เรือนไทย

General Category => ภาษาวรรณคดี => ข้อความที่เริ่มโดย: เอ๋อคุง ที่ 15 มี.ค. 06, 23:34



กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: เอ๋อคุง ที่ 15 มี.ค. 06, 23:34
ทำไมคนไทยถึงทำตัวเป็นพวกเด็กหัวนอก

ในประเทศไหยมีภาษาใช้เป็นสิบภาษาทำไมไม่เรียน
ภาษาท้องถิ่นก็มี เรียนกันเข้าไปดิ
มัวแต่เห่อภาษาพวกที่เข้ามาปล้นแผ่นดินไทย เจริญพร...
ช่วยกันรักษาภาษาท้องถิ่นไว้ดิ
ภาษาที่ปู่ย่าตายายช่วยกันรักษามากะแผ่นดินไทยอ่ะ

ประเทศไทยมันล้าหลัง ล้าสมัยมากรึไง แห่กันไปเรียนเมืองนอก

....ใครมีเหตุผลเพียงพอช่วยตอบหน่อยคับ


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 16 มี.ค. 06, 00:10
 เอาไงดีล่ะ

มันเป็นธรรมชาติของคน "สยาม" มาตั้งแต่อยุธยาตอนกลางเป็นอย่างน้อย

ของใช้ทุกชนิด ต้องสั่งเข้ามาใช้จากต่างประเทศ ตั้งแต่ของใช้ในชีวิตประจำวัน จาน ชาม กับข้าว ขนม ผ้านุ่ง ผ้าห่ม ถึงได้มีชื่อแปลกๆ แปลเป็นภาษาไทยก็ไม่ได้ นักประวัติศาสตร์ต้องมานั่งแปลแล้วแปลอีก สันนิษฐานกันไปต่างๆนานา

จนรัตนโกสินทร์ การเดินทางสัญจรยิ่งดีขึ้น ผู้ชายก็ตัดเสื้อตามแขก เรียกซะว่า "ราช แพทเทิร์น" ตั้งเสาโทรเลขก็เรียก "เตเลแกรม" มีวิศวะกรก็เรียก "อินจิเนีย" แต่พูดไม่ชัดซักคำ มันก็เลยออกมาเป็น ราชแปตแตน ตะแล๊บแก๊บ อินทาเนีย เหมือนที่เรียกกันอยู่ทุกวันนี้

แล้วคุณเจ้าของกระทู้จะบ่นทำไมครับ ถ้าวัยรุ่นไทยอยากรับวัฒนธรรมต่างชาติบ้าง ทีสมัยอยุธยาคนไทยยังใส่เสื้อญี่ปุ่นเป็นแพรหนามขนุนได้ แล้วทำไมคนไทยวัยทีนจะแต่งตัวตามสาวญี่ปุ่น นุ่งกระโปรงเหมือนผ้าขี้ริ้ว ใส่รองเท้าบู๊ตสูงๆ ใส่ถุงเท้าหลวมๆ ทำผมทรงหลังจุดสุดยอด หรือพูดไทยคำต่างประเทศคำไม่ได้ล่ะครับ คุณเจ้าของกระทู้



ปล. ตอบกระทู้ซะแรงเชียวผม


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: B ที่ 16 มี.ค. 06, 04:08
 ไม่มีเวลาพูดประเด็นอื่น เพราะกำลังทำหน้าที่ของนักเรียน (นอก) ตามความต้องการของรัฐบาลไทย

ขอพูดประเด็นเดียวว่า ถ้าคุณ รักและรักษ์ ภาษาไทยอย่างที่คุณแสดงท่าทีออกมา เริ่มจากตัวคุณเองก่อนดีไหมคะ ก่อนที่จะมีหน้าไปวิจารณ์คนอื่น?

ดิ อ่ะ คับ นี่ ไม่น่าจะเป็นภาษาเขียนของคนที่ประกาศตัวว่าต้องการรักษาภาษาของปู่ย่าตายายนะคะ คุณเอ๋อคุง


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 มี.ค. 06, 08:29
คำว่า เอ๋อคุง นี่ภาษาถิ่นไหนของไทยคะ  

คุณรู้ไหมว่าชื่อจริงและนามสกุลจริงของคุณ ไม่ใช่ภาษาไทย
เป็นภาษาแขกทั้งหมดทุกคำเลยค่ะ


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: i'm boring ที่ 16 มี.ค. 06, 09:32
เรื่องภาษานะครับ ผมคิดว่าที่คุณว่าภาษานอกน่าจะหมายถึงภาษาอังกฤษ แต่อย่าลืมไปนะครับว่าภาษาไทยยังมีคำที่มาจาก บาลี สันสกฤษ ภาษาจีน และอื่นๆ เต็มไปหมด
สำหรับผม รู้สึกว่าคำของภาษาลาวนั้นเรียบง่าย ให้ความรู้สึกของไทยแท้มากกว่าภาษาไทยอีก พอดีมีโอกาสฟังภาษาลาวจากช่องทีวีลาว

ส่วนเรื่องเรียนนอกนะครับ นโยบายของรัฐ และค่านิยมของสังคม ปีปีหนึ่งรัฐบาลให้ทุนส่งคนไปนอกเยอะมากเพื่อเรียน ปริญาโท ปริญาเอก เสียเงินเสียทองไปมาก บางหน่วยงานก็เอาจำนวนทุนที่ให้นี้เป็นผลงานมันงี่เง่ามั้ยครับ ให้เงินคนไปเรียนยังเรียนไม่จบไม่ได้มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันก็อ้างว่าเป็นผลงานของหน่วงงานเรา ปีนี้เราสามารถส่งเด็กไปเรียนนอกได้กี่คน
ผมอยากยกตัวอย่างการศึกษาในบางประเทศ เช่นประเทศญี่ปุ่น นักวิชาการมักจะจบการศึกษาขั้นสูงในประเทศ เช่นระดับปริญญาเอก หลังจากนั้นคนจำนวนหนึ่งก็นิยมไปทำงานหาประสบการณ์ในต่างประเทศด้วยการทำงานวิจัยหลังปริญญาเอก จะเห็นว่าประเทศชาติมิต้องสูญเสียเงินออกในรูปค่าเรียนแล้วและยังไม่ต้องเสียเงินให้ฝรั่งในการสอบโทเฟิลที่ต้องสอบแล้วสอบอีก แถมยังได้เงินเข้าประเทศในรูปแรงอีกด้วย หลังจากทำงานหาประสบการณ์อยู่หลายปีก็กลับมาสร้างสรรคผลงานให้กับประเทศชาติได้เลยเพราะประสบการณ์มาแล้ว และผลิตนิสิตนักศึกษาที่มีคุณภาพให้กับประเทศรุ่นต่อๆไป
ต่างกับประเทศไทย รัฐบาลชอบเสียเงินให้ทุนเรียน พอจบปริญาเอกกลับมาก็ต้องทำงานใช้ทุนเลย ต้องทำงานสอน หรือทำวิจัยกันเลย โดยมิได้มีการหาประสบการณ์ทำงานวิจัยหลังปริญญาเอกเหมือนนักวิชาการต่างประเทศ เงินเดือนบ้านเรามันก็น้อยไม่พอใช้จ่าย ดังนั้นต้องหาเวลาพิเศษไปรับงานนอกจึงไม่สามารถทำงานในตำแหน่งได้เต็มที่ ทำให้ไม่สามารถผลิตนิสิต นักศึกษา ในระดับสูงที่มีคุณภาพ ได้พอแก่การต้องการ
นี่เป็นเพียงเหตุผลหนึ่งนะครับ


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 มี.ค. 06, 09:59
 เดี๋ยวคุณจ้อ ก็อาจจะเข้ามาตอบ     คุณภูมิก็อาจจะแวะเข้ามาด้วย  
ดิฉันเองขอตอบย่อๆว่าเรื่องที่คุณน่าเบื่อพูดนั้น ไม่จริง
หรือจริงเพียงส่วนเดียวก็แล้วกัน  แต่ไม่ใช่จริงทั้งหมด


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: บัวอื่น ที่ 16 มี.ค. 06, 10:45
 เอ๋อคุง ถ้าคุณจะเป็นห่วงการใช้ภาษาไทยก็พอเข้าใจ แต่เอาน่า อย่าเกรี้ยวกราดนัก และเท่าที่ฟังไม่ใช่แค่ภาษาหรอกที่คุณต่อต้าน

ภาษาหรือสิ่งที่ดีๆมีมานานมันก็ควรรักษาหรือเห็นค่า แต่มันต้องขนาดไหนกันรึ คุณต้องการให้เค้าต้องแสดงออกต่อการเป็นไทย เอ่อ การใช้ภาษาไทยนั้นล่ะ มากขนาดไหน

มันมีการเปลี่ยนแปลง อะไรๆมันก็ไม่เที่ยง ไปบังคับให้ได้อย่างใจคุณไม่ได้หรอก

เห็นคุณถามหาเหตุผล สักข้อจากเรานะ ถ้ารู้ภาษาต่างชาติมากๆ มันช่วยให้เราทำลายกำแพงของการเรียนรู้ได้นะ ถ้าจะรู้ภาษาพวกนั้นแล้วไม่ได้ทำให้ไทยเสื่อมมันก็ทำได้นี่นา

ว่าแต่ขอเหตุผลคุณหน่อยซิว่า ไปเรียนภาษาอื่นๆ มันมีอะไรเสียหายนักในความคิดคุณ
       เอาน่า...โอเลี้ยงสักเเก้วมั๊ย


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: i'm boring ที่ 16 มี.ค. 06, 11:00
 สำหรับความเห็น 5
ไม่ทราบผมเข้าใจภาษาไทยถูกหรือไม่ครัย ว่า "ไม่จริง" กับ "จริงส่วนเดียว" มันต่างกันครับ ถ้าเข้าใจผิดก็โปรดสั่งสอนด้วยครับ

และก็อย่างที่ผมบอกและครับนั่นเป็นเพียงเหตุผลหนึ่งเท่านั้นเอง เหตุผลงี่เง่าอย่างอื่นที่ทำให้ไม่พัฒนามีอีกมาก ผมคงสาธยายได้ไม่หมดครับ และตัวอย่างที่ผมยกมา ก็เป็นเพียงมุมมองของผมที่มีต่อนักวิชาการไทย แต่ก็คงไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแบบนี้หรอกครับ เพราะถ้าทุกคนเป็นแบบนี้ประเทศชาติก็ล่มจมไปแล้วครับ เพียงแต่ผมเห็นคนจำนวนมากที่เป็นแบบนี้


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 มี.ค. 06, 11:34
 ที่ตอบไปว่า"จริงส่วนเดียว"คือตอบอย่างอะลุ้มอล่วย ถนอมน้ำใจ    ที่จริงอยากจะบอกว่า ไม่จริง มากกว่า ค่ะ
เพราะเห็นว่าถึงคุณออกความเห็นอะไรที่น่าเบื่อหลายอย่าง (ในความคิดดิฉัน)แต่ก็ยังน่าสนทนาด้วย เพราะรู้จักขอโทษและใช้ถ้อยคำสุภาพในตอนท้ายบ้าง
รอคนอื่นก่อนนะคะว่าเขามีความเห็นว่ายังไง


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 16 มี.ค. 06, 12:30
 1) .......บางหน่วยงานก็เอาจำนวนทุนที่ให้นี้เป็นผลงานมันงี่เง่ามั้ยครับ ให้เงินคนไปเรียนยังเรียนไม่จบ

ไม่ได้มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันก็อ้างว่าเป็นผลงานของหน่วงงานเรา ปีนี้เราสามารถส่งเด็กไปเรียนนอกได้กี่คน



พันธกิจของบางองค์กรระบุชัดว่า "จะต้องสร้างคน" ดังนั้น KPI ของการสร้างคนก็คือ จำนวนทุน Ph.D. or Master's

เพื่อหวังให้มหาบัณฑิต หรือ ดร. ทั้งหลายกลับมาสอน/และหรือทำงานวิจัย ควบคู่กัน คุณคงรู้จัก "Multiplier effects"

ลงทุนซื้อเทียน 1 เล่ม เพื่อให้เทียนเล่มนี้ไปต่อเชื้อให้เทียนอีก 1 พันเล่ม สว่างขึ้นมา



การคัดเลือกคนไปเรียน นอกจากจะคัด "มันสมอง" แล้ว ก็ยังทดสอบ "ทัศนคติ" ผ่านแบบสอบถาม

และการสัมภาษณ์ เพื่อหวังให้ได้บุคคลากรที่จิตวิญญาณมากที่สุด แต่อย่างว่า คนเรารู้หน้า ไม่รู้ใจ

 คัดแทบเป็นแทบตาย บางครั้งยังได้คนฉลาดแต่ขายชาติ ขายแผ่นดิน หลงเข้ามา ถ้าเราคัดคนเข้ามา 100 คน

 เจอดีๆ 95 คน ก็น่าพอใจแล้ว



2) การทำ Postdoc นั้น อาจไม่ต้องทำทันทีหลังเรียนจบ บางที young scientist ก็เรียนรู้จาก Sr scientists

ในห้องแลบที่ทำงานเหมือนกัน นี่ก็เป็น postdoc อย่างหนึ่ง ที่ทราบเพราะที่ทำงานมีนักวิทยาศาสตร์

จบ Ph.D. 600 คน



3).......จะเห็นว่าประเทศชาติมิต้องสูญเสียเงินออกในรูปค่าเรียนแล้วและยังไม่ต้องเสียเงินให้ฝรั่ง

ในการสอบโทเฟิลที่ต้องสอบแล้วสอบอีก



คุณยกตัวอย่างญี่ปุ่นมา ก็ขอยกตัวอย่างญี่ปุ่นกลับ ในโลกไร้พรมแดน มนุษย์เราต้องติดต่อสื่อสารกัน

ด้วยภาษากลางที่เข้าใจกัน เช่น ภาษาอังกฤษ เห็นมานักต่อนัก แล้วคนญี่ปุ่นที่มาทำ Postdoc  ตอนแก่

เขาเขียนเปเปอร์ภาษาอังกฤษ เป็นก็จริง แต่เจรจาพาทีไม่รู้เรื่อง บางทีเคยสะกิดเพื่อนให้รีบวิ่งหนี เพราะญี่ปุ่น

คนหนึ่งเปิดประตูห้องออกมาทำท่าจะทักทาย ฟังเขาพูดไม่รู้เรื่อง หรือพูดประโยคเดียว 5 นาทีถึงจะฟังรู้เรื่อง

บางที อยากกระโดดตึกตายหากต้องไปฟัง presentation ที่คนญี่ปุ่นบางคนพูดอังกฤษ



ป่วยการ...รู้แล้ว present ให้คนอื่นฟังไม่ได้





.....และยังไม่ต้องเสียเงินให้ฝรั่งในการสอบโทเฟิลที่ต้องสอบแล้วสอบอีก



เอาเถอะค่ะในเมื่อเราต้องใช้ภาษาของเขา เราก็ต้องเคารพกฎเกณฑ์ คือสอบให้ผ่านเกณฑ์ของเขา

 การเสียเงินในการสอบเป็นการทำให้เงินตรารั่วไหลก็จริง แต่ก็คงไม่ทำให้ประเทศชาติเจ๊ง หากไป

 offset กับอย่างอื่นที่เรา gained คืนมา



4) คุณน่าเบื่อในมุมมองของดิฉัน เป็นคนพวกเดียวกับ Friedrich Nietzsche



ว่างๆอยากแนะนำให้อ่านหนังสือเรื่อง Lunar Park ค่ะ

Bret Easton Ellis: “I don’t want to talk about myself at all. I’m not going to offer up anything.

 I’m not smart or interesting. I’m boring. I’m tame.”


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: i'm boring ที่ 16 มี.ค. 06, 12:32
 ขออภัยความเห็นที่ 8 นะครับ  ถ้าจะขอเขียนตรงๆนะครับ

ไม่ต้องมาถนอมน้ำใจหรอกครับ แค่แสดงความเห็นอย่างปราศจากอคติ และมาจากความคิดเห็นและตัวตนที่แท้จริง ผมก็พอใจแล้วครับ

ที่จริงผมเองพอใจกับคำว่าไม่จริงมากกว่า และผมอยากรู้ว่าเรื่องไหนไม่จริง

1 มีหน่วยงานเกี่ยวกับการให้ทุน เอาจำนวนเด็กที่ส่งไปเรียนเป็นผลงาน ไม่ทราบอันนี้จริงมั้ยครับ
2 คนจบปริญาเอกส่วนใหญ่กลับมาทำงานไม่ได้ทำงานหลังปริญาเอก เรื่องจริงมั้ยครับ
3 มีนักวิชาการจำนวนมาก รับงานนอก เป็นอาจารย์พิเศษตามที่อื่น เป็นที่ปรึกษาตามบริษัท หรือเปิดสอนพิเศษ จริงมั้ยครับ
4 หรือสุดท้าย ถ้าเรื่องทั้งหมดเป็นจริงมัน เรื่องพวกนี้ก็ไม่เห็นมีผลกระทบการศึกษาไทยตรงไหน ก็ยังมีคุณภาพดีอยู่

ถ้าจะกรุณาขอให้ตอบตามความเห็นอย่างแท้จริง ผิดก็ว่าผิด ถูกก็ว่าถูกครับ


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: Peking Man ที่ 16 มี.ค. 06, 12:33
 อืม...อ่านแล้ว ผมขอตอบตามนี้

ผมอาจจะต้องเล่นแร่แปรธาตุ ขอแยกประเด็นที่คุณ เอ๋อคุง กล่าวไว้ดังนี้

ประเด็นแรก "ทำไมคนไทยถึงทำตัวเป็นพวกเด็กหัวนอก" โดยที่คุณขยายความไว้ว่า

"ในประเทศไหยมีภาษาใช้เป็นสิบภาษาทำไมไม่เรียน
ภาษาท้องถิ่นก็มี เรียนกันเข้าไปดิ
มัวแต่เห่อภาษาพวกที่เข้ามาปล้นแผ่นดินไทย เจริญพร...
ช่วยกันรักษาภาษาท้องถิ่นไว้ดิ
ภาษาที่ปู่ย่าตายายช่วยกันรักษามากะแผ่นดินไทยอ่ะ"

ก่อนอื่นผมต้องขอถามว่า การเรียน "ภาษาที่ไม่ใช่ภาษาไทย" นั้นเป็นการแสดงถึงความเป็นเด็กหัวนอกตรงไหน?

สิ่งที่เราควรจะทำความเข้าใจก่อนคือ "เด็กหัวนอก" หมายความว่าอะไร?

ในความเข้าใจส่วนตัวของผม ผมไม่เห็นว่า การไปเรียนต่างประเทศ หรือเรียนภาษาต่างปรระเทศ จะทำให้คนเป็นคน "หัวนอก" ผมมองว่าความ "หัวนอก" ที่คุณ เอ๋อคุง กล่าวอ้างถึง เป็นผลโดยตรงของกระบวนการเรียนแบบไร้สติ และหลงมองว่า ของคนอื่น นั้นดีกว่าของที่เรามีอยู่เสมอ
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ผมว่ามันไม่เกี่ยวกับการที่คนไทยจะสนใจเรียนภาษาต่างประเทศ หรือว่า การไปเรียนต่อต่างประเทศเท่าใดนัก

ผมไม่ขอแย้งว่า ในฐานะคนไทย เรานั้นควรให้ความสำคัญกับภาษาไทย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า
คนไทยไม่สามารถที่จะสนใจภาษาอื่นนะครับ

จากประสบการณ์ส่วนตัวผมมองว่าการที่เราได้เรียนรู้ถึงโลกภายนอกมากเท่าใด
เราก็ยิ่งที่นำความรู้นั้น ๆ (ซึ่งแน่นอนส่วนหนึ่งได้มาจากการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศไม่มากก็น้อย)มาเปรียบเทียบและสะท้อนให้เรา
มองเห็นสาระ ความเป็นไทยได้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น

ด้วยสาเหตุนี้เอง ผมจึงมองว่า สิ่งที่คุณ เอ๋อคุง กล่าวนั้นเป็นคำพูดที่มองจากมุมมอง และโลกทัศน์ที่ค่อนข้างปิด แคบ และ แสดงให้เห็นว่าตัวคุณเองยังไม่เข้าใจว่านิยามของ "เด็กหัวนอก" คืออะไรและมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
 
ประเด็นที่สอง "ประเทศไทยมันล้าหลัง ล้าสมัยมากรึไง แห่กันไปเรียนเมืองนอก" สำหรับผมแล้ว ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการที่คุณ เอ๋อคุง ยัดเยียดว่าสาเหตุ และ แรงผลักดันของการไปเรียนต่อในต่างประเทศนั้นเป็นเพราะความ "ล้าสมัย" เนื่องด้วยความคลุมเครือ ความล้าสมัย อย่างที่ทุกท่านก็ทราบดีมีอยู่หลายอย่างและหลายรูปแบบ ณ ที่นี้ สำหรับการพูดคุยต่อไป ผมก็ต้องขอให้คุณ เอ๋อคุง ช่วยชี้แจงด้วยนะครับว่าคุณหมายความถึงความล้าสมัยในมิติไหน?

โดยส่วนตัว ในด้านที่ผมเรียนอยู่ตอนนี้ผมต้องขอกราบเรียนโดยตรงว่า "ในด้านความรู้ทางวิชาการเกี่ยวกับการเมืองท้องถิ่นของสาธารณรัฐประชาชนจีน" ไม่ว่าในภาครัฐหรือเอกชนยัง "ไม่พร้อม" อยู่มาก เพราะว่า หนึ่ง ขาดคณาจารย์ หรือผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความรู้ทางด้านนี้โดยตรง สอง ความขาดแคลนทางด้านหนังสือ และฐานข้อมูลต่าง ๆ ฯลฯ

ด้วยสาเหตุนี้ผมว่าเพื่อเพิ่มความเข้าใจในประเทศจีนให้มากขึ้น ผมมองว่า การที่ต้องไปเรียนต่างประเทศนั้นสำคัญ และจำเป็นมากครับ

ผมขอย้ำอีกครั้งนะครับว่า การไปศึกษาต่อในต่างประเทศมิได้มีสาเหตุมาจากความ "ล้าสมัย" หากแต่เป็นเพราะความ "ไม่พร้อม" ครับ นอกจากนั้นแล้วดั่งที่ผมได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว การเรียนภาษาต่างประเทศของคน ๆ หนึ่งก็ใช่จะหมายความว่าคน ๆ นั้นไม่รักความเป็นไทยและเป็นพวก "เด็กหัวนอก"

นอกจากนั้นแล้วผมขอถามความเห็นของคุณเอ๋อคุงสักนิดหนึ่ง การใช้ภาษาไทยของคุณในกระทู้นี้ คุณเห็นว่ามันสะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจ "ภาษาไทยที่ดี" ของคุณมากน้อยเพียงใด?


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 มี.ค. 06, 12:57
 "ไม่ต้องมาถนอมน้ำใจหรอกครับ แค่แสดงความเห็นอย่างปราศจากอคติ และมาจากความคิดเห็นและตัวตนที่แท้จริง ผมก็พอใจแล้วครับ "

ฝูงชนกำเนิดคล้าย................คลึงกัน
ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ..........แผกบ้าง
ความรู้อาจเรียนทัน...............กันหมด
ยกแต่ชั่วดีกระด้าง................อ่อนแก้ฤๅไหว

รอคนอื่นมาแสดงความคิดเห็นก่อนนะคะ   ตอนนี้ยังไม่อยากตอบคุณ


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: Peking Man ที่ 16 มี.ค. 06, 13:02
ต้องขอโทษที่พิมพ์ผิด หรือ ขาด ๆ เกิน ๆ บ้าง



ผมอ่านความคิดเห็นของคุณ  i'm boring แล้ว คำถาม สี่ ข้อที่ท่านถามนั้น ผมขอตอบดังนี้



ข้อหนึ่ง ผมไม่ทราบ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น ผมก็รู้สึกเสียดายแทน



แต่ว่าสามารถถกเถียงกันได้ในประเด็นที่ว่า "ใครควรจะได้รับทุน"



โครงการหนึ่งทุนหนึ่งตำบลเป็นกรณีตัวอย่างดีว่าทุนการศึกษาของรัฐบาลนั้นควรจะให้กับบุคคลที่มีความสามารถมากที่สุด (โดยผู้ที่รับทุนจะต้องกลับมาทำงานก่อประโยชน์ให้กับประเทศไทยโดยผ่านกลไกของรัฐ)หรือว่าจุดมุ่งหมายสูงสุดคือการกระจายทุนไปให้กว้างที่สุดทุก-ตำบล (โดยผู้ที่รับทุนมีข้อแม้ว่าเมื่อเรียนจบแล้วต้องกลับมาทำงานที่ประเทศไทย)



ข้อสอง ที่ท่านว่า "คนจบปริญาเอกส่วนใหญ่กลับมาทำงานไม่ได้ทำงานหลังปริญญาเอก" ผมขอให้ท่านช่วยขยายความหน่อยนะครับว่าท่านพยายามจะสื่ออะไร? เราจะได้พูดคุยกันได้อย่างไม่สับสน



ข้อสาม สำหรับข้อนี้ผมขอตอบว่าเป็นความจริง แต่ ผมขอย้ำในต่างประเทศ นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา และก็ใช่ว่าการทำเช่นนี้จะทำให้คุณภาพของงานของอาจารย์หลาย ๆ ท่านตกลง



ข้อสี่ คุณภาพของการศึกษาไทย ถ้าสามารถวัดได้โดยการตอบปํญหาสี่ข้อนี้ การแข้ไขปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ในภาคการศึกษาไทยคงง่ายกว่านี้เยอะ



ผมขอหยุดตรงนี้ก่อน ก่อนที่ผมจะออกทะเลไปไกลกว่านี้


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 16 มี.ค. 06, 13:05
 ไม่ได้แวะมาสักพัก ความเห็นนี้ก็ยาวเฟื้อยเสียแล้วครับ
ผมขอตอบทีละประเด็น ๆ
1. ประเด็นของคุณคนน่าเบื่อ
ผมมองว่า คุณมีความคิดนอกกระแส แต่ไม่ได้ถึงขนาด Friedrich Nietzsche เพราะคุณมักจะยกตัวอย่างประกอบเสมอ
ส่วนเรื่องอื่น ผมขอพูดคราวหลังครับ


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: i'm boring ที่ 16 มี.ค. 06, 13:20
 ขอบคุณความเห็น 9 ที่ช่วยชี้แจง
ผมเองยอมรับในข้อที่ 1
ส่วนข้อสองผมคงไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ เพราะว่าในเมืองไทยบางคนจำนวนมากจบกลับมาก็ทำงานสอนหนังสือ และจะทำวิจัยเลย ที่จริงแค่สอนหนังสือให้ดีอย่างเดียวก็หนักแล้วสำหรับอาจารย์ใหม่ ผมเองนับถือบรรดาอาจารย์ที่สามารถสร้างผลงานวิจัยและวิชาการที่มีคุณภาพภายใต้ระบบที่เป็นอุปสรรค์นี้จริงๆ
ส่วนข้อ3 ก็คงไม่เห็นด้วยอีกนั่นแหละครับ จริงอยู่ที่คนญี่ปุ่นส่วนมากพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เรื่อง แต่ถ้าเขาเป็นคนที่มีผลงานที่ดีมีคุณค่าจริง หรือไม่ก็เป็นคนดัง ก็จะมีคนรุมตั้งคำถามและอยากที่จะคุย สนใจพยายามที่จะฟังถึงฟังไม่ค่อยออกก็จะใช้ความพยายาม ผมจึงไม่ค่อยเห็นด้วยอย่างมากในการดูถูกคนที่ใช้ภาษาได้ไม่ดี ถ้าผลงานของเขาไม่ดีหรือเป็นคนนิสัยไม่ดีก็อีกเรื่อง
ถ้าไม่เป็นการรบกวนนะครับช่วยออกความเห็น ว่าทำไมเมืองไทยถึงไม่สามารถผลิตนักศึกษาในระดับปริญาเอก ในสาขาที่บ้านเมืองต้องการได้ และทำไมถึงส่งไปต่างประเทศ ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เกือบร้อยปีแล้วในแต่ละปียังถึงต้องส่งไปอีกจำนวนมากอยู่ทุกปี
ถ้าผมคิดเห็นไม่ค่อยถูกต้องผมเองก็อยากรู้ว่าที่จริงเป็นอย่างไร


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 16 มี.ค. 06, 13:23
 ค.ห. 14
ตรรกะของคุณศรีปิงเวียง ดูไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผลเลย เช่นกล่าวถึงคุณน่าเบื่อว่าไม่ได้เหมือน นิทเช่
เพราะ "คุณมักจะยกตัวอย่างประกอบเสมอ" ถ้าเขียนอย่างนี้แปลว่า นิทเช่ไม่ได้ยกตัวอย่างประกอบน่ะซีคะ

ไงๆขอชม คุณศรีปิงเวียง ว่าเวลาเขียนหนังสือ แล้วคุณลดการใช้เครื่องหมายวงเล็บ ทำให้อ่านได้รื่นขึ้น
และลดทอนโทนเสียงแห่งการประชดประชัน ยอกย้อนได้มากทีเดียวค่ะ


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: จ้อ ที่ 16 มี.ค. 06, 13:34
 ความจริงไม่อยากออกความเห็นหรอกครับ ให้เหตุผลไปก็จะหาว่าผมอยากเอาชนะคะคานกัน และมันก็น่าเบื่อมากที่ต้องมานั่งอธิบายยาวๆ ให้อีกฝ่ายที่มีคำตอบของตัวเองอยู่แล้ว คือผมว่ามันเสียเวลานั่งคิดเลขของผมน่ะครับ แต่เอาเถอะครับ ผมจะพยายามตอบให้

1 มีหน่วยงานเกี่ยวกับการให้ทุน เอาจำนวนเด็กที่ส่งไปเรียนเป็นผลงาน ไม่ทราบอันนี้จริงมั้ยครับ

หน่วยงานไหนล่ะครับ ช่วยบอกชัดๆ แต่ถึงจะมีผู้บริหารที่เอาจำนวนเด็กที่ส่งไปเรียนเป็นผลงานจริง แต่การที่คุณจะไป Stereotype ว่าองค์กรส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้นมันคงจะไม่ค่อยยุติธรรมนัก

2 คนจบปริญาเอกส่วนใหญ่กลับมาทำงานไม่ได้ทำงานหลังปริญาเอก เรื่องจริงมั้ยครับ

เคยเป็นเรื่องจริงแต่ปัจจุบันไม่ใช่แล้วครับ ทุนรัฐบาลหลายๆทุนก็เปิดโอกาสให้นักเรียนทุนสามารถทำ Postdoc หลังจบการศึกษาได้อย่างน้อย 2 ปี (ตัวอย่างก็อย่างเช่น ทุน พสวท.) นักเรียนส่วนใหญ่ถ้าไม่มีภาระที่ต้องรีบกลับ เช่น มีบิดามารดาที่ต้องรีบกลับมาดูแล และสามารถหาตำแหน่ง Post Doc ได้ เขาก็มักจะทำกัน

จริงอยู่ถ้านักเรียนทุนได้ทำ Post Doc หลังจบปริญญาเอกจะทำให้เขามีประสบการณ์มากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไม่เคยทำ Post Doc จะไร้ซึ่งประสบการณ์ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้  หน่วยงานต่างๆมีการสนับสนุนอาจารย์หรือนักวิจัยที่พึ่งจบกลับมาอยู่แล้ว ทั้งในรูปของเงินทุน หรือ โอกาส เช่น ถึงไม่ได้ทำ Post Doc แต่ก็ยังมีโอกาสไปฝึกทำวิจัยต่างประเทศ แต่แน่นอนว่าคุณจะเอาให้ทุกอย่างได้ดังใจน่ะมันเป็นไปไม่ได้ ประเทศเรายังจนมีงบประมาณจำกัด จะเอามาทุ่มให้วิทยาการอย่างเดียวเลยมันก็คงไม่เหมาะ และอีกอย่างการทำวิจัยไม่ใช่มีแค่เงินแล้วคุณจะเสกทุกอย่างขึ้นมาได้ มันต้องใช้เวลา และ อีกหลายๆปัจจัยซึ่งอาจจะทำให้เกิดขึ้นในเมืองไทยไม่ได้เลยก็ได้ สิ่งสำคัญที่ควรทำคือใช้โอกาสที่มีให้ดีที่สุดจะดีที่สุดจะดีกว่า ไม่ใช่เรียกร้องหาแต่โอกาส

3 มีนักวิชาการจำนวนมาก รับงานนอก เป็นอาจารย์พิเศษตามที่อื่น เป็นที่ปรึกษาตามบริษัท หรือเปิดสอนพิเศษ จริงมั้ยครับ

ถ้าจริง ... แล้วมันผิดตรงไหนหรือครับ ถ้าสิ่งที่เขาทำไม่ทำให้หน้าที่ๆได้รับมอบหมายบกพร่อง? คนเรามีสิทธิที่จะเลือกชีวิตของเขา สมมุติถ้าเขาไม่มีเงินเลี้ยงครอบครัว คุณจะไปห้ามไม่ให้เขาหารายได้หรือครับ? คุณไปบังคับเขาได้หรือ?  ตัวผมเป็นอาจารย์ที่ไม่คิดจะรับงานนอกเพราะแค่งานสอนกับงานวิจัย แล้วก็ดูแลเว็บนี้ก็ไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นแล้ว แต่ผมไม่คิดจะไปประณามอาจารย์คนอื่นที่รับงานสอนพิเศษ เพราะมันชีวิตของเขา ผมกลับมองว่าผมโชคดีที่ไม่ต้องไปรับงานนอก หาเงินเลี้ยงปากท้อง แล้วผมก็พยายามใช้โอกาสและความโชคดีนี้มาพัฒนางานสอนของผม ทุ่มเวลาให้กับงานวิจัย แล้วก็สอนนิสิต แทนที่จะเอาเวลาไปโทษคนอื่น ถ้าทุกคนมั่วแต่โทษคนอื่นโทษรัฐบาลที่ไม่ขึ้นเงินเดือน โทษเพื่อนร่วมงานที่ออกไปเปิดศูนย์สอนพิเศษ โทษผู้บริหารที่ไม่สนับสนุน เวลาที่คุณใช้ในการปัดสวะให้คนเหล่านี้ก็หมดไปพร้อมกับโอกาสของคุณน่ะแหละ ถ้าคุณคิดว่าคุณมีอุดมการณ์อยากจะทำให้วงการวิชาการดีขึ้น แทนที่จะมานั่งโทษนู่นโทษนี่ ผมว่าคุณเอาเวลาไปทำสิ่งที่คุณอยากทำจะดีกว่าครับ

4 หรือสุดท้าย ถ้าเรื่องทั้งหมดเป็นจริงมัน เรื่องพวกนี้ก็ไม่เห็นมีผลกระทบการศึกษาไทยตรงไหน ก็ยังมีคุณภาพดีอยู่

ข้อนี้ตอบไปแล้วในตอนท้ายของข้อสาม


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 16 มี.ค. 06, 13:34
 ค.ห. 15 คุณน่าเบื่อมี "agenda" ของตัวเองในใจ เหมือนปักธงไว้แล้ว ลองกลับไปอ่าน ค.ห. 9 ข้อ 2 อีกครั้ง

ดิฉันวิ่งหนีไม่ได้เพราะดูถูก แต่เพราะรำคาญ เคยหยอดเหรียญโทรศัพท์สาธารณะกับน้า โทรทางไกล น้าพูด เอ่อ..เอ่อ
เอ่อ..เอ่อ หมดไป 3 บาท ยังไม่รู้เรื่อง คุยกับแม่ หยอดบาทเดียวพูดรู้เรื่อง

บางทีเราไม่มีเวลาที่จะหยุดคุยกับคนที่พยายามจะพูด ถ้าว่างก็อีกเรื่องหนึ่ง ทำงาน+เรียน อาทิตย์หนึ่ง 120 ชม.
คงเข้าใจนะคะ...จบ


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 16 มี.ค. 06, 13:44
 
อ้างถึง
ไงๆขอชม คุณศรีปิงเวียง ว่าเวลาเขียนหนังสือ แล้วคุณลดการใช้เครื่องหมายวงเล็บ ทำให้อ่านได้รื่นขึ้น
และลดทอนโทนเสียงแห่งการประชดประชัน ยอกย้อนได้มากทีเดียวค่ะ
อ้างถึง
รับทราบครับ ผมจะพยายามลดการใช้วงเล็บครับ
ป.ล. ถ้าคุณพี่ไม่เข้ามาชี้แจง ผมคงไม่ทราบครับว่าการใช้วงเล็บบ่อย ๆ เกิดผลเสียอย่างไร    


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 16 มี.ค. 06, 14:02
ประเด็นแตกออกจากหัวข้อกระทู้ไปแล้ว

ผมขอพูดเป็นกลางๆ ว่า ที่คนไทยจำเป็นต้องเรียนภาษานอกนั้น เป็นเพราะเรายังอยู่ในโลกใบเดียวกับคนที่ใช้ภาษานอกเหล่านั้น ถ้าเราจะเอาชาติ ประเทศ วัฒนธรรม และสังคมของเราให้รอด เราต้องรู้เขารู้เราครับ ต้องรู้ทันโลก การเรียนภาษาต่างประเทศ ไม่ได้แปลว่าต้องสยบยอมความคิดต่างประเทศเสมอไป

แต่การที่ว่า ควรจะรู้ภาษาต่างชาติที่เป็นภาษาสำคัญในโลกนี้ด้วยนั้น ไม่ได้แปลว่าเราควรจะลืมรากของตัวเองหมด เปลี่ยนหัวเป็นฝรั่งเลย ก็ไม่ใช่ เรายังสามารถรักความเป็นไทยได้โดยไม่ต้องเสียความทันสมัย และเมื่อผมกล่าวถึง "ความเป็นไทย" นั้น ควรต้องเข้าใจด้วยว่า ความเป็นไทยประกอบขึ้นมาด้วยเอนกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชนกลุ่มต่างๆ มากหลาย ที่อยู่ร่วมรวมกันบนผ์นดินไทยนี้และถือตัวว่าเป็นคนไทยด้วยกันทั้งหมด ถ้าเรารู้และเข้าใจประวัติศาสตร์ไทย และธรรมชาติของสังคมมนุษย์ (ทุกแห่ง รวมทั้งเมืองไทย) จริงๆ ความภูมิใจใน "ความเป็นไทย" ของเราก็จะสามารถครอบคลุมถึงความภูมิใจในภาษาถิ่นและวัฒนธรรมท้องถิ่นกระแสต่างๆ ได้ด้วยเช่นกัน

ผมเป็นคนพุทธ พูดไทยกลาง พูดอังกฤษได้ พูดจีนกลางได้บ้าง พูดฝรั่งเศสนิดหน่อย พูดเยอรมันเล็กน้อยมากๆ รู้แต้จิ๋วน้อยมาก รู้มาเลย์นิดหนึ่ง พอฟังภาษาไทยปักษ์ใต้เข้าใจบ้างแต่พูดไม่ค่อยได้ แอบจำภาษาญี่ปุ่นได้เป็นคำๆ ฯลฯ เชื้อสายฝ่ายพ่อและปู่ผมเป็นไทยใต้ แต่มีเลือดมุสลิมชวาในตัว เชื้อสายฝ่ายย่ามีเลือดฮกเกี้ยน เชื้อสายฝ่ายแม่ทางยายว่ากันว่ามีเชื้อสายพราหมณ์เมืองเพชร ทางตาเป็นไทยเมืองเพชรบุรี แล้วยังไงล่ะครับ? ผมก็ยังถือว่าตัวเองเป็นคนไทยอยู่ดี

ความรู้ทุกอย่างมีประโยชน์ คุณเอ๋อคุง หายเอ๋อแล้วลองศึกษาเรียนภาษาญี่ปุ่นที่คุณชื่นชมนั่นแหละ (ผมรู้นะว่า ...คุง น่ะ เป็นภาษาญี่ปุ่น) ให้รู้กระจ่าง แล้วจะเอาความรู้ภาษาญี่ปุ่นของคุณมารับใช้สังคมไทยอย่างไรก็เอาเลย ถ้าคุณสนใจภาษาถิ่น จะศึกษาเปรียบเทียบหรือแปลคำพังเพยไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง หรือผู้ไท หรืออะไรออกเป็นภาษาญี่ปุ่นก็เอาเลย แต่อย่าเสียเวลาและพลังงานแขวะคนอืนอย่างไม่สร้างสรรค์เลยครับ


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 16 มี.ค. 06, 14:03
 ค.ห. 17
เท่าที่ทราบหน่วยงาน สวทช. มีพันธะกิจด้าน HRD ที่จะต้องสร้างบุคคลากรด้าน S&T
โดยคณะกรรมการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช.) จะกำหนดเป็นแผนงานขึ้นมาเลย เช่น
ด้าน HRD จะต้องสร้าง Ph.D. ปีละ 20 คน ตลอดแผน 5 ปี
ด้าน R&D จะต้อง  file patents X pcs.
..............จะต้องตีพิมพ์.........Y papers.            

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปฏิบัติอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.พ.ศ. 2534 ที่ร่างขึ้นมารองรับการพัฒนาวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะ
และการที่คุณน่าเบื่อ แสดงความเห็นใจว่าปริญญาเอกเงินเดือนน้อยนั้น รัฐบาลผ่าน พ.ร.บ. นี้เพื่อสร้าง
สถาบันทางด้านวิจัยที่ทำให้บุคคลากรสามารถตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ลืมตาอ้าปากได้โดยไม่ต้องดิ้นรน
หาอาชีพเสริม บุคคลากรของหน่วยงานนี้ มีสถานภาพเป็นพนักงานองค์กรของรัฐ เจ็บป่วยเข้า ร.พ.
เอกชนได้ (พ่อ/แม่/ลูก/คู่สมรส เข้า รพ. เอกชนได้/ บุตรเบิกค่าเล่าเรียนได้) เงินเดือนพนักงาน
ขององค์กรนี้ในวัย 35-45 น่าจะมากกว่าข้าราชการระดับอธิบดี
หากคุณข้องใจ กลับไปอ่าน พรบ. และ

 http://www.nstda.or.th  


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: แป๋มคุง 100 ที่ 16 มี.ค. 06, 14:11
 ขอโทษนะคะเพิ่งเข้ามาขอแทรก

แต่ถ้าพูดตามประเด็นกระทู้แล้ว

ที่เด็กไทยนิยมเรียนภาษาอื่น  เพราะคนไทยถูกปลูกฝังความศิวิไลของต่างชาติมาตั้งนานแล้ว  ทำให้คนไทยไม่มีความเป็นชาตินิยมเลย

พ่อแม่ก็สอนลูกให้คิดอย่างนี้ แล้วลูกก็สอนหลาน สอนโหลน สอนเหลน .....ต่อไป


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 มี.ค. 06, 14:25
 ตอบข้อนี้
++มีนักวิชาการจำนวนมาก รับงานนอก เป็นอาจารย์พิเศษตามที่อื่น เป็นที่ปรึกษาตามบริษัท หรือเปิดสอนพิเศษ จริงมั้ยครับ++

มีค่ะ  แต่จำนวนเท่าใดไม่อาจทราบได้  
สาขาอื่น ไม่อาจตอบแทนได้  แต่ในสาขาอักษรศาสตร์  ดิฉันบอกอดีตลูกศิษย์ที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยว่า

เธออย่าจำกัดตัวเองอยู่แต่ในห้องเรียนที่เป็นงานประจำ  เป็นอันขาด   เธอต้องออกไปสร้างผลงานข้างนอก
จะเป็นงานอะไรก็ได้ ที่มันเกี่ยวกับงานประจำของเธอ

หูตาเธอจะกว้างขึ้น   เธอจะได้เร่งตัวเองให้ทันโลกภายนอกที่หมุนไปเร็วขึ้นทุกวัน

อย่าสอนที่เดียว  สอนหลายๆที่เพื่อมีโอกาสเปรียบเทียบนักศึกษาของแต่ละแห่ง  เป้าหมายของแต่ละแห่ง  อาจารย์แต่ละแห่ง ฯลฯ
มันจะทำให้เธอกระตือรือร้นมากขึ้นเมื่อมองเห็นการแข่งขันของโลกภายนอก
ทำให้รู้ว่าเธอจะนั่งแช่จืดชืดเป็นน้ำยาเย็นอยู่ในที่ทำงานเดิมไม่ได้  ตำราเล่มเดียวสิบปีไม่เปลี่ยน- ไม่ได้
รู้แต่ในตำราแต่ไม่เคยเอามาใช้ว่าได้ผลหรือไม่ -ไม่ได้

สมมุติว่าเรียนแต่งกลอนมาสารพัดรูปแบบ ท่องได้คล่องปรื๋อเรื่องฉันทลักษณ์   แต่ในชีวิต แต่งกลอนเอาลงหนังสือสักเล่มยังทำไม่ได้   บก.โยนลงตะกร้าหมด  ยังงี้รู้ไปก็เท่านั้น

ถ้าเธอเป็นอาจารย์ที่กี่ปีๆเธอก็นั่งอยู่ในห้องทำงานห้องเก่า   สอนด้วยความคิดเดิมๆ  ไม่รับรู้โลกภายนอก  ไม่ฝึกเอาทฤษฎีที่เรียนมาไปปฏิบัติ    ถือว่าฉันต้องซื่อตรงกับงาน ไม่ไปหาเศษหาเลยข้างนอก จนเกษียณ
นั่นแหละคือคำแก้ตัวของคนทำงานเช้าชามเย็นชาม  รู้แต่ทฤษฎีมันง่าย แต่ปฏิบัติมันยาก เลยไม่กล้าเสี่ยง
อย่างน้อยเธอต้องไปวิจัย ไปดูงาน ไปศึกษาเพิ่มเติม  ต้องทำตัวไม่ให้หยุดนิ่ง  ต้องรับรู้ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งใหม่ๆที่หมุนเวียนเข้ามา
แล้วทดลองทำ  ให้รู้ว่าเราก้าวไปพร้อมมันได้ไหม
ถือหลักว่า Learning is best when put into practice.
เรียนแล้วต้องปฏิบัติได้  

เห็นชอบยกข้อนี้เอามาโจมตีกันเหลือเกิน  เหมือนกับว่าวันๆนักวิชาการทั้งหลายพร้อมใจกันหิ้วกระเป๋าเดินออกจากที่ทำงานไปขายสินค้าไดเรคเซลล์   ไปทำสิ่งไม่สมควรต่างๆ
นั่นคือมองด้านเดียว
ก็เลยขอมองให้อีกด้านให้เห็นค่ะ


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: i'm boring ที่ 16 มี.ค. 06, 14:47
 สำหรับเรื่องวิจัยหลังปริญาเอก ที่ผมแสดงความคิดเห็นแบบนั้นก็เห็นมาจากต่างชาตินะครับ ซึ่งผมคิดว่ามันน่าจะเป็นระบบที่ดี
ที่ต่างประเทศที่ผมเห็นมานะครับ การการทำงานวิจัยจะมีลักษณะเป็นกลุ่ม มี ศ.เป็นหัวหน้ากลุ่ม อาจจะมีตำแหน่ง รศ. หรือ ผศ เป็นผู้ช่วยทำงานในกลุ่ม ศ.เป็นผู้ที่ไปขอทุนต่างๆ บางท่านก็ทำวิจัยน้อยหน่อย ให้ รศ. หรือ ผศ. เป็นผู้ทำ หรือไม่ ศ. บางท่านก็ทำเองเกือบทั้งหมด และในกลุ่มนี้ ก็จะมี นักวิจัยหลังปริญาเอก หรือที่เรียกว่า post doc และก็ยังมี นร. ปริญญาเอก หรืออาจมีโท คนในกลุ่มก็จะทำงานวิจัยและดูแลกันเป็นทอดๆ คนที่เป็น รศ. หรือ ผศ. ก็มุ่งทำงานให้มีผลงานที่ดี เพราะเค้าต้องการตำแหน่ง ศ. คงไม่รอให้ ศ. คนเก่าออกก่อน ดังนั้นจึงพยายามทำผลงานเพื่อจะไปสมัคร ในตำแหน่ง ศ. ที่อื่นต่อไป ส่วน post doc ก็เหมือนกัน ก็พยายามทำผลงานให้ดีเพื่อไปในที่ตำแหน่งดีกว่า เพราะตำแหน่งที่ไม่ใช่ ศ. ไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่
ต่างกับเมืองไทย ระบบราชการไทยๆ เป็นระบบฝังรากลึก
ส่วนเรื่อง post doc นั้นมาจากการที่มีอาจารย์ท่านหนึ่งเคยเล่าถึงประสบการณ์วิจัย ที่ท่านไม่เคยได้ทำ post doc มากก่อน ว่ามันลำบากมาก ต้องเริ่มงานวิจัยกันแต่ต้นถ้าได้ทำมาก่อนคงดีกว่านี้
ส่วนเรื่องที่เดี๋ยวนี้หลังเรียนจบทำ post doc ได้ ถูกก็แค่ส่วนเดียว ลองไปดู มติ ครม. เกี่ยว กับการทำ post doc ของคนที่ลาไปเรียนหลังจบปริญาแล้วกัน และการทำ post doc ได้เงินเดือนนะครับไม่น้อยด้วยถ้าเทียบกับเมืองไทย ไม่ได้ใช้ทุนของประเทศมากนัก


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 16 มี.ค. 06, 14:58
 ......คนที่เป็น รศ. หรือ ผศ. ก็มุ่งทำงานให้มีผลงานที่ดี เพราะเค้าต้องการตำแหน่ง ศ. คงไม่รอให้ ศ. คนเก่าออกก่อน
ดังนั้นจึงพยายามทำผลงานเพื่อจะไปสมัคร ในตำแหน่ง ศ. ที่อื่นต่อไป

                           


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: pharmaceutical scientist ที่ 16 มี.ค. 06, 15:07
 อ่านแล้วชอบความคิดเห็น 23 ของ อ.เทาชมพูมากเลยครับ

ส่วนความเห็นที่ว่า "ว่าทำไมเมืองไทยถึงไม่สามารถผลิตนักศึกษาในระดับปริญาเอก ในสาขาที่บ้านเมืองต้องการได้ และทำไมถึงส่งไปต่างประเทศ ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เกือบร้อยปีแล้วในแต่ละปียังถึงต้องส่งไปอีกจำนวนมากอยู่ทุกปี"

ก็เพราะเรายังอ้างอิงและรับความรู้ใหม่ๆจากนานาอารยประเทศอยู่นะสิครับ ถ้าเราปิดประเทศเมื่อไหร่ เราไม่ยุ่งกับใครเมื่อนั้นก็คงไม่ต้องส่งไปเรียน
ถามว่ากระทรวงการต่างประเทศต้องการผู้ชำนาญการภาษาและวัฒนธรรมจีน จะต้องส่งเขาไปเรียนที่ไหน เรียนในไทยเช่นนั้นหรือ? ยังไงเสียก็ต้องส่งไปเมืองจีน
ไม่ทราบว่าคุณรู้แค่ไหนว่า PhD ที่ผลิตเองในเมืองไทยมีน้อย ผมว่าไม่น้อยเลยนะ ลำพังในคณะที่ผมเรียนอยู่ก็มี PhD student อยู่ไม่ต่ำกว่า 50 คน เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย นักวิจัยจากหน่วยงานต่างๆ ซึ่งที่เราผลิตเองคือสิ่งที่เรามีองค์ความรู้พอแล้ว และก็เกิดจากการส่งอาจารย์ทั้งหลายไปเรียนเมืองนอกนี่แหละครับ
สำหรับส่วนที่จะต้องส่งไปนอก ก็คือส่งไปเรียนรู้เรื่องใหม่ๆแทบทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่ารัฐบาลส่งคนไปสะเปะสะปะนะครับ
ต้องยอมรับการศึกษาในเมืองไทยอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ความไม่พร้อมของอุปกรณ์การเรียนการสอน เนื่องจากข้อจำกัด"ด้านการเงิน" ไม่ใช่ข้อจำกัดของทรัพยากรมนุษย์เลยแม้แต่น้อย ความคิดดีๆ งานวิจัยดีๆ คิดขึ้นมาได้แต่ก็ต้องพับไปเพราะเงินไม่พอ
ผมเองตอนโครงร่างวิทยานิพนธ์ วาดโปรเจคท์เสียสวยหรู แต่พอหันมามอง facility ที่มีก็ต้องถอนหายใจแล้วนั่งปรับแก้ให้ใช้ได้เท่าที่อุปกรณ์หรืองบมี

ขอแสดงความคิดเห็นเท่าที่นึกได้แค่นี้ก่อนครับ


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: รำเพย ที่ 16 มี.ค. 06, 15:08
 ขออนุญาตตอบเฉพาะข้อความที่เจ้าของกระทู้ (คุณเอ๋อคุง) ยกขึ้นมาถามนะคะ เพราะว่าไม่อยากแตกประเด็นออกไปจากเรื่องที่เจ้าของกระทู้ตั้งไว้ และตัวเองไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะโต้ในเรื่องอื่นได้ เพราะว่าเกินกว่าระดับปัญญาคนธรรมดาๆอย่างรำเพย

เจ้าของกระทู้ถามมา รำเพยก็ขอตอบเป็นประเด็นๆไปแล้วกันนะคะ

ทำไมคนไทยถึงทำตัวเป็นพวกเด็กหัวนอก

-ในฐานะที่เคยเป็นเด็กหัวนอก ทำหน้าที่ตามที่รัฐบาลไทยส่งให้ไปทำ ก็คงต้องบอกว่าไม่ได้อยากทำตัวเป็นเด็กหัวนอกหรอกค่ะ แต่ว่าคนเรามีหน้าที่ที่ต้องทำ ก็ต้องทำกันไป มีหน้าที่ไปเรียนตามที่ประเทศชาติต้องการ ก็ต้องเรียน ส่วนเด็กคนอื่นเค้ามีหน้าที่ไปเรียนตามที่พ่อแม่เค้าต้องการ (ก็คงไม่มีเด็กคนไหนเก่งกาจขนาดหาเงินไปเรียนเมืองนอกได้เองทั้งหมดหรอกนะ) พ่อแม่ย่อมต้องการให้ลูกได้โอกาสเรียนรู้ในสิ่งที่พ่อแม่เห็นว่าดีกับลูก ดังนั้นจะถามว่า ทำไมคนไทยถึงทำตัวเป็นเด็กหัวนอกน่ะ คงตอบได้ยากค่ะ ต้องถามว่าทำไมพ่อแม่ถึงให้เงินลูกไปเรียนละคะ  .....ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามันมีประโยชน์ สอนให้เด็กได้เห็นโลกกว้าง สอนให้ได้รู้จักช่วยตัวเอง รู้จักสังคมและวัฒนธรรมอื่นๆที่ต่างไปจากบ้านเรา รู้เพิ่มขึ้นย่อมได้เปรียบ จริงไหม

ในประเทศไทยมีภาษาใช้เป็นสิบภาษาทำไมไม่เรียน
ภาษาท้องถิ่นก็มี เรียนกันเข้าไปดิ
มัวแต่เห่อภาษาพวกที่เข้ามาปล้นแผ่นดินไทย เจริญพร...
ช่วยกันรักษาภาษาท้องถิ่นไว้ดิ
ภาษาที่ปู่ย่าตายายช่วยกันรักษามากะแผ่นดินไทยอ่ะ

ประเทศไทยมันล้าหลัง ล้าสมัยมากรึไง แห่กันไปเรียนเมืองนอก

....ใครมีเหตุผลเพียงพอช่วยตอบหน่อยคับ


-ถ้าคนเขาเรียนมา แล้วเขาไม่ได้ใช้ จะไปบังคับให้เขาเรียนก็คงใช่ที่  ..... ตัวคุณเอ๋อคุงเอง บอกว่าอยากรักษาการใช้ภาษาไทยไว้แล้วเหตุไฉนจึงได้ทำให้ภาษาเขียนมันวิบัติเองเล่าคะ

ตัวอย่างก็เช่นที่รำเพยทำตัวหนาไว้นั่นแหละ ให้เห็นง่ายๆ คำว่า อ่ะ แค่เขียนก็ผิดแล้ว ถ้าคุณคิดจะใช้ภาษาไทย รักษาภาษาไทย แต่ตัวเองยังสะกดผิดจะได้เรื่องหรือ .....  "อะ" เป็นอักษรกลางคำตาย รูปสามัญเสียงเอกอยู่แล้ว จะเติมรูปเอกไปทำไมกัน

ก่อนจะตักเตือนผู้อื่นเรื่องภาษา ย้อนดูสิ่งที่ตนเขียนก่อนก็คงจะดี


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 มี.ค. 06, 15:24
 สืบเนื่องจากค.ห. ของคุณ i'm boring



+ต่างกับเมืองไทย ระบบราชการไทยๆ เป็นระบบฝังรากลึก +

ช่วยอธิบายระบบศ./รศ./ ผศ. ในเมืองไทยที่อยู่ในระบบราชการ ตามความเข้าใจของคุณ ให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ

ดิฉันอยากรู้ว่าคุณเข้าใจระบบที่เรียกว่า "ราชการไทยๆ"มากน้อยแค่ไหน


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: i'm boring ที่ 16 มี.ค. 06, 15:39
 กลับไปที่กระทู้ตั้งต้นนะครับ ไหนๆก็มีเรื่องเกี่ยวกับภาษาไทย
ผมคิดว่า เราควรที่จะพยายามใช้คำไทย ไม่ควรใช้ไทยคำอังกฤษคำถ้าคำเหล่านั้นสามารถใช้คำไทย ยกเว้นไม่สามารถหาคำไทยได้ตรงกับความหมาย เพราะผมเองก็ไม่ค่อยชอบพวกพูดไทยคำอังกฤษคำทั้งๆที่มีคำในภาษาไทยใช้อยู่แล้ว
และก็ขออภัยที่พิมพ์ ไทยกับอังกฤษ ปนกัน เพราะว่าขี้เกียจพิมพ์ ต่อไปนี้จะพยามไม่ใช้ภาษาอื่นถ้ามีคำไทยใช้อยู่แล้ว


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 มี.ค. 06, 15:48
 จะเปลี่ยนนามแฝงไหมล่ะคะคุณ i'm boring

มันก็มีคำไทยใช้อยู่แล้ว  

ดิฉันจะได้บอกคุณอ๊อฟให้ค่ะ


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: i'm boring ที่ 16 มี.ค. 06, 15:58
 ขอบคุณครับ ถ้าเป็น "แอม บ้อริ่ง" คงพิลึกน่าดู  ขอเป็นอย่างเดิมแล้วกัน


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 16 มี.ค. 06, 21:24
 ไหนๆจะนิยมไทยทั้งที ก็แปลชื่อ "แอม บ้อริ่ง" เป็นภาษาไทย ได้นี่คะ เช่น คุณคนทำตัวน่าเบื่อหน่าย


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: ศนิ ที่ 16 มี.ค. 06, 23:18
 จากกระทู้ตั้งต้นนะคะ
ภาษาไทยท้องถิ่นมีเยอะจริง แต่เหตุผลที่ว่าทำไมถึงไม่เรียนกัน
เท่าที่นึกออกตอนนี้คือ
1. โอกาสที่ได้ใช้ในสังคมทั่วไปมีน้อย นอกจากในท้องถิ่นของตน ถ้านอกท้องถิ่นคนก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องกัน
2. สำหรับคนไทยด้วยกันนั้น ภาษากลางเป็นภาษาที่เหมาะสมที่สุด สำหรับคนหมู่มาก
ที่จะสามารถสื่อสารให้ทุกคนสามารถเข้าใจได้ตรงกัน
3. ความเป็นสากลของภาษา ภาษาอังกฤษ มีผู้ใช้มาก
เป็นภาษาที่จำเป็นต้องรู้ ไม่ใช่เพราะว่าเห่อไปตามเขา
แต่เพราะป้องกันการเสียเปรียบในหลายๆ แง่

ภาษา สามารถเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆค่ะ
ภาษาท้องถิ่น เป็นภาษาที่บรรพบุรุษสร้างไว้ก็จริง
แต่ไม่ได้หมายความว่า การที่เราจะรับเอาภาษาอื่น
เข้ามาด้วยจะเป็นเรื่องเลวร้ายเสมอไป
อันที่จริง ภาษาที่บรรพบุรุษไทยได้สร้างไว้
ก็มีที่มาจากหลายๆ ภาษา หลายๆ อิทธิพล
เข้ามาประกอบกันมิใช่หรือคะ

สิ่งที่เราควรกระทำตอนนี้คือ ไม่ทำให้ภาษาเดิมแย่ลงไป
และไม่ปิดกั้นความคิดที่จะเรียนรู้ภาษาอื่นๆ ค่ะ


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 17 มี.ค. 06, 13:45
 พอแวะมาที่นี่ ก็มีคนอื่นแวะมาตอบคำถามจนหมดแล้ว
เห็นด้วยกับคุณศนิครับ
ป.ล. จริง ๆ แล้ว ภาษาถิ่น มีเยอะกว่าที่คุณเอ๋อคุงคิดนะครับ


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: บ้านายคำเก่ง ที่ 18 มี.ค. 06, 11:44
 สรีสวัสสดีแลท่านทังหลาย ข้าม่อนจักมาปล่านแปงคำสะหน่อยแล

สวัสดีครับ เห็นชื่อกระทู้ว่า คนไทย สะดุดตาเลยแวะเข้ามาอ่าน คนไทย(เฉพาะแต่ในบัตรประจำตัวประชาชน)หัวใจล้านนา ดังเช่นผม ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นด้วยนะครับ

ภาษาเป็นตัวแทนของความเป็นเชื้อชาติ ภาษาอยู่ชาติก็อยู่ภาษาสูญชาติก็สูญ อันนี้เป็นความคิดเห็นโดยส่วนตัวนะครับ ผมยังมีความหวังว่าวันหนึ่งอักษรล้านนาที่แผ่นดินล้านนาบ้านผมจะมีคนอ่านออกเขียนได้เพิ่มขึ้น

สำหรับในเรื่องภาษาไทยนั้น แม้ว่าผมจะรักษ์ล้านนาเพียงใดก็ตาม ก็มิเคยรังเกียจที่จะศึกษา เช่นเดียวกับอยากเรียนรู้ภาษาพม่า ลาว จีน และเวียดนาม เพื่อเป็นเครื่องมือในการศึกษาความเป็นล้านนาให้ถ่องแท้ คิดเล่นๆว่าคงเหมือนร่างกายของเรา ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว ใจปารถนา สมองคิด ตาดู หูฟัง มือจับ ส่งต่อกันเป็นทอดๆ เราจะบอกว่าใจนั้นสำคัญที่สุดก็คงมิใช่เหตุผลที่ถูกต้องเสียทั้งหมด หากไม่มีแขนขามือตาหู เราก็คงทำตามใจเราไม่ได้ อันนี้คำพระท่านว่า เดินสายกลาง

ส่วนเรื่องหัวนอกนั้น ก็พอหาประโยชน์ได้บ้าง หากผมหัวล้านนา หัวนอกก็คงจะเป็นหัวไทย ประมาณนี้นะครับ ผมคงจะสารภาพตามจริงว่า ผมก็หัวนอก คนไทย(ผมมักจะเขียนว่า คนไธย มากกว่าตามอักขระล้านนา) มีหัวคิดที่น่าศึกษาและเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองของผม เราเปิดใจรับ แต่ไม่ได้หมายถึงจะเลียนแบบเขา ประโยคที่กล่าวว่า "ประเทศไทยมันล้าหลัง ล้าสมัยมากหรือไง" หากเป็นแผ่นดินล้านนาบ้าง ล้านนาล้าหลังมากนักใช่หรือไม่ กรณีนี้คนล้านนาส่วนหนึ่งก็มักดูถูกความเป็นคนเมืองของตนเอง สอนให้ลูกพูดไทย (ปากไธย) ดูถูกน้ำพริก กลิ่นถั่วเน่า เหม็นสาบปลาร้า แต่จะว่าไปตามจริง การพิสูจน์ความจริงแท้ ย่อมสำคัญกว่า ไม่ว่าจะเป็นไทย ล้านนา หรือกุลลวา(ฝรั่ง) ความรู้สึกภูมิใจและหวงแหนความเป็นชาติของตนเองย่อมมีอยู่แน่นอน วันนี้เขาอาจไม่เห็นค่า เพราะเหตุผล 108 แต่ต้องมีสักวันเขาจะต้องอิ่มตัวกับสิ่งที่เขาชื่นชมอยู่ และหันกลับมามอง มองอย่างสะดุดตา คิดว่าหากเรารักบ้านเมืองเราเป็นแน่แท้ไม่เปลี่ยนหัวใจไปเป็นอย่างอื่น ก็รักษาความรู้สึกนี้ไว้ต่อไป ทำในสิ่งที่เป็นตัวตนของเรา เช่นนี้คงไม่มีใครพรากความเป็นคนไทย คนล้านนา ออกไปจากตัวเราได้ การที่ไปเรียนนอก หัวนอก ใช้ภาษานอก เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล คงจะไม่เกี่ยวกันนัก แม้เราเอง ต่างโอกาส ต่างวัน ต่างสถานที่ ต่างบุคคล ความคิดเราก็เปลี่ยนได้ ผมเห็นว่าอย่างไรเสีย ทำเพื่อส่วนรวมเป็นสิ่งสำคัญที่สุด จะด้วยวิธีใดก็ตาม แต่มีข้อแม้ว่าวิธีนั้นไม่ได้ยกเลิกความดีงามของมรดกที่บรรพบุรุษเราสร้างไว้

ขอแสดงความเห็นเพียงเท่านี้ครับ


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: ภูมิ ที่ 20 มี.ค. 06, 11:27
 >>เพราะเค้าต้องการตำแหน่ง ศ. คงไม่รอให้ ศ. คนเก่าออกก่อน
ดังนั้นจึงพยายามทำผลงานเพื่อจะไปสมัคร ในตำแหน่ง ศ. ที่อื่นต่อไป

อธิบายเพิ่มให้เข้าใจนิดหนึ่ง
ระบบของญี่ปุน ศ จะมีโคต้าจำกัด การที่ รศ จะขึ้นเป็น ศ ในที่เดิมได้ จำเป็นจะต้องให้ ศ คนเดิมเกษียณก่อน  แต่ถ้าย้ายมหาลัย สามารถไปกินตำแหน่ง ศ ของมหาลัยอื่นที่ว่างได้


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 20 มี.ค. 06, 21:11
 คุณเอ๋อคุงตั้งคำถามแบบกระทู้วุ้นกะทิเลยนะคะ

ฟังราวกับเด็กไทยแห่กันไปเรียนต่างประเทศกันหมดง่าย ๆ
เหมือนกับแห่ไปจตุจักรอย่างนั้นแหละ
อีกอย่าง ถ้าได้ขึ้นชื่อว่าไปเรียนแล้ว
เรียนเมืองนอก หรือเรียนเมืองไทย มันก็น่าสนับสนุนทั้งนั้น
เป็นการหาความรู้ ความเจริญใส่ตัว
ไม่ได้ไปประกอบอาชญากรรมนี่นา

ส่วนเรื่องคนทำตัวเป็นเด็กหัวนอก
ดิฉันว่า ไม่จำเป็นต้องเรียนเมืองนอก
ก็เป็นเด็กหัวนอกได้นะ หรือไงคะ
แล้วมันผิดตรงไหนเนี่ย หัวนอก หัวใน น่ะ
ดิฉันว่า มีหลายๆ หัวในสังคมน่าจะดี
จะได้ช่วยกันคิด ช่วยกันสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ต่อไป
เหมือนน้ำในบึงที่มีทางออกสู่แม่น้ำใหญ่
มีน้ำใหม่ไหลเวียนถ่ายเทได้ น้ำในบึงจะได้ไม่เน่าเสีย

ดิฉันก็เห็นมาเยอะนะคะ
นักเรียนนอกที่มีความรู้ภาษาต่างประเทศหลายภาษา
และมีความรู้ลึกซึ้งทางภาษาไทยและสังคมไทย
อย่าเหมารวมเลยค่ะ

คนนะคะ ไม่ใช่วุ้นกะทิ
จะได้ตัดทั้งถาดออกมาหน้าตา รสชาติเหมือนกันหมด


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: ชื่นใจ ที่ 22 มี.ค. 06, 02:49
 คุณเฟื่องแก้วคะ
ทำเอาอิฉันนึกอยากกินวุ้นกะทิขึ้นมาเชียว หายากซะด้วยแถวนี้

บ้านายคำเก่งเจ้า
ข้าเจ้าเปิงใจ๋กำอู้บ้านายแต๊ๆ...
"ไม่ว่าจะเป็นไทย ล้านนา หรือกุลลวา(ฝรั่ง)
ความรู้สึกภูมิใจและหวงแหนความเป็นชาติของตนเองย่อมมีอยู่แน่นอน
วันนี้เขาอาจไม่เห็นค่า เพราะเหตุผล 108 แต่ต้องมีสักวันเขาจะต้องอิ่มตัวกับสิ่งที่เขาชื่นชมอยู่
และหันกลับมามอง มองอย่างสะดุดตา"

วันนั้นของอิฉันมาถึงแล้วค่ะ ความรู้สึกว่าตัวเองมี "ราก"
ภูมิใจทุกครั้งที่ได้บอกใครๆ แถวนี้ว่าเป็นคนไทย
ได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศไทยให้เขารู้
ภูมิใจยิ่งไปกว่านั้น ตื้นตันเลยก็ว่าได้ ถ้ามีคนแถวนี้ชื่นชมประเทศไทย
(บางคนแถวนี้เขารู้จักประเทศไทยมากกว่าที่อิฉันคิดว่าเขาจะรู้)

ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้สึก "สำนึกรักบ้านเกิด" มากมายขนาดนี้หรอก
คงชินมังคะ เกิด โต เรียน ทำงาน เช้าจดเย็น ในที่เดิมๆ
กระทั่งวันหนึ่งที่ต้องกลายเป็นต้นไม้ที่โดนย้ายที่ปลูก ไปปลูกในผืนดินอื่น
ดีเหลือเกินที่ยังมี "ราก" ติดต้น ติดตัวไปด้วย
มันช่วยให้ยืนหยัดบนผืนดินอื่นได้ดีขึ้น
ยืนหยัดเพื่อรอวันย้ายกลับมาอยู่ในผืนดินเดิม
(กลับมาพร้อมกับเรื่องราวที่ดูดซับไว้เพื่อมาเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้ผืนดินเดิมของตัวเอง)

สำนวนนิทานไปหน่อยนะคะ แต่ตอนนี้อิฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
ขอสารภาพว่าก่อนหน้านี้เคยนึกค่อนคนที่บอกว่ารักประเทศนักหนา
แต่พอความรู้สึกนี้เกิดกับตัว...ไม่มีคำพูดอื่นอีกแล้วที่จะอธิบายได้

อย่างที่บ้านายคำเก่งว่าไว้แหละค่ะ
"ต้องมีสักวันเขาจะต้องอิ่มตัวกับสิ่งที่เขาชื่นชมอยู่ และหันกลับมามอง มองอย่างสะดุดตา"

ดูเหมือนว่าคุณเอ๋อคุงเปิดกระทู้ทิ้งไว้ แล้วก็หายไปเลย
ปล่อยให้คนผ่านไปผ่านมานั่งจับกลุ่มสนทนากันเอง

คุณเอ๋อคุงอยู่ไหนคะ กลับมานั่งคุยด้วยกันดีไหม


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 22 มี.ค. 06, 14:02
 คุณชื่นใจ พูดได้ตรงใจดิฉันเหลือเกินค่ะ

เพราะดิฉันก็ลาก "ราก" ติดมาเหมือนกัน รากแก้วเสียด้วยสิคะ
รัก และภูมิใจในความเป็นไทยของตนหนักหนา

ว่าง ๆ เรามาปาร์ตี้วุ้นกะทิกันเถอะค่ะ อิอิ


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 22 มี.ค. 06, 16:12
 ถ้าอยู่ใกล้ๆ จะไปทำให้กินจนอิ่มเลยครับ
เพราะมั่นใจว่าวุ้นกะทิเป็นอย่างหนึ่งในบรรดาขนมที่ตัวเองทำแล้วรสชาติพอไปรอด (มีไม่กี่อย่างหรอกครับ)

แต่ไม่มั่นใจนะครับว่า "วุ้น" เป็นอาหารไทย ??



แล้วภาษาไทยทำไมจะใช้ภาษาอื่นไม่ได้ล่ะครับ คุณเอ๋อคุง


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: เฟื่องแก้ว ที่ 22 มี.ค. 06, 21:03
 เดี๋ยวต้องไปค้นอีกไหม ว่า วุ้น เป็นอาหารไทย หรือไม่

เรื่องเรียนภาษาต่างประเทศนี่นะคะ
ส่วนตัวนี่ ในชีวิตนี้อยากพูดให้ได้สัก 5 ภาษา
จะว่าไปก็ศึกษามาหลายภาษาแล้วนะคะ
ที่นอกเหนือจากภาษาไทย  ภาษาถิ่นไทย ทั้งหลาย
พวกภาษาต่างประเทศก็มีเขมร บาลี สันสฤต
ภาษามลายูนิดๆ หน่อยๆ พวกคำยืมทั้งหลาย
อย่างนี้ เรียกเด็กหัวนอกไหมเนี่ย อิอิ


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: เหลนนางพญา ที่ 22 มี.ค. 06, 21:24
 เฮ คุณเอ๋อคุง เจ้าของกระทู้สูญไปไหนแล้วหา ฉานอิบอกให้ตัวฟังว่าแหลงใต้ฉานก็แหลงได้ ถึงฉานอิมาเรียนเมืองนอกแต่ฉานก็ยังคงภูมิใจในความเป็นไทย เหมือนเดิมแหละ

แหลงกลางดีหว่า เดี๋ยวคนเอิน อิฟังไม่โร้เรื่อง

คุณเจ้าของกระทู้ครับ มาเรียนเมืองนอกเพื่อนำความรู้กลับไปพัฒนาชาติไทย ไม่ดีตรงไหนหรือครับ

ในสมัยพุทธกาล และอินเดียโบราณ ก็มีนักศึกษาจากแคว้นต่าง ๆ เดินทางไปศึกษายังเมืองตักกะสิลา แล้วกลับมาพัฒนาบ้านเมืองของตัวเอง

ในจีนพระถังซัมจั๋งท่านก็ได้เดินทางข้ามทะเลทราย เพื่อไปศึกษายังมหาวิทยาลัยนาลันทา แล้วนำพระพุทธศาสนากลับมาที่จีน ทำให้พุทธศาสนาที่จีนในสมัยถัง กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง
โชคดีจัง ที่พระถังซัมจั๋งท่านไม่คิดแบบคุณเจ้าของกระทู้

ว่าแต่คุณเจ้าของกระทู้หายไปไหนแล้วหรือครับ


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: ชื่นใจ ที่ 23 มี.ค. 06, 06:40
 ผ่านไปเจอเว็ปนี้โดยบังเอิญค่ะ
จึงได้มีโอกาสอ่านพระบรมราโชวาท-พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้อีกครั้ง
อยากให้ทุกท่านได้อ่านด้วยค่ะ

 http://www.khonnaruk.com/html/means/rama5.html

   


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 23 มี.ค. 06, 17:39
 ปกติ หัวนอก เขาหมายถึงพวกโซ้ด (เลียนแบบฝรั่งไปหมด)
ไม่ใช่ว่าพวกที่ไปเรียนเมืองนอก จะเป็นพวกหัวนอกเสมอไปครับ
ป.ล. พระบรมราโชวาทนี้ดีมาก ๆ ครับ


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: Karine!! ที่ 29 มี.ค. 06, 15:24
 ทำไมคนไทยถึงทำตัวเป็นพวกเด็กหัวนอก

ในประเทศไหยมีภาษาใช้เป็นสิบภาษาทำไมไม่เรียน
ภาษาท้องถิ่นก็มี เรียนกันเข้าไปดิ
มัวแต่เห่อภาษาพวกที่เข้ามาปล้นแผ่นดินไทย เจริญพร...
ช่วยกันรักษาภาษาท้องถิ่นไว้ดิ
ภาษาที่ปู่ย่าตายายช่วยกันรักษามากะแผ่นดินไทยอ่ะ

ประเทศไทยมันล้าหลัง ล้าสมัยมากรึไง แห่กันไปเรียนเมืองนอก

....ใครมีเหตุผลเพียงพอช่วยตอบหน่อยคับ
****************
การีนขอตอบคำถามตามกระทู้ตั้งต้นนะค่ะ
อ่านเรื่อง ราชการไทย Postdoc รศ.หรือศ. อะไรเหล่านี้ยังไม่ค่อยเข้าใจ...
แต่เรื่อง วุ้นกะทินี่....อยากรับประทานขึ้นมาทันใดเชียวค่ะ
ตอบคำถามคุณเอ๋อคุงแบบง่ายๆเลยล่ะกันนะค่ะ
(ว่าแต่ว่า...คุณเอ๋อคุง ...หายไปไหน วางกระทู้ไว้แล้วสาบสูญไปเลยอะ 555+)
1.คนไทย ก็คงไม่ไปเรียนภาษาอื่นกันให้วุ่นวายหรอกค่ะ ถ้าบังเอิญเราเป็นเจ้าโลก เป็นผู้นำโลก ภาษาไทยเราเป็นภาษาที่ชนในประเทศอื่นๆต้องเรียนรู้ เพื่อที่เขาจะเข้ามาเรียนวิทยาการของคนไทย แต่อย่างที่บอกค่ะ ประเทศไทยเรายังไม่บังเอิญ เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะไปเรียนรู้วิทยาการใหม่ๆจากต่างประเทศ เพื่อนำมาปรับใช้ให้เข้ากับประเทศไทยเรา คุณลองคิดดู หากคุณไปประเทศเขา แต่ไม่รู้จักภาษาหรือธรรมเนียมต่างๆของเขาเลย เขาจะต้อนรับเราไหม เขาจะยินดีที่จะให้เราไปฉกฉวยวิชาความรู้จากเขาไหม
"เราไม่ได้ต้องการที่จะศิวิไลซ์แบบเขา แต่เราต้องการพัฒนาตัวเรามากกว่า"
***ที่สำคัญ นี่ง่ายๆเลยนะค่ะ...คุณจะไม่ต้องลำบากเรียนภาษาอื่นๆเลย ถ้าตามที่ทำงานทั่วไป ไม่เห็นว่าทักษะภาษาอื่นๆมันจำเป็นอย่างยิ่งยวด

****คุณเอ๋อคุง กำลังมีปัญหาคับข้องใจเรื่องการเรียนหรือการทำงานที่ต้องใช้ภาษาอื่นๆที่ไม่ใช้ภาษาไทยหรือเปล่าค่ะ ถึงได้ถามคำถามต่างๆที่มันมีคำตอบในตัวเองอยู่แล้ว

2.ประเทศไทย ไม่ได้ล้าหลัง เราถึงต้องไปเรียนต่างประเทศกัน แต่บางศาสตร์บางสิ่ง บางที่ก็พัฒนาแตกต่างกัน ไม่ใช่แค่เราไปเรียนเมืองนอก คนต่างชาติก็มาเรียนที่เมืองเราเหมือนกัน
อย่างเช่น การศึกษาไทยที่ใกล้เคียงคำว่าล้มเหลวนี่...ทำไมเราเป็นอย่างนี้ ...เราก็ต้องไปศึกษาว่าต่างประเทศที่เขามีระบบการศึกษาที่ดีเนี้ย ทืไมเขาถึงทำได้ดี มีเทคนิคอะไรหรือเปล่า เรานำมาปรับใช้กับการสึกษาไทยได้ไหม แต่ถ้าต่างชาติเขาต้องการปลูกทุเรียน เขาก็ต้องมาดูมาเรียนเทคนิคต่างๆที่เมืองไทยว่า ทำไมเราปลูกได้ดี เพราะภูมิประเทศหรือเปล่า การใช้ปุ๋ย ให้น้ำเป็นอย่างไร แล้วเขาก็จะนำไปปรับให้เข้กับประเทศเขาเหมือนกัน....
***เราไม่ต้องไปเรียนรู้วิทยาการต่างๆจากต่างประเทศเลย ถ้าทุกประเทศในโลกมีการพัฒนาที่เท่าเทียมกัน มีสภาพแวดล้อม ภูมิศาสตร์ต่างๆ ระดับ-ความคิดของคนที่เหมือนกันทุกประการ***


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: Karine!! ที่ 29 มี.ค. 06, 15:26
 อ๊าก...ลืมตรวจสอบความถูกต้องก่อนส่ง
ลืมเน้นในสิ่งที่ควรจะเน้นก่อนส่ง.....
เห็นแก่ผู้มีความรู้น้อยนิดอย่างการีนนะค่ะ

ผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้

555+


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 29 มี.ค. 06, 17:32
 สงสัย รับสมุดพกแล้วเกรดวิชาภาษาต่างประเทศไม่ถูกใจเสียล่ะกระมัง
คุณเอ๋อคุงถึงได้เข้ามาโพสต์ระบายอารมณ์โดยหารู้ไม่ว่าเป็นการกระตุ้นอารมณ์ของสมาชิกชาวเรือนไทย

อิอิ



ปล. อ่านความเห็นที่ 37 ใหม่แล้ว ไม่ทำวุ้นกะทิดีกว่า
เพราะทั้งหน้าตารสชาติ คงไม่ต่างจากคนอื่นเท่าไหร่
ไว้คุณเฟื่องแก้วอยากรับประทานเมื่อไหร่ก็บอกผมมาแล้วกันนะครับ จะได้จัดส่งผงวุ้นกะทิกึ่งสำเร็จรูปไปให้ครับ อิอิ


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: 111 ที่ 10 เม.ย. 06, 16:50
 ถ้าสถาบันการศึกษาเปิดสอนก็คงจะมีคนเรียนกันบ้างไม่น้อย (ก็มาก) .............. แต่ภาษาอื่นก็สำคัญ เราค้าขายกับต่างชาติไม่ได้ขายกันเองอยู่แค่ในชุมชนเหนือ กลาง อีสาน ใต้


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: vck ที่ 19 เม.ย. 06, 16:32
 ก็มีส่วนถูก ที่ถูกคือ ทำไมไม่มีใครเรียนภาษาถึ่นบ้าง(บางคน) ที่ผิดก็คือถ้าเราต้องทำธุรกิจกับต่างชาติก็ควรเรียนเอาไว้


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: Hotacunus ที่ 15 พ.ค. 06, 01:19
 กระทู้นี้จัดเป็น "กระทู้ล่อเป้า" หรือเปล่าครับ อิอิ

มาตั้งกระทู้แล้วหายไปเลย

(หรือโดนลบไปแล้ว อิอิ)

กระทู้แบบนี้ ไม่ได้จัดเป็นการแลกเปลี่ยนกันเท่าไหร่ กลายเป็นกระทู้ชวนทะเลาะซะแล้ว

ตรรกะของคุณเอ๋อคุง ผิดตั้งแต่ต้นแล้วครับที่ไปคิดว่า

คนเรียนภาษาต่างชาติ เป็นคนเห่อของนอก

คิดได้แค่นี้ก็ยังคงอยู่ในตมนะครับ

การเรียนภาษาต่างชาติ ก็เป็นการ "สร้างกุญแจ" ที่จะไขไปสู่องค์ความรู้อีกมากมาย ไม่ได้เกี่ยวว่าไม่รักชาติ ไม่รักภาษาถิ่น

มันคนละเรื่องกันครับ

อย่างนี้ต้องกลับไปจัดระบบความคิดด้านตรรกศาสตร์ก่อนนะครับ

ที่สำคัญเข้าใจว่า กระทู้นี้เป็นกระทู้กวนประสาทแน่นอน เพราะ ตั้งกระทู้ให้ใช้ภาษาไทยถิ่น แต่ตัวเอง มี ดิ อ่ะ คับ เป็นการใช้ภาษาผิดๆ เมื่อต้องการสื่อสารกับสาธารณะ

ที่สำคัญ "คุง" ในชื่อแฝงของคุณ มันก็ภาษาญี่ปุ่น ชัดๆ

มาป่วนแน่นอน


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 15 พ.ค. 06, 07:13
 คุณ Hotacunus อย่าเก็บมาใส่ใจเลยครับ
ตัวป่วนที่ไหนๆก็มีน่ะครับ ง่ายๆก็แค่สมัครเข้ามาแล้วก็ปาระเบิดไว้
เดี๋ยวกลับมาใหม่เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม แล้วก็จบ

ยากกว่านี้หน่อยก็เปลี่ยนสำนวน ป่วนเขาไปทั่ว
บางคนเป็นเพื่อนกันอยู่ในเวบดีๆนี่แหละ ส่ง SMS คุยกันวันละเกือบ 10 ฉบับ
พอหมั่นไส้กันขึ้นมาก็สมัครอีกชื่อมาป่วนเพื่อน
ยิ่งถ้าถึงขั้นทะเลาะเบาะแว้งกันล่ะ ไม่ต้องพูดมาก เพราะเอาเรื่องมา "แฉ" มา "ใส่สีตีไข่" "ใส่ความ" กันอย่างไม่คิดว่าเคยเป็น "เพื่อน" กันมาก่อนก็มี

จนถึงพวกที่น่าไปพบจิตแพทย์ที่สุด เข้าขั้นว่าต้องมานั่งปลอมเลขIP แฮคเวบ
เข้าไปอ่านข้อมูลส่วนบุคคลคนอื่น สร้างหลักฐานปลอม ลบกระทู้ ขู่กรรโชก
ทำอะไรต่อมิอะไรสารพัดเพื่อ "โบ้ย" ความผิดให้คนอื่นไปๆซะ เขาจะได้นั่งขาวสะอาดอยู่คนเดียว



ที่เล่ามาทั้งหมดนี่ไม่ได้มาปลุกระดมว่าในเวบมีตัวป่วนจิตไม่ปรกติแบบนี้ให้สมาชิกตกตะลึงกันนะครับ
ผมไม่ได้เล่นบอร์ดวิชาการดอทคอมพ์เป็นบอร์ดแรกในชีวิต เลยเจอตัวป่วนมาจากเวบอื่นก็มาก
แรกๆก็คิดอยู่หรอก ว่าแต่ละตัวนี่น่าจะจับส่งจิตแพทย์ให้รู้แล้วรู้รอด ไม่รู้จะป่วนไปถึงไหนกันนักเชียว

แต่เดี๋ยวนี้ปลงไปแล้วล่ะครับ 1 ปาก, 1 สมอง, กับอีก 2 มือของแต่ละคน เพราะเป็นสมบัติส่วนบุคคลที่พ่อแม่ให้มาตั้งแต่เกิด
จะเอาไปใช้ทำอะไรก็ทำไปเถอะ คนเรา ดีชั่วก็เพราะตัวทำ สูงต่ำก็เพราะทำตัว
แต่กรรม หรือผลของการกระทำก็เป็นสมบัติที่จะติดตัวคุณไปจนวันตายเหมือนกัน
อยากฝากมรดกเป็นเสียชื่นชมหรือคำนินทาไว้ให้ญาติวงศ์พงษาของเรา ก็เลือกเอาว่าจะทำกรรมดีหรือกรรมเลว
คิดแล้วก็นิ่งต่อไป ไม่ใส่ใจในตัวป่วนซะจะดีกว่า



ปล. มาเทศน์แต่เช้าเชียวผม เดี๋ยวขอตัวไปฝึกงานก่อนล่ะครับ ขนาดหยุดราชการมาจนวันอาทิตย์นี่ผมยังไม่ได้หยุดฝึกงานเลยครับ
เฮ่ออออออ เหนื่อย


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 15 พ.ค. 06, 08:11
 ดิฉันขอแสดงความเห็นตอบเจ้าของกระทู้เรื่องภาษาไทย ภาษาท้องถิ่นและภาษานอกบ้าง
ง่ายๆค่ะ
คนใช้ภาษาไทยได้ดีพอย่อมสามารถเรียนรู้ภาษาอื่นได้ง่าย
เพราะมีความพิถีพิถันทางการใช้ภาษาเป็นทุนเดิม
ไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น อกเกี้ยน แต้จิ๋ว ของแถวๆเอเชียด้วยกัน
หรืออังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ดัทช์ ของฝรั่ง
ก็ต้องพิถีพิถันใช้อย่างถูกๆ
แล้วมันก็ไม่น่าจะมีความผิดอะไรว่าไม่รักชาติ หรือหัวนอก
ถ้าภาษาที่เขาใช้ ๆอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะเมื่อสื่อสารกับคนในโลกกว้างอย่างในอินเทอร์เน็ท
แต่ถ้าใช้ตามแฟชั่น อย่างครับ เป็นคับ นี่
หรือบอกว่าฉันเบื่อ แต่เขียนเป็นฉันเองที่แสนน่าเบื่อ
น่าจะจัดว่าเป็นคนละประเภทกับที่ดิฉันหมายถึง
ก่อนจะว่าคนอื่น เราลืมดูตัวเองก่อนไม่ได้นะคะ
...
ดิฉันไม่ได้จบปริญญาเอกเมืองนอก
แต่ก็มีเพื่อนหลายคนจบมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย นอกจากสอนแล้วก็ยังรับทำวิจัยด้วย
เป็นงานนอก แต่ก็เพื่อให้มีรายได้และเพื่อหูตากว้างไกลเป็นประโยชน์
ทั้งกับงานและตัวเอง
ไม่ได้สอนมั่วๆหวังเอาเวลาไปทำแต่งานนอก
เพราะฉะนั้นจะเอาคนที่ทำเสียหายมาเป็นบรรทัดฐานว่าคนไปเสียหมดคงไม่ได้นะคะ
....
กลับมาที่คุณเอ๋อคุง เจ้าของกระทู้
จริงสิ ตั้งกระทู้ไว้ แล้วก็หายไปเลย
หรือจะเป็นกระทู้ล่อเป้า ที่ทำให้พวกเรากลายเป็นเหยื่อ
แม้่ความคิดเห็นจะแตกต่าง ผู้อ่านทั่วไปก็ได้ประโยชน์ดีนะคะ


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 15 พ.ค. 06, 08:14
 ว้า...
ฮก..พิมพ์เป็นอก
ลืมpreviewค่ะ ขอโทษ


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: Hotacunus ที่ 21 พ.ค. 06, 00:16
 อืม

ได้ยินชื่อ "กุ้งแห้งเยอรมัน" ก็เลยสงสัยขึ้นมาเลยครับ อิอิ แต่ไม่ได้เกี่ยวกับ คุณกุ้งแห้งเยอรมัน นะครับ

ทำไมต้อง "เยอรมัน" อันนี้ผมไม่ทราบจริงๆ ท่านใครทราบโปรดช่วยอธิบายด้วยนะครับ

ผมเข้าใจว่า กุ้งแห้งเยอรมัน หมายถึง ผอมแห้งมากๆ

แต่ทำไมต้องเยอรมัน ???

ทำไมไม่เป็น กุ้งแห้งสเปน อิอิ หรือเพราะมี แมลงวันสเปน อยู่แล้ว อิอิ แล้วจริงๆ แล้ว เยอรมัน มีกุ้งแห้งกินกันหรือเปล่า ???


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: ภูมิ ที่ 21 พ.ค. 06, 00:48
 ถามผิดกระทู้แล้วกระมังครับ
ต้องไปที่กระทู้นี้
 http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=19&Pid=51071
 


กระทู้: ....คนไทย
เริ่มกระทู้โดย: เที่ยง ที่ 30 ต.ค. 06, 17:12

ไอ่ไร่กันหา บอบคันพรรหนี่ หรอบกันแขตาย ของถาวนี
แหลงต้ายไฮควังว่างไป
(อะไรกันนะ ไม่ไหวนะแบบนี้ ทะเลาะกันเกือบตาย ของแค่นี้
พูดไต้ให้ฟังซะเลย)