SILA
|
Out of Africa รักที่ริมขอบฟ้า จำลาพรากจากแสงตะวัน
เรื่องรักในหนังและหนังสือ:
พรากจากแสงตะวัน - ชื่อหนังสือแปลโดยคุณสุริยฉัตร ชัยมงคล ผู้พรากจากบรรณภพไปแล้ว, รักที่ริมขอบฟ้า - ชื่อหนังเขียนบทจากหนังสือ Out of Africa และ Isak Dinesen: The Life of a Storyteller และ Silence Will Speak )
ผู้ที่เข้าชม Out of Africa หากไม่ใช่ผู้ที่นิยมหนังแนวดรามา ดำเนินเรื่องเชื่องช้าละเมียดละไมก็คงต้อง พ่ายแพ้แก่ความง่วงจนหลับไป เหลือคนที่ตื่นรับรู้คือผู้ที่ได้สัมผัสอิ่มเอมกับความซาบซึ้งประทับใจจากเรื่องราว ชีวิตใหม่ในกาฬทวีปของเธอ - คาเรน บลิกเซน ที่มีทั้งความสุข และความเศร้า เมื่อเธอต้องจำพรากจากดินแดน อันเป็นที่รักกลับสู่บ้านเกิดในเดนมาร์ก เธอได้เขียนหนังสือเล่าเรื่องราวชีวิตช่วงนั้นในชื่อ Out of Africa โดยใช้นามปากกา Isak Dinesen
ผลงานการเขียน(การเล่าเรื่อง) ของเธอได้รับการตอบรับชื่นชมอย่างดีถึงขนาดเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการพิจารณา สำหรับรางวัลโนเบล และเฮมิงเวย์ผู้ที่ได้รับรางวัลนั้นได้เขียนถึงหนังสือเล่มนี้ไว้ว่าเป็น
"the best book about Africa that I ever read"
OUT OF AFRICA by Dinesen, Isak
Edition:1st American Edition Date published:1938
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 30 ก.ย. 08, 17:07
|
|
หนังเปิดจอด้วยภาพพระอาทิตย์ริมขอบฟ้าเหนือท้องทุ่ง ต่อมาเป็นภาพระยะไกลของผู้ชายยกปืนพาดไหล่ ยืนย้อนแสงตะวันแลเห็นเพียงรางเลือน เสียงหญิงมีอายุบรรยายถึงชายคนนั้นนามว่า - เดนิส ผู้ท่องซาฟารี โดยมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงและเพลงของโมสาร์ทเป็นเพื่อนร่วมทาง แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแต่เธอยังคงฝันถึงเขา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 30 ก.ย. 08, 17:16
|
|
เธอเริ่มลงมือเขียนเล่าเรื่องราวของเขาและเธอเมื่อครั้งเคยใช้ชีวิตอยู่ในแอฟริกา ปรากฎเป็นหนังสือ ซึ่งขึ้นต้นบทแรกด้วยข้อความว่า
I had a farm in Africa at the foot of the Ngong Hills. The Equator runs across these highlands, a hundred miles to the north, and the farm lay at an altitude of over six thousand feet. In the day-time you felt that you had got high up; near to the sun, but the early mornings and evenings were limpid and restful, and the nights were cold.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 30 ก.ย. 08, 17:20
|
|
เรื่องราวความสัมพันธ์ของคู่รักที่กลายเป็นตำนานเรื่องหนึ่งของแอฟริกานี้ ไม่ได้มีแต่รสหวานชื่น หากจบลงด้วยความพลัดพราก แม้ว่าทั้งสองจะดูเหมือนว่าต่างเกิดมาเพื่อกันและกัน แต่เดนิสนั้นเป็นคนรัก ที่ไม่ยอมหยุดพักพิง ด้วยว่าเขากลัวการผูกมัด ห้วงทศวรรษสุดท้ายในแอฟริกา คือช่วงเวลาสลับระหว่างความสุขล้นกับเดนิส และความทุกข์ทนทั้งโรคทางกาย และภาวะจิตใจตกต่ำ สุดท้ายในปี 1931 หลังการสูญเสียทั้งธุรกิจไร่กาแฟ และเดนิสคนรัก เธอเดินทางกลับเดนมาร์ก และ ไม่เคยกลับมาเยือนแอฟริกาอีกเลย
หนังสือ Out of Africa เป็นบันทึกความทรงจำในแอฟริกาที่กล่าวถึงเดนิสในฐานะเพื่อน แต่ในหนัง ชื่อเดียวกันได้ให้รายละเอียดความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของทั้งสอง ซึ่งมีทั้งส่วนที่เป็นเรื่องจริงและเรื่องแต่ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 02 ต.ค. 08, 09:18
|
|
Meryl Streep รับบท Karen Blixen
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 02 ต.ค. 08, 09:20
|
|
Robert Redford รับบท Denys Finch Hatton
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 02 ต.ค. 08, 09:25
|
|
Karen Blixen(นักเขียน-นักเล่าเรื่องในนามปากกา Isak Dinesen) เกิดเมื่อวันที่ 17 เมษายน ปี 1885 ที่ Rungstedlund ทางตอนเหนือของกรุงโคเปนเฮเกน เธอได้รับการศึกษาจาก Art School และ Academy of Art ในกรุงโคเปนเฮเกน ด้วยความที่เธอสนิทสนมกับบิดา (Wilhelm Dinesen) คาเรนจึงได้รับการถ่ายทอดความรู้ความสามารถทางศิลปะ และนิสัยนิยมการผจญภัยเหมือนท่าน แต่เมื่อเธออายุได้เพียง 10 ปี (ปี 1895) ท่านได้กระทำอัตวินิบาตกรรม(ยิงตัวตาย) เนื่องจากป่วยเป็นซิฟิลิส (ด้วยความกลัวว่าจะเกิดอาการวิกลจริตจากซิฟิลิสขึ้นสมองในระยะสุดท้าย) ทิ้งให้เธอตกอยู่ใน สภาพว้าเหว่โศกเศร้าและ รู้สึกเบื่อหน่ายสิ่งแวดล้อม ในปี 1913 พร้อมวัยที่นับว่ามากแล้วสำหรับสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานในยุคนั้น เธอจึงได้หมั้นหมายกับลูกพี่ลูกน้องชาวสวีเดน - Baron Bror von Blixen-Finecke (หลังจากที่ผิดหวังในความรักจากชายอีกคนหนึ่งซึ่งความจริงแล้วก็เป็นพี่น้องฝาแฝด กับคู่หมั้นของเธอนั่นเอง) เขาได้เดินทางล่วงหน้ามาแอฟริกาเพื่อหาซื้อที่ดินทำธุรกิจ ส่วนเธอเดินทางตามมาโดยเรือ ออกจากเมืองท่าเนเปิลในเดือนธันวาคม ทั้งสองเข้าพิธีสมรสที่แอฟริกาในเดือนมกราคม 1914 และ เธอได้รับคำนำหน้า เป็น Baroness ด้วยนิสัยรักการผจญภัยเธอจึงปรับตัวเข้ากับชีวิตที่แอฟริกาได้อย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ยังคงวิถีชีวิต แบบยุโรป แต่งกายด้วยเสื้อผ้าไม่แพงหรูแต่ดูดี สวมหมวกงามที่ไม่ต้องติดตามเทรนด์ ยังคงรักเสียงเพลง ศิลปะ และ หนังสือ ในยามว่างเธอจับงานคิด งานเขียนและงานวาด เธอได้ริเริ่มดำเนินกิจการไร่กาแฟบนที่ดินที่ซื้อหาไว้ใกล้ Nairobi, Kenya โดยมีชาวเผ่า Kikuyu เป็นคนงาน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 02 ต.ค. 08, 09:40
|
|
คาเรนรู้สึกชื่นชมชาวพื้นเมืองตั้งแต่วันแรกที่เธอมาถึง พวกเขามารวมตัวกันต้อนรับเธอทั้งในฐานะ เจ้าสาวหมาดๆ และคุณผู้หญิง ความสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายเจริญงอกงามมากกว่าการเป็นนายจ้างกับลูกจ้างทั่วไป เธอรู้สึกอบอุ่น เหมือนกับว่าแอฟริกานี้คือบ้านของเธอ ที่มีวัฒนธรรมของชนเผ่าอันแตกต่างกันทั้งโซมาลิ มาไซ คิคูยู เป็นตัวแทนภาพหลากหลายของแอฟริกา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 02 ต.ค. 08, 10:25
|
|
ช่วงปีแรกในแผ่นดินใหม่ คาเรนทำไร่และออกท่องซาฟารีกับสามี ชีวิตในดินแดนแปลกถิ่นเริ่มต้นด้วยดี เหมือนฝัน เธอเขียนบรรยายว่า "Here at long last one was in a position not to give a damn for all conventions, here was a new kind of freedom which until then one had only found in dreams!" ภาพจาก http://flickr.com/photos/54314083@N00/2260973
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 03 ต.ค. 08, 15:15
|
|
แต่การแต่งงานกับชายคนหนึ่งเพราะความรักที่ไม่สมหวังจากชายอีกคนหนึ่ง แล้วจึงได้พบว่า ทั้งคู่มีความแตกต่างกันอย่างมากมาย ทั้งด้านรสนิยมและอุปนิสัย Bror เป็นหนุ่มรักสนุก ดื่มได้ทั้งคืน แล้วยังออกท่องซาฟารีต่อได้ทั้งวัน ไม่เอาการเอางานแล้วยังเจ้าชู้ ไม่รู้ว่ายุคฟื้นฟูศิลปวิทยากับสงครามครูเสด อย่างไหนเกิดก่อนกัน และข้อสำคัญคือความไม่ซื่อสัตย์ต่อกันทั้งในเรื่องเงินและการครองคู่ ผลสุดท้ายคือ ชีวิตสมรสที่คลอนแคลนและจบลง ปีต่อมา ในเดือนกรกฎาคม คาเรนต้องเดินทางกลับเดนมาร์กเพื่อรับการรักษาซิฟิลิสที่บรอร์นำมาให้เธอ ตั้งแต่ในช่วงปีแรกของการแต่งงาน ในสมัยนั้นซิฟิลิสคือโรคร้ายที่น่าสะพรึงกลัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเธอ เพราะโรคนี้คือสาเหตุ ที่ทำให้บิดาของเธอยิงตัวตายด้วยความกลัวว่าจะเป็นซิฟิลิสขึ้นสมองแล้วมีอาการวิกลจริต หลังการรักษาด้วย arsenic (สารหนู และอาจมีปรอทร่วมด้วย) ซึ่งได้ผลดี แต่ก็มีผลข้างเคียง ต่อสุขภาพในระยะยาว ทำให้เธอมีอาการเจ็บป่วยต่อมาเป็นระยะๆ ที่น่าเชื่อว่าเป็นผลจากการรักษานี้ ร่วมกับภาวะทางด้านจิตใจของเธอ
เธอเคยเขียนถึงบรอร์ในเวลาต่อมาว่า
"When I think of Bror--which, I must say, is rare-- it seems impossible to imagine a worse bastard."
Klaus Maria Brandauer รับบท Baron Bror Blixen
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 03 ต.ค. 08, 15:23
|
|
คาเรนกลับมาแอฟริกาอีกครั้งในปี 1916 ดำเนินกิจการไร่กาแฟต่อด้วยเงินทุนจากญาติ เธอซื้อที่เพิ่มเติม และได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านบนที่ผืนใหม่นี้ที่เธอเรียกว่า Bogani แปลว่า บ้านป่า บ้านหลังนี้คือฉากของผลงานเขียนเล่าเรื่องแอฟริกาของเธอ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 03 ต.ค. 08, 15:26
|
|
แม้เป็นคนที่เรียนและรักศิลปะ แต่คาเรนเป็นหญิงเก่ง ช่วยเหลือตัวเองตัวเองได้ ไม่ใช่ต้องคอยพึ่งพิงใคร เธอมีคุณสมบัติที่เหมาะกับดินแดนที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้ เธอมีความรักให้กับแผ่นดินและผู้คนพื้นเมือง ที่เป็นคนงานในไร่ นอกจากงานในไร่แล้ว เธอยังจัดให้มีการสอนภาษาอังกฤษ ให้การปฐมพยาบาล และการรักษา ความเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ด้วยยาสามัญประจำบ้านแก่ชาวพื้นเมืองด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 03 ต.ค. 08, 15:32
|
|
2 ปีต่อมาชายผู้เป็นยอดรักแห่งชีวิตได้ก้าวเข้ามาในชีวิตของเธอ เขาคือ Denys Finch Hatton ทั้งสองได้พบกันที่คลับในไนโรบี เมื่อแรกเห็นเธอก็เหมือนกับต้องมนต์เสน่ห์ของผู้ดีอังกฤษที่มาเยือนแอฟริกา เพื่อล่าสัตว์และทำธุรกิจ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 03 ต.ค. 08, 15:40
|
|
เดนิส คือผู้ดีอังกฤษเจ้าเสน่ห์ เกิดเมื่อ 24 เมษายน 1887 มีชาติตระกูลดี -บิดาเป็นท่านเอิร์ล มีการศึกษาดี - จบจากโรงเรียน Eton แล้วศึกษาต่อที่ Oxford เขาคือนักเรียนที่โดดเด่น เป็นนักเล่าเรื่อง นักวาด นักร้อง กวีและนักกีฬา เป็นที่รักของเพื่อนๆ ในปี 1911 เมื่อเขาอายุได้ 24 ปี เขาเดินทางมาแอฟริกาและซื้อที่ดินไว้ด้วยเงินมรดกจากคุณลุง เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงถึงฤดูหนาว และกลับไปอังกฤษในช่วงฤดูที่เหลือ
ไม่มีใครเคยได้ยินว่าเขามีความรักผูกพันกับหญิงใดมาก่อนที่เขาจะได้พบกับคาเรน(ซึ่งมีอายุมากกว่า 2 ปี) เมื่อเขามีอายุได้ 31 ปี ทั้งคู่ได้รับการแนะนำให้รู้จักกันที่คลับ ในวันที่ 5 เมษายน 1918 หลังจากที่เขาได้รับ หมายเรียกให้ไปรับใช้ชาติเป็นทหารที่อียิปต์ ก่อนที่เขาถูกย้ายไปประจำการที่อื่น
หลังรับใช้ชาติเขากลับมาแอฟริกาในเดือนพฤศจิกายน 1918 และได้สร้างสานมิตรภาพกับคาเรน และสามีของเธอ นอกจากนี้เขายังคบหามีเพื่อนที่เป็นผู้มาตั้งถิ่นฐานที่นี่อีกมากมาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 03 ต.ค. 08, 15:52
|
|
ในปี 1920 เขาต้องเดินทางออกจากแอฟริกาไปนานกว่า 1 ปีด้วยปัญหาสภาวะทางเศรษฐกิจที่ทำให้ เขาต้องขายฟาร์มที่นี่ไป ถึงปี 1921 คาเรนได้แยกกันอยู่จากสามี และดำเนินกิจการไร่กาแฟต่อไป ในขณะที่ บรอร์หันไปดำเนิน ธุรกิจท่องซาฟารีมีผู้มาใช้บริการเป็นคนดังอย่างเช่น เออร์เนสท์ เฮมิงเวย์
เดนิสกลับมาอีกครั้งในปี 1922 และได้ลงทุนในบริษัทพัฒนาที่ดิน เขาสานต่อความสัมพันธ์อันงอกงามกับคาเรน มาเป็นแขกคนพิเศษของบ้านป่า ผู้นำความพึงใจมาสู่เธอทุกครั้งที่มาเยือน ทั้งสองมีความสนใจในศิลปะ หนังสือ ดนตรี เหมือนกัน แต่เมื่อถึงคราวท่องซาฟารี ทั้งสองก็พลิกบทเป็นนักท่องไพร กลางวันยิงปืน กลางคืนฟังโมสาร์ท เดนิสคือชายหนุ่มที่มีคุณสมบัติเหมือนเป็นตัวแทนของบิดาที่เธอสนิทสนมในวัยเด็ก ในปีนี้เองที่คาเรนได้ตั้งครรภ์ ครั้งแรกแต่ตกไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|