นักแสดงนำหญิงในเรื่อง Foul Play คือ Goldie Hawn นักดูหนังฝรั่งชาวไทยรู้จักเธอดี GH เคยได้ Oscar ในปี 1969 จากเรื่อง Cactus flower ผมไม่เคยดูหนังเรื่องนี้
ผมรู้จักหน้าเธอครั้งแรกจากเรื่อง Butterflies are free (1972) ตัวอย่างหนังเรื่องนี้มาฉายทางจอทีวีบ้านเราเพื่อโหมโรงเป็นประจำ ผมจำได้ถึงภาพหนุ่มตาบอดเล่นกีต้าร์โดยมีสาวสวยซึ่งก็คือ GH กระแซะอยู่ข้าง ๆ แต่ที่เตะตากว่าความสวยของเธอคือหนุ่มตาบอดนั้นหล่อขาดใจ
ภาพนี้เลยละที่ SP ลงให้ผมดู
นั่นมันปี 1972 ผมเพิ่งจะได้มาดูหนังเรื่องนี้ทาง I/UBC พอเห็นชื่อหนังในหนังสือรายการก็วงไว้เลย
หนังเล่าเรื่อง หนุ่มตาบอดที่ย้ายจากอกแม่ผู้มีอันจะกินออกมาเช่า apartment อยู่เองตามลำพังโดยไม่สนใจคำทัดทานจากแม่ผู้ห่วงใย ห้องข้าง ๆ เป็นที่พักของสาวสวยที่ใช้ชีวิตแบบ ‘เสรี’ เธอเพิ่งย้ายเข้ามาตอนเปิดเรื่อง ทั้ง 2 พบกันและหลงรักกันในที่สุดโดยมีแม่ของพ่อหนุ่มจอมหวงแหนขัดขวางไปตลอดทาง
ผมรู้มาก่อนนานแล้ว (จาก Leonard Maltin) ว่ามันเป็นหนังดีมาก นักวิจารณ์ล้วนชื่นชมเลยเป็นใบบอกทางให้หนังทำเงิน แล้วกรุยทางไปยังเวทีรางวัลต่าง ๆ 2 นักแสดงหนุ่มสาวได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ แต่ไปไม่ถึงเวที Oscar ทั้งคู่ ผู้ที่ไปถึงและได้จับด้วยคือ Eileen Heckart จากบทแม่ผู้รักและปกป้องลูกชาย
ใน youtube มีฉากน้อยมาก
เพลงใน clip นี้ไม่เกี่ยวกับหนัง แต่ผมว่าเข้ากันดี
นอกจากหล่อแล้วยังร้องเพลงเพราะด้วย
ส่วนคุณแม่ผู้รักลูกไม่มีใครเอาฉากต่าง ๆ ของเธอมาลงนอกจาก 2 ฉากนี้
ตัวอย่างหนัง
ลืมบอกไปว่าหนังดัดแปลงมาจากละครเวที เลยเน้นที่บทสนทนาตามที่ควรจะเป็น เหตุการณ์ในเรื่องใช้เวลาแค่ 2 วัน ถ่ายทำแต่ในห้องพักซอมซ่อเสียกว่า 90% วิวทิวทัศน์มีจิ๊ดเดียว (San Francisco ในช่วงกลิ่นอายของฮิปปี้ น่าเดินทีเดียว เสียดายว่าโตพอออกอาละวาดไม่ทัน) แต่การแสดงของ 3 นักแสดงหลักรวมถึงความสดใสของ 2 หนุ่มสาว ทำให้หนังไม่น่าเบื่อหรือเลี่ยนแม้แต่วินาทีเดียว
ผมดู 2 รอบ รอบแรกมัวแต่ตะลึงกับหน้าหล่อ ๆ ผสมกับบุคลิกน่ารัก ๆ ของ EA เลยไม่รู้ว่าคุยอะไรกันบ้าง
รอบ 2 ค่อยมาจับรายละเอียด ถึงรู้ว่าคุณแม่นี่ปกป้องลูกทุกวิถีทางจากคนที่เธอคิดว่า ไม่ดี เธอไม่เคยปล่อยลูกเพราะรู้ว่าลูกอ่อนแอ ลูกก็เลยไม่มีความมั่นใจในตัวเอง การที่ลูกคิดย้ายออกมาอยู่ตามลำพังเพราะแฟนยุ พอยุสำเร็จก็เผ่นไปหาผู้ชายคนใหม่
พอรู้ว่าลูกมีผู้หญิงมาเกาะแกะอีก หนำซ้ำได้สัมผัสด้วยตัวเองด้วยว่าผู้หญิงเละเทะจริง ๆ เธอจึงสรุปโดยไม่รีรอว่าลูกฉันโดนราหูเข้าอีกแล้ว และสวมบท แม่เสือ ปกป้องลูกอีกครั้ง
สีหน้าของเธอตอนเห็นว่าลูกชายเจ็บปวดเมื่อถูกผู้หญิง (ที่เพิ่งพบกันแค่หนึ่งวันหนึ่งคืน) ทิ้งต่อหน้าต่อตา (เธอ) เพื่อจะไปอยู่กับผู้ชายคนใหม่ เห็นหน้าลูกชายที่พยายามกลั้นกลืนความเจ็บปวดเพราะแม่เตือนแล้ว แต่มันสุดจะทานไหวจึงร้องหาแม่เมื่อพบว่าตัวเองกำลังเคว้งคว้าง เห็นแล้วอยากร่วมร้องไห้ไปด้วย - อยากให้เห็นฉากนี้จัง การแสดงของ 2 แม่ลูกทำเอาตะลึงไปเลย
‘Mom, where are you?’
‘I’m here…’
อย่างไรก็ตาม หนังจบตามสูตรของหนังยุคโบราณ คนดูคงมีความสุข ถ้าผมได้มีโอกาสสร้างหนังเรื่องนี้ใหม่ ผมจะให้จบอีกแบบ แบบที่ตรงตามความเป็นจริง ทุกคนแฮปปี้กันหมด... เท่าที่จะแฮปปี้ได้ แม่ได้ลูกกลับมาดังเดิมแม้จะต้องปรับปรุงวิธี ‘มอง’ ลูกให้อยู่ในมุมมองของลูกก็ตาม ลูกแข็งแกร่งขึ้นจากประสบการณ์ซึ่งต่อไปถ้าเจอเรื่องแบบนี้อีกก็สามารถสู้ชีวิตได้ ส่วนผู้หญิงก็ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาตามสะดวกของตนต่อไป ไม่ต้องมารู้สึกผิดที่ไปทำร้ายจิตใจชาวบ้านเพราะนิสัยฉันป็นแบบนี้อ้ะ
ในเรื่องมีดาราประกอบอยู่คนที่พวกเราเห็นต้องคุ้นตาคือ Paul Michael Glaser ตอนนั้นเธอยังไม่ดัง มาดังในอีก 2-3 ปีต่อมากับบทครึ่งหนึ่งของคู่หูนักสืบในหนังทีวีชุด Starsky & Hutch หนังทีวีชุดนี้มาดังในบ้านเราด้วย แต่ PMG ไม่ดังเท่าอีกครึ่งคือ David Soul รายนี้สาว ๆ คลั่งไคล้กันมาก (วัดจากสาว ๆ ที่บ้านผม) แต่ผมว่าพอมาเห็นพร้อมกับ PMG แล้วหน้าเธอจืดสนิทเหมือนน้ำเปล่า (หมายเหตุ – DS เคยร้องเพลงดังสุดขีด 1 เพลงคือ Don’t give up on us (1976) โอ้... เพราะมาก ๆ)
กลับมาที่สุดหล่อ EA แม้จะไม่ได้รางวัล (ลูกโลกทองคำ) แต่เธอก็ยังได้จับ 1 ตัวจากสาขานักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม เธอเป็นดาราดังในช่วงข้ามคืนจากหนังเรื่องนี้ แต่ดวงทางการแสดงของเธอแย่ เพราะหลังจากเรื่องนี้เธอได้รับบทเด่นอีกเพียงเรื่องเดียวคือ 40 Carats (1973 – ฉายที่เครือสยาม – มิได้ดู ถ้าดูก็แก่แดดเกินไป) จากนั้นก็ไม่มีบทดี ๆ มาให้เล่นอีกเลย
หนำซ้ำในเวลาต่อมาพ่อของเธอซึ่งเป็นดาราใหญ่คนหนึ่งในยุคทองของฮอลลีวู้ดชื่อ Eddie Albert (ได้ชิง Oscar ถึง 2 ครั้ง) ก็ล้มป่วยด้วยโรคความจำเสื่อม EA จึงต้องสวมบทลูกกตัญญูดูแลซึ่งใช้เวลากว่า 10 ปีกว่าพ่อจะตายก็เลยไปถึงปี 2005 (อายุ 99)
เคราะห์กระหน่ำซ้ำเติม เพียงหนึ่งเดือนก่อนที่พ่อจะตายเธอก็พบว่าเป็นมะเร็งที่ปอดและตายในปีต่อมาด้วยวัยเพียง 55
เฮ้อ... พ่อคุณ
(EA มี Background ที่เยี่ยมมาก เคยเรียนที่ Oxford U. แต่ไปจบที่ UCLA (ในวัย 21 ปี) สมัยนั้นหาลูกดาราใหญ่จบระดับมหาวิทยาลัยได้น้อยมาก ส่วนใหญ่เละเทะเพราะพ่อแม่ดัง)
ผมจำได้ราง ๆ ว่าช่วงที่หนังลงโรงฉาย SP ลงรูปทั้งสีและขาวดำของเธออยู่ 2-3 ฉบับ แต่ไม่เห็นสาว ๆ ที่บ้านจะสนใจเท่าไร พวกเธอมัวแต่คลั่งไคล้ David Cassidy ในหนังทีวีชุด คุณแม่เรือพ่วง (The Partridge Family)
ผมมีควันหลงจากเรื่องนี้...
หลังจากดูจบ ผมก็โทร. ไปเล่าให้เพื่อนสาวฟังและให้เธอช่วยดูหนังเพื่อยืนยันว่า EA หล่อตามที่ผมคิดรึเปล่า
อีกไม่กี่วันแม่เพื่อนสาวก็โทร. กลับมารายงาน เธอเสริมว่า
‘... ถ้ามีชั้นอยู่ในเรื่อง นังโกลดี้ ฮอว์นไม่มีทางได้แอ้มไอ้หนุ่มนี่หรอก’
ผมหัวเราะก๊ากแล้วพูดความจริงว่า ‘ฝันแกหวานจัง โกลดี้ ฮอว์นเค้าสวยกว่าแก 40 เท่า’
เพื่อนสาวแย้งว่า ‘แต่ นม ชั้นโตกว่า’
ผมฟังแล้วก็เกิดความงง ‘เกี่ยว ‘ไร ด้วยวะ’
‘อ้าว... ก็ไอ้หนุ่มมันตาบอดใช่มั้ย แต่มือมันไม่ได้กุดนี่ ใครจะแน่กว่ากันล่ะฮึ’ เพื่อนสาวอธิบาย
ผมอึ้งไปชั่วขณะเพื่อนึกภาพฉากนั้นในหนัง ก่อนจะตอบว่า ‘เออแฮะ... จริงของแก’
ยังเหลืออีกนิ้ด