็นญาติห่างๆกับ centaur  แต่ไม่น่าจะเป็นสีหะ  เพราะสีห์ ไม่มีกีบ
ครึ่งคนครึ่งกวาง? นรมฤค?
มีตัวอะไรไหมคะ  ที่ครึ่งคนครึ่งกวาง  จำได้แต่เคยเห็นรูปม้ารีศที่แปลงเป็นกวางทอง  บางแห่งวาดเป็นครึ่งยักษ์ครึ่งกวาง

ย้อนขึ้นไปข้างบน มีศัพท์หนึ่งในม่านที่นางวันทองปัก
พูดถึง " อากาศคงคาชลาสินธุ์"
คำนี้ " อากาศคงคา" เป็นศัพท์หนึ่งคำ ประกอบขึ้นด้วยการสมาสระหว่าง อากาศ+ คงคา  
ทราบมาว่า  หมายถึงแม่น้ำคงคาช่วงที่อยู่ในอากาศ
เพราะแม่คงคามีอยู่ ๓ ส่วน คือส่วนหนึ่งไหลวนอยู่บนเศียรพระศิวะ
ส่วนที่สองไหลออกจากเศียร ผ่านอากาศตกลงมาที่มนุษยโลก
ส่วนที่สามคือลงมาถึงแล้ว กลายเป็นแม่น้ำคงคา เขาอาบล้างบาปกันจนทุกวันนี้
เคยสงสัยว่าอากาศคงคาหน้าตาเป็นยังไงถึงปักได้  เป็นน้ำตกงั้นหรือ
จนมาถึงบางอ้อได้ยินดร. ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา แห่งคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ อธิบายว่า
แม่น้ำคงคาในอากาศ ก็คือทางช้างเผือก หรือmilky way นั่นเอง ตามความเชื่อของอินเดียโบราณ  เมื่อเห็นทางขาวทอดอยู่บนฟ้าในคืนเดือนมืด
งั้นอากาศคงคาที่นางวันทองปัก  จะออกมาเป็นแม่น้ำหรือทางช้างเผือก ต้องวาดเอาเองด้วยจินตนาการค่ะ


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 13 มี.ค. 01, 22:57
"แม่คงคาในสวรรค์... เราได้ปฏิญญา... แทบกระแสคลื่น...วาสิฏฐี-"
กามนิตพูดได้เพียงเท่านั้นก็กระอักโลหิต ตัวสั่นเทิ้ม ขาดใจตายในอ้อมแขนพระอานนท์...

นั่นสมัยก่อน ส่วนสมัยปัจจุบัน โกโบริเมื่อตายไปก่อนก็ไปรออังศุมาลินที่ทางช้างเผือกเหมือนกันครับ (แต่จำบทพูดไม่ได้แล้ว) ไม่ทราบว่า ระหว่างแขกกะญี่ปุ่น ใครเอาอย่างใคร หรือตรงกันเองโดยบังเอิญ


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: นวล ที่ 13 มี.ค. 01, 23:57
เรื่องนางวันทองนั้น อิฉันว่าเธอคงไม่อยากเลือกที่จะอยู่อีกต่อไปแล้ว
ชีวิตเธอช้ำชอกมาพอสมควร ถ้าให้เวลาเธอตัดสินใจ
เธอก็คงเลือกที่จะตาย แต่ยอมรับว่านี่เป็น climax ของเรื่องจริงๆ
แต่ถ้าจะคุยเรื่อง ขุนช้างขุนแผน อิฉันก็คงต้องร่ายยาว
against ขุนแผน แบบว่าจบไม่ลงค่ะ

อิ อิ ถ้าจะคุยเรื่องปู่เช้คส์ คงต้องยาวววววววว... ค่ะ

สงสัยจริงๆ ว่า เหล่าศิลปีนช่างวาดนี้ เขาเอาอะไรมาเป็น
หลักเกณฑ์ในการวาดภาพเช่นนี้ เช่น ราชสีห์ต่างพันธุ์ทั้งหลาย
สิงห์แดง ต้องรูปร่างอย่างนี้ หน้าตาอย่างนี้ หางขมวดอย่างนี้
ิสิงห์เหลือง ต้องรูปร่างอย่างนั้น หน้าตาอย่างนั้น หางยืดตรงอย่างนั้น
ฯลฯ ส่วนนรสีห์ ก็เป็นกึ่งเทพ กึ่งคน กึ่งกวาง (หรืออะไรดี?)
สงสัยมานานแล้วคะ แต่ยังหาคนมาคลายปมไม่ได้เลย

คุณ นกข. โกโบริกะหนูอังน่ะ มันไม่ใช่ของญี่ปุ่น แต่ของคุณทมยันตี
ไทยแท้ๆ ค่ะ อิ อิ อิ ฉะนั้น ต้องถามว่า ไทยหรือแขก เอาของใครมา
แต่โกโบริจะไปเกิดเป็นดวงดาวถือโคมไม่ใช่หรือคะ ไม่ใช่ทางช้างเผือก
ไม่อยากกลับไปอ่าน กลัวน้ำตาเล็ดอีกค่ะ

อ้อ... คุณเทาชมพู อย่าลืม คืนสู่เหย้า 26 มีนาคม นี้นะคะ
คุณ นกข ไม่บอกก็ได้ เพราะคงมาไม่ได้อยู่แล้ว
แต่มีซุ้มอาหารตั้ง 39 ซุ้ม (พูดให้น้ำลายไหล อิ อิ)
อาหร่อย อาหร่อย ทั้งน้านนนนนนน....


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 มี.ค. 01, 00:33
เรื่องโกโบริ-จำได้แต่ดาวหญิงทอผ้ากับหนุ่มเลี้ยงวัว ที่ข้ามทางช้างเผิอกไปมาหากันเพราะนกสวรรค์บินต่อกันเป็นสะพาน  เจอกันได้ปีละครั้ง
ตำนานนี้เคยอ่านพบในเกร็ดพงศาวดารจีน เรียกว่าดาวงู่หนึง กับดาวชิดหนึง(คงเป็นสำเนียงแต้จิ๋ว)
เดี๋ยวก็คงร้อนถึงคุณนกข. หรือคุณ Linmou มาอธิบายให้ผู้น้อยฟังตามเคย

เคยอ่านพบถึงจักรพรรดิจีน องค์ไหนจำไม่ได้  มีสนมคนโปรดที่เป็นหนึ่งในสี่ของหญิงงามของจีน  ชวนกันชมดาวคู่นี้  แล้วพูดเป็นทำนองว่า ถึงดาวทั้งสองได้พบกันปีละครั้งเท่านั้นก็จริง  แต่ ก็พบกันอยู่ชั่วนิรันดร  ผิดกับมนุษย์ซึ่งแม้พบกันทุกวันแต่ก็พบเพียงระยะสั้นก่อนตายจากกันเท่านั้น
ฟังแล้ว...จำอย่างอื่นไม่ได้เลยค่ะ จำได้แต่คำพูดนี้เอง ทำไมถึงประทับใจมากก็ไม่ทราบ

คุณนวล  ตั้งใจว่าปีนี้ จะไปงานคืนสู่เหย้าเหมือนกันค่ะ เพราะเป็นปีสำคัญ  แต่ต้องหาเพื่อนร่วมแก๊งค์ได้เสียก่อน
เพื่อนสนิทจริงๆกลับอยู่ต่างคณะ  เวลากินเลยมักไปนั่งอยู่แถวโต๊ะที่ปักธงสีอื่น ไม่ใช่สีเทา
ถ้าคุณนวลกับดิฉันเดินสวนกันไปมาอยู่ในงาน   เราจะมีลางสังหรณ์รู้ตัวกันไหมคะว่าใครเป็นใคร  
หรือว่าจะต้องปักกุหลาบแดงที่เสื้อและถือผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือซ้าย เป็นเครื่องหมาย?


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 14 มี.ค. 01, 01:05
จากเขาพระสุเมรุในวรรณคดีไทย (หรือที่จริงแขก )ไถลไปเรื่องอะไรไปบ้างแล้วก็ไม่รู้เนี่ย

เอ้า - เถลไถลต่อ



ดาวคนเลี้ยงวัวกับดาวสาวน้อยทอผ้าหรือที่มีคนแปลว่า แม่นางทอหูก เป็นตำนานจีนจริงครับ แต่ญี่ปุ่นก็รับเอาไปด้วย คนจีนเชื่อว่าดาวคู่นี้พบกันปีละครั้งในวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดตามปฏิทินจีน เรียกว่าเทศกาลฉิงเหรินเจี๋ยหรือเทศกาลคนรัก lovers' festival ซึ่งผมเรียกของผมเองว่า วันวาเลนไทน์จีน

 

จักรพรรดิองค์นั้นถ้าให้ผมเดา น่าจะเป็นถังเสวียนจงฮ่องเต้กับนางสนมหยางกุ้ยเฟยครับ



ดาวคู่นี้ ทางดาราศาสตร์สมัยใหม่รู้สึกจะเรียกว่า ดาว Vega ดวงหนึ่ง อีกดวงคือดาวอะไรก็ลืมไปแล้ว จะใช่ Altair หรือไม่ไม่แน่ใจ คงต้องถามคุณพวงร้อย หรือนักดาราศาสตร์ทั้งหลายในห้องเด็กวิทย์ ครับ



กามนิตกับวาสิฏฐีโชคดีกว่าหนุ่มเลี้ยงวัวและแม่นางทอหูก ตรงที่เมื่อขึ้นไปอยู่บนฝั่งแม่คงคาในสวรรค์นั้น คือไปเกิดมีความสุขอยู่ด้วยกันในวิมานที่มีลักษณะเป็นสระบัวได้รับน้ำหล่อเลี้ยงจากคงคาสวรรค์ แต่พ่อเคาบอยกับแม่สาวทอผ้านั้น ขนาดขึ้นสวรรค์ไปเป็นดาวแล้ว ก็ยังต้องถูกพรากอยู่คนละฝั่งทางช้างเผือกอยู่ดี ทางช้างเผือก จีนเรียก งึ่นฮ้อ หรือแม่น้ำสีเงินครับ


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 14 มี.ค. 01, 05:53
ผู้น้อยขอคารวะเล่าฮิว จอมยุทธอักษรสวรรค์ ทั้งสอง ยังไม่ได้อ่านเลยค่ะ  ISP ที่บ้านพังไปเรียบร้อย  ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ใหม่หมด  ขอกลับมาอ่านทีหลัง  กำลังแกะ พระเวทเรื่องนักษัตรราศีอยู่พอดี  เลยมึนสันสกฤตยังไม่หาย  ไม่ทันอ่านว่าเรื่องดาวคนเลี้ยงวัวกับดาวสาวทอผ้ามีที่มาที่ไปอย่างไรในกระทู้นี้  ขอติดไว้ก่อนนะคะ  ตอนนี้มีงานเร่ง  อู้เขานานไม่ได้ แหะๆ


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 มี.ค. 01, 14:12
นึกขึ้นได้ว่า วัดไชยวัฒนารามที่อยุธยา  ใช้แผนผังตามแบบภูมิศาสตร์โลกโบราณ คือจักรวาลที่ว่ามา
พระเจ้าปราสาททองทรงได้มาจากขอมอีกทีหนึ่ง
ปรางค์ศรีรัตนมหาธาตุองค์ใหญ่ตรงกลางคือเขาพระสุเมรุ  ล้อมรอบด้วยปรางค์องค์อื่นๆ  แทนเขาสัตบริภัณฑ์
ระเบียงที่รายรอบ คือแม่น้ำที่ล้อมจักวาล  ชื่อสีทันดร
เมรุทิศทั้งสี่คือทวีปทั้ง ๔

จำกะท่อนกะแท่นได้แค่นี้ค่ะ  คนนำเที่ยวที่จะบอกได้คือแม่นกยูง  หล่อนก็มัวตามหาคุณพระนายอยู่  ไม่ยอมมาเป็นไกด์จนแล้วจนรอด


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 15 มี.ค. 01, 18:51
ผมเข้าใจว่า ความคิดเรื่องเขาพระสุเมรุมีอิทธิพลต่อสถาปัตยกรรมไทยหลายแห่งมาก นอกจากที่วัดไชยวัฒนารามแล้ว อีกองค์หนึ่งคือพระปรางค์วัดอรุณ ก็ใช่ ที่อื่นๆ ก็อาจจะใช่ด้วย หลังคาทรงปรางค์หรือหลังคาทรงมณฑปของปราสาทราชวังหลายแห่งก็ใช่
การสร้างจิตกาธานสำหรับถวายพระเพลิงพระศพเจ้านาย ก็ใช่ (แม้แต่ชื่อยังเรียกชื่อว่า "พระเมรุ" - "พระเมรุมาศ"  เลย)
การสร้างพลับพลาหรือที่สำหรับเจ้านายทรงโสกันต์ คือโกนจุก ก็ทำเป็นรูปเขาพระสุเมรุ มีการประดับตกแต่งต่างๆ ที่อิงกับความเชื่อเรื่องป่าหิมพานต์

ใครเคยเห็นเขาพระสุเมรุฝีมือช่างจีนมั่งครับ ผมเคยเห็น หน้าตาแปลกๆ ดี ความเชื่อเรื่องนี้เข้าไปในจีนพร้อมกับพระพุทธศาสนา แต่ดูเหมือนไม่ได้กลืนเข้าไปในความคิดของคนจีนทั่วไปมากนัก เพราะจีนเขามีระบบความเชื่อของเขาเองอยู่แล้ว เขาพระสุเมรุจำลองที่ผมเห็นนั้น อยู่ในวัดจีน ถ้าจำไม่ผิด ที่วัดลามะยงเหอกงที่ปักกิ่ง

ตกไปคำหนึ่งในเรื่องคงคาสวรรค์ ที่แต้จิ๋วเรียก งึ่นฮ้อ ภาษาจีนกลางเรียกทางช้างเผือก หรือแม่น้ำบนฟ้าว่า อิ๋นเหอ คือแม่น้ำ (แร่) เงินครับ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นแม่คงคาหรือแยงซีเกียง (หรือแม่น้ำอื่นที่มีจริงในโลก) ภาคในสวรรค์


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 มี.ค. 01, 19:49
เห็นด้วยค่ะ

ลองเข้าไปอ่านที่นี่นะคะ มีเรื่องเกี่ยวกับเมรุอยู่ด้วย

http://www.viboon.com/thi31.htm

มีผิดเพี้ยนบางตอน ที่กล่าวถึงทะเลน้ำนมที่ล้อมรอบโลก ความจริงไม่ใช่ ทะเลน้ำนมคือเกษียรสมุทร มีอยู่แห่งเดียว พระนารายณ์ถ้าไม่อยู่ที่ไวกูณฐ์ก็บรรทมอยู่เหนือพญานาค บนทะเลนั้นเป็นประจำ

และเข้าใจว่าบทความนี้มาจากหนังสือ "น้ำ บ่อเกิดของวัฒนธรรม "ของดร.สุเมธ ชุมสายฯ ค่ะ


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 15 มี.ค. 01, 22:18
เมื่อวันก่อนผมนึกสนุกไปทำพิธีโองการแช่งไอติมอยู่ที่อีกกระทู้หนึ่ง จากความจำตก ๆ หล่นๆ เกี่ยวกับลิลิตโองการแช่งน้ำที่เป็นเรื่องของพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาของขุนนางไทยในอดีต

ผมจำร่ายตอนขึ้นต้นที่กล่าวถึงพระผู้เป็นเจ้าทั้งสามของพราหมณ์ได้ แต่ได้กระท่อนกระแท่นเต็มที สงสัยอยู่ว่า เขาพระสุเมรุเป็นเขาลูกเดียวกับเขาไกรลาสหรือเปล่าครับ กล่าวกันว่าพระศิวะประทับอยู่ที่เขาไกรลาส ซึ่งเป็นเขาขาว (ในทางความเป็นจริงที่เป็นต้นเค้าตำนาน น่าจะหมายถึงว่าขาวเพราะหิมะ) เท่าที่ผมจำได้ในโองการแช่งน้ำ ว่า
...(บทไหว้พระนารายณ์) โอมสิทธิสรวงศรีแกล้ว แผ้วมฤตยู เอางูเป็นแท่น แกว่นกลืนฟ้ากลืนดิน บินเอาครุฑมาขี่ สี่มือถือสังข์จักรคทาธรณี ภีรุอวตาร อสุรแลงลาญหัก ททัคนีจรนายฯ
(ไหว้พระอิศวร) โอมบรเมศวราย ผายผาหลวงอะคร้าว ท้าวเสด็จเหนือวัวเผือก เอาเงือกเกี้ยวข้าง อ้างทัดจันทร์เป็นปิ่น ....บุ๋งๆๆๆ ...ฆ่าพิฆจัญไรฯ
(ไหว้พระพรหม) โอมไชยะไชย ไขโสฬสพรหมญาณ บานเศียรเกล้า เจ้าคลี่บัวทอง พระผยองเหนือขุนห่าน ...บุ๋งๆๆๆ...

ใครยังจำบทเต็มได้บ้างครับ และท่านผู้รู้ท่านใดจะอรรถาธิบายได้บ้างครับ ขอบคุณครับ


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 15 มี.ค. 01, 22:25
แล้วจะมีใครมาร่วมกินไอติมสาบานรักกับผมบ้างครับ... คนที่ชวนผมกินไอติมก็เบี้ยวเสียแล้ว อ้างว่าคุณพ่อดุ .. ฮือๆๆๆ


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 มี.ค. 01, 22:33
เขาไกรลาสเป็นคนละลุกกับเขาพระสุเมรุค่ะ  เคยอ่านพบว่ามีจริง   ป็นยอดหนึ่งของภูเขาหิมาลัย
เรื่องโองการแช่งน้ำขอผลัดไปเป็นพรุ่งนี้จะเอาส่วนที่ขาดไปมาเติมให้ค่ะ


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: นวล. ที่ 16 มี.ค. 01, 02:17
เข้ามาพอดีเห็นคุณ นกข บุ๋ง..บุ๋ง.. โองการแช่งน้ำ
แล้วเห็นอีกว่า คุณเทาชมพูผู้ใจดี จะหามาเติมให้
อิฉันเลยไม่ต้องขยับเปิดหาให้... สบายไป...

เห็นด้วยกะคุณเทาชมพู เขาไกรลาสกับเขาพระสุเมรุ
คนละลูกกัน เพราะถ้าจำไม่ผิด พระศิวะจะไม่อยู่ร่วมกับ
พระนารายณ์ หรือพระอิศวร แน่ๆ จากหนังอินตะละเดีย
ที่เคยดู เขาบอกว่ามเหสีของพระศิวะดุม้ากกกก
(พระอุมาเทวี) เพราะฉะนั้น เทพองค์อื่นจะหนีหน้ากันหม้ดดด
(ภาคมั่ว... อิ อิ)

นั่นนะซิคะ คุณเทาชมพู แล้วเหล่าช่างวาดนั้น เขาจินตการมาได้
อย่างไร นับถึงพวกขอมก็เถอะ เขานึกได้ยังไงนะ ถึงออกมาเป็น
ภูมิศาสตร์โลกโบราณอย่างที่เห็นๆ กันบนผนังโบสถ์ และคล้ายๆ
กันเสียด้วย


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 16 มี.ค. 01, 02:41
เทวดาองค์อื่นพระศิวะอาจไม่ยอมอยู่ด้วย แต่กับพระอิศวร คงไม่เป็นไรมั้งครับ น่าจะอยู่ด้วยกันได้ ... ก็ ก็ ก็ พระศิวะเป็นองค์เดียวกับพระอิศวรนี่ครับ...
แซวนิดหน่อย ล้อเล่นครับป้านวล
ยอมรับว่าผมยังงๆ อยู่กับภูมิศาสตร์ไตรภูมิ เขาพระสุเมรุราชหรือสิเนรุราชนี่ก็ลูกหนึ่งละ เขาไกรลาสก็อีกลูก คนละลูกกัน (ตามที่คุณเทาฯ ว่า) เขาลูกที่เป็นลูกครกบดยาปั่นทะเลน้ำนมตอนกวนเกษียรสมุทร นั่นก็อีกลูก (ชื่อเขามันทร?)

ตามตำนาน พระอุมาที่คุณนวลว่าดุเหลือหลายนั้น เป็นลูกสาวของภูเขาหิมาลัย ซึ่งตำนานสมมติให้เป็นเทพชื่อ ท้าวหิมวัต ชื่อหนึ่งของพระอุมายังชื่อ ปารพตีเลย (แปลว่าแม่นางชาวเขา)

ผมอยากจะเดาว่า ในจินตนาการ เขาไกรลาส(ของพระอิศวร) กับ เขาพระสุเมรุ (ซึ่งล้อมรอบด้วยป่าหิมพานต์) อาจจะเป็นคนละเทือกกัน แต่ผมเชื่อว่า คนอินเดียได้ต้นเค้าของตำนานไปจากเทือกเขาเทือกเดียวกัน คือเทือกหิมาลัยที่มีอยู่จริง หยิบของจริงที่เขาเห็นเอาไปแต่งนิทานเป็นเขาคนละลูก (รวมท้าวหิมวัตพ่อพระอุมาด้วยเป็นลูกที่ 3)


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 มี.ค. 01, 10:20
ไปเปิดตู้หนังสือดูแล้ว มีแต่วรรณคดีอยุธยาเล่ม ๒-๓
ส่วนเล่ม ๑ ซึ่งมีโองการแช่งน้ำพิมพ์อยู่ครบ    ไม่พบ
(มันจะเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้เสมอเวลาหาหนังสืออะไรที่ต้องการ)
ดิฉันพบบางบทกะท่อนกะแท่นอยู่ในหนังสืออื่น  

เป็นอันว่าถอดความคร่าวๆให้ฟังก่อนนะคะ  แล้วถ้าคุณนวลจะใจดี(ขออ้อนค่ะ) ก็คงจะนำทั้งเรื่องมาลงให้คุณหนุ่มข้างบนนี้ได้อ่านตามประสงค์
ส่วนอ่านแล้ว  เธอจะนำไปสาบานกับใคร หรือแช่งใคร ก็แล้วแต่เถอะค่ะ
ขอตัวไปพิมพ์มาแปะก่อนค่ะ


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: วรวิชญ เวชนุเคราะห์ ที่ 16 มี.ค. 01, 11:20
คงจะจำเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน คือเมื่อต้นปีประมาณเดือนมกราคม 2544 ที่ประเทศอินเดียมีพิธีอาบน้ำในแม่น้ำคงคา เรียกว่ากุมภเมลา ชาวอินเดียทั่วโลกที่นับถือศาสนาฮินดู จะเดินทางไปยังเมืองพาราณสี เมืองอิสลามาบัด หรือเมืองเก่าๆที่อยู่ริมแม่น้ำคงคาเพื่ออาบน้ำในแม่น้ำแห่งนั้น ด้วยความเชื่อว่าเมื่อครบ12ปีคือหนึ่งรอบนักขัต พระอิศวรจะเปิดโถน้ำศักดิ์สิทธิ์ เทไหลจากยอดเขาไกรลาสมาตามแม่น้ำคงคาสู่เมืองมนุษย์ แต่เดิมนั้นชาวฮินดูจะมารออาบเพียงวันเดียว เพราะน้ำศักดิ์สิทธิ์จะไหลออกสู่ทะเลหมด ภายหลังผู้คนมากขึ้นจึงเพิ่มวันอาบ จนกระทั่งครั้งหลังสุดนี้มีพิธีอาบอยู่ถึงหกสัปดาห์ มีชาวฮินดูเข้าพิธีประมาณ60ล้านคน (ตัวเลขนี้ไม่แน่นอนนะครับ) คนหนึ่งจะอาบได้เพียงครั้งเดียว แล้วอีก12ปีค่อยกลับมาอาบใหม่
เล่าให้ฟังเพียงสังเขปนะครับ ถ้าจะเอาความแน่นอนต้องขอค้นจากบันทึกเก่า - วรวิชญ


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 มี.ค. 01, 14:04
ขอบคุณค่ะคุณวรวิชญ  น่าสนใจมาก     เป็นเรื่องที่คนไทยน้อยคนจะทราบ
อยากฟังเรื่องเหล่านี้อีกค่ะ ถ้าคุณจะมีเวลาเล่าก็จะยินดีมาก
******************************
ขอต่อเรื่องโองการแช่งน้ำ ที่ไปพิมพ์มาแปะค่ะ

โองการแช่งน้ำ เป็นบทสวดที่ใช้ในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ให้ข้าราชบริพารในอาณาจักรศรีอยุธยามาสาบานตนว่าจะซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อกษัตริย์  มิฉะนั้นจะมีอันเป็นไปด้วยเหตุร้ายต่างๆ
เริ่มตั้งแต่สมัยพระรามาธิบดีที่ ๑(อู่ทอง) (พ.ศ. ๑๘๙๓-๑๙๑๒)

เนื้อหาแบ่งเป็น ๔ ส่วน
๑) ร่ายนำ ๓ บท สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าทั้ง ๓ ของพราหมณ์ คือพระนารายณ์ พระศิวะ และพระพรหม  โดยอธิบายลักษณะของแต่ละองค์ให้เห็นชัด แล้วลงท้ายด้วยการแทง(หรือชุบ)ศรศักดิ์สิทธิ์แต่ละเล่มลงไปในน้ำที่ใช้ดื่มเพื่อทำพิธี

โอมสิทธิสรวงศรีแกล้ว   แผ้วมฤตยู  เอางูเป็นแท่น  แกว่นกลืนฟ้ากลืนดิน  บินเอาครุฑมาขี่  สี่มือถือสังข์จักรคทาธรณี  ภีรุอวตาร  อสูรแลงลาญทัก  ททัคคนีจรนาย(แทงพระแสงศรปลัยวาต)

๒) กล่าวย้อนไปถึงความเป็นมาของโลกตามศาสนาพราหมณ์   ที่เชื่อกันว่าโลกจะแตกดับเป็นคราวๆ ก่อนพระพรหมสร้างขึ้นมาใหม่    เริ่มต้นด้วยไฟบรรลัยกัลป์มาล้างโลก( ใบก่อน)

นานาอเนกน้าวเต็มกัลป์    จักว่าจักราพาฬเมื่อไหม้   กล่าวถึงตระวันเจดอันพลุ่ง  อันพลุ่งน้ำแล้งไข้ขอดหาย  เจดปลามันพลุ่งหล้าเป็นไฟ   จวบจตุราบายแผ่นขว้ำ   แผ่นขว้ำชักไตรตรึงษ์เป็นเผ้า   เป็นเผ้าแลบล้ำ  สีลอง

เริ่มต้นที่จักรวาลเกิดร้อน (หมายถึงโลก) พระอาทิตย์เจ็ดดวงร้อนเป็นไฟจนน้ำในมหาสมุทรแห้งขอด  ไฟก็ลามลงไปติดปลาใหญทั้งเจ็ดที่แบกโลกอยู่   กลายเป็นไขมันติดไฟลุกท่วมโลก  ท่วมขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้วลามขึ้นไปอีกเรื่อยจนกระทั่งทุกอย่างถูกไฟล้างสูญไปหมด  ต่อจากนั้นพระพรหมก็สร้างโลกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ในกำเนิดใหม่ของโลก  พระพรหมสร้างพระอาทิตย์ พระจันทร์  และสร้างมนุษย์ขึ้นจากพรหม แต่ว่าพรหมเหล่านั้นลงมากินง้วนดิน(ดินซึ่งมีรสอร่อยบนโลก)  จึงต้องตกอยู่บนโลกกลับขึ้นไปชั้นพรหมอีกไม่ได้   ง้วนดินเสื่อมสูญก็เกิดข้าวสาลีไม่มีเปลือกขึ้นมาแทน   ผู้กินเข้าไปก็แบ่งเพศเป็นชายหญิงเกิดกามราคะ   ต่อมาข้าวสาลีสูญไปก็ต้องปลูกข้าวกินเอง  เกิดแบ่งเป็นเขตแดน แย่งชิงฆ่าฟันกัน  ในที่สุดก็ต้องเลือกมนุษย์ที่สติปัญญาดี แข็งแรง รูปงามกว่าคนทั้งหลายขึ้นเป็นหัวหน้า  กลายเป็นที่มาของกษัตริย์

๓)เชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาเป็นพยานและลงโทษผู้ทรยศการถือน้ำ   คือพระรัตนตรัย  เทพ  ภูติผีปีศาจ  มองในเชิงสังคมจะเห็นได้ว่าเป็นส่วนผสมของ ๓ ศาสนา คือพุทธศาสนา   พราหมณ์ และความเชื่อพื้นเมือง    เพราะมีทั้งพระนารายณ์ พระศิวะ พระพรหม มีแม้แต่พระรามพระลักษณ์
ส่วนผีพื้นเมืองก็คือเจ้าป่า (ภูติพนัสบดี) ศรีพรหมรักษ์  ยักษ์กุมาร ซึ่งพบในลิลิตพระลอ  เป็นผีดั้งเดิมในถิ่นแหลมทอง

๔)  แจกแจงรายละเอียดการลงโทษอย่างพิลึกน่าสะพึงกลัว ด้วยการตายในสารพัดรูปแบบ   และการให้รางวัลผู้ซื่อสัตย์ด้วยดี เช่นการปูนบำเหน็จรางวัลและยศศักดิ์
พิธีถือน้ำ เป็นพิธีที่เคร่งครัดกันมากตลอดอยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์    เลิกไปเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕
มันสะท้อน concept of loyalty โดยตรงอย่างที่เคยเขียนไว้ในเรื่องพระเจ้ากรุงธนบุรี  แต่ถ้าถามว่าได้ผลไหม  ดิฉันเห็นว่าไม่ได้  เพราะมีการชิงบัลลังก์นองเลือดกันทุกราชวงศ์ในสมัยอยุธยา  แต่พอใครขึ้นมาครองได้ก็จะดำเนินพิธีนี้ต่อไป  ไม่ว่าตัวเองเคยทำตามที่สาบานไว้ในแผ่นดินก่อนหรือไม่ก็ตาม


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 16 มี.ค. 01, 14:36
อ้อ ดีจังค่ะ  ไปเขียนข่าวในหน้าข่าววิชาการไว้เกี่ยวกับพิธีนี้เมื่อเดือนก่อนค่ะ  ดิฉันก็ไม่รู้เรื่องตำนานนี้เลยค่ะ  

ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป  คุณ วรวิชญ ช่วยแก้ไขเพิ่มเติมในด้านตำนานที่มาของพิธีนี้ให้หน่อยได้มั้ยคะ  

ดิฉันก็เขียนยังไม่ถูกเลยค่ะ  ไปเห็นเค้าถ่ายภาพจากอวกาศด้วยดาวเทียมมาน่าสนใจเลยเอามาลง  

เนื่องจากมีคนไปร่วมหนาแน่น  รูปที่เอามาลงนั้นมีประมาณ ๓๐ ล้านคน  แต่ว่าในวันพิธีจริงๆมีคนมา ๗๐ ล้านคนแน่ะค่ะ  

จึงมองเห็นได้ไกลมากจากอวกาศเลยค่ะ  ข่าวอยู่หน้านี้นะคะ  



http://vcharkarn.com/snippets/board/show_message.php?dtn=dtn10&number=111


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: นกข. ที่ 16 มี.ค. 01, 17:46
เรื่องพรหมกินง้วนดินจนกลายเป็นคน และต้องมีกษัตริย์ปกครองนั้น ดูเหมือนจะมาในพระพุทธศาสนามากกว่าศาสนาพราหมณ์ ผมไม่แน่ใจว่ามาจากพระสูตรบาลีเล่มไหน - อัคคัญญสูตร? - แต่จำได้ว่า นักรัฐศาสตร์ไทยบางท่าน เช่น ศ. ดร. ชัยอนันต์ฯ เคยเปรียบเทียบความคิดเรื่องการกำเนิดของสังคม และของรัฐตามความคิดฝรั่ง ("รัฐบาลธรรมชาติ" ตามความคิดของล็อค ฮอบส์ รุสโซ และคนอื่นๆ ในแนวนั้น) กับแนวความคิดเรื่องที่มาของกษัตริย์ตามแนวพุทธ ซึ่งเหมือนกับที่อ้างในโองการแช่งน้ำ


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 มี.ค. 01, 18:04
อัคคัญญสูตร ใช่ค่ะ เป็นเรื่องในพุทธศาสนาที่อิงพราหมณ์  แต่ไม่ตรงกับกำเนิดของมนุษย์ตามที่กล่าวไว้ในศาสนาพราหมณ์ เพราะพุทธตัดเรื่องวรรณะต่างๆออกไปหมด  ไม่ยอมรับนับถือเรื่องนี้

พราหมณ์สอนว่า วรรณะต่างๆมีกำเนิดจากพรหมในส่วนต่างๆกัน   วรรณะพรหมณ์เกิดจากอุระและปากของพรหม   กษัตริย์เกิดจากแขน  แพศย์(พ่อค้า) เกิดจากท้อง และศูทร(กรรมกร) เกิดจากขาหรือเท้า
ด้วยเหตุนี้จึงถือว่าวรรณะพราหมณ์สูงสุด และศูทรเป็นวรรณะต่ำสุด  
นอกจากนี้ มีจัณฑาลซึ่งเกิดจากการผิดวรรณะ   เรียกว่าพวก untouchable วรรณะอื่นๆจะไม่เข้าไปข้องเกี่ยวด้วยเลย


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: นวล ที่ 16 มี.ค. 01, 19:22
เข้ามาแบบเขิ่นๆ เอามือกุมแก้มที่เพิ่งไปให้หมอเย็บติด
เนื่องจากถูกลูกแซวของคุณ นกข. กระทุ้งมาเสียแตก อิ อิ อิ
กลับไปอ่านที่ตัวเองคีย์ เห็นแล้วก็หัวเราะเหมือนกัน ...
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าเผลอพาลเป็นอันขาด มิฉะนั้น อาจต้อง
เสียเงินให้หมอศัลย์เย็บแผลบนหน้าได้...... อิ อิ อิ
แถมใช้โครงการสามสิบบาทต่อครั้งไม่ได้อีกด้วย... หือ หือ (เสียงร้องไห้!)

เรื่องของคุณวรวิชญน่าสนใจมาก อิฉันก็ตามดูข่าวนี้เหมือนกัน
ที่ว่าหกสัปดาห์นั้น จริงๆ แล้ว เขาก็มีฤกษ์วันดีที่สุดอยู่สามวัน(?)
ไม่ใช่หรือคะ แต่ที่น่าแปลกใจที่สุดก็คือ ในแม่น้ำคงคามีบักเตรีชนิดหนึ่ง
ที่คอยทำลายความสกปรก/พิษ ในน้ำ ซึ่งทำให้แม่น้ำคงคานั้น ไม่เกิด
น้ำเสียแต่อย่างไร ทั้งๆ ที่มีคนหลายสิบล้านคนลงไปแช่ล้างในระยะเวลา
เดียวกัน น้ำก็ยังอยู่ในระดับดี


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: พวงร้อย ที่ 17 มี.ค. 01, 00:53
โห จริงๆเหรอคะ  คุณนวล  ดิฉันเห็นภาพถ่ายที่ขนาดจากอวกาศ  ก็ยังเห็นคนยั้วเยี้ยยังกะรังมดแล้วคิดว่าดูไกลๆจากอวกาศก็คงพอ  
ถ้าเป็นนักข่าวต้องไปทำสกู๊ปภาคพื้นดินละก็  คงสลบแน่  บักเตรีก็แค่ฟอกนำ้แค่นั้นเอง  แต่คงฟอกกลิ่นไม่ได้มังคะ  เหวอๆๆ


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: สวิริญช์ ที่ 10 เม.ย. 01, 17:42
อ่านเพลินเลยค่ะ สนุกจริงๆ


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: หญิงมิน ที่ 17 เม.ย. 05, 01:55
 ดีจัง


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: ju ที่ 02 ธ.ค. 05, 18:41
 ตามาอ่านบทความเก่าๆ ที่น่าสนใจค่ะ


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: N.P. ที่ 03 ธ.ค. 05, 09:42
 ขอโทษนะครับ เพิ่งเข้ามาอ่าน มีข้อสงสัยบางประการ คือ ใน ค.ห. ที่ 25 ที่ว่า "เมรุทิศทั้งสี่คือทวีปทั้ง ๔" แต่เมรุทิศที่วัดไชยฯ มีทั้งหมด 8 หลัง อีก 4 หลังที่เหลือ จะแทนที่ด้วยคติใดครับ หรือถ้าท่านใดทราบคติอื่นที่แตกต่างออกไป โปรดนำมาลงให้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ธ.ค. 05, 14:04
ตอบจากความจำที่ไม่มีหนังสือให้เปิดดู
ถ้าผิดพลาดขออภัยด้วย

เมรุทิศ มี 4  มุม แทนทวีปทั้ง 4
อีก 4 ที่คุณเรียก ไม่ใช่เมรุทิศ  เป็นเมรุราย  แทนมหาสมุทร  ทั้ง 4
ทิศเหนือมีมหาสมุทร ชื่อ - ปิตสาคร มีน้ำสีเหลือง ทิศตะวันตก ชื่อ - ผลิกสาคร มีน้ำใสสะอาด เหมือนแก้วผลึก ทิศตะวันออกชื่อ - ขีรสาคร เกษียรสมุทร น้ำสีขาว และทิศใต้ ชื่อ - นิลสาคร มีน้ำสีเขียว


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: เพียงดาว ที่ 08 ก.ย. 21, 18:34
ขอสอบถามหน่อยค่ะ เขาพระสุเมรุมีบทบาทต่อสังคมไทยอย่างไรบ้างค่ะ
รบกวนหน่อยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้านะคะ


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: ดาวกระจ่าง ที่ 11 ก.ย. 21, 09:07
มีบทบาทต่อสังคมไทยทางวรรณกรรม และศิลปะหลายๆแขนงมั้งคะคุณเพียงดาว


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 11 ก.ย. 21, 12:18
คร่าวๆ,      
                  บทบาทในศิลปกรรมไทยอิง คติความเชื่อ,บันดาลใจ จากไตรภูมิ ที่จะเห็นได้จาก
                  ศิลปะจิตรกรรมไตรภูมิ เขาพระสุเมรุ อยู่หลังพระประธาน, ตู้พระธรรม
                  สถาปัตยกรรมตัวผังอาคารจำลองภูมิจักรวาล โดยมีพระปรางค์เป็นเขาพระสุเมรุศูนย์กลางจักรวาล
ปรางค์ทิศแทนทวีปทั้งสี่ ระเบียงคดแทนเขาวงแหวนล้อมพระสุเมรุ ซึ่งเป็นการวางผังพระมหาธาตุ ที่ได้พัฒนาต่อมา
จนสมบูรณ์ในสมัยร.๓
                 ณ วัดสุทัศนเทพวรารามที่ตั้งอยู่กลางกรุงเทพฯ ช่วงการขยายตัวเมือง สอดคล้องกับสุทัสนนคร ที่เป็น
เมืองของพระอินทร์บนยอดเขาพระสุเมรุ โดยใช้พระวิหารของวัดเป็นพระสุเมรุ

                นอกจากวัดแล้ว คติเขาพระสุเมรุก็ยังปรากฏที่ พระเมรุมาศ ที่หลายคนได้เห็นกันมาแล้วเมื่อไม่นานมานี้

และ          ในบริบทที่สังคมไทยมีความแตกแยกที่ร้าวลึกนี้อาคารรัฐสภาใหม่ “สัปปายะสภาสถาน” ได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็น
               สถาปัตยกรรมที่เป็นสัญลักษณ์ทางศีลธรรม โดยถูกสร้างขึ้นเป็น “เขาพระสุเมรุ” ซึ่งตามหลักจักรวาลวิทยาทางศาสนา
ฮินดูและพุทธ คือ “ภูเขาศูนย์กลางแห่งจักรวาล”


กระทู้: ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 11 ก.ย. 21, 12:52
คติเขาพระสุเมรุก็ยังปรากฏที่ พระเมรุมาศ ที่หลายคนได้เห็นกันมาแล้วเมื่อไม่นานมานี้

https://youtu.be/jUywbkFsrWM

คติการสร้างพระเมรุมาศเสมือนการจำลองภูมิจักรวาล ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์สมมติเทพ อวตารลงมาจากสรวงสวรรค์ ณ ศูนย์กลางแห่งจักรวาล เมื่อสวรรคตจึงถวายพระเพลิงส่งเสด็จกลับสู่สรวงสวรรค์เหนือยอดเขาพระสุเมรุ

รอบ ๆ พระเมรุมาศ จะประดับด้วยรูปสัตว์หิมพานต์ เปรียบเหมือนสัตว์ที่อาศัยล้อมรอบเชิงเขาพระสุเมรุนั่นเอง

เบื้องฐานเมรุมาศ   อโนดาตหิมพานต์
ดุจดั่งทิพยสถาน    รอบวิมานพระสุเมรุ

เหล่าสัตว์หิมพานต์  พิสดารชาญตระเวน
รอส่งองค์นเรนทร์   สู่แดนสรวงล่วงเมืองแมน

ภาพจาก สัตว์ประหลาด ๕ (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6794.msg159235#msg159235)