มีข้อสังเกตอีกข้อหนึ่ง ที่อาจารย์บอกว่า
ศาลสรุปว่า นายยันต์นำพยานส่วนใหญ่มานำสืบเรื่องสาเหตุบาดหมางกับนายภูมี ซึ่งศาลได้กล่าวไปแล้วว่าได้ตัดประเด็นเกี่ยวกับนายภูมีไปแล้ว ถือว่ายอมให้ชนะผ่าน ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยคำเบิกความของพยานนายยันต์ช่วงนั้น ช่างฉลาดแท้ในการหาทางออกที่จะไม่ต้องแสดงความเห็นของศาลต่อผู้พิพากษาศาลชัยนาททั้งหลาย ผู้ยอมเปลืองตัวมาเป็นพยานจำเลย
แต่ศาลกล่าวต่อว่าในเมื่อคำเบิกความของนายโกย(ลูกความของนายภูมี) นายปิ่น(ลูกน้องในบ้านของนายภูมี) และนายมา(ผู้อ้างว่าขุนนิพันธ์นัดให้ไปกินข้าวที่บ้านนายยันต์ในวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๔๘๑) นายยันต์สืบหักล้างไม่ได้ นายยันต์จึงมีความผิด
ตรงนี้ โดยปกติแล้ว การเบิกความในศาล จะต้องเป็นการนำเสนอถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ในหลักของการนำเสนอพยานหลักฐาน จะไม่นำสืบถึงพยานหลักฐานที่แสดงถึงการไม่มี หรือไม่ได้เกิดขึ้นของเหตุการณ์ต่างๆ ครับ ยกตัวอย่างเช่น อาจารย์ฟ้องว่า ผมขโมยนาฬิกา แล้วศาลจะสั่งให้ผมหาพยานมาแสดง ถ้าเอ็งไม่ได้ขโมยจริง ไหนลองแสดงหลักฐานที่ว่า
นาฬิกาไม่ได้อยู่กับเอ็งมาซิ ถ้าเอ็งหามาไม่ได้ เอ็งแพ้คดี
ปุดโธ่ ก็ผมไม่ได้ขโมย นาฬิกามันจะไปอยู่ที่ไหน ผมจะไปรู้หรือครับ แล้วผมจะไปหาหลักฐานแสดงการไม่มีนาฬิกาอยู่ มาได้อย่างไร