ส่วนใหญ่มักจะพูดถึงเจ้านายหรือข้าราชการที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในตอนนั้นสักเท่าไหร่ เลยอยากทราบว่าตอนนั้นผู้คนรู้สึกกันอย่างไร มีความรู้สึกยังไงกับเหตุการณ์นี้ มองว่าเป็นประโยชน์หรือโทษมากกว่า
ในช่วงต้นของการพยายามจะเป็นประชาธิปไตยแต่ยังล้มลุกคลุกคลานอยู่(๒๔๗๕-๒๔๘๑) ผมประเมินภาพรวมว่า ประชาชนแบ่งออกเป็นสองกลุ่มครับคือกลุ่มที่ไร้การศึกษา กับกลุ่มที่มีการศึกษา
กลุ่มที่ไร้การศึกษานั้นไม่ต้องพูดถึง ประชาชนพวกนี้สนใจแต่เรื่องทำมาหากินไปวันหนึ่งๆ เรื่องอื่นๆที่ไกลตัวออกไป ส่งผลกระทบไม่ถึงก็ไม่สนใจ และรัฐบาลก็ยังไม่มีปัญญาที่จะเข้าไปดำเนินนโยบายประชานิยมได้ ความรู้สึกของคนจึงเป็นแบบเดิมๆ
กลุ่มที่มีการศึกษา แต่ไม่มีผลกระทบกับเรื่องผลประโยชน์ทั้งทางตรงหรือทางอ้อม ก็คงไม่มีความรู้สึกในเชิงบวกหรือลบรุนแรง ส่วนใหญ่จะเข้าใจดีว่าระบอบราชาธิปไตยเป็นระบอบที่ล้าสมัยแล้ว วันหนึ่งจะต้องเปลี่ยนแปลงไม่ช้าก็เร็ว หากจะเป็นไปแบบใดเท่านั้น โชคดีที่การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นมิได้ทำให้เกิดเหตุการณ์นองเลือด คนส่วนใหญ่จึงพยายามมองโลกว่าสวยต่อไป
ครั้นเมื่อประชาธิปไตยกลายพันธุ์เป็นคณาธิปไตย ตั้งแต่ ๒๔๘๑ไปจนยุคญี่ปุ่นบุก นายกรัฐมนตรีตั้งตนเองเป็นผู้นำ ทำตนเป็นราชาที่ไม่สวมมงกุฎขึ้นมา คนจึงเริ่มจะคิดถึงพระราชาที่แท้จริงมากขึ้น
ก็อีกนั่นแหละครับ ไม่ใช่ทั้งหมด นักการเมืองและสมุนบริวารที่มีผลประโยชน์จากการเมืองในยุคนั้นก็ย่อมจะคิดต่าง