เรือนไทย

General Category => ศิลปะวัฒนธรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 12, 13:48



กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 12, 13:48
มีคำถามมาขอคำอธิบายจากสมาชิกเรือนไทยค่ะ

เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ รัชกาลที่ 1 สถาปนากรุงเทพฯ เป็นราชธานี โปรดเกล้าฯให้ตั้งการพระราชพิธียกเสาหลักเมือง
พระฤกษ์ยกเสาหลักเมืองกระทำในวันอาทิตย์ ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 ปีขาล รุ่งแล้ว 9 บาท
ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325

คำถามที่อยากทราบคือ รุ่งแล้ว 9 บาท หมายถึงเวลากี่โมง  มีวิธีนับอย่างไรคะ
ในเมื่อเวลาเช้าเย็นของแต่ละฤดูไม่เหมือนกัน   หน้าร้อนดวงอาทิตย์ขึ้นเร็วตกช้า   หน้าหนาวดวงอาทิตย์ขึ้นช้าตกเร็ว  แล้วจะมีมาตรฐานเวลา "รุ่ง" อย่างไร


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 18 ก.ค. 12, 14:07
คัดจากราชกิจจานุเบกษา รัชกาลที่ ๔ เมื่อเดือนแปด ขึ้นค่ำหนึ่ง ปีมะเมีย สัมฤทธิศก เป็นปีที่ ๘ ในรัชกาล ประกาศให้ทราบทั่วกันว่า

"อนึ่งโมงหนึ่ง ตามอย่างไทยแบ่ง ๑๐ ส่วน เรียกว่า บาท นับว่า บาทที่ ๑ บาทที่ ๒ บาทที่ ๓ จนถึงบาทที่ ๙"

ดังนั้นเมื่อแปลความหมายอย่างปัจจุบันก็หมายว่า โมงหนึ่ง = ๖๐ นาที แบ่งออกสิบส่วนคือ ๖ นาที่ = ๑ บาท

ดังนั้น ๑ บาท จึงเท่ากับ ๖ นาที ส่วน ๙ บาทก็เป็นเวลา ๕๔ นาที


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 18 ก.ค. 12, 14:15
"ย่ำรุ่ง"

ในประกาศเดียวกันอธิบายการเรียก ทุม และ โมง ซึ่งเวลาไทยแบ่งเป็น ๑๒ ช่วงอย่างเท่า ๆ กัน

ตีสาม ไทยเรียกว่า สามยาม

ตีสี่ ไทยเรียกว่า ๑๐ ทุ่ม

ตีห้า ไทยเรียกว่า ๑๑ ทุ่ม

หกนาฬิกา ไทยเรียกว่า "ย่ำรุ่ง"

เจ็ดนาฬิกาเช้า ไทยเรียกว่า โมง ๑


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 12, 14:51
ขอบคุณมากค่ะคุณหนุ่มสยาม


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 18 ก.ค. 12, 15:17
การบรรจุดวงเมืองในไม้ศาลหลักเมืองนั้น เป็นพระราชพิธีนครถาน โดยขุดหลุมลึก ๗๙ นิ้ว เป็น ๑๒ เหลี่ยม ๆ ละ ๖ นิ้ว เสานั้นทำด้วยไม้ไชยพฤกษ ยาว ๑๘๗ นิ้ว ฝังในดินลึก ๗๙ นิ้ว พร้อมกับให้ตั้งศาลบูชาเทวาทั้ง ๘ ทิศ

เมื่อได้ฤกษ์จากพระโหราธิบดีแล้วจึงได้นำดินทั้ง ๔ ทิศโยนลงไปในหลุมพร้อมกับแผ่นศิลา เมื่อตั้งเสาแล้วก็บรรจุพระชะตาดวงเมือง พระสงฆ์เจริญสวดพระพุทธมนต์ ตั้งพระไชยวัฒน์เป็นประธาน สวดมนต์อยู่ ๓ วัน ๓ คืนแล้ววันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ ๔ ก็อัญเชิญพระสงฆ์ประพรมโดยทรายที่ขุดรากก่อกำแพงเมือง

มาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงแก้ดวงเมืองใหม่ให้ไฉไลกว่าเดิม ด้วยทรงผูกดวงกรุงเทพพบความคลาดเคลื่อนของตัวเลข จึงโปรดเกล้าให้ถอนเสาหลักเมืองเก่าออก และสถาปนาหลักเมืองขึ้นมาใหม่และบรรจุดวงพระชะตาเมืองใหม่ลงไป ส่วนเสาหลักเมืองเดิมก็ให้พาดพิงไว้ไม่ได้ยกไปไหนอยู่มาจนกระทั่งพระนครฉลอง ๒๐๐ ปี จึงได้ซ่อมแซมบูรณะเสาหลักเดิมนำมาวางเคียงข้างกันอย่างในปัจจุบัน

ในการฝังเสาหลักเมืองในสมัยรัชกาลที่ ๑ มีการเล่าลือกันในสมัยรัชกาลที่ ๗ เกี่ยวกับชะตาบ้านเมืองว่า เมื่อขุดหลุมพร้อมที่จะลงเสาหลักเมือง พระโหราธิบดีก็ได้ให้เจ้าหน้าที่หย่อนเสาลงไป แต่บังเอิญเหลือบไปเห็นงู ๔ ตัวอยู่ในก้นหลุม แต่ช้าเกินไปที่ห้ามไว้ เสาหลักเมืองได้ลงไปเรียบร้อยแล้ว

รัชกาลที่ ๑ ทรงพระกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงได้ให้โหรตรวจทำนายดูว่าเหตุการณ์ร้ายหรือดี ซึ่งโหรก็ทูลว่าจะมีเคราะห์กับบ้านเมือง ซึ่งในสมัยรัชกาลที่ ๗ มีกระแสเหล่านี้แรงมาก พระองค์โปรดเกล้าฯให้สหชาติ ปีมะเส็ง เรียกว่า ๔ มะเส็ง ร่วมทำบุญอุทิศส่วนกุศลถวาย สร้างถาวรวัตถุไว้ในช่วงพระนครครบรอบ ๑๕๐ ปี


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 18 ก.ค. 12, 15:42
คัดจากพงศาวดารรัชกาลที่ ๑


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ก.ค. 12, 07:13
^
เยี่ยมมาก
ถ้างั้น ดวงเมืองที่แท้จริง  ควรจะเป็นอย่างที่ลงเสาหลักเมืองในรัชกาลที่ ๑   หรือว่าเป็นอย่างที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯทรงแก้ไขในรัชกาลที่ ๔ คะ


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 19 ก.ค. 12, 07:48

ถ้างั้น ดวงเมืองที่แท้จริง  ควรจะเป็นอย่างที่ลงเสาหลักเมืองในรัชกาลที่ ๑   หรือว่าเป็นอย่างที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯทรงแก้ไขในรัชกาลที่ ๔ คะ


ถึงตอนนี้ก็ควรนับดวงเมืองในสมัยรัชกาลที่ ๔ เนื่องจากมีการถอนเสาหลักเมืองในสมับรัชกาลที่ ๑ ออกไป และมีการสร้างดวงเมือง และสร้างไม้ไชยพฤกษ์ และมีการประกอบการฝังหลักเมืองใหม่ ดังนั้นจึงต้องเป็นดวงเมืองสมัยรัชกาลที่ ๔ ครับ

โดยโปรดเกล้าให้พระยาโหราธิบดี ขุนโชตนาพรหมา กับ ขุนเทพากร คำนวณดวงชะตาพระนครใหม่ ในวันอาทิตย์ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๙๖ กระทำเขียนดวงพระชะตาบนแผ่นเงิน และแผ่นทองกว้าง ๕ นิ้ว ที่พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสาดาราม มีประธานสงฆ์โดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส พร้อมด้วยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์

แต่โดยนัยแล้วทางโหราศาสตร์การคำนวณดวงเมืองมักจะกระทำดวงเมืองเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๑ มากกว่าโดยให้เหตุผลในเชิงว่า ดวงเมืองสมัยรัชกาลที่ ๔ ที่บรรจุลงใหม่นี้เป็นการเสริมดวงเมืองในสมัยรัชกาลที่ ๑ เสียมากกว่า


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: bahamu ที่ 19 ก.ค. 12, 10:20
ดวงเมือง ส.แสงตะวัน ผู้ล่วงลับเขียนไว้พิศดารที่สุด ในหนังสือ เผยความลับโหราศาสตร์ 1,2


ข้อมูลที่ผมเอามาลงนี้ส่วนแรกได้จาก หนังสือของ อ.แสงตะวัน(ยังลงไม่หมด และต้องตรวจทานอีกที เพราะใช้ปฏิทินของ ทองเจือ อ่างแก้ว ในการคำนวน)

ดวงเมืองกรุงเทพฯ  อาทิตย์ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ ขึ้น ๑๐ ค่ำเดือน ๖ ปีขาล จ.ศ.๑๑๔๔ เวลารุ่งเเล้ว ๙ บาท

โดยใช้โหรจากอินเดีย ๙ คนเป็นผู้ให้ฤกษ์ เรียกว่าเพชรฤกษ์มงคลทั่วไป 

                                                                              ลางฤกษ์เรียก มาณพน้อยใส่หมวกเหล็ก 

                                                                               โหรเรียก กำแพงแก้ว ๓ ชั้น   
                                                         
                                                                               โดยกำแพงแก้ว ๓ ชั้นคือ

                                                             เกณท์ฤกษ์ ชั้นที่ ๑  พระ ๒ เป็นองค์พระฤกษ์  พระ ๖ เป็นองค์คู่ฤกษ์
                                                             เกณท์ฤกษ์ชั้นที่ ๒   พระ ๖ เป็นองค์พระฤกษ์   พระ ๔ เป็นองค์คู่ฤกษ์
                                                             เกณท์ฤกษ์ชั้นที่ ๓   พระ ๕ เป็นองค์พระฤกษ์   พระ ๖ เป็นองค์คู่ฤกษ์     
     
เมื่อถึงเวลาวางฤกษ์คือรุ่งเช้า ๙ บาท(ใช้แสงแดดวัดเงา ได้ ๙ ฝ่าเท้า) เป็นช่วงที่มีเรือสำเภาส่งสินค้าจากเมืองจีนเข้ามาเทียบแล้ว
ลูกเรือก็ขนกระทะเหล็กเดินผ่านเข้ามาในเขตุทำพิธีถือเป็นลางฤกษ์ ของเวลาจริงคือลางฤกษ์มาณพน้อยใส่หมวกเหล็ก 
(โดยปกติตอนผูกดวงฤกษ์ โหรที่เก่งจริงๆจะรู้ว่าในเวลานี้จะมีอะไรเกิดขึ้นในทำนองนี้)

เจ้าหน้าที่จึงได้ลั่นฆ้องลงเสาหลักเมือง(ถ้าเป็นฝรั่งหรือทางตะวันตกเขาใช้การสั่นกระดิ่ง)
เมื่อปล่อยเสาลงหลุมปรากฏว่ามีลูกงูสิงห์มาจากไหนก็ไม่รู้มาอยู่ที่ก้นหลุม  ทางโหรถือเป็นเทพนิมิตร และได้ทำนายว่าราชวงศ์จะเจริญไปได้ ๑๕๐ ปีจะสูญสิ้น 

มีทางที่แก้ไขได้ทางเดียวคือการสร้างวัดไว้ในทิศใกล้จึงจะบรรเทาได้ ทางพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ จึงให้สร้างวัดพระแก้วขึ้น เป็นการแก้อาถรรพ์ เพื่อปกปักรักษาพระนคร


http://www.108dee.com/horaforcast.html (http://www.108dee.com/horaforcast.html)


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ก.ค. 12, 10:55
ประเพณีสร้างวัดหลวงในพระบรมมหาราชวังมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้วไม่ใช่หรือคะ   เห็นได้จากวัดพระศรีสรรเพชญ


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: bahamu ที่ 19 ก.ค. 12, 13:39
จากวิกิ

วัดพระศรีสรรเพชญ์ เดิมในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ใช้เป็นที่ประทับ ต่อมาสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงสร้างพระราชมณเฑียรขึ้นใหม่ทางตอนเหนือ
แล้วจึงโปรดฯให้ยกเป็นเขตพุทธาวาส เพื่อประกอบพิธีสำคัญต่าง ๆ ของบ้านเมือง(วังสร้างก่อนวัด)

จากที่ลงรูปข้างต้น ข้ามมาฝั่งนี้ วางหลักเมืองก่อน แล้วค่อยสร้างวังทีหลัง  วังมักสร้างบนที่ดอนใกล้น้ำ

ถ้าเชื่อที่ส.แสงตะวันเขียน แสดงว่าวัดสร้างก่อนวัง
จากรูปทรงอาคาร โบสถ์วัดพระแก้วสร้างแบบอยุธยาตอนปลาย เสาบัวแวง เสมาในซุ้ม แต่จั่วหลังคาแคบ ไม่ป้านแบบวังหน้า หรือวังเดิม

เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังที่ประทับนั้น ทรงเอาป้อมวิชัยประสิทธิ์ข้างฝั่งตะวันตกเป็นที่ตั้งตัวพระราชวัง
แล้วขยายเขตพระราชฐานจนวัดแจ้งเป็นวัดภายในพระราชวัง เช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์สมัยอยุธยา(วัดสร้างก่อนวัง)

ดวงชะตาของเมืองลงในแผ่นทองคำ ดังนี้

ลัคนาสถิตราศีเมษ กุมอาทิตย์
เกตุอังคารอยู่ราศรีพฤกษภ มฤตยูอยู่ราศีเมถุน
จันทร์ราศีกรกฎ เสาร์และพฤหัสราศีธนู
ราหูศุกร์ และพุธราศีมีน

http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/หลักเมือง (http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/หลักเมือง)


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 19 ก.ค. 12, 14:20
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ วังสร้างก่อนวัด

การลงเสาหลักเมือง บ่งชี้ว่าได้กระทำการตั้งเสาลงหลักปักฐาน ณ ผืนแผ่นดินด้านตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงกับวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕

และแล้วจึงเกณฑ์ไพร่พลเขมร ลาว ป้อม กำแพงวังปักไม้ระเนียดทาดินแดง รื้ออิฐจากกรุงเก่ามาสร้างพระบรมมหาราชวัง และวังหน้าขึ้นพร้อมกันในวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๒๕

ครั้นล้อมรั้วกำแพงสร้างป้อมแล้วก่อรากพระบรมมหาราชวัง และ แบ่งส่วนหนึ่งยกเป็นพื้นที่สำหรับประดิษฐานพระแก้วมรกต แบ่งอาณาเขตยกขึ้นเป็นวัดในพระบรมมหาราชวัง

การสร้างวัดพระแก้วกำหนดแล้วเสร็จใช้เวลา ๒ ปี ตกพ.ศ. ๒๓๒๗ ฉลองพระอุโบสถอัญเชิญพระแก้วมรกตขึ้นประดิษฐาน

การสร้างพระบรมมหาราชวังเสร็จในเบื้องต้นก่อนวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๒๕ ทรงนั่งเรือข้ามฟากมายังฉนวนท่าวังใหม่ พร้อมกับประกาศให้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในเบื้องต้น การก่อสร้างพระบรมมหาราชวังใช้เวลาก่อสร้างราว ๓ ปีจึงแล้วเสร็จ


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: puyum ที่ 19 ก.ค. 12, 15:22
อยากอ่านต่อ ตอนสร้างวัง ๓ ปีครับ  ครับคุณ siamese


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 19 ก.ค. 12, 16:13
อยากอ่านต่อ ตอนสร้างวัง ๓ ปีครับ  ครับคุณ siamese

การสร้างพระมหามณเฑียรในพระราชพงศาวดารพูดน้อยนัก แต่ดูจากลักษณะสิ่งก่อสร้างที่จำลองบรรยากาศพระราชวังให้มีลีลาอย่างพระราชวังกรุงศรีอยุธยา คือ มีพระมหามณเฑียร และท้องพระโรงสำหรับออกว่าราชการ มีโรงช้าง โรงม้าและตำหนักฝ่ายใน

มีการสร้างหมู่พระมหามณเฑียร ด้วยอิฐและไม้ผสมกัน ท้องพระโรงพระที่นั่งอัมริทรวินิจฉัยก็ยังเป็นเสาไม้ ไม่มีผนังเปิดโล่งแบบพระราชวังเดิม ทาไม้สีแดง และที่ริมน้ำก็โปรดให้สร้างพระมหาปราสาทขนาดใหญ่ ชื่อว่า พระที่นั่งอินทราภิเษก กว้างและยาวเทียมเท่าพระที่นั่งสรรเพชญมหาปราสาท สำหรับออกว่าราชการ ส่วนฝ่ายในก็สร้างตำหนักด้วยเรือนไทยฝากระดาน

ทั้งนี้ยังมีงานก่อสร้างพระนครอีกมาก เช่น การขุดคลอง การก่อสร้างป้อม ประตูเมือง กำแพงพระนครล้อมกรุงเทพไว้ และยังมีศึกสงคราม ๙ ทัพอีก


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 23 ก.ค. 12, 22:52
ผมสนใจอ่านเรื่องของ astrology เล็กๆน้อยๆพอสมควร เพียงเป็นการติดตามความเคลื่อนไหว ศึกษา ทำความเข้าใจกับปรัญชา ความนึกคิด การแปลความหมาย และพัฒนาการของโหราศาสตร์

เมื่อไม่นานมานี้ได้ download โปรแกรมฟรี เป็นโปรแกรมเล็กๆ ที่คำนวนเส้นทางของดาวที่โคจรพาดผ่านตำแหน่งต่างๆบนพื้นผิวโลก  ผมสนใจก็เพราะว่า เคยได้อ่านพบว่า เมื่อคราวเกิดสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ดาวพลูโต ได้โคจรอยู่เหนือหัวผ่านประเทศทั้งหลายในยุโรปที่เป็นสนามสู้รบกัน และเส้นทางผ่านไทยด้วย

โปรแกรมนี้ไม่ได้แสดงเส้นทางโคจรบนบนแผนที่โลก แต่เพื่อค้นหาว่า ณ จุดที่กำหนดบนผิวโลก (ละติจูด,ลองติจูด) ณ วันที่นั้นๆ มีดาวอะไรเดินทางผ่านในละแวกจุดนั้นบ้าง   

ลองย้อนไปดูวันที่เกิดเหตุการณ์ไม่ดีกับประเทศไทย เช่น การเสียดินแดน การเปลี่ยนแปลงการปกครอง   ปรากฎว่า บางกรณ๊มีดาวที่มีความหมายแรงๆผ่านอยู่เหนือหัวที่ กมท.ก็มี (ดวงเดียวก็มี เป็นกลุ่มก็มี) หลายกรณ๊ผ่านอยู่ใกล้ๆจุดเหนือหัวก็มี

ในช่วงนี้ เส้นทางพาดผ่านของดาวอังคาร อยู่เหนือหัวของกรุงเทพฯพอดีครับ  จะแปลเป็นเรื่องอะไรได้บ้างก็ไม่รู้  แต่กรุณาอย่าไปแปลว่าเป็นทหารก็แล้วกัน คงไม่ใช่อยู่แล้ว  อาจจะเป็นเรื่องของพลัง (energy หรือ power) อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเรื่องของมวล (mass หรือ momentum) หรือเรื่องของ....

ผิดวิกหรือเปล่าหนอ  ;D 

   
 



กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.ค. 12, 23:04
ไม่ผิดหรอกค่ะ  อย่างน้อยมีคนมาแจมด้วยคนหนึ่ง
ตอนฝรั่งเศสบุกอ่าวไทยในร.ศ. 112  คุณตั้งใช้โปรแกรมที่ว่านี้ตรวจดูได้ไหม ว่าดาวพลูโตหรือดาวอังคารผ่านเหนือกรุงเทพหรือเปล่าคะ


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ก.ค. 12, 06:24
^
ตรงกับวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2436


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 12, 08:17
ดวงเมืองทั้งสองดวง 


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 24 ก.ค. 12, 18:40
ไม่ผิดหรอกค่ะ  อย่างน้อยมีคนมาแจมด้วยคนหนึ่ง
ตอนฝรั่งเศสบุกอ่าวไทยในร.ศ. 112  คุณตั้งใช้โปรแกรมที่ว่านี้ตรวจดูได้ไหม ว่าดาวพลูโตหรือดาวอังคารผ่านเหนือกรุงเทพหรือเปล่าคะ

ตรงกับวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2436

ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้  เหนือหัวกรุงเทพฯมีดาวอยู่หลายดวงที่โคจรผ่าน คือ
ในช่วงเวลาประมาณ 9 โมงเช้า มีดาวพลูโตและเนปจูนอยู่เกือบเหนือหัวพอดี Azimuth ประมาณ 161 องศา มุมเงยประมาณ 88 องศา (Az. 161 / Alt. 88) และ Az.14 / Alt.82) ตามลำดับ
ในช่วงเวลาประมาณ 8 โมงเช้า มีดาวพฤหัส ที่ Az.360 / Alt.86
ในช่วงเวลาประมาณ 13.30 น. มีดาวอังคารและศุกร์ ที่ Az.4 / 85 และ ที่ Az.343 / Alt.84
ในช่วงเวลาประมาณ 14 น. มีดาวพุธ ที่ Az.360 / Alt.89

ตัวเลขเหล่านี้ได้มาจาก pointer ของเมาส์ คงไม่ถูกต้องเป๊ะ  ตัวเลขอาซิมุทเป็นเพียงบองทิศทางที่จะแหงนมองขึ้นไปเมื่อยืนอยู่กลางกรุงเทพฯ (ละติจูดที่ 13.43 และลองติจูดที่ 103.83) แต่ตัวเลขมุมเงยซิครับ จะเห็นว่าอยู่เกือบเหนือหัวพอดี (คือใกล้มุมฉากตั้งตรง) ณ ประมาณเวลาที่ผมบอกไป

ก็ลองแปลความหมายกันดูนะครับ 
พลูโตอยู่ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลง เน็ปจูนอยู่ในเรื่องของน้ำและความทมึนน่ากลัว พฤหัสอยู่ในเรื่องของปัญญา อังคารอยู่ในเรื่องของพลังอำนาจ ศุกร์อยู่ในเรื่องของอารยธรรมและความรุ่งเรืือง พุธอยู่ในเรื่องของการคมนาคมและเรื่องของบริวาร

ผมแปะ link ไว้ให้เผื่อจะ download ลองเอาไปศึกษาดูกันครับ
http://starcalc.en.softonic.com/ (http://starcalc.en.softonic.com/)



กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 24 ก.ค. 12, 19:07
เพราะไม่มีความรู้ เลยต้องขอนุญาตถามว่า ...อยู่ๆ เมื่อปีที่แล้วน้ำท่วมใหญ่ ในช่วงเวลานั้นมีคำอธิบายทางศาสตร์เหล่านี้ อย่างไรบ้างคะ

และในปีนี้ (ใจทุกคนหวั่นๆ ) อยากทราบว่ามีการบ่งชี้ในลักษณะเดียวกันบ้างหรือเปล่า จะได้วางแผน หาทางหนีทีไล่ได้ทัน... :'(  อิอิ


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ก.ค. 12, 21:12
ขอบคุณนายตั้งมากครับ


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 12, 21:45

ในช่วงนี้ เส้นทางพาดผ่านของดาวอังคาร อยู่เหนือหัวของกรุงเทพฯพอดีครับ  จะแปลเป็นเรื่องอะไรได้บ้างก็ไม่รู้  แต่กรุณาอย่าไปแปลว่าเป็นทหารก็แล้วกัน คงไม่ใช่อยู่แล้ว  อาจจะเป็นเรื่องของพลัง (energy หรือ power) อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเรื่องของมวล (mass หรือ momentum) หรือเรื่องของ....

ดาวอังคารตามโหราศาสตร์ไทยที่นำมาจากอินเดียอีกทีหนึ่ง    ประวัติเดิมบอกว่าเป็นเทวดาสร้างขึ้นมาจากมหิงสา  8 ตัว บดเป็นผง แล้วสีกายชมพู พระอังคารทรงมหิงสาเป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้  ถือว่าเป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์   ให้ผลในทางเร่าร้อนรุนแรง
ผู้ที่เกิดวันอังคาร หรือมีพระอังคารกุมลัคน์ มักเป็นคนแข็งกร้าว มีอารมณ์ฉุนเฉียว   ใจร้อน ชอบใช้กำลัง  พระอังคารเป็นมิตรกับพระศุกร์ และเป็นศัตรูกับพระอาทิตย์ 
ในโหราศาสตร์ไทย พระอังคารถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ 3 และด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากมหิงสา 8 ตัว จึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น 8


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.ค. 12, 07:52
ส่วนตามหลักโหราศาสตร์ยูเรเนียนของตะวันตก   ดาวอังคารก็มีอะไรคล้ายๆกับโหราศาสตร์ไทยอยู่บ้างเหมือนกัน 
ดาวอังคารตามหลักของโหราศาสตร์ฝรั่ง  คือ Mars เทพเจ้าแห่งสงคราม  เป็นดาวของพลังและการต่อสู้   ดาวของทหาร  การใช้กำลัง   อาวุธ เครื่องยนต์กลไก 
ถ้าพาดผ่านประเทศใดในวันเดือนปีใด  โหรก็ทายว่ามักจะเกิดสงคราม การต่อสู้  หรืออย่างน้อยก็ความไม่สงบในถิ่นนั้นๆ


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.ค. 12, 22:18
เคยอ่านพบมาจากหนังสือหลายเล่มที่พูดถึงดวงเมือง ว่าดวงเมืองของเราอังคารกุมลัคน์   แปลว่าเป็นดวงที่แข็๋ง ใครก็เอาให้ล้มไม่ได้   โหรบางคนตีความไปว่าเป็นดวงที่ทหารเป็นใหญ่   เพราะตอนสร้างกรุง  คนไทยอยู่ในภาวะเผชิญกับศึกน้อยใหญ่ไม่เว้นว่าง ก็เลยต้องวางดวงเมืองให้แข็งแกร่งไม่เสียเอกราช   ส่วนฤกษ์นั้นตรงกับมหัทธโนฤกษ์  คือฤกษ์เศรษฐี   แปลว่าจะทำมาค้าขายได้ขึ้น มีพ่อค้าวาณิชมาติดต่อซื้อขาย  เงินทองสะพัด  ยังไงประเทศก็ไม่ยากจน     แต่ว่าไปเสียที่ดาวศุกร์ คือเสียเรื่องความสวยงาม อะไรที่เป็นศิลปวัฒนธรรมจะเสียหายอยู่เนืองๆ
ดูจากกระทู้ที่มีรูปถ่ายเก่าๆของกรุงเทพ  อย่างที่คุณ siamese และท่านอื่นๆอีกหลายท่านช่วยกันหามาใส่ไว้    ก็พอมองออกว่าความงามในอดีตนั้นเสียไปเยอะจริงๆ  

รูปข้างล่างนี้ - พระอังคาร


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 28 ก.ค. 12, 21:40
เพียงเสนอเป็นข้อสังเกตว่า

ดวงเมืองของกรุงเทพฯที่ผูกมาโดยโหาราจารย์แต่โบราณนั้น คงจะไม่มีดาวมฤตยู เน็ปจูน และพลูโต รวมอยู่ด้วย ซึ่งก็หมายความว่าคงจะไม่มีการนำเอาดาวทั้งสามดวงนี้มาพิจารณาในการแปลความหมายด้วยเช่นกัน

ดาวมฤตยู ถูกค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2329
ดาวเน็ปจูน ถูกค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2389
ดาวพลูโต ถูกค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2473


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.ค. 12, 21:54
โหรไทยผูกดวงและตีความดวงแบบไทย   ชื่อดาวต่างๆเป็นคนละดวงกับโหรฝรั่งค่ะ   จึงไม่มี 3 ดวงที่คุณตั้งว่ามา


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 29 ก.ค. 12, 21:14
ผมสนใจในเชิงของวิชาการและศาสตร์เกี่ยวกับดวงเมืองกรุงเทพฯ ในเรื่อง

  1. การผูกดวงตามแบบฉบับการคำนวณของไทยแต่โบราณนั้น มีความต่างไปจากการคำนวณตามศาสตร์และความรู้ทางดาราศาสตร์ในปัจจุบันมากน้องเพียงใด ในเชิงของตำแหน่ง เรือน และสมผุสดาว   ผมทราบว่าใการคำนวนต่างๆนั้นแบบเรานั้น มีการใช้ค่าอายนางค์ ในขณะที่โหราศาสตร์ของตะวันตกนั้นไม่ใช้
  2. การแปลความหมายและการพยากรณ์ในมุมทางโหราศาสตร์ระบบต่างๆ เช่น ระบบถือการเอาราศีกรกฏเป็นราศีเริ่มต้น ระบบเรือนไม่คงที่ ระบบเรือนคงที่ ระบบเรือนเท่า ระบบเรือนไม่เท่า ฯลฯ
  3. มีการคำนวนตำแหน่งของวัตถุในระบบโหราศาสตร์ยูเรเนียน (Cupido Hades Admetos Zeus Vulcanus Posidon) ใขณะนั้นบ้างหรือไม่

ซึ่งผมเข้าใจต้องว่ามีการกระทำกัน    ยังพอจะไปหาอ่านกันได้บ้างใหมครับ     
 


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ก.ค. 12, 21:34
ขอตอบแบบสเน้กๆ ฟิชๆ ตามประสาคนไม่ได้เรียนโหราศาสตร์ตะวันตก   อย่างหนึ่งที่เห็นชัดคือโหราศาสตร์ไทยคำนวณแบบจันทรคติ    ส่วนของตะวันตกนั้นเป็นสุริยคติ   
ส่วนเรื่องของราศีตั้งแต่มังกรไปจนธนู  หรือบางแห่งนับจากเมษไปถึงมีน  เป็นของตะวันตก  โหราศาสตร์ไทยแต่ดั้งเดิมของเราไม่มีค่ะ


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ก.ค. 12, 16:41
ในเมื่อโหราศาสตร์ไทย ใช้จันทรคติ จึงคำนวณตามเดือนข้างขึ้นแรมตามหลักจันทรคติ  ปีก็เป็นปีนักษัตร     ในแต่ละปีก็ยังมีคำเรียกเดือนแยกย่อยลงไปอีก เพื่อนำมาใช้คำนวณ

ปกติมาส หมายถึง ปีทางจันทรคติที่เป็นปกติ 12 เดือน
ปกติวาร หมายถึง ปีทางจันทรคติที่เดือน 7 เป็นปกติ คือมี 29 วัน
อธิกมาส หมายถึง ปีทางจันทรคติที่มีเดือนแปดสองหน คือมีเดือนแปด (88) เพิ่มมาอีก 1 เดือน รวมเป็น 13 เดือน เป็นการทดให้เดือนทางจันทรคติกับสุริยคติมีความสมดุลกัน
อธิกวาร หมายถึง ปีทางจันทรคติที่เดือน 7 ซึ่งเป็นเดือนขาด มีวันเพิ่มอีก 1 วัน เป็น 30 วัน คือมีข้างขึ้น 15 วัน และข้างแรม 15 วัน
อธิกสุรทิน หมายถึง ปีทางสุริยคติ ที่เพิ่มวันในเดือนกุมภาพันธ์อีก 1 วัน เป็น 29 วัน

ส่วนโหราศาสตร์ตะวันตก  แบ่งปีเป็นจักรราศี(Zodiac) 12 ราศีด้วยกัน 
กลุ่มดาวจักรราศี หมายถึง กลุ่มดาวฤกษ์จำนวน 12 กลุ่ม  อยู่ตามแนวทางเดินของดวงอาทิตย์ ที่เรียกว่า เส้นสุริยะวิถี  จริงๆแล้ว กลุ่มดาวดังกล่าวไม่ได้อยู่บนแนวสุริยวิถีพอดี แต่จะอยู่ในช่วงแถบกว้างประมาณ 18 องศา  แต่ละราศีมีช่วงห่างกัน 30 องศา ได้แก่ ราศีเมษ ราศีพฤษภ ราศีเมถุน ราศีกรกฎ ราศีสิงห์ ราศีกันย์ ราศีตุลหรือ ราศีดุล ราศีพฤศจิกหรือราศีพิจิก ราศีธนู ราศีมังกร ราศีกุมภ์ และราศีมีน,
โหราศาสตร์ตะวันตกนำวงโคจรของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์ที่สมมุติขึ้นเหล่านี้มาคำนวณดวงชะตาของคนและเหตุการณ์สำคัญๆของโลก


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: saimai ที่ 16 ต.ค. 13, 18:53
สืบเนื่องจากข่าวนี้

"สุรพงษ์" เปิดเผยศาลโลกแจ้งมาที่สถานฑูตไทย ณ กรุงเฮก ว่าจะอ่านคำตัดสินคดี "เขาพระวิหาร" วันที่ 11 พ.ย.56 โดยเลื่อนขึ้นมาจาก ก.พ. 2557 ‪#‎nationchannel‬

ลองโหลดโปรแกรม Starcalc มาแล้ว แต่ ดูไม่เป็นค่ะ  :-[ 
คุณนายตั้งช่วยดูให้ด้วยค่ะ ว่าวันนั้นมีดาวสำคัญอะไรพาดผ่านประเทศไทยบ้างคะ   ขอบคุณค่ะ  :D


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 16 ต.ค. 13, 23:18
ครับผม

เพิ่งเปิดดูเมื่อสักสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะอยากจะทราบว่าดาวอะไรที่อยู่เหนือกรุงเทพฯบ้างในช่วงเวลาที่ได้มีการทำนายทายทักกัน (วันที่ 8+/-)   ก็เห็นว่ามีดาวอังคาร และดาวพฤหัสเคลื่อนที่ผ่านเหนือหัว กทม.  แต่คนละเวลากัน
   
พรุ่งนี้จะดูดูในละเอียดอีกหน่อยครับ โปรแกรมอยู่ในอีกเครื่องคอมพิวเตอร์ครับ

อังคาร-มีความหมายไปในทางกำลัง พลัง มวลหรือกลุ่มก้อนที่มีพลังอยู่ในตัวมากๆ เช่น เครื่องจักรกล กลุ่มคนที่อยู่ในเครื่องแบบต่างๆ
พฤหัส-มีความหมายไปในทางความยินดีปรีดา การประสบความสำเร็จต่างๆ (งาน เงิน)  เกี่ยวข้องกับเรื่องของจิต ใจ และปัญญา เป็นเรื่องของความสุขที่เกิดขึ้นในบุคคลหรือคณะบุคคล

ในตำราโหราศาสตร์แบบ Midpoint Astrology ซึ่งพิจารณาจากอิทธิพลของดาวสองดวง โดยใช้เส้นแบ่งครึ่งมุมที่ดาวสองดวงที่ทำมุมกันสร้างเป็นภาพของเหตุการณ์และอิทธิพลที่จะส่องไปตามแนวเส้นแบ่งครึ่งมุมนั้น   ภาพหรืออิทธิพลของอังคารกับพฤหัสของโหราศาสตร์แบบนี้ คือ ความสุกงอมของเรื่องราวต่างๆ การเกิดเรื่องราวใหม่ๆหรือการยุติเรื่องราวเดิมๆ  การผนวกเข้าด้วยกันหรือการแยกออกจากกัน รวมทั้งหมายถึงกิจกรรมที่ประสบผลสำเร็จ และการตัดสินใจในภาวะจำกัดหรือบังคับแต่กลับได้ผลดีในภายหลัง

สำหรับกรณี ดาวเสาร์กับราหูเดินสวนกันในราศีตุลย์ แล้วเล็งไปที่ราศีเมษซี่งเป็นตำแหน่งลัคนาหรือตัวตนของประเทศไทยนั้น   นอกจากจะพิจารณาภาพของอิทธิพลได้ในลักษณะของดาวเดินสวนกันแล้ว  ก็อาจพิจารณาในรูปเสมือนดาวทั้งสองดวงนี้วางตัวเป็นฐานของรูปทรงสามเหลี่ยมที่มียอดแหลมเป็นลัคนา ภาพก็คือเสมือนหนึ่งลักคนาถูกทิ่มแทง 
เสาร์- เป็นเรื่องของความจำกัด ความแรง การซ่อนเร้น การสูญเสีย
ราหู- ของไทยว่าเป็นเรื่องของความหลงระเริง เห็นผิดเป็นถูก อะไรทำนองนี้  แต่ของฝรั่งว่าเป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อมหรือสภาพแวดล้อมและเหตุการณ์ต่างๆที่ห้อมล้อม

พื้นฐานของความหมายในลักษณะเช่นนี้ คงจะทำให้เกิดการแปลเป็นภาพได้หลากหลายมากๆครับ


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 ต.ค. 13, 04:57
อ้างถึง
พื้นฐานของความหมายในลักษณะเช่นนี้ คงจะทำให้เกิดการแปลเป็นภาพได้หลากหลายมากๆครับ
หมอดูกับหมอเดาก็สลับร่างกันไปมาตรงจุดนี้


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ต.ค. 13, 17:13
^
การตีความมันมีได้สารพัดอย่าง  บวกกับตัวแปรจากดาวดวงโน้นเข้ามา ดาวดวงนี้เดินหน้า ดวงนู้นถอยหลัง  ทำให้คำตอบออกมาได้หลากหลาย ต้องโยนหัวโยนก้อยกันว่า น่าจะเป็นอย่างไหนกันแน่

เผลอๆก็ไม่รู้ว่าตัวเองดูหรือเดาค่ะ
แหะ แหะ



กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 17 ต.ค. 13, 21:43
ความเป็นหมอดูอยู่คู่กับความเป็นหมอเดาอยู่แล้วครับ   หากจะดูและให้เพียงภาพพื้นฐานและอิทธิพลพื้นฐานของดวงดาวที่มาทำมุมสัมพันธ์กัน แล้วให้ไปจินตนาการเอาเองว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ก็จะอยู่ในภาคของความเป็นหมอดูแม่นๆมากกว่าที่จะเป็นหมอเดา  แต่หากดูแบบบอกเรื่องได้เป็นฉากๆ และยิ่งลงลึกในรายละเอียดมากขึ้นเพียงใด ก็จะยิ่งเข้าไปสู่แดนของการเป็นหมอเดาเอามากๆเลย    ผมเลือกที่จะอยู่ในสถานะของผู้ศึกษาวิชาโหราศาสตร์

เคยอ่านหนังสือของฝรั่ง เรื่องเกี่ยวกับแนวคิดใหม่ในการตีความภาพของดาวพลูโต เลยทำให้พอจะเข้าใจว่าโหรเขามีวิธีคิดและวิธีการถอดความหมายของดาวเคราะห์ต่างๆให้ออกมาเป็นภาพความหมายของดวงดาวและอิทธิพลของมันได้อย่างไร   

ความถูกต้องและไม่ถูกต้องของคำพยากรณ์นั้น ผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องของความสามารถทางศิลปของตัวหมอดู  ยิ่ง (หมอดู) รู้จักเขา (ลูกค้า) มากเพียงใดก็ดูเหมือนจะยิ่งทายแม่นมากขึ้นเท่านั้น หมอดูจึงต้องพยายามชวนคุยเพื่อให้ได้ข้อมูลของบุคคลนั้นๆมากที่สุดเพื่อใช้ในประกอบในการทำนายทายทัก  เมื่อไปดูหมอ หมอดูมักจะเริ่มล้วงตับด้วยการทำนายทายทักเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งส่วนมากจะถูกต้อง โดยดูจากดาวใหญ่เดินช้าทั้งหลายโดยเฉพาะดาวเสาร์และพฤหัส ซึ่งผู้ดูมักจะพยาามรำลึกหาเหตุกาณ์ที่สอดคล้อง เป็นกระบวนการทางจิตวิทยาในการปรับแต่ง/สร้างความเชื่อมั่น เมื่อความเชื่อได้เกิดขึ้นแล้ว จากนั้นไปก็ไม่ยากที่การพยากรณ์ทั้งหลายก็ดูเหมือนจะถูกไปหมด

เราแทบจะเดาคำถามที่ผู้มาดูหมออยากจะถามได้เลยเมื่อพบกัน เช่น หากอยู่ในวัยเรียน ม.ปลาย คำถามหลักก็คือจะเข้ามหาวิทยาลัย/จะเรียนต่อได้ใหม ?    หากอยู่ในวัยเบญจเพศ ชายก็จะไม่หนีเรื่องการทำงาน? หญิงก็มักจะไม่หนีเรื่องของความรักหรือการแต่งงาน?    หากอยู่ในวัยกลางคน ก็มักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่การงานหรือเรื่องของลูก?   แล้วหมอดูจะไม่แม่นและได้รับความเชื่อถือได้อย่างไร เพียงเริ่มสนทนาด้วยประเด็นดังที่ยกตัวอย่างมาก็เรีบยร้อยแล้ว จากนั้นผู้มาดูหมอก็จะเล่าเรื่องปัญหาทั้งหมดทีต้องการรู้คำตอบให้หมอดูฟัง ซักกันไปซักกันมาก็อาจจะได้คำตอบที่แม่นโดยไม่ต้องดูดวงดาวเลย ดูดาวประกอบเพียงเพื่อยืนยันความมั่นใจของหมอดูอีกหน่อยเดียวก็พอ


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 17 ต.ค. 13, 22:02
กลับมาเรื่องที่ติดค้างไว้ครับ

อังคาร - ผ่านเหนือหัวพอดี 
พฤหัส และ มฤตยู - ผ่านเกือบเหนือหัว ที่มุมเงยประมาณ 80 องศา


ก็เลยย้อนไปดูของวันที่ 14 ตค. 2516  เป็นดังนี้ครับ 

พลูโต และ อังคาร - ผ่านเหนือหัวพอดี
เสาร์ - ผ่านเกือบเหนือหัว ที่มุมเงยประมาณ 80 องศา
แล้วก็มีกลุ่มดาวมฤตยู เนปจูน ศุกร์ และพุธ ส่งแสงอยู่ทางทิศใต้ที่มุมเงยประมาณ 60-70 องศา


พลูโต ให้ความหมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง
มฤตยู ให้ความหมายเกี่ยวกับความพลิกผัน ความรุนแรง และความฉับพลัน
เนปจูน ให้ความหมายเกี่ยวกับความอึมครึม หมอกควัน และของเหลว


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ต.ค. 13, 22:05
สรุปว่าปีหน้ายังไม่มีอะไรดีขึ้น แต่ปีนี้ คงจะประคองตัวแบบง่อนๆแง่นๆ ไปได้จนสิ้นปีใหม่ไทย  หมดสงกรานต์เมื่อไหร่มาดูกันอีกที


กระทู้: ดวงเมือง
เริ่มกระทู้โดย: saimai ที่ 17 ต.ค. 13, 22:17
ขอบคุณทุกท่านค่ะ :)