สัปดาห์นี้มาฟังคุณเทาชมพู พูดถึงวิธีการแปลการเลือกเรื่องแปลให้ดี กันนะเจ้าคะ
งานแปลทางด้านวรรณกรรม ขั้นตอนการเลือกการแปลวรรณกรรม |
|
หลังจากได้อ่านวรรณกรรมอังกฤษและอเมริกันมาเป็นเวลาหลายปี และเริ่มแปลหนังสือ ด้วยมีจุดมุ่งหมายที่จะแปลวรรณกรรมสำคัญบางเรื่องของตะวันตกเพื่อประโยชน์ในการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษา
อย่างไรก็ตาม เมื่อลงมือแปลจริงๆแล้ว กลับพบว่าไม่ใช่ของง่ายที่จะถ่ายทอดภาษาวรรณกรรมเหล่านั้นได้ตรงกับความเข้าใจ เพราะขั้นตอนของการอ่าน กับ ขั้นตอนของการถ่ายทอด เป็นทักษะคนละชนิดกัน คนที่อ่านภาษาอังกฤษได้เข้าใจดี ไม่ได้หมายความว่าจะถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาไทยได้ดี ทั้งนี้เพราะขาดบางอย่าง ซึ่งบางคนเรียกว่า “ฝีมือ” บางคนเรียกว่า “ศิลป” และบางคนก็อาจจะเรียกว่า “ทักษะ” หรือ “ความชำนาญ”
เมื่ออ่านเรื่องแปลของนักแปลคนใดก็ตาม นอกเหนือจากการอ่านเอาเนื้อความในเรื่องอย่างคนอ่านทั่วๆไปแล้ว จึงสังเกตวิธีการใช้ภาษาไทย ในโครงสร้างของประโยค หรือความหมายของคำควบคู่ไปด้วยเสมอ ดังนั้น จึงมักพบบ่อยๆว่า ผู้แปลบางคนมีความรู้ความเข้าใจภาษาต่างประเทศอยู่ในชั้นดี อย่างน้อยก็แปลความหมายจากต้นฉบับได้ไม่ผิด แต่มักจะถอดภาษาต่างประเทศออกมาเป็นไทยให้สะดุดความรู้สึกอยู่เสมอ
เธอถูกยกย่องว่าเป็นคนเก่งที่สุดในห้องเรียน
ศพของอดีตประธานาธิบดีได้รับการยกออกไปฝัง ณ สุสาน
“ไม่จริง” เธอพูด “คุณพูดเช่นนี้ได้อย่างไร มันเป็นการโกหกมดเท็จล้วนๆ
“พระเจ้า” หญิงชราครวญครางอย่างเศร้าเสียใจ
“โอ้ ซูซาน แม่ดีใจเหลือเกินที่ได้พบหน้าลูก เหตุใดลูกจึงไม่เขียนถึงแม่”
สิ่งที่ประหลาดก็คือ คนส่วนมากเดินไปเดินมา แต่ชายผู้นี้กลับยืนจ้องมองสารวัตร นั่นคือบุคคลที่ต้องสงสัยนั่นเอง
ความรู้สึกสะดุดเช่นนี้ ทำให้ต้องหยุดจุดมุ่งหมายสูงสุดเอาไว้ก่อนและหาทางออก ด้วยการเริ่มการแปลหนังสือเป็นขั้นตอน ด้วยการเริ่มจาก เรื่องง่าย ไปหายากขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งบรรลุถึงเป้าหมายในที่สุด
การเริ่มแปลวรรณกรรมประเภทนวนิยายเป็นครั้งแรกนั้น
๑. เลือกนิยายรักที่เห็นว่าอ่านง่ายที่สุด และมีเนื้อเรื่องที่ไม่ต้องอาศัยการค้นคว้าตีความมากมายใดๆ ได้แก่ นวนิยายของ Barbara Cartland นักประพันธ์ชาวอังกฤษผู้มีผลงานจำหน่ายมากเป็นอันดับหนึ่งของโลกติดต่อกันหลายปี และนวนิยายของสำนักพิมพ์ Mills&Boon ซึ่งแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่นเรื่องรัก (Romance) เรื่องรักอิงประวัติศาสตร์ (Historical Romance)
การเลือกเรื่องที่ใช้ภาษาง่าย เป็นประโยชน์แก่นักแปลสองประการคือ
๑.๑ เกิดความมั่นใจ สบายใจและไม่เกร็งกับงานที่แปล เพราะรู้ว่าไม่ยากเกินความเข้าใจ
๑.๒ ภาษาที่ง่ายเช่นนี้เป็นภาษาในชีวิตประจำวัน ย่อมมีปะปนอยู่ทั่วไปในหนังสือทุกประเภทแม้แต่ในวรรณกรรมเอกของโลก จึงเท่ากับเป็นการวางพื้นฐานให้ตนเองในการแปลหนังสือก่อนจะเขยิบขึ้นสู่แปลหนังสือที่ยากขึ้นเป็นลำดับ โดยไม่ก้าวกระโดดจนเสียหลัก
๒. เมื่อแปลเรื่องที่ใช้ภาษาง่ายได้สักระยะหนึ่ง ก็จะมั่นใจพอที่จะเขยิบขึ้นไปสู่หนังสือที่ค่อยๆยากขึ้นกว่านี้
ในระดับแรก เรื่องรักของ Barbara Cartland และ Romance ของ Mills&Boon ก็ไม่ต้องอาศัยการค้นคว้าประกอบ แต่เมื่อเขยิบขึ้นมาถึงขั้นที่สอง คือ Historical Romance จะต้องค้นคว้าประกอบ มิฉะนั้นคนไทยที่ไม่คุ้นเคยกับประวัติศาสตร์ของอังกฤษ จะเกิดความงุนงง สับสน ไม่รู้ว่าตัวละครและเหตุการณ์ที่เอ่ยถึงในเรื่อง มาจากประวัติศาสตร์ตอนใด ดังนั้นจึงต้องเขียนไว้ในตอนนำของเรื่อง และในเชิงอรรถแต่ละตอน
๓. เข้าสู่หนังสือระดับยากกว่านี้ ประเภท best seller หรือหนังสือสูงกว่าระดับ “ตลาด” ทั่วไป เป็นหนังสือที่อยู่ในสายตาของนักวิจารณ์
หนังสือประเภทนี้ มักจะแฝงด้วยข้อคิด สำนวนโวหารเฉพาะตัว การอ้างอิงถึงวรรณคดีเรื่องอื่น (allusion) โดยไม่บอกรายละเอียด นัยระหว่างบรรทัด เงื่อนปมต่างๆ (ในกรณีที่เป็นเรื่องนักสืบระดับดี) อารมณ์ขันลึกๆ (ในกรณีที่เป็นเรื่องเสียดสีสังคม) ซึ่งไม่มีในระดับ ๑ และ ๒ ถ้าหากว่าไม่เคยแปลในระดับง่ายกว่านี้มาก่อน ก็อาจจะแปล “สิ่งระหว่างบรรทัด” นี้ตกหล่นไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้ขาดอรรถรสของเรื่องราวไป
การเลือกแปลหนังสือที่ผู้แปลคิดว่า “อยู่ในระดับดี มีชื่อเสียง” ไม่ใช่เป็นการประกันคุณภาพของตัวผู้แปล อย่างที่นักแปลหน้าใหม่บางคนเข้าใจผิด เพราะบางคนคิดว่า ไหนๆจะแปลแล้วก็ขอแปลหนังสือดีๆมีคุณภาพสำหรับคนอ่าน และจะได้เป็นการแสดงศักดิ์ศรีของตน ดีกว่าจะไปแปลเรื่องอะไรที่ไม่มีคนยกย่อง ความจริงแล้ว การแปลหนังสือดีมีคุณภาพ และมีชื่อเสียงคือการนำเอาคุณภาพที่ตัวผู้แปลมีอยู่ออกมาตีแผ่ว่ามีมากน้อยระดับใด ถ้าหากว่ามีมากเท่ากับคุณภาพของหนังสือก็จะเป็นการพิสูจน์ความสามารถของตนเองได้อย่างน่าภูมิใจ แต่ถ้าผู้แปลมีคุณภาพการแปลน้อยกว่าหนังสือที่ตัวเองแปล ก็จะเป็นการบั่นทอนคุณค่าของหนังสือเล่มนั้น สำหรับคนอ่านที่ไม่มีโอกาสเปรียบเทียบฉบับแปลกับต้นฉบับภาษาเดิม และถ้าหากว่าคนอ่านมีโอกาสเปรียบเทียบฉบับแปลกับต้นฉบับภาษาเดิม ก็จะมองเห็นความบกพร่องของผู้แปลได้มาก
๔. หนังสือที่มีชื่อเสียงหรือว่าสำหรับศึกษาในระดับอุดมศึกษา เป็นขั้นสุดท้ายในการแปลวรรณกรรม
เมื่อผ่านขั้นตอนทั้งสามที่กล่าวมาได้แล้ว การแปลวรรณกรรมที่มีชื่อเสียงหรือว่าสำรับอุดมศึกษา จึงเป็นเรื่องที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงอีกต่อไป แม้ว่ามีสำนวนโวหารหรือการอ้างอิงวรรณคดีเรื่องอื่นบ้าง ก็เป็นสิ่งที่เคยฝึกฝนมาก่อน ทำให้สามารถค้นคว้าหาคำตอบโดยไม่หนักใจจนเกินไป นอกจากนี้ยังได้ฝึกฝนทักษะทางภาษา ทำให้แปลได้โดยไม่ติดขัดเรื่องการเรียบเรียงประโยคและการใช้ภาษาอีกเช่นกัน