การรัฐประหารครั้งนี้ เดิมทีวางแผนลงมือเวลาตีห้าของวันที่ 8 พฤศจิกายน แต่ทว่าการเคลื่อนไหวไม่เงียบพอ พล.อ.หลวงอดุลเดชจรัส ผู้บัญชาการทหารบก รู้ข่าวเข้าเสียก่อน
นายพลตำรวจผู้กลายมาเป็นนายพลทหาร ผบ.ทบ. คนนี้มีชีวิตและบทบาททางการเมืองมีสีสันมาก ถ้าอยากอ่านชีวิตและบทบาทของพลอ. (หรือพลต.อ.)อดุล อดุลเดชจรัส หาอ่านได้ที่กระทู้นี้ค่ะ
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3419.0พลอ. อดุลไม่ได้เกี่ยวข้องร่วมมือกับคณะรัฐประหารชุดนี้ พอรู้ข่าวก็ออกคำสั่งเรียกให้นายทหารทุกชั้นเข้ามารายงานตัว เป็นการระงับแผนการณ์ของพวกก่อการรัฐประหารเสียก่อน แต่ทางฝ่ายเสนาธิการของคณะผู้ก่อการก็ไม่ยอมแพ้ ใช้วิธีเปลี่ยนแผนกะทันหัน เลื่อนกำหนดเดิมให้เร็วขึ้นหนึ่งวัน เริ่มตั้งแต่เวลา 23.00 น. ของคืนวันที่ 7 พฤศจิกายน ต่อเนื่องถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน
ฝ่ายรัฐประหารใช้วิธีจู่โจมสายฟ้าแลบ กองกำลังรถถังส่วนหนึ่งบุกเข้าไปที่ เวทีลีลาศ สวนอัมพร เพื่อควบคุมตัว พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และรถถังอีกส่วนหนึ่งบุกเข้าไปประตูทำเนียบท่าช้างวังหลวงเพื่อควบคุมตัว นายปรีดี พนมยงค์
แต่นายปรีดีหนีทัน ลงเรือหลบหนีการถูกจับกุมไปได้อย่างหวุดหวิด ในบ้านเหลือเพียง ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภรรยาและลูก ๆ เท่านั้น
เช้าวันที่ 8 พฤศจิกายน ยึดอำนาจได้เรียบร้อย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ หัวหน้าคณะรัฐประหาร ซึ่งเรียกกลุ่มของตนว่า "คณะทหารแห่งชาติ"ได้แถลงต่อสื่อมวลชนทั้งน้ำตาว่าทำไปเพราะความจำเป็นที่จะต้องแก้วิกฤติของชาติ บทบาทของท่านทำให้ได้รับฉายาต่อมาว่า "วีรบุรุษเจ้าน้ำตา" หรือ "จอมพลเจ้าน้ำตา"
สาเหตุของการรัฐประหารในครั้งนี้ เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2490 หรือที่เรียกกันว่า "รัฐธรรมนูญใต้ตุ่ม" เพราะตอนวางแผนรัฐประหาร คนร่างซ่อนเอาไว้ใต้ตุ่มน้ำในบ้าน ด้วยความรอบคอบเผื่อแผนรั่ว ถูกตำรวจบุกค้นบ้าน ก็คงไม่มีใครเฉลียวใจไปยกตุ่มน้ำขึ้นมาดู
เมื่อรัฐประหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว รัฐธรรมนูญฉบับที่ซ่อนพิสดาร ก็ถูกนำออกมาใช้หลังจากนั้น
ขอลอกมาให้อ่านกันค่ะ
" บัดนี้ประเทศชาติตกอยู่ในภาวะวิกฤตการณ์ ประชาชนพลเมืองได้รับความลำบาก เดือดร้อน เพราะขาดอาหาร เครื่องนุ่งห่มและขาดแคลนสิ่งอื่น ๆ นานัปการ เครื่องบริโภคอุปโภคทุกอย่างมีราคาสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นอันมาก เป็นเหตุให้เกิดความเสื่อมทรามในศีลธรรมอย่างไม่เคยมีมาก่อน…ผู้บริหารราชการแผ่นดินและสภาไม่อาจดำเนินการแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีให้กลับสู่ภาวะดังเดิมได้…เป็นการผิดหวังของประชาชนทั้งประเทศ…ถ้าจะคงปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ก็จะนำซึ่งความหายนะแก่ประเทศชาติ…"ในตอนแรก คณะทหารแห่งชาติก็ยืนยันอุดมการณ์ของตัวเองว่าทำเพื่อประชาชน ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง จึงให้ นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยให้สัญญาว่าจะไม่แทรกแซงการทำงาน
ส่วนคณะทหารแห่งชาติได้ตั้งสภาขึ้นมา ใช้ชื่อว่า "คณะรัฐมนตรีสภา" และจัดการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2491
พันโทพโยม เห็นว่าภารกิจของคณะรัฐประหารจบสิ้นลงแล้ว ต่อไปก็ควรทำหน้าที่ของตัวแทนประชาชนตามอุดมการณ์ของตัวเองอย่างเต็มขั้นเสียที จึงลาออกจากราชการทหาร เมื่อมีเลือกตั้งผู้แทนราษฎร ก็สมัครเข้ารับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบุรี ถิ่นเกิดอีกครั้ง
คราวนี้ ด้วยชื่อเสียงและผลงานที่ประชาชนนิยม ก็ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบุรี ในปี พ.ศ. ๒๔๙๑
เมื่อเข้าสภา ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ความคิดของพ.ท.พโยมไม่เหมือนคนอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะทำตัวเป็นต้นอ้อลู่ลม ไม่ขัดใจผู้เป็นใหญ่ หากมีตำแหน่งที่หาได้ยาก ก็จะพยายามรักษาเก้าอี้ตัวเองเอาไว้ให้นานที่สุด จะเพื่อเป็นเกียรติเป็นศรีแก่ตัวเอง หรือว่าเป็นลาภยศสรรเสริญอะไรก็ตาม
แต่พ.ท.พโยมเป็นคนตรง เห็นอะไรไม่ชอบมาพากลก็ค้าน ไม่ยอมร่วมมือด้วยง่ายๆ เป็นประเภท "เกียรติศักดิ์รักของข้า มอบไว้แก่ตัว" ไม่ใช่ว่า "มอบไว้แก่นาย"
ทำงานแบบนี้ ไม่ช้าไม่นานก็ถูกกดกันอย่างหนักจากการนั่งอยู่ในตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม เพราะไม่อาจสนองความประสงค์ของผู้เป็นใหญ่ได้
อยู่ได้ไม่นานก็ถูกบีบให้ลาออก ท่านจึงได้ลาออกจากการเป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
คณะรัฐประหารดำเนินอุดมการณ์ว่าจะไม่เกี่ยวกับการเมืองไปได้ไม่นาน ถึงวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2491 คณะนายทหารในกลุ่ม 4 คน นำโดย น.อ.กาจ กาจสงคราม ก็ได้ทำการบีบบังคับให้นายควงลาออก และไปเชิญจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งออกจากแวดวงการเมืองไปนั่งเฉยๆอยู่พักใหญ่แล้ว กลับเป็นนายกรัฐมนตรีแทน